News & Events

ปรับความคาดหวังของพ่อแม่ : คาดหวังอย่างไรให้ลูกได้ดี

 

ความคาดหวังของพ่อแม่ (parental expectation) เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่ได้รับการศึกษาในงานวิจัยทางจิตวิทยา จากงานวิจัยพบว่าความคาดหวังของพ่อแม่ก็เหมือนดาบสองคม พ่อแม่ที่ีตั้งความคาดหวังได้อย่างเหมาะสมตามความเป็นจริง มีความสัมพันธ์กับการประสบความสำเร็จในการเรียน และชีวิตของลูก แต่ความคาดหวังที่เกินความเป็นจริงกลับส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกได้

 

วันนี้ชวนผู้อ่านทุกท่านมาปรับ tune ความคาดหวังให้พอดี เพื่อพัฒนาการที่ดี และความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวกันค่ะ

 

 

ความคาดหวังของพ่อแม่ คืออะไร


 

ความคาดหวังของพ่อแม่ คือการตั้งเป้าหมายล่วงหน้าถึงชีวิตในด้านต่าง ๆ ของลูกในอนาคต

 

งานวิจัยพบว่าความคาดหวังของพ่อแม่จะกลายเป็นแรงผลักดันให้ลูกอยากที่จะเก่งขึ้น ทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ตามที่พ่อแม่คาดหวัง เมื่อเขาทำได้ตามที่พ่อแม่คาดหวังก็เกิดเป็นความมั่นใจในตัวเองขึ้นมา เกิดเป็นวงจรที่ดี

 

แต่การที่พ่อแม่คาดหวังในสิ่งที่ยากเกินจะทำได้ แรงผลักดันนั้นก็จะกลายเป็นแรงกดดันที่ทับถมอยู่ในใจลูก ว่าเขาทำไม่ได้ตามที่พ่อแม่คาดหวัง ไม่เคยได้รับคำชม น้อยครั้งนักที่พ่อแม่จะรู้สึกพึงพอใจในตัวเขา ซึ่งความกดดันที่กดทับอยู่นี้อาจนำไปสู่การไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง วิตกกังวลเมื่อต้องทำอะไรด้วยตัวเอง ความรู้สึกไม่มั่นใจในตนเองและความวิตกกังวลเหล่านี้ ก็ยิ่งส่งผลเสียต่อการเรียนรู้ของเขา และความสัมพันธ์ในครอบครัว เกิดเป็นวงจรที่ไม่ดี

 

มาถึงตรงนี้ผู้อ่านอาจจะมีคำถามว่า แล้วการไม่คาดหวัง หรือคาดหวังแค่น้อย ๆ จะดีกว่าไหม คำตอบคือ น่าจะดีกว่าความกดดัน และสุขภาพจิตที่เสียของลูกเมื่อพ่อแม่คาดหวังมากเกินไป แต่การที่พ่อแม่คาดหวังน้อยเกินกว่าความสามารถของเด็กก็เหมือนกับการเสียโอกาสที่ลูกจะได้พัฒนาตัวเองอย่างเต็มศักยภาพ หรือพูดง่าย ๆ ว่า “เสียดายของ”

 

ดังนั้นแล้วความคาดหวังของพ่อแม่ในเรื่องที่เหมาะสม ในระดับที่ถูกที่ควรจึงเป็นเรื่องสำคัญ ขอเปรียบว่าความคาดหวังของพ่อแม่เหมือนกับคาถาวิเศษที่มีส่วนสรรค์สร้างให้เด็กคนหนึ่งประสบความสำเร็จได้

 

 

ภาพจาก Canva

 

 

 

หลักการตั้งความคาดหวัง 5 ข้อ


 

1. ตั้งความคาดหวังโดยคำนึงถึงพัฒนาการที่ดี

 

เมื่อพ่อแม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการแต่ละช่วงวัยก็จะสามารถตั้งความคาดหวัง และเตรียมความพร้อมตามพัฒนาการของลูกได้ บางอย่างที่ลูกยังทำไม่ได้ อาจเพราะยังไม่ถึงวัย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรอให้ถึงวัยก่อนแล้วค่อยส่งเสริม

 

เช่น เด็กเรียนรู้ภาษาจากสภาพแวดล้อม ถึงแม้ลูกอายุน้อยกว่า 1 ขวบจะยังพูดไม่ได้ และดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจภาษา แต่การที่พ่อแม่คาดหวังให้ลูกพูดคุยสื่อสารได้จะนำไปสู่ความพยายามในการกระตุ้นภาษาของลูก โดยการการคุยกับลูกบ่อย ๆ โต้ตอบกับลูกเมื่อลูกส่งเสียงอ้อแอ้ อ่านนิทานให้ลูกฟังตั้งแต่แบเบาะ และเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น พ่อแม่ที่เข้าใจพัฒนาการจะทราบว่า เพื่อนกลายมาเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตลูก นอกจากความคาดหวังเรื่องการเรียน พ่อแม่ควรคาดหวังให้ลูกคบเพื่อนที่ดี เป็นที่รักของเพื่อน ๆ ได้ทำกิจกรรมและใช้เวลาร่วมกับเพื่อนตามความเหมาะสม ซึ่งพ่อแม่ที่มีความคาดหวังเช่นนี้ จะมีความใส่ใจเกี่ยวกับเพื่อนของลูก สนับสนุนให้ลูกและเพื่อนของลูกได้มีกิจกรรมที่เหมาะสมทำร่วมกัน ซึ่งจะส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการทางสังคมที่ดี พัฒนาพฤติกรรมที่เหมาะสมตามวัย รวมถึงช่วยให้วัยรุ่นพัฒนาอัตลักษณ์ของตัวเองที่ดีตามขั้นพัฒนาการด้วย

 

2. ตั้งความคาดหวังย่อย ๆ เอาไว้

 

ปูทางไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ความคาดหวังย่อยนี้ให้เป็นสิ่งที่เด็กยังทำไม่ได้ แต่เกือบจะทำได้ และอย่าลืมชื่นชม สนับสนุน และให้กำลังใจในความพยายามและความสำเร็จของลูกในแต่ละขั้นย่อย ๆ เน้นใส่ใจไปที่ความพยายาม ความกัดฟันสู้ และการเรียนรู้ของลูก คาดหวังให้ลูกได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และทำได้ดีขึ้นในทุกวัน ไม่ควรเปรียบเทียบกับใคร แต่ให้เปรียบเทียบกับตัวลูกในเมื่อวาน

 

3. เผื่อความคาดหวังว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ

 

ไม่มีชีวิตใครจะโรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดเวลา การจะทำสิ่งใดให้สำเร็จเป็นเรื่องยาก และต้องอาศัยหลายปัจจัยในชีวิต ในหลายครั้งก็รวมถึงโชคด้วย ความผิดพลาดล้มเหลวล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ เมื่อผิดพลาดก็เรียนรู้ปรับปรุง พยายามใหม่ในครั้งต่อไป อย่างไรก็ตามไม่ควรฝืนชมเชยส่ง ๆ ถ้าหากยังทำได้ไม่ดี ไม่เต็มที่ แต่ควรสนับสนุนการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป

 

4. ปรับเปลี่ยนความคาดหวังให้สอดคล้องกับลูกและปัจจุบัน

 

ความคาดหวังควรมีการปรับเปลี่ยนในขณะที่ลูกเติบโต ผ่านการแลกเปลี่ยนและรับฟังเพื่อให้เขาได้กำหนดความคาดหวังของตัวเอง โดยมีพ่อแม่เป็นกองเชียร์ และสนับสนุน นอกจากนี้โลกเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่เคยดีและเหมาะสมในอดีต อาจไม่ได้ดีเท่าที่เคยในสถานการณ์ปัจจุบัน เมื่อพ่อแม่เปิดใจ เปิดรับแนวทางชีวิตใหม่ ๆ คุณพ่อคุณแม่จะสามารถสนับสนุนชีวิตของลูกได้อย่างเท่าทันโลก และเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันของลูก และครอบครัว

 

5. มีความคาดหวังที่ดีอยู่เสมอ

 

การคาดหวังสิ่งที่ดีแก่ตัวลูกอยู่เสมอเปรียบเสมือนพรวิเศษ เมื่อพ่อแม่มีความคาดหวังที่ดี ปรับเปลี่ยนความคาดหวังให้เข้ากับตัวลูก และไม่หมดหวังในตัวลูก ลูกก็จะไม่หมดหวังในตัวเองเช่นกัน เมื่อไม่หมดหวัง การเรียนรู้พัฒนาตัวเองก็ยังดำเนินต่อไปได้

 

 

การตั้งความคาดหวังที่ความเหมาะสมจะช่วยในการวางแผนชีวิตที่ดีตลอดทุกขั้นพัฒนาการ และการปรับเปลี่ยนความคาดหวังให้เหมาะสมกับสถานการณ์จะช่วยให้สามารถวางใจได้ถูกที่ พัฒนาได้ถูกทาง ก้าวผ่านความผิดหวัง และปรับตัวได้ทันท่วงที

 

 

References:

 

Liu, M., Zhang, T., Tang, N., Zhou, F., & Tian, Y. (2022). The Effect of Educational Expectations on Children’s Cognition and Depression. International journal of environmental research and public health, 19(21), 14070. https://doi.org/10.3390/ijerph192114070

 

Curran, T., & Hill, A. P. (2022). Young people’s perceptions of their parents’ expectations and criticism are increasing over time: Implications for perfectionism. Psychological bulletin, 148(1-2), 107–128. https://doi.org/10.1037/bul0000347

 

 


 

 

 

บทความโดย

อาจารย์ ดร.พิมพ์จุฑา นิมมาภิรัตน์

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ

 

โครงการ Enrichment Program for CU ปี 2567

 

โครงการ Enrichment Program for CU

 

โดยความร่วมมือระหว่างสำนักบริหารทรัพยากรมนุษย์และศูนย์จิตวิทยาพัฒนาการและความสัมพันธ์ระหว่างวัย จุฬาฯ (Life Di) ขอเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมและดูแลสุขภาพใจ ให้แก่บุคลากรชาวจุฬา โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมายที่จะทำให้ทุกคนมาสนุกสนาน ผ่อนคลาย และได้ความรู้ในการดูแลใจทั้งตนเองและคนรอบข้างอย่างอัดแน่น กับกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่

 

 

1) การประเมินสุขภาวะทางใจ


 

เพื่อประเมินภาวะสุขภาพจิตของตนเอง และยังได้ความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพจิตจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสุขภาพใจอีกด้วย มีทั้งหมด 2 หัวข้อ ได้แก่

– ประเมินความสุข (CU Happiness)

– ประเมินภาวะสุขภาพจิต (DASS Assessment)

รับสมัครหัวข้อละ 150 คน (สายวิชาการ 75 คน / สายปฏิบัติการ 75 คน) เท่านั้น

 

 

 

2) กิจกรรม Workshop และการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพใจ 3 หมวด


 

หมวดที่ 1 “Upgrade สุขภาพใจ เติมไฟให้ใจฟู”

️เหมาะสำหรับบุคลากรทุกคน️

  • ความสุขสร้างได้ด้วย Positive Thinking
  • Mental Health 1st Aids และการดูแลสุขภาพใจ
  • การจัดการเวลาด้วยจิตวิทยา
  • กลวิธีการเผชิญปัญหาบนพื้นฐานของการมีสติ (Mindfulness-based coping)
  • Me & My Melody สัมผัสเสียงดนตรีในตัวคุณเพื่อปลดปล่อยและพักผ่อนใจ

 

หมวดที่ 2 “จุฬาฯ ฮีลใจ โสดอย่างไรให้ใจเป็นสุข”

️เหมาะสำหรับบุคลากรที่โสดหรือคนที่กำลังมองหาความสัมพันธ์ดี ๆ️

  • จิตวิทยาการสร้างความสัมพันธ์
  • อยู่เป็นโสดอย่างเป็นสุข
  • จิตวิทยาการเลือกคู่

 

หมวดที่ 3 “เลี้ยงลูกสมวัย สร้างสายใยครอบครัว”

️เหมาะสำหรับบุคลากรที่มีครอบครัว️

  • การเลี้ยงลูกเชิงบวกเพื่อดูแลสุขภาพใจของตนเอง บุตรหลาน และครอบครัว (Positive Parenting)
  • ลูกน้อยสมวัย พ่อแม่มีสุข (เด็กอายุ 1-3 ปี)
  • EF for Parent & Child (เด็กอายุ 4-6 ปี)

 

 

หมายเหตุ:

  1. บุคลากร 1 ท่านสามารถเข้าร่วมกิจกรรมในทั้ง 3 หมวดได้เพียง 2 กิจกรรมเท่านั้น
  2. ลงทะเบียนก่อนมีสิทธิ์ก่อน โดยจะค่อย ๆ ทยอยเปิดรับสมัคร
  3. ติดตามรายละเอียดกิจกรรม การรับสมัครต่าง ๆ ได้ที่ เพจ Facebook : HR CHULA หรือแอปพลิเคชัน CUNEX STAFF

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ น.ส.ธมลวรรณ สร้อยนาค (น้ำทิพย์)

โทร. 02-2180148

E-Mail: thamonwan.s@chula.ac.th

ปฏิทินโครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยา ปี 2567

 

โครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยา สำหรับบุคคลทั่วไป

โดยงานบริการวิชาการกลาง คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2567

 

 

โครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยา หัวข้อ เวลาจัดอบรม Application timeline สถานะ
แนวทางการบริการจัดการความหลากหลายในองค์กร
สำหรับผู้ดูแลและจัดการทรัพยากรบุคคล
(Diversity Management in Organizations for Human Resources)
23 มีนาคม 2567 กุมภาพันธ์ 2567 อบรมเสร็จสิ้นแล้ว
ทฤษฎีการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัด
(Theories of Counseling and Psychotherapy)
8 มิถุนายน –
3 สิงหาคม 2567
เม.ย. 67 ปิดรับสมัครแล้ว
พื้นฐานทางจิตวิทยาพัฒนาการ ประจำปี 2567 17 – 28 มิถุนายน 2567 เม.ย. – มิ.ย. 67 ปิดรับสมัครแล้ว
สถิติเบื้องต้นสำหรับการวิจัยทางจิตวิทยา ประจำปี 2567 1 – 15 กรกฎาคม 2567 เม.ย. – มิ.ย. 67 ปิดรับสมัครแล้ว
พื้นฐานจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ ประจำปี 2567 24 มิถุนายน –
25 กรกฎาคม 2567
พ.ค. – มิ.ย. 67 ปิดรับสมัครแล้ว
เทคนิคพื้นฐานการเจรจาต่อรอง รุ่นที่ 3 27 กรกฎาคม 2567 พ.ค. – มิ.ย. 67 เปิดรับสมัครอยู่
จิตวิทยาสำหรับประชาชนทั่วไป ประจำปี 2567 พฤศจิกายน –
ธันวาคม 2567
ตุลาคม 2567 ยังไม่เปิดรับสมัคร

 

 

 

การเพิ่มคุณค่าให้ตนเอง – Self-enhancement

 

 

 

 

การเพิ่มคุณค่าให้ตนเอง หมายถึง การมีมุมมองต่อตนเองในทางบวกเกินจริง ซึ่งเป็นการรับรู้ว่าตนสามารถควบคุมชีวิตตนเองได้มากเกินจริง และมองตนในแง่ดีเกินกว่าความเป็นจริง

 

การเพิ่มคุณค่าให้ตนองเป็นส่วนหนึ่งของภาพลวงตาทางบวก (positive illusion) คือกระบวนการในการหลอกตนเอง ทั้งยังเป็นกระบวนการป้องกันตนเอง บุคคลที่มีการเพิ่มคุณค่าให้ตนเองจะมองว่าตนเองดีกว่าค่าเฉลี่ยของบุคคลทั่วไป และมีการปกป้องตนเองเพื่อรักษาความมั่นคงในจิตใจตนเอง ซึ่งเป็นหนึ่งในแรงจูงใจที่จะเพิ่มคุณค่าให้ตนเอง

 

Fiske (2004) กล่าวว่า ในความเป็นจริงบุคคลมักมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับตนเอง ส่งผลให้ไม่สามารถดึงเอาแรงผลักดันพื้นฐานของบุคคลออกมาได้ เช่น ไม่กล้าทำในสิ่งที่ท้าทาย แต่ถ้าเมื่อใดบุคคลรู้สึกดีต่อตนเอง เขาจะมีความรู้สึกในทางบวกต่อตนเองเพียงพอที่จะก่อให้เกิดความต้องการและพยายามสร้างความรู้สึกที่ดี และมีอารมณ์ร่วมกับสมาชิกในกลุ่มได้ การที่บุคคลมีความต้องการที่จะมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง การเพิ่มคุณค่าให้ตนเองจึงเป็นการรวมเอาทั้งการนับถือตนเอง และการพัฒนาตนเองเอาไว้ด้วยกัน Baumeister และ Leary (1995) เสนอว่าบุคคลมีการเพิ่มคุณค่าให้ตนเองในแนวทางที่ต่างกันตามแต่วัฒนธรรม (Individualism vs Collectivism) เช่น บางคนจะรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อรู้สึกพิเศษกับตนเอง บางคนจะภาคภูมิใจเมื่อเกิดความรู้สึกว่าตนเองเป็นสมาชิกที่ดีของกลุ่ม หรือมุ่งมั่นตั้งใจในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของกลุ่ม การนับถือตนเองจะช่วยให้บุคคลมองเห็นว่าตนเองได้ทำในสิ่งที่ดีเทียบเท่าสมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่ม

 

ในด้านสุขภาวะ การเพิ่มคุณค่าให้ตนเองยังสามารถเป็นตัวป้องกันความเครียดทางด้านร่างกายได้ และยังทำให้มีสภาพจิตที่ดี มีงานวิจัยพบว่าการเพิ่มคุณค่าให้ตนเองสามารถลดภาวะซึมเศร้าและลดความเครียดได้อีกด้วย โดยพบว่าผู้ที่เพิ่มคุณค่าให้ตนเองสูงจะมีระดับการเต้นของหัวใจน้อยกว่า และร่างกายจะหลั่งสารคอติซอล (cortisol) ซึ่งเป็นสารความเครียดน้อยกว่าผู้ที่เพิ่มคุณค่าให้ตนเองต่ำ อย่างไรก็ดี ผู้ที่เพิ่มคุณค่าให้ตนเองมากเกินไปจะถูกคนอื่นมองในด้านลบ เช่น อวดดี เป็นปฏิปักษ์ อาจทำให้เกิดความอึดอัดหรือไม่น่าพึงปรารถนาในการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ทำให้ผู้ที่เพิ่มคุณค่าให้ตนเองเสี่ยงจะเจอการปฏิบัติแบบเหินห่าง เช่น หลีกหนี เป็นที่ซุบซิบนินทา ได้รับการตอบสนองทางลบ เป็นที่ไม่ไว้วางใจ และถูกขับออกจากกลุ่ม ผลเสียในระยะยาวก็รุนแรงได้เช่นกัน ผู้ที่ชอบเพิ่มคุณค่าให้ตนเองบ่อย ๆ ในอนาคตจะมีระดับการเห็นคุณค่าในตนเองและสุขภาวะทางจิตต่ำ และอาจไม่พึงพอใจและละทิ้งการงานที่ตนประกอบอาชีพ

 

 

 

ประเภทของการเพิ่มคุณค่าให้ตนเอง

 

การเพิ่มคุณค่าให้ตนเองแบ่งเป็นหลายประเภทขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของงานวิจัยแต่ละงาน เช่น

 

1. การเพิ่มคุณค่าให้ตนเองแบบง่าย (Simple self-enhancement) เป็นกระบวนการที่บุคคลพยายามให้ผู้อื่นรับรู้เกี่ยวกับตนเองในทางบวก

 

2. การเพิ่มคุณค่าให้ตนเองแบบป้องกัน (Compensatory หรือ Defensive self-enhancement) เป็นแรงจูงใจที่มีแรงขับมากที่สุด แบ่งเป็น

2.1 ความน่าพึงปรารถนาของสังคม (socially desirable)

2.2 การเพิ่มคุณค่าให้ตนเองแบบอวดตน (grandiose self-enhancement) ทั้งนี้ แบบแรกไม่สัมพันธ์กับความหลงตนเอง ส่วนแบบที่สองสัมพันธ์กับความหลงตนเอง

3. การเพิ่มคุณค่าให้ตนเองแบบเปรียบเทียบ (Comparative self-enhancement) แบ่งเป็น

3.1 กลยุทธ์แบบเปรียบเทียบ คือ การเปรียบเทียบตัวตนที่น่าพึงปรารถนาของตนเองกับผู้อื่น นั่นคืออคติเข้าข้างตนเอง (self-serving bias) คือการรับความดีความชอบเมื่อผลลัพธ์ของงานประสบความสำเร็จ และโทษสถานการณ์หรือผู้อื่นเมื่อผลลัพธ์ไม่ประสบความสำเร็จ

3.2 กลยุทธ์แบบไม่เปรียบเทียบ คือ การไม่เปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น แต่ประเมินที่ความสำคัญของงาน คือ การประเมินว่างานมีความสำคัญเมื่อประสบความสำเร็จ และประเมินว่างานไม่สำคัญเมื่อล้มเหลว

 

 

มาตรวัดการเพิ่มคุณค่าให้ตนเอง

 

มาตรวัดการเพิ่มคุณค่าให้ตนเองมีด้วยกันหลายมาตร แล้วแต่แนวคิดและขอบเขตในการศึกษา ตัวอย่างเช่น

1. มาตร Contingencies of Self-worth Scale ของ Crocker และคณะ (2003) เป็นมาตรที่วัดจากผลที่ตามมาของการประเมินคุณค่าในตนเอง แบ่งเป็นองค์ประกอบด้านคุณค่าของตนเองภายนอก 4 องค์ประกอบ และคุณค่าของตนเองภายใน 3 องค์ประกอบ รวมเป็น 7 องค์ประกอบ ดังนี้

  • (1) การยอมรับจากผู้อื่น (Other’s approval) คือการเห็นคุณค่าในตนเองอยู่บนพื้นฐานของการได้รับการเห็นด้วยและการยอมรับจากผู้อื่น โดยบุคคลเชื่อว่าผู้อื่นมองตนในแง่บวกมากกว่าที่ผู้อื่นมองจริง ๆ
  • (2) รูปลักษณ์ (Appearance) คือการให้ความสำคัญกับคุณค่าของตนเองในด้านรูปลักษณ์ภายนอก (เป็นตัวทำนายที่หนักแน่นที่สุดในการทำนายการเห็นคุณค่าในตนอง)
  • (3) การแข่งขัน (Competition) คือการเห็นคุณค่าในตนเองซึ่งมาจากการที่ตนเหนือกว่าผู้อื่น ทำได้ดีกว่าในการแข่งขัน และถือว่าตนดีกว่าผู้อื่น
  • (4) ความสามารถ (Competencies/Performance) คือการเห็นคุณค่าในตนเองที่มาจากการประเมินความสามารถในการแข่งขัน หรือจากความสามารถทั่ว ๆ ไปของตนเอง
  • (5) การสนับสนุนของครอบครัว (Family support) คือการเห็นคุณค่าในตนเองจากความรู้สึกเป็นที่รักของตนใกล้ชิด รู้สึกว่าตนมีคุณค่าที่ผู้อื่นจะดูแลเอาในใจและสนับสนุน มีความผูกพันแบบมั่นคง โดยได้รับการเห็นด้วย ยอมรับ หรือความรักจากสมาชิกในครอบครัว
  • (6) ศีลธรรม (Virtue) คือการเห็นคุณค่าในตนเองจากการมีคุณธรรม จริยธรรม หรือมีศีลธรรม ยึดติดกับกฎเกณฑ์ทางจริยธรรม ทำให้ตัดสินว่าตนเองเป็นคนดี มีคุณธรรม และมีคุณค่า
  • (7) ความรักของพระเจ้า (God’s love) คือการเห็นคุณค่าในตนเองจากความศรัทธาทางศาสนา เชื่อในเรื่องพระเจ้าหรือพระผู้มหิทธานุภาพ เชื่อว่าตนเป็นที่รัก มีคุณค่าและพิเศษไม่เหมือนใครในสายตาของพระเจ้า

 

2. มาตร Self-enhancement and Self-protection Strategy ของ Hepper และคณะ (2010) มาตรนี้แบ่งการเพิ่มคณค่าให้ตนเองออกเป็น 4 ด้าน โดยมองว่าคนเรามีแรงจูงใจที่จะเพิ่มคุณค่าให้ตนเอง (รักษาหรือเพิ่มมุมมองต่อตนเองในทางบวก) และปกป้องตนเอง (ขัดขวางหรือกำจัดมุมมองต่อตนเองในทางลบ) ดังนี้

  • (1) การน้อมรับคำนิยม (positivity embracement) คือการหาผลตอบรับทางบวกจากผู้อื่น และแนวโน้มที่บุคคลจะขอความคิดเห็นเชิงบวกจากคนอื่น ๆ เช่น เลือกที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่มีแนวโน้มที่จะให้ข้อเสนอแนะหรือความคิดเห็นเชิงบวก จะระมัดระวังการนำเสนอตนเองให้อยู่ในภาพลักษณ์ที่ดีที่สุด
  • (2) การตีความเข้าข้างตนเอง (favorable construal) คือการสร้างความรู้ความเข้าใจทางบวกให้ตนเองเกี่ยวกับสิ่งทั่วไป เช่น การเชื่อว่าตนเองมีค่าเฉลี่ยของบุคลิกภาพสูงกว่าบุคคลทั่วไป มีอนาคตที่ดีกว่าบุคคลทั่วไป และจะแปลความหมายของข้อเสนอแนะที่มีความกำกวมเป็นไปในทางบวกต่อตนเอง
  • (3) การสะท้อนกลับของการยืนยันตนเอง (Self-affirming reflections) คือการตอบสนองต่อภัยคุกคามตนเองด้วยการยืนยันตนเอง หรือเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น ซึ่งเป็นการรักษาความมั่นคงในตนเอง เช่น นึกถึงคุณค่าของตนเองเมื่อประสบปัญหา เปรียบเทียบตนเองในอดีตกับปัจจุบัน หรือสร้างความคิดที่ตรงข้ามหรือเลวร้ายกว่าความเป็นจริงเพื่อเป็นทางเลือกในการคงไว้ซึ่งความมั่นคงของจิตใจตนเอง
  • (4) การปกป้องตนเอง (defensiveness) คือแนวโน้มที่จะทำให้ตนเองเสียเปรียบและตอบสนองต่อความคิดเห็นทางลบในรูปแบบที่หลากหลาย ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมทางด้านพฤติกรรมและการโน้มเอียงทางความคิด เพื่อรับผลตอบรับเชิงบวกและเพิกเฉยต่อผลตอบรับเชิงลบ โดยจะระบุความล้มเหลวเกิดจากปัจจัยภายนอก จะประเมินสถานการณ์ หลังจากนั้นจะพยายามหาข้อแก้ตัวหรือพยายามลดความรู้สึกของความล้มเหลวนั้น

 


 

 

ข้อมูลจาก

 

“บทบาทของการเพิ่มคุณค่าให้ตนเองในการส่งผ่านความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างความหลงตนเองและวัตถุนิยม” โดย วันวิสาข์ เอกกรณ์พงษ์ (2551) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/58569

 

“ความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพแบบหลงตนเอง ความเหงา การเพิ่มคุณค่าให้ตนเอง และพฤติกรรมการกดถูกใจในเฟชบุ๊ก” โดย ชัญญมน ดิษกุลนรภัทร, วศิมน พรพัฒนกูล และ วัชชาภรณ์ ไร่ทิม (2554) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/47865

 

“อิทธิพลของความนิยมความสมบูรณ์แบบต่อวัตถุนิยมโดยมีการนำเสนอตนเองด้วยความสมบูรณ์แบบและการเพิ่มคุณค่าให้ตนเองเป็นตัวแปรส่งผ่าน” โดย มิฬา แซ่ซ่ำ (2558) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/50894

 

ภาพประกอบ https://pixabay.com

คณะจิตวิทยาขอแสดงความยินดีกับ อาจารย์ ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน ที่ได้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์

 

คณะจิตวิทยาขอแสดงความยินดีกับ อาจารย์ ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน ประธานแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้รับอนุมัติจากสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ครั้งที่ 886 วันที่ 25 เมษายน พศ. 2567 ให้ดำรงตำแหน่ง “ผู้ช่วยศาสตราจารย์” ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2566

 

โครงการอบรมความรู้พื้นฐานจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ ประจำปี 2566

 

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วม “โครงการอบรมความรู้พื้นฐานจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ ประจำปี 2566” ซึ่งจะจัดอบรมผ่านโปรแกรม ZOOM ระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน – 24 กรกฎาคม 2566 (วันจันทร์ และวันอังคาร เวลา 18.00 – 21.00 น.) รวมใช้ระยะเวลาในการฝึกอบรมและสอบวัดผลทั้งสิ้น 27 ชั่วโมง โดย คณาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากร

 

 

 

โครงการอบรมมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ด้านจิตวิทยาให้แก่บุคคลภายนอก และเตรียมความพร้อมทางจิตวิทยาให้แก่ผู้สมัครที่จะเข้ามาศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา แขนงวิชาอุตสาหกรรมและองค์การ ได้มีพื้นฐานทางจิตวิทยาที่จำเป็น เพื่อเตรียมความพร้อมและนำไปต่อยอดในการศึกษารายวิชาที่กำหนดในหลักสูตรในระดับที่สูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

เนื้อหาการอบรมจะเป็นการปูพื้นฐานให้แก่ผู้ที่สนใจศึกษาศาสตร์ทางด้านจิตวิทยาในบริบทการทำงานและบุคคลที่ทำงานเกี่ยวข้องกับทรัพยากรมนุษย์ ได้เรียนรู้และเข้าใจกับคําว่าจิตวิทยา I/O และสร้างความเข้าใจในประเด็นด้านอุตสาหกรรม เช่น กระบวกการคัดเลือก วัดและประเมิน และประเด็นด้านองค์การ เช่น ความพึงพอใจและผลการปฏิบัติงานของบุคลากร แรงจูงใจในการทำงาน เป็นต้น รวมทั้งประเด็นด้านการเรียนรู้และสุขภาวะทางจิตใจของบุคลากรในที่ทำงาน รวมถึงการคาดหวังว่าผู้ที่ผ่านการอบรมไปนั้น จะสามารถนําศาสตร์ทางจิตวิทยาไปประยุกต์พัฒนาบุคลากรและแก้ปัญหาในที่ทำงานเพื่อให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

 

 

 

หลังจากเสร็จสิ้นการอบรมแต่ละครั้ง ทางผู้จัดโครงการจะอัพโหลดไฟล์วิดีโอการอบรมให้ผู้เข้าร่วมโครงการ สามารถเข้ามาดูย้อนหลังได้จนถึงวันที่ 7 สิงหาคม 2566

 

ผู้ที่สอบผ่านเกณฑ์การวัดผลของโครงการจะได้รับวุฒิบัตรเพื่อใช้ประกอบการสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา แขนงวิชาแขนงวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ คณะจิตวิทยา ได้

 

 

เกณฑ์การวัดผล

  • ต้องเข้ารับการฝึกอบรมไม่น้อยกว่า 7 ครั้ง (21 ชั่วโมง)
  • สอบวัดผลข้อเขียน โดยผ่านเกณฑ์การประเมิน 70% ขึ้นไป

 

อัตราค่าลงทะเบียน

 

 

บุคลากรของรัฐและหน่วยงานราชการที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาแล้ว

มีสิทธิเบิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ

 

 

 

เงื่อนไขการลงทะเบียน

 

  1. กรุณาชำระค่าลงทะเบียนเข้าร่วมงานก่อนกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียน
  2. การส่งแบบฟอร์มลงทะเบียน จะต้องแนบหลักฐานการชำระเงินค่าลงทะเบียนมาด้วย จึงจะถือว่าการลงทะเบียนสมบูรณ์
  3. เมื่อผู้จัดงานได้ตรวจสอบการลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว จะแจ้งยืนยันการลงทะเบียนให้ทราบภายใน 3 วัน
  4. บุคลากรของรัฐและหน่วยงานราชการที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาแล้ว สามารถเข้าร่วมการอบรมได้โดยไม่ถือเป็นวันลา และมีสิทธิเบิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ
  5. ใบเสร็จรับเงินจะจัดส่งให้ทางไปรษณีย์
  6. เมื่อชำระเงินค่าลงทะเบียนแล้ว จะไม่สามารถขอรับเงินคืนได้ทุกกรณี

 

 

—————————————– ปิดรับสมัครแล้ว ———————————————-

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณวาทินี สนลอย

โทร. 02-218-1307 หรือ email: Wathinee.s@chula.ac.th

Boosting Research Impact Series Vol. 2: Neural sensitivity and facilitation in visual word processing of typical and dyslexic readers

Boosting Research Impact Series Vol. 2 is back!

 

Join us for an intriguing onsite research sharing session by Dr. Urs Maurer from The Chinese University of Hong Kong, Department of Psychology!

 

Dr. Maurer, the new Vice-President of the Association for Reading and Writing in Asia (ARWA), will delve into the fascinating world of visual word processing and dyslexia, offering valuable insights into how our brains process written words.

 

Title: Neural sensitivity and facilitation in visual word processing of typical and dyslexic readers

 

  • Date: Monday, May 13, 2024
  • Time: 10:00 AM – 11:00 AM
  • Venue: Room 614, 6th floor, Borommaratchachonnanisisattaphat Building, Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

Don’t miss out on this enlightening discussion

 


 

 

A big thank you to Dr. Maurer for sharing his research insights and expertise with us. We also want to express our gratitude to everyone who attended and contributed to the engaging discussion.

 

 

Inferential information in multivariate statistics: An integrated structural equation modeling approach

 

Principal component analysis (PCA; Hotelling, 1933), canonical correlation analysis (CCA; Hotelling, 1935, 1936), and redundancy analysis (RA; Van Den Wollenberg, 1977) are the basic analytic techniques developed in multivariate statistics. In applications of these methods, researchers often rely on certain cutoff values to make the decisions on determining the dimensionality or identifying the important variables to understand or interpret the components. However, the selection of cutoff value is often arbitrary and does not have any statistical or theoretical basis. Consequently, most decisions made are subjective and do not consider the sampling fluctuations. Additionally, various substantive hypotheses cannot be tested easily unless one uses the time-consuming and computationally intensive approaches such as bootstrap or permutation tests. Therefore, PCA, CCA, and RA are typically applied in exploratory data analysis, rather than confirmatory data analysis. The fundamental reason of this phenomenon is the lack of inferential information (e.g., standard errors and confidence intervals) in these methods.

 

Structural equation modeling (SEM), on the other hand, is a framework that provides comprehensive results including not only point estimates but also inferential information. Besides, various estimators have been developed in SEM to accommodate both normal and non-normal data. Moreover, the SEM framework allows flexible extensions (e.g., multi-group model) to satisfy a variety of needs to test hypotheses.

 

To aid the applications of multivariate statistics, one natural idea is to integrate the multivariate methods into the SEM framework. Such an integration will produce the inferential information in multivariate statistics and thus promote the applications of the relevant method. In fact, some work has been done in terms of the integration of PCA into the SEM framework. Specifically, Dolan (1996) first developed the regular model to analyze the unstandardized variables (or covariance matrices); Gu (2016) proposed the scale-invariant model to analyze the standardized variables (or correlation matrices) and developed the multi-group scale-invariant model that allows the invariance of parameters to be tested; and Ogasawara (2000) gave the standard errors for the rotated PCA estimates. Most recently, Gu and Cheung (2023) showed that inferential information in multivariate principal component regression can be obtained by extending the SEM framework for PCA. In terms of the integration of CCA into the SEM framework, some similar work has been done. Specifically, Gu, Yung, and Cheung (2019) provided the regular model and the scale-invariant model to analyze the unstandardized variables (or covariance matrices) and the standardized variables (or correlation matrices), separately; Gu and Wu (2018) developed the multi-group scale-invariant model to test the invariance of canonical loadings; and Gu, Wu, Yung, and Wilkins (2021) gave the standard errors for the rotated CCA estimates. In terms of the integration of RA into the SEM framework, Gu et al. (2023) developed the scale-invariant model for RA, because RA was originally defined for the standardized variables only.

 

 

Table 1. Existing work and future projects of integrating PCA, CCA, and RA into the SEM framework.

 

PCA
CCA
RA
Regular model
Dolan (1996)
Gu, Yung, & Cheung (2019)
N/A
Scale-invariant model
Gu (2016)
Gu, Yung, & Cheung (2019)
Gu, Yung, Cheung, Joo, & Nimon (2023)
Multi-group model
Gu (2016)
Gu & Wu (2018)
Future project 2
Standard errors for rotated estimates
Ogasawara (2000)
Gu, Wu, Yung, & Wilkins (2021)
Future project 3
Component-based regression model
Gu & Cheung (2023)
Future project 1
Future project 4

 

 

Table 1 provides a summary of the relevant work that has been done for the integration of PCA, CCA, and RA into the SEM framework, and this table also shows the future projects that can be done to complete this ongoing process of integration. The first future project is to extend the SEM framework for CCA to integrate canonical correlation regression (CCR). CCR is one of the commonly used methods in chemometrics (Burnham, Viveros, & MacGregor, 1996), and the integration of CCR into the SEM framework will produce the standard errors of the regression coefficients in CCR. The second future project is to develop the multi-group regular or scale-invariant model for RA so that the invariance of RA parameters can be tested. The third future project is to obtain the standard errors for rotated RA estimates, which can facilitate the interpretation of the rotated redundancy variates. Finally, the fourth future project is to clarify the equivalence and differences between RA and reduced-rank regression (RRR; a closely-related method that achieves the same mathematical goal but was independently developed by other statisticians such as Izenman, 1975; Tso, 1981; Davies and Tso, 1982). Such a clarification will give a better understanding of both RA and RRR and promote their applications in relevant studies.

 

In the next two years, the author is going to work on these four future projects and complete the integration of CCA and RA into the SEM framework.

 

 

References

 

Burnham, A. J., Viveros, R. & MacGregor, J. F. (1996). Frameworks for latent variable multivariate regression. Journal of Chemometrics, 10, 31-45. DOI: 10.1002/(SICI)1099-128X(199601)10:1<31::aid-cem398>3.0.CO;2-1

 

Davies, P. T., & Tso, M. K.-S. (1982). Procedures for reduced-rank regression. Journal of the Royal Statistical Society. Series C (Applied Statistics), 31, 244-255. DOI: 10.2307/2347998

 

Dolan, C. (1996). Principal component analysis using LISREL 8. Structural Equation Modeling, 3, 307-322. DOI: 10.1080/10705519609540049

 

Gu, F. (2016). Analysis of correlation matrices using scale-invariant common principal component models and a hierarchy of relationships between correlation matrices. Structural Equation Modeling, 23, 819-826. DOI: 10.1080/10705511.2016.1207180

 

Gu, F., & Cheung, M. W.-L. (2023). A model-based approach to multivariate principal component regression: Selection of principal components and standard error estimates for unstandardized regression coefficients. British Journal of Mathematical and Statistical Psychology, 76, 605-622. DOI: 10.1111/bmsp.12301

 

Gu, F., & Wu, H. (2018). Simultaneous canonical correlation analysis with invariant canonical loadings. Behaviormetrika, 45, 111-132. DOI: 10.1007/s41237-017-0042-8

 

Gu, F., Wu, H., Yung, Y.-F., & Wilkins, J. L. M. (2021). Standard error estimates for rotated estimates of canonical correlation analysis: An implementation of the infinitesimal jackknife method. Behaviormetrika, 48, 143-168. DOI: 10.1007/s41237-020-00123-7

 

Gu, F., Yung, Y.-F., & Cheung, M. W.-L. (2019). Four covariance structure models for canonical correlation analysis: A COSAN modeling approach. Multivariate Behavioral Research, 54, 192-223. DOI: 10.1080/00273171.2018.1512847

 

Gu, F., Yung, Y.-F., Cheung, M. W.-L., Joo, B.-K., & Nimon, K. (2023). Statistical inference in redundancy analysis: A direct covariance structure modeling approach. Multivariate Behavioral Research, 58, 877-893. DOI: 10.1080/00273171.2022.2141675

 

Hotelling, H. (1933). Analysis of a complex of statistical variables into principal components. Journal of Educational Psychology, 24, 417-441. DOI: 10.1037/h0071325

 

Hotelling, H. (1935). The most predictable criterion. Journal of Educational Psychology, 26, 139-142. DOI: 10.1037/h0058165

 

Hotelling, H. (1936). Relations between two sets of variates. Biometrika, 28, 321-377. DOI: 10.2307/2333955

 

Izenman, A. J. (1975). Reduced-rank regression for the multivariate linear model. Journal of Multivariate Analysis, 5, 248–264. DOI: 10.1016/0047-259X(75)90042-1

 

Ogasawara, H. (2000). Standard errors of the principal component loadings for unstandardized and standardized variables. British Journal of Mathematical and Statistical Psychology, 53, 155-174. DOI: 10.1348/000711000159277

 

Tso, M. K.-S. (1981). Reduced-rank regression and canonical analysis. Journal of the Royal Statistical Society. Series B, 43, 183-189. DOI: 10.1111/j.2517-6161.1981.tb01169.x

 

Van Den Wollenberg, A. (1977). Redundancy analysis: An alternative for canonical correlation analysis. Psychometrika, 42, 207-219. DOI: 10.1007/BF02294050

 

 

 


 

 

Author

Dr. Fei Gu

Lecturer in Quantitative Psychology Area

 

โครงการอบรมความทางรู้ทางจิตวิทยาเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) หัวข้อ “ทฤษฎีการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัด (THEORIES OF COUNSELING AND PSYCHOTHERAPY)” ปี 2567

 

โครงการอบรมความทางรู้ทางจิตวิทยาเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) หัวข้อ

“ทฤษฎีการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัด (THEORIES OF COUNSELING AND PSYCHOTHERAPY)”

 

 

 

‘โครงการอบรมความทางรู้ทางจิตวิทยาเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) หัวข้อ ทฤษฎีการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัด (THEORIES OF COUNSELING AND PSYCHOTHERAPY)’ เป็นโครงการสําหรับการปูพื้นฐานให้แก่ผู้ที่สนใจศึกษาศาสตร์ทางด้านจิตวิทยาการปรึกษา ได้เรียนรู้และเข้าใจในศาสตร์ต่าง ๆ ของจิตวิทยาการปรึกษา และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ การเป็นนักจิตวิทยาการปรึกษา และทฤษฎีหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการปรึกษา รวมถึงการคาดหวังว่าผู้ที่ผ่านการอบรมไปนั้น จะสามารถนําศาสตร์ทางจิตวิทยาการปรึกษาไปประยุกต์ใช้ต่อตนเอง และผู้อื่นให้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีนโยบายผลักดันการเปิดหลักสูตรอบรมระยะสั้น/ชุดรายวิชา ที่มีการรับรองความสามารถ และรองรับการสะสมหน่วยกิตในระบบคลังหน่วยกิต (Credit Bank) ให้กับผู้สนใจเข้าศึกษา และสามารถขอเทียบโอนหน่วยกิตเมื่อเข้ามาศึกษาต่อในหลักสูตรของคณะ ในการนี้คณะจิตวิทยาจึงได้จัดให้มีโครงการอบรมความทางรู้ทางจิตวิทยาเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) หัวข้อ ทฤษฎีการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัด (THEORIES OF COUNSELING AND PSYCHOTHERAPY)’ ขึ้นมาเพื่อนำร่องสำหรับผู้ที่สนใจเข้าศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญญาโท-เอก) แขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา ระหว่างวันที่ 8 มิถุนายน – 3 สิงหาคม 2567 (อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม) ณ ห้อง 613 ชั้น 6 อาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

** โครงการนี้เป็นการเรียนพื้นฐานทฤษฎีทางจิตวิทยาการปรึกษาและจิตบำบัด ไม่มีการฝึกปฏิบัติ ผู้เรียนยังไม่สามารถให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาได้ **

 

 

การอบรมประกอบด้วย

  • บรรยาย
    เปิดสอนแบบชุดรายวิชา (Module) โดยการบรรยายแบ่งเป็น 16 ครั้ง ครั้งละ 3 ชั่วโมง (รวมชั่วโมงการบรรยายทั้งสิ้น 48 ชั่วโมง)
  • สอบวัดผล
    จัดสอบ 1 ครั้ง ระยะเวลา 3 ชั่วโมง

 

 

การประเมินผล

  • การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน คิดเป็นร้อยละ 30
  • สอบวัดผลและรายงาน คิดเป็นร้อยละ 70

โดยประเมินผลแบบ Letter Grade มีเกณฑ์การวัดผล ดังนี้

 

Letter Grade
ช่วงคะแนน
A
85 คะแนนขึ้นไป
B+
80 – 84 คะแนน
B
75 – 79 คะแนน
C+
70 – 74 คะแนน
C
65 – 65 คะแนน
D
60 – 64 คะแนน
F
ต่ำกว่า 60 คะแนน

 

 

หลักเกณฑ์การบันทึกระบบคลังหน่วยกิต / เทียบโอนรายวิชาเมื่อเข้าศึกษา

 

Certificate of Achievement
  1. ผู้เข้าร่วมโครงการต้องเข้าเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 จากทั้งหมด 16 หัวข้อ
  2. ผู้เข้าร่วมโครงการต้องสอบผ่านโดยได้รับการประเมินผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 (B ขึ้นไป)
  3. มีระยะเวลาการขอเทียบโอนได้ โดยต้องสอบผ่านโดยต้องได้รับวุฒิบัตรรับรองผลการเรียนและการสะสมหน่วยกิตในระบบคลังหน่วยกิต ของคณะจิตวิทยา มาแล้วไม่เกิน 5 ปี นับตั้งแต่ภาคการศึกษาถัดไปจากปีที่เข้าร่วมโครงการ (ผู้เข้าร่วมโครงการประจำปี พ.ศ. 2567 สามารถเทียบโอนรายวิชาได้ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2567 – ปีการศึกษา 2571)

 

Certificate of Attendance
  1. ผู้เข้าร่วมโครงการเข้าเรียนในหัวข้อที่อบรม
  2. มีระยะเวลาเก็บในแต่ละหัวข้อ ตั้งแต่หัวข้อที่ 1 ถึงหัวข้อที่ 16 เป็นระยะเวลา 5 ปี จึงมีสิทธิ์ขอสอบรับวุฒิบัตรรับรองผลการเรียนเพื่อเทียบโอนรายวิชา (Certificate of Achievement)
  3. มีระยะเวลาการขอเทียบโอนได้ โดยต้องเข้าร่วมโครงการครบ 16 หัวข้อ นับตั้งแต่ภาคการศึกษาถัดไปจากปีที่เข้าร่วมโครงการในหัวข้อแรก จนถึงสอบผ่านการอบรมโครงการ รวมแล้วไม่เกิน 5 ปี

 

 

การเทียบโอนรายวิชา

 

รหัสรายวิชา
ชื่อรายวิชา
จำนวนหน่วยกิต
3802601
ทฤษฎีการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัด
THEORIES OF COUNSELING AND PSYCHOTHERAPY
3 (3-0-9)
คำอธิบายรายวิชา
การวิเคราะห์เปรียบเทียบและการประเมินโดยประสบการณ์เกี่ยวกับทฤษฎีและเทคนิคในการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัด
ทักษะเบื้องต้นในการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัด งานวิจัยปัจจุบันที่เกี่ยวข้อง
Comparative analysis and empirical evaluation of counseling and psychotherapy theories, and techniques;
basic skills for counseling and psychotherapy; current relevant research.
วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
  • เข้าใจและวิเคราะห์จุดเด่น ข้อจำกัดและความแตกต่างระหว่างทฤษฎีการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัดที่สำคัญได้
  • สามารถค้นหาและอธิบายทฤษฎีการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัดที่ได้รับมอบหมายได้

 

* การเทียบโอนรายวิชาจะสมบูรณ์เมื่อได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารหลักสูตร และคณะกรรมการบริหารคณะจิตวิทยา ภายในภาคการศึกษาแรกของการเข้าศึกษาในหลักสูตร

 

 

หัวข้อการฝึกอบรม / วิทยากร

 

 

 

อัตราค่าลงทะเบียน

 

 

 
ประเภทผู้เข้าร่วมอบรม
อัตราค่าลงทะเบียน
1
บุคคลทั่วไป (Early Bird)
18,000 บาท (16 หัวข้อ)
2
บุคคลทั่วไป (หัวข้อละ 2,000 บาท)
20,000 บาท (16 หัวข้อ)
3
* บุคคลทั่วไป สำหรับสอบวัดผล
500 บาท

 

หมายเหตุ

  • บุคลากรของรัฐและหน่วยงานราชการที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาแล้ว มีสิทธิเบิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ
  • * ผู้ที่มีสิทธิ์ลงทะเบียนสำหรับการสอบวัดผล ต้องเป็นผู้เคยเข้าร่วมอบรมความทางรู้ทางจิตวิทยาเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) หัวข้อ ทฤษฎีการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัด (THEORIES OF COUNSELING AND PSYCHOTHERAPY) มาแล้วไม่เกิน 5 ปี และผ่านการทดสอบโดยได้ระดับคะแนนการทดสอบอยู่ระหว่างร้อยละ 60 – 74
  • Early Bird ช่วงระยะเวลารับสมัคร ถึงวันที่ 30 เมษายน 2567
  • ลงรายหัวข้อ หัวข้อละ 2,000 บาท (โทรสอบถามเจ้าหน้าที่ก่อนชำระเงิน)

 

 

 

เงื่อนไขการลงทะเบียน

  1. กรุณาติดต่อผู้จัดงานเพื่อตรวจสอบที่นั่งว่างก่อนชำระค่าลงทะเบียน
  2. กรุณาชำระค่าลงทะเบียนก่อนกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียน
  3. การส่งแบบฟอร์มลงทะเบียน จะต้องแนบหลักฐานการชำระเงินค่าลงทะเบียนมาด้วย จึงจะถือว่าการลงทะเบียนสมบูรณ์
  4. เมื่อผู้จัดงานได้ตรวจสอบการลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว จะแจ้งยืนยันการลงทะเบียนให้ทราบภายใน 3 วัน
  5. บุคลากรของรัฐและหน่วยงานราชการที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาแล้ว สามารถเข้าร่วมการอบรมได้โดยไม่ถือเป็นวันลา และมีสิทธิเบิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ
  6. เมื่อชำระเงินค่าลงทะเบียนแล้ว จะไม่สามารถขอรับเงินคืนได้ทุกกรณี

 

 

(มีผู้สมัครเต็มจำนวนแล้ว)

 

 

เปิดรับสมัครในเวลาทำการ ระหว่างเวลา 09.00 – 16.00 น. (จันทร์ – ศุกร์)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณวาทินี สนลอย งานบริการวิชาการ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Tel. 02-218-1307    E-mail: wathinee.s@chula.ac.th

 

 

 

 


คำอธิบายหัวข้อการเรียน

 

Why be a counsellor
นักจิตวิทยาการปรึกษาคืออะไร แล้วทำไมเราจึงอยากเป็นนักจิตวิทยาการปรึกษา
Difference, Diversity, and Power
ความแตกต่างหลากหลายและมิติทางอำนาจในกระบวนการปรึกษา
Wounded Counsellor: Therapeutic Use of Self
ประสบการณ์บาดแผลทางจิตใจของนักจิตวิทยาการปรึกษาเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อกระบวนการปรึกษา
Logotherapy
จิตบำบัดแนวความหมายในชีวิต : แม้ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ชีวิตก็ยังมีความหมาย มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเองเสมอ
Humanistic Approach – Rogerian Client-Centered Approach
ทฤษฎีจิตบำบัดแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง : เมื่อศักยภาพของมนุษย์เพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลง
Gestalt Therapy
จิตบำบัดแนวเกสตัลท์ : สุขภาวะทางจิตดีขึ้นได้ด้วยการตระหนักรู้อย่างเป็นปัจจุบันขณะ
Psychoanalytic and Psychodynamic Therapy
ทฤษฎีจิตบำบัดแบบจิตวิเคราะห์และพลวัต: เหตุใดทฤษฎีต้นตำรับของจิตบำบัดนี้ยังคงใช้ได้อยู่ในปัจจุบัน
Cognitive Behavioral Therapy
จิตบำบัดแบบมุ่งเน้นความคิดและพฤติกรรมนิยม : จิตบำบัดที่ได้รับการยอมรับสำหรับภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล
Acceptance and Commitment Therapy
จิตบำบัดแนวการยอมรับและพันธสัญญา : ยอมรับความท้าทาย พร้อมยืนหยัดต่อความหมายในชีวิต
Adlerian Therapy & Behavioral Therapy
จิตบำบัดแบบแอดเลอเรียนเพื่อการเข้าใจและแก้ไขปมในใจที่บ่มเพาะในวัยเด็ก และจิตบำบัดมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม : เมื่อความสุขและความทุกข์กำหนดโดยสิ่งแวดล้อม
Couple and Family Therapy
พื้นฐานจิตวิทยาความสัมพันธ์และครอบครัว
Art Therapy
ศิลปะบำบัดในศาสตร์กระบวนการปรึกษา
Buddhist Approach
จิตวิทยาการปรึกษาเชิงพุทธ : บูรณาการพุทธธรรมสู่การดูแลใจเชิงจิตวิทยา
The Controversy of Diagnosis
มองข้อถกเถียงเกี่ยวกับการวินิจฉัยในศาสตร์จิตวิทยาการปรึกษาในมุมต่าง ๆ
Reality Therapy
การปรึกษาแบบเผชิญความจริง : ชีวิตมีทางเลือก เมื่อทางเลือกเปลี่ยน
ชีวิตเปลี่ยน ค้นหาทางเลือกสู่ชีวิตที่ปรารถนา
Therapeutic Relationship: A significant predictor of
therapeutic outcome
สัมพันธภาพในกระบวนการปรึกษา : ปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของจิตบำบัด

 

 

 


 

 

การเดินทางมายังคณะจิตวิทยา

 

อาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ

 

ขนส่งสาธารณะ
BTS สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ ทางออก 2 แล้วเดินตรงเข้ามาทางประตูสนามนิมิบุตร ประมาณ 300 เมตร
รถเมล์ ป้ายสนามกีฬาแห่งชาติ / มาบุญครอง / โอสถศาลา

ที่จอดรถ
อาคารจอดรถ 4 ติดกับอาคารจุฬาพัฒน์ 14

 

 

 

คณะจิตวิทยาขอแสดงความยินดีเนื่องในโอกาส ครบรอบ 33 ปี แห่งการสถาปนา สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ

 

คณะจิตวิทยาขอแสดงความยินดีเนื่องในโอกาส ครบรอบ 33 ปี แห่งการสถาปนา สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 ณ ชั้น 9 อาคารสถาบัน 3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย