Psyche Poll #1 : Love Poll

13 Feb 2019

บริการวิชาการ

 

Psyche Poll #1

Love Poll: สีสันของหัวใจ ความหมายวันวาเลนไทน์

อภัยได้มั้ยถ้าถูกนอกใจ และการถูกเทอันเจ็บปวด

 

 

หลังจากที่เพจบริหารชีวิตด้วยจิตวิทยาได้สำรวจความคิดเห็นเรื่อง “ความรัก” ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ มีท่านผู้มีอุปการะคุณได้เข้ามาร่วมสนุกตอบโพลนี้ทั้งสิ้นจำนวน 224 คน เป็นผู้หญิงจำนวน 162 คน (72.3%) ชาย 43 คน (19.2%) เพศอื่น ๆ 9 คน (4%) และไม่ระบุเพศอีก 10 คน (4.5%) มีอายุเฉลี่ย 28.87 ปี (ต่ำสุด 14 ปี และสูงสุด 60 ปี) โดยกว่าครึ่งอยู่ในสถานะ โสด (49.1%) มีแฟนและแต่งงานแล้วอีกจำนวนมาก (34.8%) ขณะที่บางส่วนอยู่ในสถานะคลุมเครือ (12.1%)

 

จากคำถามใน Psyche Poll#1 ของเราที่ประกอบด้วย

 

  1. สถานะทางหัวใจตอนนี้ของคุณเปรียบได้กับสีอะไร
  2. สำหรับคุณวันวาเลนไทน์มีความหมายอย่างไร
  3. ถ้าคุณจับได้ว่าแฟนนอกใจ จะให้อภัยได้กี่ครั้ง
  4. คำบอกเลิกแบบไหนที่ไม่อยากได้ยิน

 

ผลการสำรวจปรากฎดังนี้

 

 

1. สีสันของหัวใจ

 

 

 

 

สีเทา คือสีที่มีผู้ตอบมากที่สุด รองลงมาคือสีขาว และสีชมพู ส่วนสีในตัวเลือกที่มีคนตอบน้อยที่สุดคือสีม่วง

อย่างไรก็ดี มีผู้ระบุสีอื่น ๆ นอกจากตัวเลือกมาด้วย อาทิ สีครีม, ชมพูเทา, ชมพูอ่อน, เทาปนส้ม, น้ำตาล, ฟ้า, ใส ไร้สี และหลากสี

 

จากผลสำรวจนี้ น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า เหตุใดสีเทาจึงเป็นสีที่แสดงถึงสถานะหัวใจของผู้ตอบจำนวนถึงเกือบ 1 ใน 4 เลยทีเดียว!

เพื่อที่จะเข้าใจมากขึ้นนั้น ลองมาดูกันนะคะว่า สีแต่ละสีสะท้อนสภาวะหัวใจของเราอย่างไรบ้าง

 

 

• สีแดง ให้ความรู้สึกเร่าร้อน รุนแรง มีพลังอำนาจ และตื่นเต้น
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีแดง ก็อาจจะสะท้อนว่าคุณกำลังอยู่ในห้วงแห่งอารมณ์ความรักที่เข้มข้น เป็นช่วงที่หัวใจของคุณรู้สึกมีพลัง และตื่นเต้นไปกับทุกสิ่งที่คู่ของคุณทำให้เลยก็ว่าได้
• สีเหลือง ให้ความรู้สึก สว่าง อบอุ่น และศรัทธา
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีเหลือง ก็อาจจะสะท้อนว่าคุณรู้สึกอบอุ่นเมื่ออยู่ใกล้คนพิเศษ และก็ยังมีความศรัทธาในความรักด้วย
• สีเขียว ให้ความรู้สึก สดชื่น  ปลอดภัย สบายตา
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีเขียว ก็อาจจะสะท้อนว่าคุณรู้สึกสดชื่น ปลอดภัยกับความสัมพันธ์ที่คุณมีอยู่
• สีฟ้า ให้ความรู้สึก ปลอดโปร่ง แจ่มใส
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีฟ้า ก็อาจจะสะท้อนว่าคุณรู้สึกปลอดโปร่ง สบายอกสบายใจในความสัมพันธ์ของคุณนั่นเอง
• สีม่วง ให้ความรู้สึกซ่อนเร้น ลึกลับ
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีม่วง ก็อาจจะสะท้อนว่าความรักของคุณอาจจะยังเป็นเรื่องลึกลับ หรือมีความซับซ้อนในความสัมพันธ์ หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าคุณกำลังตกอยู่ในห้วงของความรู้สึกซ่อนเร้นบางอย่าง
• สีดำ ให้ความรู้สึก  เศร้า น่ากลัว หนักแน่น
หากความรักของคุณเปรียบได้กับดำ ก็อาจจะสะท้อนว่าคุณรู้สึกเศร้าหรือกลัวความสัมพันธ์ที่คุณมีกับคู่ของคุณ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ยังอาจหมายถึงว่า ความรักของคุณหนักแน่นเช่นกัน
• สีขาว ให้ความรู้สึก บริสุทธิ์ ผุดผ่อง
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีขาว ก็อาจจะสะท้อนว่า คุณรู้สึกว่าความสัมพันธ์ที่คุณมีกับคู่ของคุณเป็นเรื่องที่สะอาด บริสุทธิ์ รักกันที่ใจ
• สีเทา ให้ความรู้สึก เศร้า แก่ชรา
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีเทา ก็อาจจะสะท้อนว่า คุณรู้สึกเศร้า หรือเบื่อหน่ายกับความสัมพันธ์ที่คุณมีอยู่
• สีน้ำเงิน ให้ความรู้สึก เงียบขรึม สงบสุข
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีน้ำเงิน ก็อาจจะสะท้อนว่า คุณรู้สึกความรักของคุณเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความสงบสุข ทำให้คุณรู้สึกสุขุม
• สีน้ำตาล ให้ความรู้สึก แห้งแล้ง ไม่สดชื่น
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีน้ำตาล ก็อาจจะสะท้อนว่า คุณรู้สึกแห้งแล้ง ไม่สดชื่น เมื่ออยู่ใกล้คนพิเศษของคุณ
• สีชมพู ให้ความรู้สึก อ่อนหวาน ร่าเริง
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีชมพู ก็อาจจะสะท้อนว่า ความรักของคุณช่างหวานละมุนละไม ทำให้คุณรู้สึกร่าเริง

 

 

แม้สีเทาในตารางนี้จะมีความหมายที่ดูซึมเซาสิ้นหวังเสียเหลือเกิน แต่ที่จริงแล้ว สีเทายังมีความหมายทางบวก อันสื่อถึงมิตร ผู้อุปถัมป์ ศักดิ์ศรี และสติปัญญาอีกด้วย1

 

เพราะโดยทั่วไปสีเทานั้นเป็นสีที่ไม่เรียกร้องความสนใจ มักถูกใช้เป็นพื้นหลังเพื่อขับให้สีอื่นดูโดดเด่น จึงถือเป็นสีของการประนีประนอม สุขุมรอบคอบ บ้างก็ว่าเป็นสีของคนที่มีลักษณะของการใช้เหตุผล ไม่ค่อยไว้ใจอะไรง่าย ๆ ระมัดระวังตน และมักจะสร้างเกราะป้องกันตัวเอง2

ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อมูลจากโพล ที่ประมาณ 3 ใน 5 ของผู้ที่เลือกสีเทา คือ คนโสด! อีก 1 ส่วนคือผู้ที่อยู่ในสถานะคลุมเครือ และอีก 1 ส่วนอยู่ในสถานะมีคนรู้ใจ

 

นั่นแปลว่า สำหรับผู้ที่เลือกสีเทา คุณอาจเป็นผู้ที่มีหัวใจอันสงบเสงี่ยมเงียบขรึม พร้อมอยู่กลืน ๆ เป็นแบคกราวน์ให้กับหัวใจเปี่ยมสีสันดวงอื่น ๆ หรืออาจอยู่ในสถานะที่กำลังรอคอยให้ใคร (หรือคนที่คุณรู้อยู่แล้วว่าใคร) เข้ามาสร้างสีสันให้กับคุณก็เป็นได้

 

 

 

 

เช่นเดียวกันกับ สีขาว สีแห่งสันติภาพ ก็เป็นอีกสีที่คนโสดหลายคนเทใจให้

 

สีขาวเป็นสีที่สื่อถึงความสมบูรณ์แบบ เปิดเผย เรียบง่าย ปลอดภัย ดังนั้นต่อให้หัวใจของคุณจะว่างเปล่าแต่ก็เป็นหัวใจที่มีความสมดุล และถ้าหากเป็นหัวใจของคู่แต่งงาน ก็เป็นคู่แต่งงานที่มีความนุ่มนวลและมีเมตตาต่อกัน

 

สีที่ไม่กล่าวถึงเลยไม่ได้ เพราะเป็นสีที่เป็นสัญลักษณ์ของความรักและวันวาเลนไทน์ ก็คือ สีชมพูและสีแดง

 

สองสีนี้เป็นสีที่เป็นตัวแทนของคนมีความรัก ไม่ว่าจะเป็นรักที่สมหวัง อยู่ในช่วงเริ่มต้น สุกงอม หรือเป็นรักที่ “กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง” ก็ตาม

 

สำหรับสีชมพูนั้น เป็นสีที่อ่อนหวาน ฟรุ้งฟริ้ง ก็เหมือนกับรักที่เพิ่งเริ่มต้น หรือรักที่ยังคงความชุ่มชื่น สดใส มองคำว่ารักและคนชิดใกล้ในแง่บวก

ส่วนสีแดงที่แรงจัด ชัดเจน เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ก็เปรียบได้กับหัวใจที่มีไฟปรารถนา กล้าได้และกล้าเสีย

 

สังเกตได้ว่า สีแดงเป็นสีเดียวที่ไม่มีคนโสดคนไหนเลือกตอบเลย ซึ่งก็เข้าใจได้ไม่ยากค่ะ เพราะสีแดงเป็นสีที่มีค่าสีสูงที่สุด สะดุดตา (อีกนัยหนึ่งคือมองนาน ๆ แล้วเมื่อยตา) มากที่สุด สำหรับคนโสดที่ยังไม่มีใครเคียงข้างเป็นตัวเป็นตน ก็คงไม่มีความรู้สึกแรงจัดชัดเจนกับใครได้

 

 

2. ความหมายของวันวาเลนไทน์

 

มาถึงคำถามข้อที่ 2 ของเรากันบ้างนะคะ

 

เมื่อถึงเดือนกุมภาพันธ์ จะลืมเทศกาลสำคัญอย่างวาเลนไทน์ไปไม่ได้เลย (ไหนใครนึกถึงวันมาฆบูชาก่อนวันวาเลนไทน์บ้างเอ่ย)

 

ไม่ว่าคุณจะมองเทศกาลนี้อย่างไร แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าบรรยากาศโดยรอบ โดยเฉพาะในห้างร้านก็คงเตือนคุณให้ต้องสนใจวันนี้อยู่ดี

จากผู้ตอบแบบสำรวจของเรา 224 คน ไม่ว่าชายหรือหญิง หรือเพศอื่น ๆ พร้อมใจกันตอบว่าวันวาเลนไทน์นั้นไม่ได้แตกต่างอะไรจาก 364 (หรือ 365) วันที่เหลือ

 

 

 

 

เป็นผลสำรวจที่ไม่ได้สร้างความแปลกใจอะไรค่ะ

 

เพราะเราเป็นคนไทย ส่วนคติวันวาเลนไทน์นั้นมาจากชาติตะวันตก ก็เป็นไปได้ที่คนจำนวนมากไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรนักกับวันนี้ แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยที่อาจจะรับเอาวัฒนธรรม และถือเอาโอกาสนี้ใช้เป็นวันดี ๆ (D-day) ที่จะนัดหมาย พบเจอ มอบของขวัญ หรือทำอะไรพิเศษให้กันเพื่อแสดงความรักและเชื่อมความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันที่ทำหน้าที่ “เตือนให้นึกถึงกัน” เช่นเดียวกับ วันเกิดและวันครบรอบต่างๆ แต่สำหรับคนไทยเราก็สามารถยืดหยุ่นที่จะเพิ่มหรือลดความสำคัญของวันวาเลนไทน์ได้ แล้วแต่ความสะดวกของคู่นัด หรือสภาพคล่องในกระเป๋า (เพราะเป็นเทศกาลที่ดอกไม้ ตุ๊กตา ช็อกโกแลต แสนละลานตา แต่ก็แพงกว่าปกติหลายเท่าตัว)

 

 

 

 

ความน่าสนใจของวันวาเลนไทน์ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ค่ะ

 

คุณเชื่อหรือไม่ว่า นอกจากจะเป็นวันสารภาพรัก วันมอบความรักให้แก่กันแล้ว คู่รักหลายคู่ ถือเอาวันวาเลนไทน์เป็นวันดีเดย์ของการ “บอกเลิกกัน” อีกด้วย4

 

ผลการวิเคราะห์สถิติ Relationship status ในเฟซบุ๊ก พบว่า อัตราการเลิกราของคู่รักจะสูงเป็นพิเศษในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นมีนาคม และช่วง 2 สัปดาห์ก่อนคริสต์มาส

 

ผู้วิจัยให้คำอธิบายว่า เหตุผลที่หลายคนเลือกจบความสัมพันธ์ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเป็นเพราะ เทศกาลเป็นตัวเหนี่ยวนำที่ทำให้คนเราหันมาทบทวนถึงความรู้สึกที่เรามีต่อคนใกล้ชิดและสภาพความสัมพันธ์ที่กำลังดำเนินอยู่ หากบุคคลพบว่า ตนรู้สึกไม่พึงพอใจในความรักความสัมพันธ์ มันก็จะกลายเป็นช่วงชีวิตอันยากลำบากที่จะข้ามผ่านช่วงเวลาที่ทั่วโลกกำลังเฉลิมฉลองกันเกี่ยวกับความรักไปได้

 

หากคู่รักไม่สามารถร่วมใจกันฝ่าฟันอุปสรรคและปรับปรุงให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นได้ ช่วงเวลานี้จึงกลายเป็นแรงผลักดันให้คู่รักต้องเว้นวรรคหรือสวมคอนเวิร์สแล้วแยกย้ายจากกันไปค่ะ

 

 

3. การถูกเทอันเจ็บปวด

 

เพื่อความต่อเนื่องเราจะข้ามไปที่คำถามข้อ 4 ของโพลกันก่อนนะคะ ว่าด้วย “คำบอกเลิกแบบไหนที่ไม่อยากได้ยิน”

 

ผลสำรวจที่ออกมาแทบจะทำให้เราต้องเปลี่ยนคำถาม เพราะตัวเลือกที่ถูกเลือกมากที่สุดกลายเป็นตัวเลือกข้อสุดท้าย คือเหนือกว่าถ้อยคำทิ่มแทงใจ การปราศจากแม้ถ้อยคำใด ๆ นำมาซึ่งความชอกช้ำหัวใจมากที่สุด

 

 

 

 

ผู้ตอบกว่าครึ่งพร้อมใจกันตอบว่า ไม่มีอะไรพาให้เจ็บใจเท่าการเลิกราที่ไม่มีคำลาอีกแล้ว

 

แม้การจากไปเพราะเขามีใหม่ หรือเราไม่ใช่ความสุขของเขาอีกต่อไป จะสร้างรอยแผลและคำถามต่าง ๆ ให้กับเรามากมาย ทั้งงงว่าเขามีคนอื่นนอกจากเราตั้งแต่เมื่อไร ทำไมรักกันอยู่ดี ๆ การมีเราถึงทำให้เขาไม่มีความสุขไปได้

 

“แล้วที่ผ่านมามันคืออะไร้!?!”

 

อย่างน้อยคำตอบหรือข้ออ้างที่มีให้ ไม่ว่าจะฟังขึ้นหรือไม่ขึ้นอย่างไร ก็ไม่สร้างความสับสนปั่นป่วนใจได้เท่าการไม่มีคำตอบ

 

การเงียบหายไปเลยนั้นทิ้งไว้ทั้งความสูญเสียอ้างว้าง ทิ้งไว้ทั้งความค้างคาใจ ที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร ควรรอนานแค่ไหน หรือเริ่มต้นใหม่เมื่อไหร่ดี

 

ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่ชอบที่จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ดังนั้นฝากเอาไว้ว่าถ้าคุณคือคนหนึ่งที่รู้สึกไม่อยากไปต่อกับความสัมพันธ์ ไม่ว่าคุณจะมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลให้กับอีกฝ่ายหรือแม้กระทั่งตัวเอง ก็ขอให้มีคำลาสักคำก่อนจะไป

 

เรายังไม่จบกับประเด็นการเลิกราค่ะ

 

คำบอกลาที่พาให้เจ็บปวดเป็นอันดับที่ 1 จากในตัวเลือกที่มีคำบอกลา ก็คือ “ขอโทษนะ ฉันรักคนอื่นแล้ว”

 

เป็นผลลัพธ์ที่เข้าใจได้ไม่ยากนักค่ะ

 

การที่คนรักทิ้งเราไปมีใหม่ นำพาซึ่งความรู้สึกทางลบอีกประการหนึ่งนอกเหนือจากความรู้สึกสูญเสียคนสำคัญ นั่นคือการสูญเสียคุณค่าในตนเอง

เราคือคนที่ไม่ถูกเลือก เราไม่ดีตรงไหน คนนั้นดีกว่าอย่างไร ทำไมการมาก่อนและสายสัมพันธ์ที่มีต่อกันไม่ช่วยอะไรเลย

 

ต่อให้เราสามารถบอกกับตัวเองได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ความผิดของเรา หรือไม่ใช่ความผิดของใคร (ถ้ามันเป็นอย่างนั้นนะคะ) แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกด้อยค่าจากการเป็นคนที่ไม่ถูกเลือกได้อย่างง่ายดายอยู่ดี

 

 

4. อภัยได้มั้ยกับการถูกนอกใจ

 

แต่ก่อนที่จะไปถึงกระบวนการถูกทิ้งหรือเป็นฝ่ายทิ้งอีกคน สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นคือการมีใครอีกคนเข้ามาเป็นตัวแปรในความสัมพันธ์ค่ะ

บุคคลที่สามนั้นอาจจะก้าวเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ หรือเข้ามาด้วยความตั้งใจของคนกลางที่คิดจับปลาหลายมือ อาจเป็นการก้าวเข้ามาแบบชั่วคราว หรืออาจจะก้าวแบบเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปเลยก็ได้

 

คุณจะตอบสนองอย่างไรคะ ถ้าจับได้ว่าคนรักของคุณมีใครอีกคนหนึ่งซ่อนไว้

 

ผู้ตอบแบบสำรวจ 224 คน ของเราให้น้ำหนักไปที่ “การรอฟังเหตุผลของคนนอกใจ” ค่ะ

 

 

 

 

ไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็ต้องการที่จะทราบก่อนว่าที่มาที่ไปของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคืออะไร

 

แน่นอนว่าการถูกนอกใจนั้นเป็นสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ เป็นเหตุให้ความเชื่อและอุดมคติที่เรายึดถือเกี่ยวกับการครองคู่ถูกทำลาย เป็นสิ่งที่ละเมิดให้ตัวเรารู้สึกไม่เป็นธรรม สั่นคลอนความรู้สึกมั่นคง นำมาซึ่งอารมณ์ทางลบหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นโกรธ ผิดหวัง เสียใจ หดหู่ คับข้องใจ

 

บุคคลต้องเผชิญกับการชั่งน้ำหนักระหว่าง “สิ่งลบ ๆ ทั้งหมดข้างต้น” กับ “สิ่งดี ๆ ที่เคยมีมาและอาจจะมีต่อไปในอนาคต” ด้วยความยากลำบาก ซึ่งถ้ามันไม่อาจตัดสินได้โดยง่าย เหตุผลที่อีกฝ่ายมีให้จะมาช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับฝั่งใดฝั่งหนึ่งค่ะ อาจช่วยให้ให้อภัยง่ายขึ้น5 หรืออาจช่วยให้ตัดใจไม่ต้องเสียดายง่ายขึ้น

 

แต่ละคนมีความคาดหวังในความรักแตกต่างกัน ให้ความสำคัญกับองค์ประกอบต่างๆ ไม่เหมือนกัน มีขอบเขตการยอมรับและความยืดหยุ่นในขอบเขตนั้นๆ ไม่เท่ากัน6 จึงยากที่จะบอกว่าเหตุผลแบบไหนที่จะช่วยดึงรั้งความสัมพันธ์ไว้ได้ และมีโอกาสเท่าไหร่ที่จะมอบให้สำหรับการแก้ตัว

 

แม้การเลิกราและการถูกหักหลังล้วนเป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อคุณตัดสินใจเลือกที่จะคบหากับใครสักคน แต่หากคุณทั้งคู่ช่วยกันบ่มเพาะสายสัมพันธ์ด้วยความตั้งใจ ไม่ละเลยการสื่อสาร และคอยประคับประคองความสัมพันธ์เมื่อเกิดปัญหา เมื่อมีจุดใดเสียหายก็ซ่อมแซม ใส่ใจ ปรับตัวเข้าหากัน เปลี่ยนวิธีคิดจาก “Me” ให้เป็น “We” ความสัมพันธ์นั้นย่อมนั้นมาซึ่งความสุข …ไม่ว่าจะออกไปในเฉดสีใด ก็เป็นเฉดสีที่มีคุณค่ามีความหมายต่อชีวิตของเรา

 

 

Share this content