News & Events

แสดงความยินดี ครบรอบ 107 ปี แห่งการสถาปนาคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ

 

คณะจิตวิทยา โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดี และ คุณเวณิกา บวรสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ เข้าร่วมพิธีตักบาตร และแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 107 ปี แห่งการสถาปนาคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2567

 

 

 

คณะจิตวิทยาร่วมเป็นเจ้าภาพจัด Side Meeting (PMAC2024) เรื่อง “Promoting Healthy Food and Well-being in an Era of Polycrises”

 

วันที่ 23 มกราคม 2567 เวลา 9.00 – 12.30 น. คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เป็นเจ้าภาพร่วมกันในการจัดงานเสวนา (side meeting) ในหัวข้อ “Promoting Healthy Food and Well-being in an Era of Polycrises” งานเสวนาในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานประชุมวิชาการนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี พ.ศ. 2567 (Prince Mahidol Award Conference: PMAC 2024) ซึ่งจัดขึ้น ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ระหว่างวันที่ 22 – 27 มกราคม 2567 “ภูมิรัฐศาสตร์และความเสมอภาคในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพในยุคพหุวิกฤต” (Geopolitics and Health Equity in an Era of Polycrises)

 

งานเสวนาหัวข้อ “Promoting Healthy Food and Well-being in an Era of Polycrises” เป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง

สถาบันการศึกษา

  • คณะจิตวิทยา คณะวิทยาศาสตร์
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

สมาคมวิชาชีพ

  • สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย
  • สมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย

หน่วยงานการศึกษาและหน่วยงานเอกชนจากต่างประเทศ

  • Ajinimoto Group Global
  • International Glutamate Technical Committee (IGTC)
  • Psychology Department, Faculty of Arts and Letters, Tohoku University
  • Institute for SDGs Promotion, Ochanomizu University
  • Umami Information Center (UIC)

 

 

 

งานเสวนาดำเนินการโดย ศาตราจารย์ ดร. Nobuyuki SAKAI จาก Tohoku University และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา เป็นประธานและประธานร่วม เปิดกระบวนการเสวนาโดย ศาสตราจารย์ ดร. สุวิมล กีรติพิบูล ประธานเครือข่าย Thai Networking of Sensory Science for Better Well-being (SSWB)

 

งานบรรยายในครั้งนี้ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานทางการศึกษา องค์กรเอกชน อาทิ

  • Dr. Hisayuki Uneyama (Ajinomoto Co.,Inc.)
  • Mr. Yuji Koshugi (MUFJ Bank, Japan)
  • Asst Prof Dr Anadi Nitithamyong (President of FoSTAT, Thailand)
  • Dr. Andrew Costanzo (Deakin University, Australia)
  • Prof. Toshihide Nishimura (Kagawa Nutrition University, NPO Umami Information Center (UIC) Vice President Japan)
  • Assoc Prof Dr Chalat Santivarangkna (Mahidol University)
  • Mr Matt Kovac (Chief Executive Officer, Food Industry Asia (Singapore)
  • Asst. Prof. Chanida Pachotikarn, Ph.D., CDT, RD (President of Thai Dialectic Association)

 

และวิทยากรรับเชิญท่านอื่น ๆ ร่วมอภิปรายในปัญหาวิกฤตโลกร้อนที่ส่งผลต่อการขาดแคลนทรัพยากรอาหาร การขาดแรงงานทางการเกษตรเนื่องจากการเข้าสู่สังคมสูงวัย และการเสริมสร้างสุขภาวะให้เกิดพร้อมกับการเสริมสร้างโภชนาการในกลุ่มต่าง ๆ นับเป็นการอภิปรายที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาและแนวทางการแก้ไขบนฐานการวิจัยในยุคพหุวิกฤตได้อย่างยั่งยืน

 

 

 

 

 

คณะจิตวิทยาเข้าพบท่านอธิการบดี เนื่องในโอกาสสวัสดีปีใหม่ พ.ศ. 2567

 

 

เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ได้เข้าพบท่านอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ. ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ เพื่อขอพรปีใหม่ เนื่องในโอกาสขึ้นปีพุทธศักราช 2567 โดยท่านอธิการได้ให้คำอวยพรที่เป็นสิริมงคลต่อคณะจิตวิทยา

 

 

 

การรับรู้ความยุติธรรมในองค์การ – Perception of organizational justice

 

 

 

การรับรู้ความยุติธรรมในองค์การ หมายถึง การรับรู้ของพนักงานเกี่ยวกับการปฏิบัติจากองค์การ และการปฏิบัติจากผู้บังคับบัญชาที่มีต่อผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความยุติธรรม เกี่ยวกับกฎและบรรทัดฐานทางสังคมที่ควบคุมการจัดสรรผลตอบแทน (ทั้งรางวัลและการลงโทษ) และกระบวนการที่ใช้ในการตัดสินใจเพื่อจัดสรรผลตอบแทน รวมถึงการตัดสินใจด้านอื่นๆ และด้านการปฏิบัติกันระหว่างบุคคลด้วย

 

 

การรับรู้ความยุติธรรมในองค์การแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่

 

 

1. การรับรู้ความยุติธรรมด้านการแบ่งสรรผลประโยชน์ (Distributive justice)

หมายถึง การรับรู้ของพนักงานว่าตนได้รับผลตอบแทนจากการทำงานเหมาะสมกับสิ่งที่ตนได้ทำลงไปหรือไม่ Lambert (2003) เสนอว่า ผลตอบแทนนั้นอาจเป็นได้ทั้ง หน้าที่ ความรับผิดชอบ อำนาจ สิ่งของ บริการ โอกาส การลงโทษ รางวัล บทบาท กฎระเบียบ ค่าจ้าง การเลื่อนขั้น เป็นต้น

การศึกษาเรื่องการรับรู้ความยุติธรรมจะศึกษาด้านนี้เป็นหลัก

 

งานวิจัยหลายงานมาจากทฤษฎีความเป็นธรรม (Equity theory) ของ Adam (1965) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการแลกเปลี่ยนทางสังคม คือเมื่อบุคคลทำบางสิ่งบางอย่างกับผู้อื่นแล้ว เขาควรจะได้รับบางอย่างกลับคืนมาเช่นกัน นอกจากนี้ยังเป็นการวิเคราะห์ปฏิกิริยาของบุคคลแต่ละคนซึ่งมักกระทำตนเป็นผู้สังเกตการเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น กับสิ่งที่ตนลงทุนกับผลลัพธ์ที่ได้ และการที่ผู้อื่นลงทุนกับผลลัพธ์ที่ผู้อื่นได้รับ แล้วนำสัดส่วนมาเปรียบเทียบกัน

ผลที่ลงทุนถือเป็นต้นทุนสำหรับการแลกเปลี่ยนกับองค์การ เช่น การตั้งใจทำงาน การตรงต่อเวลา ส่วนผลลัพธ์นั้นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความพึงพอใจ เช่น โบนัส การเลื่อนขั้น สำหรับบุคคลที่มาเปรียบเทียบอาจเป็นเพื่อนร่วมงานหรือใครก็ได้ หรือเปรียบเทียบเฉพาะกับตนเอง

2. ความยุติธรรมด้านกระบวนการ (Procedural justice)

หมายถึง การที่พนักงานรับรู้ว่านโยบาย หรือกระบวนการในการกำหนดผลตอบแทนของตนมีความถูกต้องและเหมาะสมมากน้อยมากเพียงใด เช่น กระบวนการตัดสินใจขององค์การ กระบวนการแก้ไขข้อพิพาท เป็นต้น

 

Floger และ Cropanzano (1998) เสนอว่าประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ความยุติธรรมด้านนี้คือ การมีสิทธิมีเสียง (voice) กระบวนการตัดสินใจที่ดีจะเปิดโอกาสให้บุคคลที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการแสดงความรู้สึกหรือความคิดเห็นของตนในด้านต่าง ๆ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะมองกระบวนการแก้ปัญหาว่ามีความยุติธรรมถ้าเขาได้รับโอกาสเพียงพอในการแสดงเหตุผลของเขา

 

นอกจากนี้ leventhal (1980) เสนอว่าความยุติธรรมด้านกระบวนการควรประกอบด้วย

  • ความคงที่ – กระบวนการใช้ควรมีความคงเส้นคงวา คงที่ในทุกเวลา และทุกคน ไม่มีบุคคลใดได้เปรียบหรือมีโอกาสพิเศษเหนือผู้อื่น
  • ไม่มีอคติ – กระบวนการไม่ได้รับอิทธิพลจากผลประโยชน์ส่วนบุคคลหรือความสัมพันธ์ส่วนบุคคลใดๆ
  • ความถูกต้อง – กระบวนการควรเป็นไปตามข้อมูลที่เชื่อถือได้ มีความผิดพลาดน้อยที่สุด
  • สามารถแก้ไขได้ – มีโอกาสให้เกิดการปรับปรุงแก้ไขอยู่เสมอ
  • เป็นตัวแทน – กระบวนการต้องแสดงถึงความต้องการพื้นฐาน คุณค่า และความคาดหวังของบุคคลและกลุ่มคนที่ได้รับผลของการกำหนดผลประโยชน์
  • มีจรรยาบรรณ – กระบวนต้องตั้งอยู่บนศีลธรรมพื้นฐาน และจรรยาบรรณของผู้ที่มีความเกี่ยวข้อง เช่น หลีกเลี่ยงการหลอกหลวง ไม่ละเมิดสิทธิหรือความเป็นส่วนตัว ไม่มีการติดสินบน

 

 

3. การรับรู้ความยุติธรรมด้านการปฏิสัมพันธ์ (Interactional justice)

หมายถึง การที่พนักงานรับรู้ว่าตนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและเหมาะสม ความยุติธรรมด้านนี้จะเน้นในความสัมพันธ์ที่มีต่อหัวหน้างานเป็นหลัก Bies และ Moag (1986) เสนอว่าควรประกอบไปด้วย

  • ความน่าเชื่อถือ – ผู้มีอำนาจควรเปิดกว้าง ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ได้อคติในการสื่อสาร เมื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการตัดสินใจ และหลีกเลี่ยงการหลวกลวงหรือปิดบัง
  • การให้เหตุผล – ผู้มีอำนาจควรให้การอธิบายที่เพียงพอต่อผลลัพธ์ที่ได้รับจากกระบวนการตัดสินใจ
  • ความเคารพ – ผู้มีอำนาจควรปฏิบัติต่อบุคคลอื่นด้วยความจริงใจ ให้เกียรติ ไม่หยาบคาย หรือทำร้ายผู้อื่น
  • ความเหมาะสม – ผู้มีอำนาจควรละเว้นการพูดอย่างมีอคติ หรือถามคำถามที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับเรื่อง เชื้อชาติ เพศ อายุ ศาสนา เป็นต้น

 

ต่อมามีการแบ่งความยุติธรรมด้านปฏิสัมพันธ์ออกเป็น 2 ด้านย่อย ได้แก่

ความยุติธรรมด้านการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal justice)

หมายถึง การที่พนักงานรับรู้ว่าผู้บังคับบัญชาเข้าใจความรู้สึกของพนักงาน มีความห่วงใย สุภาพ ให้เกียรติ และคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

 

ความยุติธรรมด้านข้อมูลข่าวสาร (Informational justice)

หมายถึง การที่พนักงานรับรู้ว่าผู้บังคับบัญชามีความรู้ในกระบวนการต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อพนักงาน และสามารถอธิบายให้พนักงานทราบอย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อให้พนักงานเข้าใจ คลายกังวล และยอมรับในการตัดสินใจ รวมไปถึงสาเหตุและผลลัพธ์ของการตัดสินใจที่เกิดขึ้นจากกระบวนการนั้นๆ ด้วย

 

อิทธิพลของการรับรู้ความยุติธรรมในองค์การ


 

การรับรู้ความยุติธรรมในองค์การมีบทบาทสำคัญต่อเจตคติและพฤติกรรมในการทำงาน Roch แลพ Schanok (2006) เสนอว่า การรับรู้ความยุติธรรมของพนักงานมีผลในบริบทของการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การ การพึ่งพาองค์การ การแลกเปลี่ยนระหว่างผู้นำและสมาชิก ความพึงพอใจในงาน ผลการปฏิบัติงาน และพฤติกรรมการเป็นสมาชิกขององค์การ

เช่นเดียวกับ Tekleab, Takeuchi และ Taylor (2005) ที่เสนอว่า ความยุติธรรมมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มศักยภาพขององค์การ เนื่องจากการรับรู้ความยุติธรรมจะนำไปสู่พฤติกรรมทางบวก ส่วนการรับรู้ความไม่ยุติธรรมจะทำให้เกิดพฤติกรรมทางลบ กล่าวคือ บุคคลที่คิดว่าตนเองไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมจะมีแนวโน้มทำพฤติกรรมหรือมีเจตคติที่จะส่งผลเสียต่อที่ทำงาน เช่น ความโกรธ การกระทบกระทั่งกัน การมีอารมณ์ด้านลบ ป่วยง่าย การทำลายสิ่งของในที่ทำงาน เป็นต้น (Greenberg, 1999)

 

 


 

 

ข้อมูลจาก

 

“ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความยุติธรรมในองค์การกับพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ และความพึงพอใจในงาน โดยมีการมองโลกในแง่ดีเป็นตัวแปรกำกับ” โดย พัชรพล โปษะกฤษณะ (2548) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/47617

 

“ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความยุติธรรมในองค์การโดยรวม และความผูกพันที่บุคลากรมีต่อองค์การ หัวหน้า และเพื่อนร่วมงาน โดยมีวัฒนธรรมปัจเจกนิยม-คติรวมหมู่เป็นตัวแปรกำกับ” ธัญญา แซ่โค้ว, พรพรรณ เพ็ชรทอง และ อัจฉราวดี อินทนิล (2557) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/46898

 

 

 

วุฒิภาวะทางจิตสังคม – Psychosocial maturity

 

 

 

 

วุฒิภาวะทางจิตสังคม (Psychosocial maturity) หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการคิดตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมกับความเป็นผู้ใหญ่

 

วุฒิภาวะทางจิตสังคมเป็นตัวแปรทางจิตวิทยาที่แสดงให้เห็นถึงการมีบุคลิกภาพและสุขภาวะทางจิตที่ดี และยังเป็นตัวแปรด้านสังคมที่ทำให้บุคคลสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ วุฒิภาวะทางจิตสังคมอยู่บนพื้นฐานทฤษฎีของ Erikson กล่าวคือ ถ้าบุคคลสามารถผ่านช่วงวิกฤตของชีวิตไปได้ด้วยดีก็จะส่งผลให้มีการเปลี่ยนผ่านสู่ช่วงวัยถัดไปได้อย่างประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังมีความสำคัญในการวัดการประสบความสำเร็จในชีวิต

 

 

วุฒิภาวะทางจิตสังคมมี 7 องค์ประกอบ


 

  1. ความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง (Self-reliance) หมายถึง ความสามารถในการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง เพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ สามารถริเริ่มและเป็นที่พึ่งให้แก่คนรอบข้างได้
  2. การรู้จักตนเอง (Identity) หมายถึง การรู้จักอุปนิสัยของตนเอง อัตลักษณ์ ความสนใจหรือความต้องการของตนเอง และให้คุณค่ากับสิ่งนั้น
  3. ความรับผิดชอบในการทำงาน (Work responsibility) หมายถึง ความสามารถในความมุ่งมั่นต่อการทำงาน รับผิดชอบต่องานที่ตนเองได้รับมอบหมาย และแสดงความคิดเห็นระหว่างการทำงานได้อย่างเหมาะสม
  4. การคำนึงถึงผลกระทบในอนาคต (Consideration of future consequence) หมายถึง ความสามารถในการคาดคะเนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากการกระทำหรือความคิดของตนเอง เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย และวางแผนสู่เป้าหมายของตนเองในอนาคต
  5. การคำนึงถึงผู้อื่น (Consideration of others) หมายถึง ความสามารถในการคิดหรือเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ ในมุมมองของผู้อื่น เห็นอกเห็นใจ ไม่เห็นแก่ตัว และช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม
  6. การควบคุมอารมณ์หุนหันพลันแล่น (Impulse control) หมายถึง ความสามารถในควบคุมอารมณ์ภายในของตนเอง ไม่หุนหันทำตามสัญชาตญาณ มีการคิดไตร่ตรองก่อนการกระทำเสมอ
  7. การยับยั้งความก้าวร้าว (Suppression of aggression) หมายถึง ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมก้าวร้าวของตนเองให้แสดงออกอย่างเหมาะสม ไม่ทำร้ายบุคคลรอบข้างเมื่อโกรธ

 

 

อายุมีความสัมพันธ์กับวุฒิภาวะทางจิตสังคม โดยงานวิจัยพบว่ากลุ่มวัยผู้ใหญ่จะมีวุฒิภาวะทางสังคมมากกว่า และตัดสินใจเข้าสังคมมากกว่ากลุ่มวัยรุ่น โดยวุฒิภาวะทางจิตสังคมอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปมาได้ในช่วงอายุ 16-19 ปี และจากการศึกษาเรื่องความคิดความเข้าใจ (cognition) และวุฒิภาวะทางจิตสังคม ใน 11 ประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย พบว่า ความคิดเข้าใจเข้าจะเกิดขึ้นราว ๆ อายุ 16 ปี แต่วุฒิภาวะทางจิตสังคมจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่ออายุประมาณ 18 ปี

 

ในการศึกษาระยะยาว (longitudinal study) ในวัยรุ่นอันธพาลและติดตามผลไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ พบว่า วัยรุ่นที่มีวุฒิภาวะทางจิตสังคมต่ำจะมีปัญหาพฤติกรรมในการแยกตัวจากสังคมสูง (antisocial behavior) และเมื่อติดตามผลไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ พบว่า บุคคลมีวุฒิภาวะทางจิตสังคมสูงขึ้นจะเริ่มมีการเข้าสังคมมากขึ้น กลับกันผู้ที่ยังคมมีวุฒิภาวะทางจิตสังคมต่ำ จะยิ่งขาดทักษะการควบคุมอารมณ์ มีความก้าวร้าว มุมมองความคิดไม่กว้างไกล และยังคงมีปัญหาพฤติกรรม

 

นอกจากนี้ มีงานวิจัยที่พบว่าการเลี้ยงดูของพ่อแม่ มีความสัมพันธ์ทางบวกต่อวุฒิภาวะทางจิตสังคม กล่าวคือ หากลูกรับรู้ถึงการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่เหมาะสม ทั้งการได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่และการได้รับอิสระในการคิดหรือทำสิ่งต่าง ๆ จากพ่อแม่ จะช่วยส่งเสริมให้ลูกมีวุฒิภาวะทางจิตสังคม ทั้งยังช่วยลดพฤติกรรมเสี่ยง ๆ ที่เป็นปัญหาได้อีกด้วย

 

 

 

 

ข้อมูลจาก

“ความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนบทบาท การเลี้ยงดูของพ่อแม่ และการรับรู้ความคาดหวังของพ่อแม่ ต่อวุฒิภาวะทางจิตสังคม ในผู้ใหญ่แรกเริ่ม” โดย ณิชมน กาญจนนิยต (2562) – https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/69650

 

 

 

พิธีตักบาตรของจุฬาฯ เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2567

 

เมื่อวันศุกร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2567 บุคลากรคณะจิตวิทยา นำโดย ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา เข้าร่วมพิธีตักบาตรพระสงฆ์จำนวน 60 รูป เนื่องในโอกาสขึ้นพุทธศักราชใหม่ 2567 ณ ลานพระศรีมหาโพธิ์ หน้าอาคารจามจุรี 4

 

ในพิธีการนี้มีกรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้บริหารมหาวิทยาลัย ตัวแทนจากคณะ สถาบัน สำนักงาน ศูนย์ สำนัก และนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเข้าร่วมกันอย่างอบอุ่น โดย ศ.(กิตติคุณ) นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล นายกสภามหาวิทยาลัย และ ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาฯ ได้กล่าวให้โอวาทและอวยพรปีใหม่แก่ประชาคมจุฬาฯ

 

 

สวัสดีปีใหม่ 2567 นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

 

เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2567 คณะจิตวิทยา นำโดย ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา เข้าพบนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.กิตติคุณ นายแพทย์ ภิรมย์ กมลรัตนกุล เพื่อสวัสดีปีใหม่ พุทธศักราข 2567

 

 

พิธีทำบุญตักบาตร วันสถาปนาคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ

 

 

เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2567 คณะจิตวิทยา เข้าร่วมพิธีตักบาตรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2567 และวันสถาปนาคณะอักษรศาสตร์ครบรอบ 107 ปี และร่วมแสดงความยินดีกับคณะอักษรศาสตร์ ณ อาคารมหาจักรีสิรินธร

 

 

 

 

พิธีตักบาตรต้อนรับพุทธศักราชใหม่ พ.ศ. 2567 โดยกลุ่มคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ

 

 

เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2567 กลุ่มคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ ประกอบด้วย คณะจิตวิทยา คณะพยาบาลศาสตร์ คณะสหเวชศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดให้มีพิธีตักบาตรต้อนรับพุทธศักราชใหม่ พ.ศ. 2567 ณ ลานสนามหน้าอาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ โดยมีคณะและหน่วยงานต่าง ๆ ในจุฬาฯ กว่า 20 หน่วยงาน เข้าร่วมพิธีตักบาตรกันอย่างอบอุ่น

 

 

 

 

 

 

 

เพลงจะพาวัยรุ่นเติบโตไปทางไหน?

 

จากการสำรวจในช่วงปี ค.ศ. 2004-2009 ของ Rideout และคณะ (2010) ได้ผลว่า วันรุ่นทั่วโลกใช้เวลาเฉลี่ยกับการฟังเพลง ประมาณ 3 ชม./วัน และเชื่อว่าด้วยเทคโนโลยี 20 กว่าปีผ่านไป อินเทอร์เน็ตก็มี online streaming ก็มา น่าจะทำให้เพลงหาฟังได้ง่ายขึ้น และใช้เวลาได้มากกว่าเดิม ไม่ว่าจะตอนเดินทาง ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ เล่นเกม ปาร์ตี้สังสรรค์ ฯลฯ ก็น่าจะมีเพลงอยู่ร่วมด้วยไม่มากก็น้อย

 

ถ้าหากนึกถึงทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการอย่าง Psychosocial stages ของ Erikson ในช่วงวัยรุ่นที่เป็นขั้น Identity vs. Role Confusion ซึ่งมีเนื้อหาส่วนหนึ่งเกี่ยวกับพฤติกรรมและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงวัยนี้จะมีผลในการหล่อหลอม สร้างแบบแผนพฤติกรรม เรียนรู้ตัวเอง มากกว่าวัยอื่น ๆ ดังนั้นแล้วถ้าหากวัยรุ่นฟังเพลงเยอะกว่าวัยอื่น ๆ เพลงก็น่าจะมีบทบางอะไรบางอย่างกับพัฒนาการของวัยรุ่น ก็เลยจะมาชวนดูว่านักจิตวิทยาได้กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัยรุ่นกับเพลงในแง่ใดบ้าง

 

ในเชิงวิวัฒนาการมนุษย์ เพลง-ดนตรี มีบทบาทในการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคม บทบาทโดยทั่วไปของเพลงที่เกิดขึ้น ก็จะมีทั้งการกระตุ้นร่างกาย (physical arousal) สื่อสารอารมณ์ (communicating emotions) กำกับอารมณ์ (emotional regulation) แต่หากพูดถึงเพลงที่ได้รับในช่วงวัยรุ่น นักวิจัยบางส่วนเสนอว่ามีบทบาทเป็นตัวแบบในการสร้างกลุ่มพันธมิตร และพฤติกรรมการเกี้ยวพาราสี (mating) (Fu et al., 2023) ดังนั้นการจีบกันด้วยเพลง หรือใช้บทตามหนัง-ละคร ในช่วงวัยมัธยม ก็คือการทดลองตัวแบบหลาย ๆ แบบ หลาย ๆ ตัวตน เพื่อหาตัวตนที่ประสบความสำเร็จในการสร้างสัมพันธ์กับเป้าหมาย หรือตัวตนที่คิดว่าตรง/เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด

 

ในช่วงวัยรุ่น “กลุ่ม” ก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างตัวตน แต่ในสภาพแสดล้อมทั่วไปอย่างชั้นเรียน กลุ่มก็มักจะเป็น เพื่อนที่อยู่ในปีเดียวกัน อาจจะรวมตัวกันด้วยกิจกรรมการเรียน การเล่น การเดินทางกลับบ้าน ชมรม ฯลฯ การมีแนวเพลงหรือกิจกรรมดนตรีที่ชอบ นอกจากจะได้ตัวแบบเพิ่มเติมจาก แนวดนตรี-เนื้อหาของเพลง พฤติกรรมของตัวศิลปิน การที่วัยรุ่นระบุตัวตนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มแฟนเพลง และได้มีปฏิสัมพันธ์ ไม่ว่าจะทาง offline หรือ online การที่มีความชอบอย่างใดอย่างหนึ่งตรงกันแล้ว (ในที่นี้หมายถึงเพลง) ก็จะง่ายที่วัยรุ่นจะอนุมานไปยังค่านิยม หรือไลฟ์สไตล์ อื่น ๆ ที่น่าจะตรงกัน เมื่ออนุมานอย่างนั้นแล้วก็จะทำให้ผูกพันกันได้ง่าย เมื่อใช้เวลาและมีประสบการณ์ร่วมกันมากขึ้นก็จะมีรูปแบบการสื่อสาร หรือความเข้าใจเรื่องราว หรือมุกตลกเฉพาะกลุ่ม (Clark & Lonsdale, 2023)

 

ถ้านึกเล่น ๆ ปัจจุบันกลุ่มเกี่ยวกับดนตรีที่เป็นไปได้ในช่วงวัยรุ่นก็มีหลากหลาย กลุ่มดุริยางค์ กลุ่มดนตรีไทย-นาฏศิลป์ กลุ่มวง Band ที่พบเห็นได้ง่ายในโรงเรียน กลุ่มเต้นโคฟเวอร์ รวมไปถึงกลุ่มแฟนคลับ โอตะ ติ่ง ฯลฯ แต่ละกลุ่มก็จะมีผู้นำกลุ่มเป็นคนที่มีประสบการณ์มากกว่า อย่าง ครู-อาจารย์ รุ่นพี่ หรือกลุ่มคนที่พร้อมจะทุ่มเทเวลาในการทำกิจกรรมกลุ่มมากกว่าในการ คิด ทำ ประสาน ระดมทุน ทำโปรเจกต์ใด ๆ ให้ศิลปินที่ชื่นชอบ ก็จะมีกระบวนการคล้าย ๆ การทำงาน วัยรุ่นในกลุ่มที่ได้มีปฏิสัมพันธ์ สังเกตเรียนรู้ผู้คนในกลุ่มที่มีอายุหรือประสบการณ์มากกกว่า ก็มีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานและอาชีพเพิ่มเติมด้วย

 

ตาม Social identity theory การที่มนุษย์สามารถบรรจุตัวเองเข้าไปในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แนวคิดของกลุ่มก็จะมีผลในการสร้างแนวคิดเกี่ยวกับตนเอง (self-concept) ของสมาชิก (Tajfel & Turner, 1986) สมาชิกมักต้องการพัฒนาภาพลักษณ์ของตนเอง (self-image) ในรูปแบบที่เป็นที่ชื่นชอบยอมรับของกลุ่มที่สังกัด ซึ่งก็สามารถสร้าง การเห็นคุณค่าตัวเอง (self-esteem) ในวัยรุ่นได้ ในทางกลับกัน ถ้าศิลปินตัวแบบ หรือค่านิยมร่วมของกลุ่มถูกด้อยค่า จากสังคม หรือกลุ่มอื่น ก็มีโอกาสที่จะทำให้การเห็นคุณค่าตัวเองของวัยรุ่นลดลงง่ายกว่าช่วงวัยหลังจากนั้น

 

 

สำหรับบทความนี้ก็น่าจะขอจบแต่เพียงเท่านี้ โดยรวมก็คือ ดนตรีจะสร้างกลุ่มผู้ฟังหรือกลุ่มกิจกรรมดนตรีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการเป็นสมาชิกลุ่มและการได้รับการยอมรับจากกลุ่มก็เป็นพัฒนาการทั่วไปในช่วงวัยรุ่นอยู่แล้ว เพิ่มเติมคือสมาชิกกลุ่มมีหลายวัย และกลุ่มมีความซับซ้อนหลากหลายกว่ากลุ่มเพื่อนทั่วไปในโรงเรียน วัยรุ่นได้รับแบบอย่างจาก เนื้อหา-อารมณ์ของเพลง ตัวแบบจากศิลปิน ตัวแบบจากสมาชิกกลุ่ม ฯลฯ ในการสร้างแนวคิดเกี่ยวกับตนเอง (self-concept) รวมถึงอาจมีโอกาสได้ตัวแบบเกี่ยวกับอาชีพที่หลากหลายจากสมาชิกในกลุ่มด้วยซึ่งก็สำคัญต่อพัฒนาการทางอาชีพ และการตัดสินใจเกี่ยวกับอาชีพที่เกิดกับวัยรุ่นในช่วง มัธยมปลาย และมหาวิทยาลัยเช่นกัน

 

 

 

อ้างอิง

 

Clark, A. B., & Lonsdale, A. J. (2023). Music preference, social identity, and collective self-esteem. Psychology of Music, 51(4), 1119-1131.

 

Fu, J., Tan, L. K., Li, N. P., & Wang, X. (2023). Imprinting-like effects of early adolescent music. Psychology of Music, 03057356231156201.

 

Rideout, V. J., Foehr, U. G., & Roberts, D. F. (2010). Generation M2: Media in the lives of 8- to 18-year-olds. Henry J. Kaiser. Family Foundation. https://eric.ed.gov/?id=ED527859

 

Tajfel, H., & Turner, J. C. (1986). The social identity theory of intergroup behaviour. In S. Worchel & W. Austin (Eds.), Psychology of intergroup relations (pp. 7–24). Nelson-Hall.

 

 

 


 

 

บทความโดย

คุณณัฐนันท์ มั่นคง

นักจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย