



“เรากำลังใช้ชีวิตในสังคมแบบที่เราปรารถนาอยู่หรือเปล่า?” หากยังไม่ใช่ “แล้วสังคมที่เราใฝ่หานั้นเป็นเช่นไร?”
เราต้องการสังคมที่ทรัพยากรสาธารณะถูกใช้เพื่อประโยชน์ของทุกคน สังคมที่ระบบเศรษฐกิจเปิดโอกาสและกระจายความมั่งคั่งอย่างเป็นธรรม สังคมที่ผู้นำยึดมั่นในหลักการและทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน สังคมที่ขับเคลื่อนด้วยความเสมอภาค การเคารพในสิทธิเสรีภาพ และการยอมรับความหลากหลายของมนุษย์ สังคมที่ความยุติธรรมทางกฎหมายเป็นจริงสำหรับทุกคน สังคมที่คุณภาพชีวิตที่ดี อากาศที่สะอาดและสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน นี่คือสังคมที่เราจินตนาการถึงหรือไม่? หรือแท้จริงแล้ว สังคมในฝันของเรามีหน้าตาเป็นเช่นไร? หากได้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเช่นนั้น เราจะรู้สึกอย่างไร? และสังคมในจินตนาการของเราห่างไกลจากความเป็นจริงเพียงใด?
เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับความผุพังของโครงสร้าง ค่านิยม และวิถีชีวิตในสังคม เราตระหนักว่าสังคมที่เราอาศัยอยู่ไม่สามารถตอบโจทย์วิถีชีวิตที่พึงปรารถนาได้อีกต่อไป การจินตนาการถึงโลกใหม่ที่นำไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าทำให้โลกเดิมไม่อาจเป็นที่ยอมรับในแบบเดิมอีกต่อไป ยิ่งโลกที่เราฝันแตกต่างจากโลกแห่งความเป็นจริงมากเท่าใด ความคับข้องใจก็ยิ่งเท่าทวี ความปรารถนาที่จะได้สัมผัสโลกใหม่ที่ใฝ่ฝันยิ่งเร่งเร้าในใจ ผลักดันนำไปสู่การร่ำร้อง การเรียกร้องและการต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง เพื่อความยุติธรรมทางสังคม (social justice)
ในกระบวนการแห่งการต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงมักเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย อาทิ การต่อต้านจากกลุ่มที่มีอำนาจ การใช้ความรุนแรงและการปราบปราม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเลือกปฏิบัติ การละเมิดสิทธิมนุษยชน การเพิกเฉยของสังคม และการขาดทรัพยากรสนับสนุน สภาวะยื้อยุดในการเปลี่ยนผ่านมักยืดเยื้อยาวนาน เต็มไปด้วยการช่วงชิง พลัดกันเพลี่ยงพล้ำ และมักจบลงด้วยภาวะที่สิ่งต่าง ๆ ยังคงเดิม การพ่ายแพ้ที่ปรากฏให้เราเห็นครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่ชัยชนะยังเป็นเพียงภาพเลือนราง กัดกร่อนความหวังในการสร้างวิถีใหม่ ความอ่อนล้าและสิ้นหวังค่อย ๆ แทรกซึม จนความเชื่อในอนาคตที่เคยวาดหวังเริ่มสั่นคลอน
ความสิ้นหวังปิดกั้นจินตนาการไม่ให้มองเห็นความเป็นไปได้ของโลกที่ดีกว่า ขณะที่การยอมจำนนยิ่งตอกย้ำโครงสร้างเดิมให้แข็งแกร่งขึ้น และผลักไสโลกใหม่ให้เลือนราง ในสถานการณ์เช่นนี้ “เราจะยืนหยัดต่อไปได้อย่างไร?”
บนเส้นทางสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยังมาไม่ถึง โดยที่เราไม่อาจรู้แน่ชัดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด หรือแม้แต่ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ “Radical Hope” หรือ “ความหวังอันแรงกล้า” ซึ่งมิใช่เป็นพียงความหวังที่ผลิบานท่ามกลางแสงสว่างและความเป็นไปได้ หากแต่เป็นความหวังที่ยังคงลุกโชนแม้ในความมืดมิดอันน่าสิ้นหวัง จึงไม่ได้เป็นแค่ทางเลือก แต่คือทางรอดที่เป็นพลังนำทางให้เราไม่ยอมจำนนต่อความสิ้นหวัง หล่อเลี้ยงให้เรายืนหยัด ลงมือทำ และสร้างหนทางไปสู่โลกที่เราปรารถนาต่อไป
ความหวังอันแรงกล้าเกิดจากความปรารถนาอย่างลึกซึ้งถึงโลกที่แตกต่างจากปัจจุบัน และเกิดจากการมองเห็นถึงศักยภาพของสังคมและชีวิตที่ดีกว่า แม้ในท่ามกลางข้อจำกัดในปัจจุบัน ความหวังอันแรงกล้าเป็นพลังขับเคลื่อนที่สนับสนุนให้เราสร้างความหมายใหม่เกี่ยวกับวิถีที่สังคมควรจะเป็น มันทำให้สังคมก้าวข้ามการแก้ปัญหาชั่วคราวและมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ความหวังอันแรงกล้าเป็นแรงผลักดันทำให้เรามีความกล้าหาญ พร้อมเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากและความท้าทายที่คาดไม่ถึง เพื่อมุ่งสู่สิ่งที่เชื่อว่ามีคุณค่าและดีงาม อีกทั้งยังเป็นพลังในการเยียวยาช่วยให้ทั้งตนเองและสังคมฟื้นตัวได้ แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด
ดังที่กล่าวมา การพยายามสร้างชีวิตและสังคมที่ควรค่าแก่การมีชีวิตอยู่เต็มไปด้วยความท้าทายอย่างยิ่ง ทั้งจากปัจจัยภายนอก เช่น การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง และปัจจัยภายใน เช่น ความสิ้นหวัง การยืนหยัดเพื่ออนาคตที่ดีกว่าจึงต้องอาศัยความกล้าหาญทางศีลธรรม (moral courage) ซึ่งหมายถึงความสามารถในการรักษาความเชื่อมั่นในความหวัง แม้จะไม่มีหลักประกันว่าผลลัพธ์จะเป็นไปตามที่คาดหวัง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ความกล้าหาญทางศีลธรรมเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ความหวังอันแรงกล้ายังคงดำรงอยู่ได้ แม้ในสภาวะที่ไม่แน่นอน เมื่อความหวังอันแรงกล้ายังคงอยู่ การจินตนาการถึงความเป็นไปได้ใหม่ ๆ และการแสวงหาหนทางที่แตกต่างจากเดิมก็สามารถเกิดขึ้นได้ ในระดับบุคคล ความกล้าหาญทางศีลธรรมช่วยให้บุคคลไม่ยอมแพ้ต่อความสิ้นหวัง และยืนหยัดเพื่อการเปลี่ยนแปลงแม้ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด ในระดับสังคม ความกล้าหาญทางศีลธรรมทำให้กลุ่มคนสามารถยึดมั่นในหลักการร่วมกัน และสร้างวิถีชีวิตใหม่ท่ามกลางแรงบีบคั้นจากภายนอก
ความหวังอันแรงกล้า ไม่ใช่ความหวังในอุดมคติที่ล่องลอยอยู่เหนือความจริง แต่เป็นความหวังที่ยึดโยงกับความจริงที่เกิดขึ้นในอดีต ความทรงจำร่วมกันของสังคม (collective memory) เกี่ยวกับเรื่องราวแห่งการต่อสู้ดิ้นรนและชัยชนะของผู้คนในยุคที่ผ่านมา ทำให้สามารถเห็นความเป็นไปได้ในสิ่งที่เคยดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ เมื่อความหวังของเราเริ่มอ่อนแรง การย้อนกลับไปศึกษาทำความเข้าใจ และเรียนรู้จากเรื่องราวของผู้คนในประวัติศาสตร์ทั้งไกลและใกล้ ทั้งจากความล้มเหลวและชัยชนะ เป็นหนทางสำคัญในการธำรงและฟื้นคืนความหวังอันแรงกล้า การตระหนักว่าสังคมเคยเปลี่ยนแปลงได้มาก่อน และสามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกครั้ง จุดประกายเราให้กล้าจินตนาการถึงอนาคตที่แตกต่างจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน กระตุ้นให้เรามองไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และยึดมั่นในความเชื่อมั่นที่ว่าสังคมที่ดีกว่าเป็นไปได้ด้วยความอดทน ความมุ่งมั่น ความกล้าหาญ และพลังของการร่วมมือ
เมื่อใดที่เราเผชิญหน้ากับความหวาดหวั่นและความสิ้นหวัง คำถามที่เหมาะสมในช่วงเวลาเช่นนี้จึงไม่ใช่คำถามที่ว่า “การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปได้หรือไม่” แต่เป็นคำถามที่ว่า “เราจะยืนหยัดเพื่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร”
DeBlaere, C., Singh, A. A., Wilcox, M. M., Cokley, K. O., Delgado-Romero, E. A., Scalise, D. A., & Shawahin, L. (2019). Social justice in counseling psychology: Then, now, and looking forward. The Counseling Psychologist, 47(6), 938-962.
Lear, J. (2006). Radical hope: Ethics in the face of cultural devastation. Harvard University Press.
Mosley, D. V., Neville, H. A., Chavez‐Dueñas, N. Y., Adames, H. Y., Lewis, J. A., & French, B. H. (2020). Radical hope in revolting times: Proposing a culturally relevant psychological framework. Social and personality psychology compass, 14(1), e12512.
บทความโดย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชมพูนุท ศรีจันทร์นิล
อาจารย์แขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา
ความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรม (EF) เป็นกระบวนการทางปัญญาซึ่งทำงานส่งผลให้เกิดพฤติกรรมเป้าหมายที่มีความเหมาะสมต่อสถานการณ์ ถูกควบคุมโดยการทำงานของ Prefrontal Cortex ประกอบด้วย การยับยั้งพฤติกรรม ความจำเพื่อใช้งาน และการยืดหยุ่นทางความคิด
Executive Function (EF) ได้รับการนิยามขึ้นครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 1970 โดย Karl H. Pribram ศัลยแพทย์ประสาทชาวออสเตรีย ซึ่งกล่าวถึงการทำงานของ Prefrontal Cortex จากกรณีศึกษาที่มีผู้ประสบอุบัติเหตุทำให้สมองส่วนดังกล่าวได้รับการเสียหาย ส่งผลต่อการรับรู้ทางปัญญาที่เปลี่ยนไป เช่น พฤติกรรมที่ขาดการยับยั้ง การตอบสนองต่อสิ่งเร้า การตัดสินใจที่ผิดพลาด การไม่ยืดหยุ่นทางความคิด Prefrontal Cortex ทำหน้าที่เปรียบเสมือนผู้บริหารสั่งการควบคุมการจราจรทางอากาศ ทำงานควบคุม สั่งการ เชื่อมโยงกับสมองส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะในบริเวณที่อยู่ใต้ชั้น Cortex หรือที่เรียกว่า Subcortical structures เช่น การทำงานร่วมกับ Basal ganglia และ Amygdala ซึ่งมีความสำคัญต่อรูปแบบการเรียนรู้และการตอบสนองอารมณ์และความเครียด
EF เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของ Prefrontal Cortex ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายของสมองที่เจริญเติบโต ข้อมูลทางประสาทวิทยาแสดงให้เห็นว่าพัฒนาการของ Prefrontal Cortex จะเริ่มพัฒนาในช่วงทารกต่อเนื่องไปจนกระทั่งถึงช่วงผู้ใหญ่วัยเริ่ม
ความจำเพื่อใช้งาน เป็นองค์ประกอบที่ทารกแสดงให้เห็นในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต ตามต่อมาด้วยการยับยั้งพฤติกรรมอย่างง่ายที่จะแสดงให้เห็นในช่วง 6 เดือนหลัง จากนั้นทั้งสององค์ประกอบนี้จะเริ่มทำงานร่วมกันในช่วงอายุ 2 ปี และการยืดหยุ่นทางความคิดจะเป็นองค์ประกอบสุดท้ายที่ถูกพัฒนา เนื่องจากมีความซับซ้อน จำเป็นต้องอาศัยการยับยั้งพฤติกรรมและความจำเพื่อใช้งานที่ถูกพัฒนามาก่อนหน้าเข้ามาทำงานร่วมกัน และจะพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงอายุ 3-5 ปี หรือวัยอนุบาล ช่วงอนุบาลจึงถือเป็นช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมของบุคคล
ความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรม (EF) สัมพันธ์กับพัฒนาการทางปัญญา สังคม และอารมณ์ของเด็ก ส่งผลต่อการควบคุมพฤติกรรมของตนเองและทักษะที่สัมพันธ์กับการเรียนรู้ เนื่องจากวัยอนุบาลเป็นช่วงวัยแห่งการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเล็ก ๆ ในบ้าน ไปสู่สังคมที่ใหญ่ขึ้น คือโรงเรียน การเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมในเด็กวัยอนุบาลถือเป็นกระบวนการเตรียมตัวพร้อมให้เด็กเข้าสู่ระบบโรงเรียน และวางรากฐานการเรียนรู้เพื่อความประสบความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้น
แม้ว่าความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมของบุคคลสามารถเกิดขึ้นได้จากกระบวนการเรียนรู้ตามธรรมชาติ แต่หากเกิดความล่าช้าของพัฒนาการในส่วนนี้อาจนำไปสู่ปัญหาอื่นได้ด้วย เด็กที่มีความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมดี เมื่อเริ่มเข้าโรงเรียนจะสามารถควบคุมพฤติกรรมของตนเอง และมีพฤติกรรมเชิงบวก เช่น สามารถนั่งอยู่ในที่นั่งตนเอง สามารถควบคุมความสนใจของตนเองต่อการเรียน สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายได้สำเร็จ พฤติกรรมเหล่านี้จะพาพวกเขาไปสู่การได้รับผลตอบกลับต่อพฤติกรรมในทางบวก เช่น ได้รับการชื่นชมจากคุณครูและเพื่อน ๆ ส่งผลให้พวกเขาเรียนรู้ที่จะเพิ่มพฤติกรรมเชิงบวกมากขึ้น และโรงเรียนจะกลายเป็นพื้นที่แห่งความสุขและความสำเร็จสำหรับพวกเขา ในทางกลับกัน เด็กที่เริ่มเข้าโรงเรียนด้วยความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมระดับต่ำ มักจะแสดงพฤติกรรมที่ไม่น่าชื่นชม เช่น เดินลุกออกจากที่นั่ง มีปัญหาด้านการจดจ่อใส่ใจในการเรียน มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นต่อเพื่อนหรือคุณครู ทำให้พวกเขาได้รับผลตอบกลับพฤติกรรมในทางลบ เช่น การถูกลงโทษ หรือมีผลการเรียนที่ไม่ดี ซึ่งส่งผลให้พวกเขามีการรับรู้ต่อตนเองและโรงเรียนในเชิงลบ และอาจนำพาพวกเขาไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ที่ใหญ่ขึ้น
ความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรม (EF) สัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ในการเรียน ทักษะทางสังคมและการปรับตัว รวมถึงพฤติกรรมความก้าวร้าวรุนแรง และการใช้สารเสพติด เด็กที่มีความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมดี เมื่อเป็นวัยรุ่นมักจะไม่เกิดปัญหาการหยุดเรียนหรือหลุดออกจากระบบโรงเรียน ไม่ค่อยมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่หรือใช้สารเสพติด และมีแนวโน้มที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพร่างกายจิตใจที่ดี
การเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมตั้งแต่วัยอนุบาลน่าจะมีประสิทธิภาพดีกว่าเมื่อเทียบกับการเสริมสร้างในเด็กโต เนื่องจากความยืดหยุ่นจองระบบประสาทและสมอง รวมถึงการวางรูปแบบพฤติกรรมที่พร้อมจะปรับเปลี่ยนได้ง่าย ส่งผลให้เด็กในวัยอนุบาลสามารถเรียนรู้และปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าวัยที่สูงขึ้น
การจัดกิจกรรมเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมของเด็กวัยอนุบาลสามารถทำได้ 2 รูปแบบ คือ
เป็นการจัดกิจกรรมเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมแยกองค์ประกอบ อันได้แก่ (1) การยับยั้งพฤติกรรม (2) ความจำเพื่อใช้งาน (3) การยืดหยุ่นทางความคิด แต่ละองค์ประกอบโดยตรง
คือมีการใช้กิจกรรมอื่น ๆ เช่น กิจกรรมทางร่างกาย กิจกรรมการฝึกสติ เข้ามาเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมผ่านกิจกรรม
การจัดกิจกรรมเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมในเด็กวัยอนุบาลสามารถทำได้ทั้งในลักษณะการจัดการเรียนรู้เป็นกลุ่ม และรายบุคคล การจัดการเรียนรู้เป็นกลุ่มจะเน้นให้เด็กเกิดความสนุกและมีแรงจูงใจในการเรียนรู้ อีกทั้งมีความคุ้มค่าด้านงบประมาณ เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในโรงเรียน ในขณะที่การจัดการเรียนรู้เป็นรายบุคคลจะเน้นแก้ไขปัญหาทางพัฒนาการของเด็กแต่ละคน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงจุดและส่งผลต่อพัฒนาการที่ดีกว่า
การเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมของเด็กวัยอนุบาล ในช่วงแรกจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนโดยผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครู ในการตั้งกฎเกณฑ์และออกแบบโครงสร้างการเรียนรู้ในกิจกรรมต่าง ๆ ให้เด็กปฏิบัติตาม เมื่อเด็กเริ่มพร้อม ผู้ใหญ่จึงค่อย ๆ ลดการสนับสนุนเหล่านั้นเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้มีอิสระในการออกแบบการเรียนรู้และตั้งกฎเกณฑ์ของตนเองในการจัดการพฤติกรรมได้มากขึ้น และลดการพึ่งพากฎเกณฑ์ที่ผู้ใหญ่สร้างขึ้น
การเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมของเด็กวัยอนุบาลสามารถทำได้ผ่านกิจกรรมในหลายรูปแบบ เช่น การเล่นบทบาทสมมติ การแต่งและเล่านิทาน การเล่นเกมปริศนา การเล่นบัตรคำ ทำอาหาร รวมถึงกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกาย โดยการจัดกิจกรรมให้ประสบความสำเร็จมิควรมุ่งเน้นแต่การเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว แต่กิจกรรมนั้นควรช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ และสังคมไปด้วยพร้อมกัน
อริสรา แก้วม่วง. (2566). ผลของโปรแกรมการเต้น ซี แอนด์ ซี ต่อการเสริมสร้างความสามารถทางปัญญาในการจัดการพฤติกรรมของเด็กวัยอนุบาล [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. คลังปัญญาจุฬาฯ. https://doi.org/10.58837/CHULA.THE.2023.141
คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมโครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยา หัวข้อ “อคติและความหลากหลายในองค์กร” ในวันเสาร์ที่ 26 เมษายน 2568 เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ ในรูปแบบออนไลน์ทางโปรแกรม Zoom โดย อาจารย์ ดร.เจนนิเฟอร์ ชวโนวานิช รองคณบดี หัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์จิตวิทยาตะวันตก-ตะวันออก ประธานแขนงวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากร
ในยุคที่โลกธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว องค์กรที่ประสบความสำเร็จมักเป็นองค์กรที่สามารถบริหารจัดการความหลากหลายของบุคลากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความหลากหลาย (Diversity) ในองค์กรครอบคลุมหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเพศ วัย เชื้อชาติ วัฒนธรรม ความเชื่อ ความสามารถ ทัศนคติ หรือรูปแบบการทำงาน ซึ่งความแตกต่างเหล่านี้สามารถเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างนวัตกรรม เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ และช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวเข้ากับตลาดที่หลากหลายได้ดียิ่งขึ้นอย่างไรก็ตาม ความหลากหลายในองค์กรยังมาพร้อมกับความท้าทายที่สำคัญ โดยเฉพาะ “อคติ” (Bias) ที่เกิดขึ้นทั้งในระดับบุคคลและระดับองค์กร อคติอาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวสามารถส่งผลกระทบต่อกระบวนการ การตัดสินใจ การสรรหาบุคลากร การพิจารณาความสามารถของพนักงาน ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลภายในองค์กร อคติที่ไม่ได้รับการจัดการอาจนำไปสู่ความไม่เท่าเทียม ความขัดแย้ง และบรรยากาศการทำงานที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนา
เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง เคารพความแตกต่าง และส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับอคติและแนวทางในการลดอคติที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงาน การอบรมเรื่อง “อคติและความหลากหลายในองค์กร” จึงถูกจัดขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อให้บุคลากรทุกระดับตระหนักถึงรูปแบบของอคติที่อาจพบเจอในที่ทำงาน เรียนรู้แนวทางในการบริหารจัดการอคติอย่างเหมาะสม รวมถึงสร้างความเข้าใจถึงประโยชน์ของความหลากหลายที่มีต่อการพัฒนาองค์กร
โครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยา หัวข้อ อคติและความหลากหลายในองค์กร เป็นการอบรมที่เน้นให้ คนทำงานในระดับปฏิบัติการทั่วไป เพื่อให้ได้เรียนรู้วิธีการจัดการกับความหลากหลายและอคติที่เผชิญในชีวิตการทำงานประจำวัน เช่น การเข้าใจความต่าง อคติที่เกิดขึ้น แนวทางการพูดคุย และการสร้างความร่วมมือกับผู้อื่น
ผู้เข้าร่วมสามารถรับชมการอบรมย้อนหลังได้ 15 วัน
และท่านที่เข้ารับการอบรมจะได้รับเกียรติบัตรแบบ e-certificate ทางอีเมล
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณวาทินี โทร. 02-218-1307 E-mail: wathinee.s@chula.ac.th
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา พร้อมด้วยคุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคณะจิตวิทยา ร่วมแสดงความยินดีกับ ศาสตราจารย์ ดร.ขำคม พรประสิทธิ์ คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เนื่องในโอกาสครบรอบ 42 ปีแห่งการสถาปนาคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ อาคารศิลปกรรมศาสตร์ 1 คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ
คณะจิตวิทยา ขอแสดงความยินดีกับ นายธีรพัชร์ จรรยาสัณห์ นิสิต JIPP ชั้นปีที่ 2 ที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาฟุตบอล/ฟุตซอลกับทีม CU Inter Football Club และชนะเลิศ 2 รายการ พร้อมตำแหน่ง Top scorer ในการแข่งขัน
![]() |
![]() |
![]() |
ภาพจาก IG: cuinterfootballclub
หลักสูตร Joint International Psychology Program (JIPP) ร่วมกับ ศูนย์สุขภาวะทางจิต (Center for Psychological Wellness) คณะจิตวิทยา จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาวะทางจิตให้แก่นิสิต JIPP ภายใต้โครงการ “การบริการวิชาการจัดส่งนิสิตเข้าศึกษาที่ The University of Queensland ปีที่ 6” ประกอบด้วย 3 กิจกรรม ดังนี้
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
คณะจิตวิทยา ขอขอบพระคุณ ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้มาพบปะและบรรยายเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้แก่คณาจารย์ บุคลากร และนิสิตคณะจิตวิทยา ได้รับฟัง พร้อมตอบข้อซักถาม ณ PSYCHE SPACE เมื่อวันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 13.00-14.30 น.
“หลับใหลหลง เวียนวกวน หนทางตื่น เฝ้าฝันฝืน กลืนอัตตา พาลทุกข์ถม
ดุจจันทรา จมราตรี ทุกข์ระทม วาดหวังพ้น ตรมธารา พบปัญญา”
จากบทความตอนที่ 1 ที่ผู้เขียนได้ศึกษาเกี่ยวกับความหมายและองค์ประกอบของอุเบกขาในบริบทของพระพุทธศาสนาและในบริบทอื่น ๆ ไปแล้วนั้น บทความนี้ จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการประเมินสภาวะอุเบกขาด้วยตนเอง ผ่านการสำรวจความรู้สึกของเราที่มีต่อสิ่งกระตุ้นเร้าต่าง ๆ ที่เข้ามาในแต่ละวัน โดยใช้มาตรวัด Equanimity Scale 16 (ES-16) ที่สร้างและพัฒนาโดย Rogers et al. (2021) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยดุษฎีนิพนธ์ แขนงการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ ในหัวข้อ “ผลของการเจริญสติและพรหมวิหารภาวนาต่อสภาวะอุเบกขาและสุขภาวะทางจิต”
Equanimity หรืออุเบกขาในภาษาไทย หมายถึง “ความสามารถ” ของจิตใจในการดำรงรักษาความสงบ ไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก และปล่อยวางจากความยึดติดในผลลัพธ์ต่าง ๆ (Kabat-Zinn, 2003; Bodhi, 2005; Desbordes et al., 2015) เป็นสภาวะทางจิต (state of mind) สามารถพัฒนาได้ และมีผลช่วยให้บุคคลเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ในชีวิตด้วยความสงบสุขุม โดยอุเบกขานั้น ถูกกล่าวถึงในสื่อจิตวิทยาเชิงบวก และจิตวิทยากระแสหลักในช่วงไม่นานมานี้ เห็นได้จากบทความต่าง ๆ ที่ปรากฏในเว็บไซต์ Psychology Today (Bernhard, 2019) และ positivepsychology.com (Schaffner, 2023) เป็นต้น ซึ่งกล่าวถึงอุเบกขาว่าเป็นความสุขจากการละวางทางอารมณ์ อันพัฒนาได้จากการปฏิบัติสมาธิเจริญสติ (Mindfulness Meditation) จนเกิดสภาวะที่จิตเกิดความเป็นกลาง (Even-mind state of mind) หรือกล่าวได้ว่าเป็นปัญญาที่เกิดจากการเจริญสติ (Mindfulness Insight) นั่นเอง (Eberth et al., 2019)
งานวิจัยเชิงทดลองในปัจจุบันให้ผลยืนยันว่า อุเบกขา (Equanimity) มีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมอารมณ์ (Emotional Regulation) ช่วยลดการยึดติดทางอารมณ์และอคติที่เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก รวมถึงทักษะการปรับโครงสร้างทางความคิด (Cognitive Restructuring) ซึ่งการมีอุเบกขาจะช่วยให้บุคคลสามารถมองสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยมุมมองที่ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น (Juneau et al., 2020; Weber, 2020) ทั้งนี้ มีการค้นพบเพิ่มเติมว่า อุเบกขาเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการปล่อยวางตัวตนจากประสบการณ์ ซึ่งนำไปสู่การลดทอนการตอบสนองทางอารมณ์อย่างมีประสิทธิภาพ (Cayoun & Shires, 2020) กล่าวคือ อุเบกขาเกิดขึ้นเมื่อจิตใจอยู่ในภาวะที่สมดุล ด้วยการผสานระหว่างสติและปัญญา จนนำไปสู่ความสามารถในการละวางตัวตนจากเรื่องราวและเหตุการณ์ที่มากระทบ และปรากฏความสงบที่เป็นกลางในจิตใจ
ในการพัฒนาเครื่องมือประเมินสภาวะอุเบกขา เพื่อนำไปใช้เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดความก้าวหน้าของสภาวะขณะปฏิบัติสมาธิ จากโปรแกรมการพัฒนาอุเบกขาที่อยู่ระหว่างพัฒนา ผู้วิจัยเลือกใช้มาตร Equanimity Scale – 16 ของ Rogers et al. (2021)
เนื่องจากผู้วิจัย อาจารย์ที่ปรึกษา และพระอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ลงความเห็นว่าองค์ประกอบของมาตรวัดฉบับนี้มีความสอดคล้องกับนิยามของอุเบกขาในแนวพุทธ องค์ประกอบด้านการยอมรับต่อประสบการณ์ทางอารมณ์ (Experiential Acceptance) นั้น หมายถึง การที่บุคคลยอมรับประสบการณ์ภายในทั้งหมดของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ความรู้สึก หรือการรับรู้สัมผัสทางกาย โดยไม่พยายามต่อต้านหรือยึดติดกับประสบการณ์เหล่านั้น ประกอบด้วยคำถาม 8 ข้อ ตัวอย่าง เช่น “เมื่อฉันมีความคิดหรือจินตนาการที่ทำให้รู้สึกทุกข์ใจ ฉันสามารถรับรู้โดยไม่ตอบสนองมันได้” และ “ฉันพยายามบ่มเพาะความสงบภายในใจ แม้ว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาหรืออยู่เหนือการควบคุม” องค์ประกอบด้านการไม่ตอบสนองทางอารมณ์ต่อสิ่งเร้า (Non-Reactivity) หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการไม่ปรุงแต่งตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายใน เช่น ความคิดหรือความรู้สึก ซึ่งช่วยป้องกันการยึดติดหรือการปฏิเสธต่อประสบการณ์เหล่านั้น หรือความสามารถในการยับยั้งการตอบสนองที่เคยเรียนรู้มาก่อนต่อประสบการณ์เหล่านี้ ประกอบด้วยคำถาม 8 ข้อ เช่น “เมื่อฉันเกิดความรู้สึกอะไรบางอย่าง ฉันจะตอบสนองมันในทันที” (ข้อคำถามทางลบ) และ “ฉันค้นพบว่าตนเองจำเป็นต้องตอบสนองต่อทุกความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน” (ข้อคำถามทางลบ)
ขั้นตอนการพัฒนา เมื่อผู้วิจัยได้รับอนุญาตจากเจ้าของมาตรวัดแล้ว จึงแปลข้อคำถามเป็นภาษาไทยด้วยวิธีการ Forward translation ตรวจสอบความถูกต้องสอดคล้องของการแปลภาษา และความสอดคล้องของข้อกระทงที่แปลกับนิยามขององค์ประกอบมาตรวัดอุเบกขา จนได้ข้อคำถามที่คณะผู้วิจัยลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่ามีความเหมาะสมเชิงเนื้อหา (content validity) ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของมาตรวัดโดยใช้ผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งสิ้น 647 ท่าน พบว่าองค์ประกอบของมาตรวัดสอดคล้องกับการศึกษาต้นฉบับ และมีค่าสหสัมพันธ์ทางบวกกับมาตรวัดพรหมวิหาร 4 ฉบับภาษาไทย (ครรชิต แสนอุบล และคณะ (2563) พัฒนาจากงานวิจัยของ Kraus & Sears (2008))
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา พบค่าเฉลี่ยการประเมินสภาวะอุเบกขาด้วยตนเองของกลุ่มตัวอย่างอยู่ที่ 55.9 (SD = 9.34, ช่วงคะแนนการตอบ 30 – 80 คะแนน) ซึ่งสะท้อนว่ากลุ่มตัวอย่างคนไทยมองว่าตนเองมีความสามารถในการปล่อยวางในระดับปานกลางถึงสูง อย่างไรก็ตาม ค่าคะแนนนี้ไม่ได้แตกต่างมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับคะแนนจากมาตรวัดต้นฉบับที่เก็บข้อมูลในประเทศออสเตรเลีย (Mean = 58.76, SD = 10.36, Range = 23 – 78) ที่ผู้คนนับถือศาสนาได้หลากหลาย
อย่างไรก็ตาม ในด้านประสิทธิภาพของการประเมิน คณะผู้วิจัยพบว่าแบบสอบถามประเมินตนเองนี้ครอบคลุมเพียงส่วนผลของสภาวะซึ่งเป็นเป้าหมายของการพัฒนาจิต แต่ยังขาดการประเมินที่กระบวนการพัฒนาอุเบกขา ซึ่งไม่เพียงเป็นเป้าหมายปลายทางของการพัฒนาจิตใจ แต่ยังเป็นกระบวนการสำคัญที่ต้องได้รับการบ่มเพาะอย่างต่อเนื่องผ่านการเจริญสติควบคู่กับพรหมวิหารภาวนา เพื่อให้เกิดความสมดุลของจิตใจและเข้าถึงอุเบกขาอย่างแท้จริง
อุเบกขา จิตลอยลม เหนือฝั่งสุข พ้นตรมทุกข์ จุดปัญญา ดุจจันทร์ฉาย
สุกสว่าง อร่ามฟ้า รัตติคลาย ทุกข์มลาย อัมพรแจ้ง แสงแห่งธรรม
อุเบกขา ดุจอุบล ไร้ตมติด ดุจปรุงจิต สติรั้ง ไร้ค่าหมาย
ดุจสัญญา กาล-นาน ไร้ค่าคลาย ดุจรู้หมาย วางสมญา สงบงาม
อุเบกขา แท้มิเที่ยง เพียรความว่าง ว่างจากกาม ฉวยยึดหา ตัณหาใหม่
ญาณปัญญา สมดุลกลาง สว่างใจ เห็นแจ้งนัย เหตุปัจจัย สุขในธรรม
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านที่มีความสนใจในจิตวิทยาแนวพุทธ และยินดีเป็นอย่างยิ่งหากได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับท่านผู้อ่านที่มีความสนใจในหัวข้อคล้ายคลึงกัน
หนังสือและบทความวิชาการ
1. Bodhi, B. (2005). In the Buddha’s words: An anthology of discourses from the Pali canon. Wisdom Publications.
2. Cayoun, B. A., & Shires, A. G. (2020). Co-emergence reinforcement and its relevance to interoceptive desensitization in mindfulness and therapies aiming at transdiagnostic efficacy. Frontiers in Psychology, 11, 545945. https://doi.org/10.3389/fpsyg.2020.545945
3. Desbordes, G., Negi, L. T., Pace, T. W., Wallace, B. A., Raison, C. L., & Schwartz, E. L. (2015). Effects of mindful-attention and compassion meditation training on amygdala response to emotional stimuli in an ordinary, non-meditative state. Frontiers in Human Neuroscience, 9, 376. https://doi.org/10.3389/fnhum.2015.00376
4. Eberth, J., Sedlmeier, P., Schwarz, M., & Schönert-Reichl, K. (2019). The effects of mindfulness meditation: A meta-analysis. Mindfulness, 10(6), 1075-1089. https://doi.org/10.1007/s12671-018-0854-2
5. Juneau, C., Karakasidou, V., Tsokanos, A., & Moneta, G. B. (2020). The role of equanimity in resilience and mental well-being. Journal of Positive Psychology, 15(3), 280-294. https://doi.org/10.1080/17439760.2020.1716051
6. Kabat-Zinn, J. (2003). Mindfulness-based interventions in context: Past, present, and future. Clinical Psychology: Science and Practice, 10(2), 144–156. https://doi.org/10.1093/clipsy.bpg016
7. Kraus, S., & Sears, S. R. (2008). Measuring the immeasurables: Development and initial validation of the Self-Other Four Immeasurables (SOFI) scale based on Buddhist teachings on loving kindness, compassion, joy, and equanimity. Social Indicators Research, 92(2), 169–181. https://doi.org/10.1007/s11205-008-9300-1
8. Rogers, H. T., Shires, A. G., & Cayoun, B. A. (2021). Development and validation of the Equanimity Scale-16. Mindfulness, 12(1),107–120. https://doi.org/10.1007/s12671-020-01503-6
9. Weber, J. (2020). The role of equanimity in facilitating positive mental states and mental well-being. Dissertation, the University of Bolton. https://ub-ir.bolton.ac.uk/esploro/outputs/doctoral/The-role-of-equanimity-in-facilitating/999482108841
บทความออนไลน์
10. Bernhard, T. (2019, November 7). Equanimity: The key to happiness. Psychology Today. https://www.psychologytoday.com/intl/blog/turning-straw-gold/201911/equanimity-the-key-happiness
11. Schaffner, A. K. (2023, June 8). Equanimity: The art of cultivating inner peace and balance. Positive Psychology. https://positivepsychology.com/equanimity/
วิทยานิพนธ์และบทความภาษาไทย
12. ครรชิต แสนอุบล, สิทธิพร ครามานนท์, และ อสมา คัมภิรานนท์. (2563). การศึกษาและการเสริมสร้างคุณลักษณะพรหมวิหาร 4 ของนิสิตหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (กศ.บ.) 5 ปี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 15(2). https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre/article/view/13243
บทความโดย
อุษณีย์ ศิริอุยานนท์ นิสิตดุษฎีบัณฑิต แขนงการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อีเมล์ 6471007238@student.chula.ac.th, Neptune.siri@gmail.com
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา พร้อมด้วยคุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคณะจิตวิทยา ร่วมแสดงความยินดีกับ ดร.ศุภิชัย ตั้งใจตรง กรรมการผู้อำนวยการ พร้อมด้วยรองศาสตราจารย์ ดร.ดำรงค์ วัฒนา รองกรรมการผู้อำนวยการ เนื่องในโอกาสครบรอบ 39 ปีแห่งการสถาปนาศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ห้องประชุม 201 ชั้น 2 อาคารวิจัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จุฬาฯ