News & Events

ตั้งเป้าหมายอย่างไร ให้ทำได้ดังใจหวัง

 

คุณเป็นอีกคนหนึ่งหรือเปล่า ที่ได้ตั้งเป้าหมายถึงสิ่งดี ๆ ที่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองหรือคนใกล้ตัวในปีใหม่ ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะเล็กหรือใหญ่ ใกล้หรือไกลตัว ก็เป็นสิ่งดี ๆ ที่คุณอยากเติมเต็มให้กับตัวเองหรือส่วนรวม เช่น อยากดูแลรักษาสุขภาพตัวเองให้แข็งแรง หรืออยากมีจิตอาสาช่วยเหลือสังคม

 

สำหรับคุณที่ยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายใด ๆ ในปีใหม่ปีนี้เลย ยังไม่สายไปนะคะที่จะตั้งเป้าหมายให้กับตัวเอง ขอเพียงแต่คุณแบ่งเวลาสักนิด เพื่อคิดทบทวนว่ามีอะไรในแง่มุมต่าง ๆ ของชีวิต ที่คุณอยากเติมเต็มสิ่งดี ๆ ให้กับตัวเองค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การพัฒนาตัวเอง การศึกษา การทำงาน หรือจะเป็นการทำประโยชน์ให้กับส่วนร่วม ความเชื่อ ศาสนา ปรัชญา ค่านิยมที่มี หรืองานอดิเรกและการพักผ่อนหย่อนใจ

 

งานวิจัยที่ผ่านมาทั้งในและต่างประเทศ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การมีเป้าหมายจะเป็นเสมือนหลักชัยในการใช้ชีวิต ช่วยให้แต่ละวันของคุณมีความหมาย เติมพลังให้ชีวิตตื่นเต้นท้าทายยิ่งขึ้น ลองทบทวนสักนิดนะคะ แล้วมาดูกันว่าเราจะมีวิธีตั้งเป้าหมายอย่างไร ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดี ๆ เหล่านี้ได้

 

 

ขั้นตอนที่จะทำให้ก้าวไปสู่เป้าหมายเหล่านี้ง่ายยิ่งขึ้น


 

ขั้นแรก คือเมื่อคุณพบประเด็นที่อยากเติมเต็มให้กับตัวเองแล้ว ต้องหาทางพัฒนาให้ประเด็นนั้น ๆ กลายเป็นเป้าหมายกระจ่างชัดค่ะ ยิ่งชัดเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพื่อที่เราจะได้ทราบแน่ว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อจะได้ไปถึงเป้าหมายนั้น อีกทั้งจะได้ประเมินความคืบหน้าของเป้าหมายได้สะดวกอีกด้วย

 

ดังนั้น แทนที่จะตั้งเป้าหมายลอย ๆ ว่า “อยากจะดูแลสุขภาพตัวเอง” ให้ระบุไปเลยว่าเป็นสุขภาพด้านใดที่อยากเน้น และการดูแลนั้นจะทำได้อย่างไร

 

หากเป็นสุขภาพทางกาย เช่น เรื่องการรับประทานอาหาร ก็น่าจะกำหนดไปเลยว่าจะรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ และจะยิ่งดีหากจะบอกตัวเองเลยว่าอาหารที่ว่านั้นคืออะไร เป็นผักหรือผลไม้ จะรับประทานมากหรือน้อยเพียงใด และจะทานให้ได้กี่ครั้งภายในช่วงเวลาที่กำหนด

ดังนั้น จากเป้าหมายกว้าง ๆ ที่ว่า “อยากจะดูแลสุขภาพตัวเอง” คุณอาจจะตั้งเป้าหมายที่เจาะจงไปเลยว่า “จะรับประทานฝรั่งหรือแอปเปิลวันละหนึ่งลูก อย่างน้อยสามวันต่อสัปดาห์”

หรือหากคุณอยากเน้นเรื่องการออกกำลังกาย ก็อาจจะระบุว่า “จะไปฟิตเนสหลังเลิกงาน วันละครึ่งชั่วโมง สี่ครั้งต่อสัปดาห์” หากกำหนดชัดเจนได้ขนาดนี้จะช่วยให้คุณทราบแน่ชัดว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้ได้มาซึ่งสุขภาพที่แข็งแรง และง่ายต่อการทบทวนว่าคุณได้ทำตามเป้าหมายที่วางไว้ได้หรือไม่ มีอะไรที่ควรปรับปรุงเพื่อให้ทำได้ดีขึ้น

 

ประเด็นต่อมาก็คือ การตั้งเป้าหมายควรตั้งให้เหมาะสมกับตัวของคุณเอง แม้ฝรั่งหรือแอปเปิลจะเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ แต่หากไม่ใช่ผลไม้ที่คุณชื่นชอบ และคุณตั้งเป้าหมายว่าจะรับประทานเพียงเพราะได้ยินคำบอกเล่าถึงสรรพคุณจากเพื่อนฝูงว่ารับประทานแล้วดี ก็จะไม่ใช่เป้าหมายที่เหมาะสมกับตัวคุณ ขอให้เลือกเป้าหมายที่เป็นไปได้และเหมาะสมกับตัวคุณดีกว่าค่ะ

 

นอกจากนี้ เราควรตั้งเป้าหมายแบบค่อยเป็นค่อยไป บางครั้งช่วงแรก ๆ ของการตั้งเป้าหมาย เราจะฮึกเหิมมากเกินไป อาจจะฟิตมาก ๆ ตั้งเป้าหมาย “จะไปฟิตเนสหลังเลิกงานวันละสองชั่วโมงทุกวัน” ทั้งที่ไม่เคยออกกำลังมาก่อนเลย หรือไม่ได้มีฟิตเนสใกล้กับที่ทำงาน แต่ต้องเดินทางฝ่าการจราจรเป็นชั่วโมงกว่าจะไปถึงได้ หากเป็นเช่นนั้น แม้เป้าหมายจะชัดเจนมากพอ แต่ความเป็นไปได้ในการที่จะประสบความสำเร็จก็จะลดลง

 

ค่อยเป็นค่อยไปเถอะนะคะ อย่ากดดันตัวเองในการตั้งเป้าหมายเลย ค่อย ๆ เริ่มจากเป้าหมายที่พอทำได้สะดวกก่อน แล้วค่อยทวีความเข้มข้นก็ยังได้ เช่น อาจจะเริ่มออกกำลังกายสัปดาห์ละครั้งสองครั้งก่อนสำหรับผู้ที่ไม่เคยคุ้น แล้วค่อยเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้ไม่รวดเร็วทันใจ แต่เพิ่มโอกาสให้ตัวเองได้ประสบความสำเร็จ เรียกว่า ช้า ๆ แต่มั่นคงจะดีกว่าค่ะ

 

ประเด็นที่ขอเพิ่มเติมก็คือ ในการตั้งเป้าหมายนั้นควรมุ่งเน้นถึงสิ่งที่ต้องการทำ หรือตั้งเป้าหมายทางบวก มากกว่าที่จะตั้งเป้าหมายทางลบ หรือพยายามที่จะหลีกเลี่ยงไม่ทำอะไร

 

ลองเปรียบเทียบตัวอย่างของเป้าหมายแต่ละประเภทดูดีไหมคะ ตัวอย่างของเป้าหมายประเภทแรกหรือเป้าหมายทางบวก ก็คือเป้าหมายที่เราเคยพูดคุยกัน เช่น “จะรับประทานฝรั่งหรือแอปเปิลวันละหนึ่งลูก อย่างน้อยสามวันต่อสัปดาห์” ในขณะที่เป้าหมายทางลบนั้นอย่างเช่น “จะไม่รับประทานขนมหวานหรือของทานจุบจิบในสัปดาห์นี้”

 

เมื่อเทียบกันแล้ว โอกาสที่คุณจะรับรู้ถึงความสำเร็จของเป้าหมายแบบแรก หรือการรับประทานผลไม้ให้ครบกำหนดว่าเกิดขึ้นง่ายกว่าค่ะ เมื่อเทียบกับการตั้งเป้าหมายแบบที่สองซึ่งเป็นเป้าหมายทางลบ ที่คุณจะต้องคอยรู้สึกเกร็ง ระมัดระวังไม่แตะต้องของทานต้องห้ามที่ระบุเอาไว้ และหากเผลอไปทานเข้าเพียงครั้งเดียวก็นับได้ว่าล้มเหลวในการทำตามเป้าหมายไปเสียแล้ว

 

จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าปรากฏผลการวิจัยออกมาอย่างชัดเจนว่าการตั้งเป้าหมายในทางลบทำให้คนเราเกิดความรู้สึกวิตกกังวล และความรู้สึกนี้เองที่มีส่วนทำให้โอกาสที่เราจะทำตามเป้าหมายทางลบได้สำเร็จก็ยิ่งลดน้อยลงตามไปด้วย

 

เพราะฉะนั้นการตั้งเป้าหมายเพื่อจะทำสิ่งดี ๆ ในปีนี้ ขอให้คุณคิดว่าอยากจะทำอะไร แทนที่การคิดว่าจะห้ามตนเองไม่ให้ทำอะไรค่ะ แล้วคุณจะสามารถทำตามอย่างที่ตั้งใจไว้ได้ง่ายขึ้น

 

 

สุดท้ายนี้ เมื่อได้ตั้งเป้าหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โปรดอย่าหยุดแต่เพียงเท่านั้นค่ะ เป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะหาทางให้ตัวเองทำตามเป้าหมายที่วางไว้

 

การให้รางวัลตัวเองเมื่อทำตามเป้าหมายได้สำเร็จนับเป็นวิธีหนึ่งที่ควรพิจารณา นอกเหนือจากความภาคภูมิใจที่คุณจะได้รับจากการทำตามเป้าหมายแล้ว การให้รางวัลตัวเองเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เป็นสิ่งที่จะช่วยเสริมสร้างขวัญและกำลังใจค่ะ

 

นอกจากนี้ ยังเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องมีการทบทวนถึงความคืบหน้าของเป้าหมายที่วางไว้อยู่เสมอ เพื่อที่จะได้หาทางปรับเปลี่ยนว่า มีสิ่งใดบ้างที่จะช่วยเสริมให้เป้าหมายที่วางไว้คืบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

อาจจะเป็นกำหนดเวลาทุก ๆ หนึ่งเดือนเพื่อถามตนเองว่า ตลอดเดือนนี้ฉันได้ทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้สำเร็จเพียงใด มีอุปสรรคอะไรบ้าง ที่ทำให้เราทำไม่ได้ในบางครั้ง และเราจะแก้ปัญหาได้อย่างไร หรือถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีแล้ว เราจะทำอะไรเพิ่มขึ้นอีกดีหรือไม่ เพื่อให้ก้าวเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นไปอีก

 

 

 


 

 

 

บทสารคดีทางวิทยุ รายการ “จิตวิทยาเพื่อคุณ” (2559)
ออกอากาศทางสถานีวิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz
บทความโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กุลยา พิสิษฐ์สังฆการ

 

 

Stereotype threat – การคุกคามจากภาพในความคิด

 

 

 

 

การคุกคามจากภาพในความคิด หมายถึง เหตุการณ์ที่บุคคลต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่กลุ่มของตนมีภาพในความคิดทางลบ และบุคคลรู้สึกตระหนักในตนว่าตนเป็นสมาชิกของกลุ่มนั้น หรือเมื่อบุคคลรับรู้ว่าภาพในความคิดนั้นเกี่ยวของกับตน ซึ่งการคุกคามจากภาพในความคิดอาจส่งผลให้บุคคลแสดงออกได้ด้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น หรือแสดงออกได้ต่ำกว่าศักยภาพของตน

 

เช่น นักเรียนหญิงที่ถูกบอกว่าผู้หญิงคิดเลขไม่เก่งเท่าผู้ชาย เมื่อทำโจทย์เลข ก็ได้คะแนนน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการบอกดังกล่าว

หรือกรณีที่ คนแอฟริกันอเมริกันมีภาพในความคิดว่าตนมีความสามารถทางปัญญาด้อยกว่าคนผิวขาว เมื่อให้เล่นกีฬากอล์ฟ กลุ่มที่ได้รับการบอกว่ากอล์ฟเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยปัญญา ได้คะแนนการตีกอล์ฟน้อยกว่า กลุ่มที่ได้รับการบอกว่ากอล์ฟเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยทักษะทางกีฬา

 

 

กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการคุกคามจากภาพเหมารวม


 

กลไกที่สามารถอธิบายผลของการเกิดการคุกคามจากการเหมารวมมีหลายประการ เช่น การเกิดความวิตกกังวลในบุคคล และการรบกวนทางความคิด (cognitive interruption) หมายถึง การที่บุคคลคิดมากขึ้นในเรื่องความเกี่ยวข้องของตนเองกับการเหมารวม ทำให้บุคคลถูกดึงความสนใจออกไป ขาดแรงกระตุ้น จนทำให้ผลงานแย่ลงในที่สุด

 

การคุกคามจากการเหมารวมอาจทำให้ความพยายามของบุคคลในการทำงานลดลงอันเนื่องมาจากความคาดหวังที่ต่ำลง หรืออาจเกิดจากการใช้วิธีหักล้างตนเอง (self-defeating strategies) เช่น การไม่เข้าร่วมกิจกรรมใด ๆ ที่กระตุ้นการเหมารวมของกลุ่มตนเอง หรือลดเวลาในการฝึกฝนหรือการทำงานลง

 

นอกจากนี้ มีงานวิจัยที่พบว่าการคุกคามจากการเหมารวมทำให้บุคคลมีการควบคุมตนเองที่ลดลง คือทำให้ความสามารถในการควบคุมความสนใจและพฤติกรรมที่ตนต้องการลดน้อยลง เช่น เมื่อนักศึกษาผิวดำถูกเหยียดผิว พวกเขากำกับตนเองได้ยากขึ้นในการเรียน

 

 

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการคุกคามจากการเหมารวม


 

การคุกคามจากภาพในความคิดนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น และจะเกิดขึ้นมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น

 

  • ความยากง่ายของงาน : ในงานยากบุคคลจะเกิดความสงสัยในความสามารถของตน วิตกกังวลและคับข้องใจทำให้ผลงานแย่ลง
  • การประเมินผลงาน : งานที่มีการประเมินทำให้เกิดความกดดันสูงมากกว่างานที่ไม่มีการประเมิน
  • การเห็นคุณค่าในตนเอง รูปแบบการมองโลก และความตระหนักในความสามารถของตน : แต่ละคนมีความไวต่อการถูกคุกคามจากภาพในความคิดแตกต่างกัน หากเป็นบุคคลที่เห็นคุณค่าในตนเองสูง หรือมองโลกในแง่ดี หรือเรื่องที่มาคุกคามนั้นเป็นเรื่องที่บุคคลมั่นใจในความสามารถ การคุกคามดังกล่าวจะไม่มีผลมากนักหรือไม่มีเลย
  • จำนวนบุคคลในกลุ่ม : หากบุคคลที่ถูกคุกคามจากการเหมารวมอยู่ตัวคนเดียวโดยถูกคาดหวังให้เป็นตัวแทนของกลุ่ม อิทธิพลของการคุกคามจากการเหมารวมจะมีมากขึ้นและผลงานที่แสดงออกจะด้อยลง เช่น เมื่อผู้หญิงทำข้อสอบกับผู้ชาย จะทำให้ทำได้แย่ลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเพิ่มจำนวนผู้ชายที่เข้าสอบด้วย
  • ความเด่นชัดของการเหมารวม : เช่น เมื่อผู้หญิงถูกประเมินด้วยผู้ประเมินเพศชายที่มีความเหยียดเพศ

 

การลดการคุกคามจากการเหมารวม


 

งานวิจัยศึกษาอิทธิพลของการคุกคามจากการเหมารวมต่อความสามารถในหลายด้าน เช่น

 

  • การสนับสนุนให้บุคคลนึกถึงคุณค่าและความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง (self-identity) การยืนยันคุณค่าของตนเอง (valued-affirmation) รวมถึงการให้บุคคลเน้นภาพความคิดของตนในบทบาทอื่นมากกว่า
  • การให้ตัวแบบเชิงบวก (positive role model) โดยการเสนอมุมมองที่ทำให้บุคคลมองความสำเร็จของบุคคลตัวอย่างภายในกลุ่ม เช่น ผู้หญิงจะทำข้อสอบเลขได้ดีขึ้นเมื่อผู้คุมสอบเป็นผู้หญิง

 


 

 

ข้อมูลจาก

 

“ผลของการคุกคามจากภาพในความคิด การเห็นคุณค่าในตนเอง และรูปแบบการอนุมานสาเหตุต่อผลงานด้านคณิตศาสตร์ในนักเรียนหญิงระดับมัธยม ศึกษาตอนปลาย” โดย ธนรักษ์ คุณศรีรักษ์สกุล (2554) http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/32107

 

“อิทธิพลของการคุกคามจากการเหมารวมและการดูตัวแบบเชิงบวกต่อการรับรู้การคุกคามจากการเหมารวมและความเร็วในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของคนที่มีภาวะตาบอดสี” โดย อนุสรณ์ อาศิรเลิศสิริ (2563) https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/75702

 

 

Stereotype – ภาพในความคิด

 

 

 

 

ภาพในความคิด หมายถึง ความเชื่อที่บุคคลมีต่อคนกลุ่มหนึ่ง ว่าคนกลุ่มนั้นมีลักษณะหรือนิสัยใจคอบางประการเป็นสิ่งที่ค่อนข้างถาวร โดยไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลที่มีในคนกลุ่มนั้น

 

เช่น ผู้หญิงต้องเก่งงานบ้าน, ผู้ชายต้องเข็มแข็ง, ครูต้องเจ้าระเบียบ, นักบัญชีต้องละเอียดรอบคอบ, คนจีนค้าขายเก่ง, คนญี่ปุ่นชอบทำงานหนัก

 

ภาพในความคิดเป็นวิธีการที่คนเรารับรู้บุคคลโดยแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อลดความซับซ้อนของข้อมูล กล่าวคือ แทนที่จะรับรู้ว่าบุคคลแต่ละคนเป็นอย่างไร เราจะมีการรับรู้ว่าสมาชิกของแต่ละกลุ่มมีลักษณะอย่างไร ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการเก็บข้อมูลและการนำข้อมูลมาใช้ของบุคคล

 

ทั้งนี้ ที่มาของภาพในความคิดอาจเกิดจากการรับรู้ด้วยประสบการณ์ตรง หรือเกิดจากการรับรู้ผ่านสื่อ/บุคคลอื่นก็ได้ โดยภาพในความคิดเกิดจากการแผ่ขยายของการเรียนรู้ (generalization) ว่าสิ่งที่มีลักษณะเช่นตัวอย่างจะต้องมีลักษณะที่เหมือนกัน ข้อมูลที่สอดคล้องกับภาพในความคิดหรือความคิดเดิมของเราก็จะได้รับการจัดกลุ่มเข้ารวมกับภาพในความคิดนั้น ส่วนภาพในความคิดที่ไม่สอดคล้องก็จะไม่ได้รับการจดจำหรือถูกหักล้างเป็นข้อมูลที่สอดคล้องแทน ทำให้บางกรณีการแผ่ขยายนี้อาจจะเป็นไปมากเกินกว่าขอบข่ายของข้อมูลหรือข่าวสารที่มีอยู่จริงในขณะนั้น

 

ดังนั้น ภาพในความคิดที่บุคคลมีต่อคนอื่นหรือกลุ่มคนจึงอาจมีลักษณะนั้น ๆ อยู่จริงหรือไม่จริงก็ได้ กล่าวคือ ภาพในความคิดจำนวนมากมีพื้นฐานมาจากการรับรู้เกี่ยวกับกลุ่มที่ถูกต้อง แต่ยังมีภาพในความคิดอีกจำนวนมากเช่นกันที่เกิดจากความสัมพันธ์ลวง (จากการที่ได้รับข้อมูล 2 เรื่องคู่กันบ่อยครั้ง จึงคิดว่าข้อมูล 2 เรื่องนั้นมีความสัมพันธ์กัน)

 

 

ผลจากการรับรู้ภาพในความคิด


 

การรับรู้ภาพในความคิดของกลุ่มบุคคลมีผลต่อการรับรู้ใน 2 ลักษณะ

ประการแรก การรับรู้ลักษณะบุคคลในกลุ่มจะสอดคล้องกับลักษณะภาพในความคิดของกลุ่ม แต่ถ้าเกิดพบว่ามีพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับภาพในความคิด เราก็จะตีความบุคคลนี้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้การรับรู้มีการสอดคล้องกัน ตรงกับแนวคิดที่ว่าถ้ามีข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกับภาพในความคิดเข้าสู่การรับรู้ของเรา เราก็จะหาข้อเท็จจริงหรือข้อมูลที่สอดคล้องกับภาพในความคิดของเรามาหักล้าง

ประการที่สอง การรับรู้ภาพในความคิดระหว่างกันมีผลต่อพฤติกรรมระหว่างกลุ่ม ดังนั้นเราจึงสามารถเห็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอันเนื่องมาจากการมีภาพในความคิดทางลบระหว่างกันได้เสมอ ตั้งแต่ระดับนักเรียนต่างสถาบันที่ยกพวกตีกัน ไปจนถึงระดับสงครามอันเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ (ถ้าผู้นำหรือผู้กำหนดนโยบายของประเทศใดมีภาพในความคิดที่เลวร้ายต่ออีกประเทศหนึ่ง ก็มักกจะเลือกดำเนินนโยบาลที่ไม่เป็นมิตรต่อประเทศนั้น)

 

 

การเปลี่ยนแปลงของภาพในความคิด


 

ในการศึกษาระยะยาวหลาย ๆ การศึกษา พบว่า ภาพในความคิดของเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ และนอกจากการเปลี่ยนแปลงตามระยะเวลาแล้ว ภาพในความคิดยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ภายหลังเกิดสงครามหรือข้อพิพาทระหว่างประเทศ ประชาชนจะมีภาพในความคิดต่อประเทศที่เป็นคู่กรณีในทางลบมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงของภาพในความคิดเหล่านี้มาจากการเปลี่ยนแปลงไปตามการเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ภายนอก การเปลี่ยนแปลงนี้มาจากกระบวนการเรียนรู้ในสองลักษณะ ได้แก่ การเรียนรู้โดยตรงด้วยตนเอง อาทิ การมีปฏิสัมพันธ์กับคนในกลุ่มบุคคลนั้น ๆ และการเรียนรู้ทางอ้อม คือการเรียนรู้ผ่านตัวแทนที่หลากหลาย อาทิ บิดามารดา เพื่อน ครู ผู้นำทางการเมือง ผู้นำทางศาสนา และสื่อสารมวลชน รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของสังคม เช่น การเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม การรวมกันของวัฒนธรรม เป็นต้น ดังนั้นในโลกยุคปัจจุบันที่การรับรู้ข่าวสารเป็นไปอย่างแพร่หลาย มีการเผยแพร่วัฒนธรรมและข่าวสารผ่านสื่อต่าง ๆ มากมาย การเปลี่ยนแปลงของภาพในความคิดจึงเป็นไปได้โดยง่ายและรวดเร็ว

 


 

ข้อมูลจาก

 

“ผลของการอภิปรายกลุ่มและการกระจายข้อมูลต่อภาพในความคิด” โดย ฑศพล รัตนภากร (2546) http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/11002

 

“ภาพในความคิดเกี่ยวกับคนสัญชาติต่างๆ ตามการรับรู้ของนิสิตนักศึกษาไทย” โดย ชลัมพล เถระกุล (2548) https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/47643

 

“อิทธิพลของการกระตุ้นภาพในความคิดของความเป็นหญิงเป็นชาย และปฎิกิริยาทางจิตต่อการเกิดปฎิกิริยาต่อภาพในความคิดในการเจรจาต่อรอง” โดย รัตติกาล พาฬเสวต (2553) http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/20206

 

Announcement High Potential Doctoral Student Scholarship Guidelines, Fiscal Year 2024

Announcement

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

High Potential Doctoral Student Scholarship Guidelines, Fiscal Year 2024

 

 

The Faculty of Psychology, Chulalongkorn University, has allotted a budget for a doctoral scholarship to attract applicants with high academic and research abilities to join forces with our faculty members in producing high-quality scholarly works and research.

 

Per Section 34 of the Chulalongkorn University Statute 2008 and the approval of the Extra 4/2023 Faculty of Psychology’s management committee meeting on 22 November 2023, the scholarship details are as follows.

 

1. This announcement is called “Announcement Faculty of Psychology, Chulalongkorn University High Achieving PhD Student Scholarship Guidelines, Fiscal Year 2024.”

 

2. This announcement is in effect starting from the date of the announcement.

 

3. Eligible applicants must:

 

3.1 Have one of the following educational qualifications:

 

3.1.1 Completed a Bachelor’s or Master’s degree program in psychology OR

 

3.1.2 Currently studying in the final year of a Bachelor’s or Master’s degree program in psychology OR

 

3.1.3 A Master’s degree student of the Faculty of Psychology, Chulalongkorn University, who has passed the Doctoral Qualification Exam and has been elevated to the doctoral level within the academic year of 2023.

 

3.2 Have a cumulative GPA of 3.50 or above on the date of application and upon graduation

 

3.3 Have an English proficiency score of 75 or above for CU-TEP, OR 550 or above for TOEFL, OR 6.5 or above for IELTS, OR have graduated or are currently graduating from a program that uses English and the mode of instruction.

 

3.4 Have a 1,000-to-1,500-word dissertation proposal.

 

3.5 Have a faculty member at the Faculty of Psychology, Chulalongkorn University, agree to be their academic advisor according to the form.

 

4. Eligible scholarship recipients must:

 

4.1 Have met the requirements stated in No. 3. AND

 

4.2 Have been evaluated and approved as eligible to receive the scholarship by the program committee of the Faculty of Psychology doctoral program the applicant is applying to AND

 

4.3 Apply and be admitted into one of the Faculty of Psychology doctoral programs in the academic year 2024.

 

5. Conditions of the Scholarship

 

5.1 From the first semester until they successfully defend their dissertation proposal, typically within four semesters, the scholarship recipients must work as an academic or research assistant of their academic advisor for 20 hours a week. (The advisor must include the student as a co-author in at least one of their publications).

 

5.2 After their dissertation proposal has been approved, the scholarship recipients must work as an academic or research assistant of their academic advisor for 10 hours a week. They must have at least one research paper published or waiting to be published within one year after graduation. The paper must meet the following requirements.

 

(1) The research paper must be published in an international journal recognized by ISI/SCOPUS with a journal quartile score of 2 or higher according to the latest ranking by the Journal Citation Report – Clarivate Analytics (JCR) or Scimago Journal & country (SJR)

 

(2) The scholarship recipient must be listed as the first author, the academic advisor as the corresponding author, and the authors’ affiliation must be “the Faculty of Psychology, Chulalongkorn University.”

 

5.3 At the end of each semester, the scholarship recipients must report their academic, dissertation, and research progress to the program committee via their academic advisor for approval to continue receiving the scholarship in the following semester.

 

5.4 The scholarship recipients must acknowledge the scholarship in their dissertation and any published works as follows:

 

Acknowledgments in the dissertation must say, “My sincere gratitude to the Faculty of Psychology, Chulalongkorn University, for the High Potential Scholarship, which has been an important factor in helping me complete this research smoothly.”

 

Acknowledgments in any published works must say, “This article is part of a research on……………………………………… which has been supported by the Faculty of Psychology, Chulalongkorn University, High Potential Doctoral Student Scholarship.”

 

6. Benefit and Duration

 

Three successful applicants will be selected and awarded this scholarship. The benefits and duration of the scholarship are as follows:

 

6.1 From the first semester until they successfully defend their dissertation proposal, the scholarship recipients will receive the following financial support with a maximum duration of 4 semesters.

University Tuition Fee 35,000 Baht per semester

Program Fee 50,000 Baht per semester

 

6.2 After their dissertation proposal has been approved, the scholarship recipients can apply for the program fee waiver and apply for the second part of this scholarship in the semester following the proposal exam. They will receive the following financial support with a maximum duration of 2 semesters.

University Tuition Fee 35,000 Baht per semester

 

7. Suspension of Scholarship. The Faculty of Psychology will suspend scholarships per any of the following conditions:

 

7.1 Termination of student status

 

7.2 Recipients engage in academic dishonesty

 

7.3 Recipients are during leave

 

7.4 Recipients are unable to meet the requirements of No. 5

 

7.5 The Faculty of Psychology has seen fit to suspend

 

8. Application Process

 

Interested and eligible individuals can contact the Office of Academic Affairs, Faculty of Psychology, for more details on the application process, starting from the date of this announcement until 15 February 2024

 

 

Announced on 28 November 2023

 

Assistant Professor Dr. Natthasuda Taephant
Dean of the Faculty of Psychology

 

 

 

ความเหงากำลังระบาด?

 

ความเหงากำลังระบาด?

 

มีใครในช่วงนี้กำลังรู้สึกเหงาบ้างไหม? เมื่อองก์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาเตือนว่าความเหงากำลังเป็นภัยคุกคามด้านสุขภาพ มีผลกระทบทั้งทางด้านสุขภาพกาย และสุขภาพใจ ในบทความนี้อยากจะชวนทุกท่านมาทำความรู้จักกับ “ความเหงา” เพื่อทำความเข้าใจความเหงา และวิธีการจัดการกับความเหงา

 

ความเหงา (Loneliness) เป็นความรู้สึกหนึ่งของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นจากการรับรู้ว่าตนขาดการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม หรือมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมน้อยกว่าที่ตนต้องการ เรียกได้ว่าเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการรับรู้และตีความสถานการณ์ในความสัมพันธ์ของตน เช่น การที่คนคนหนึ่งมีเพื่อนหลายคน ไปพบและเจอเพื่อนบ่อย แต่ก็อาจจะเกิดความรู้สึกเหงาได้จากการรับรู้ว่าความสัมพันธ์ที่ตนมีนั้นไม่มีคุณภาพ ไม่ตรงกับความคาดหวัง ในขณะเดียวกันคนที่มีเพื่อนน้อย แต่เป็นความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ สามารถแบ่งปันประสบการณ์ในชีวิตและให้การสนับสนุนซึ่งกันและกันได้ ก็อาจจะไม่ได้มีความเหงาเกิดขึ้น

 

 

ประเภทของความเหงา


 

ความเหงาสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคร่าวๆได้ ดังนี้

 

  1. ความเหงาแบบชั่วคราว (Transient Loneliness) หรือจะเรียกว่า ความเหงาในชีวิตประจำวัน (Everyday Loneliness) ก็ได้ เป็นความเหงาที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว เป็นความเหงาประเภทที่พบได้บ่อยที่สุดแต่อาจจะไม่ได้มีความรุนแรงมากนัก
  2. ความเหงาจากสถานการณ์ (Situational Loneliness) เป็นความเหงาที่มักจะเกิดขึ้นหลังเผชิญกับเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อชีวิต เช่น การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก การหย่าร้าง การจบความสัมพันธ์กับใครสักคน หรือการย้ายถิ่นฐานของคนที่มีความผูกพันต่อกัน
  3. ความเหงาแบบเรื้อรัง (Chronic Loneliness) เป็นความเหงาที่มักจะเกิดขึ้นในเวลาที่เราเกิดความรู้สึกไม่พึงพอใจในความสัมพันธ์ของตนกับผู้อื่นเป็นระยะเวลายาวนานติดต่อกัน และไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นได้ ความเหงาประเภทนี้มักเกิดขึ้นกับคนที่มีปัญหาในด้านการปรับตัว

 

สาเหตุของความเหงา


 

ความเหงาสามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ทางสังคมของบุคคล การเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของตนกับผู้อื่น รวมถึงประสบการณ์ในอดีตอาจทำให้บุคคลมีความคาดหวังต่อความสัมพันธ์ของตนกับผู้อื่น ทำให้เกิดการรับรู้และตีความว่าตนเองกำลังรู้สึกเหงาขึ้นมาได้ รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่

 

  1. ลักษณะบุคลิกภาพของบุคคลที่มีความแตกต่างกัน เช่น บุคลิกภาพแบบขี้อาย (shyness) หรือการขาดทักษะทางสังคม ก็อาจจะทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดความรู้สึกเหงาได้ง่ายกว่าคนที่มีบุคลิกภาพแบบมั่นใจ (confident)
  2. ค่านิยมและบรรทัดฐานทางสังคมวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างกันในแต่ละสังคม เช่น วัฒนธรรมของคนตะวันตกเน้นให้บุคคลพึ่งพาตนเองสูงและพยายามทำเป้าหมายให้สำเร็จลุล่วงด้วยตนเอง ก็อาจจะมีแนวโน้มที่ทำให้เกิดความรู้สึกเหงาได้มากกว่า วัฒนธรรมของคนเอเชียที่เน้นการอยู่ร่วมกันและช่วยเหลือกันภายในสมาชิกของครอบครัว
  3. สถานการณ์ทางสังคมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เช่น ความเครียดของคนว่างงาน ความรู้สึกไม่พึงพอใจในสถานภาพสมรส การสูญเสียคนรัก การเปลี่ยนแปลงจากการย้ายที่อยู่ อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ส่งผลให้บุคคลรู้สึกเหงาได้

 

 

ผลกระทบของความเหงา


 

ความเหงาไม่ได้ส่งผลกระทบกับสุขภาพกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตด้วย ผลกระทบของความเหงา ได้แก่

 

  • เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ภาวะความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดในสมอง โรคหัวใจและหลอดเลือด
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อการมีพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ และการใช้สารเสพติด
  • ส่งผลต่อคุณภาพการนอน ทำให้มีคุณภาพในการนอนไม่ดี และรบกวนการนอนหลับ
  • ส่งผลต่อภาวะซึมเศร้า และความวิตกกังวล
  • ส่งผลให้มีความพึงพอใจในชีวิตต่ำ

 

 

วิธีป้องกันและรับมือกับความเหงา


 

  1. กลับมาทบทวนความรู้สึกที่เกิดขึ้นของตน ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น คือความเหงา ความเศร้า ความโดดเดี่ยว หรือเป็นความรู้สึกอะไร เพื่อทำความเข้าใจที่มาที่ไปของความรู้สึกที่เกิดขึ้น
  2. กลับมาทบทวนความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง มองหาความสัมพันธ์ที่ตนเองต้องการหรือความสัมพันธ์ที่มีคุณค่า ปริมาณของความสัมพันธ์อาจไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพของความสัมพันธ์ที่มีอยู่
  3. พัฒนาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพของตน บอกเล่าความรู้สึก เรื่องราวในชีวิตประจำวันกับความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจ
  4. เปิดโอกาสให้ตนได้เรียนรู้ที่จะมีความสัมพันธ์ใหม่ ๆ และไม่ปิดกั้นตัวเองในการสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบๆข้าง
  5. หากิจกรรม งานอดิเรกทำเพิ่มเติม การกลับมาอยู่กับตัวเอง ให้เวลาตัวเอง บางครั้งสามารถทำให้ความเหงาชั่วครั้งชั่วคราวลดลงได้
  6. เลี้ยงสัตว์เลี้ยง การมีสัตว์เลี้ยงสักตัวจะทำให้เกิดความผูกพัน เกิดความสัมพันธ์ที่มีความหมายและช่วยลดความเหงาลงไปได้
  7. พูดคุยปรึกษากับนักจิตวิทยา เพื่อหาวิธีรับมือกับความเหงาเพิ่มเติม

 

 

รายการอ้างอิง

 

Beutel, M. E., Klein, E. M., Brähler, E., Reiner, I., Jünger, C., Michal, M., Wiltink, J., Wild, P.S., Münzel, T., Lackner, K. J., & Tibubos, A. N. (2017). Loneliness in the general population: prevalence, determinants and relations to mental health. BMC psychiatry, 17, 1-7. https://doi.org/10.1186/s12888-017-1262-x

 

Cacioppo, J. T., Hughes, M. E., Waite, L. J., Hawkley, L. C., & Thisted, R. A. (2006b). Loneliness as a specific risk factor for depressive symptoms: Cross-sectional and longitudinal analyses. Psychology and aging, 21(1), 140-151. https://doi.org/10.1037/0882-7974.21.1.140

 

Caspi, A., Harrington, H., Moffitt, T. E., Milne, B. J., & Poulton, R. (2006).Socially Isolated Children 20 Years Later: Risk of Cardiovascular Disease. Archives of pediatrics & adolescent medicine, 160(8) ,805-811. https://doi.org/10.1001/archpedi.160.8.805

 

Gardner, W., Gabriel, S., & Diekman, A. B. (2000). Interpersonal processes. In J. Cacioppo, L. Tassinary, & G. Berntson (Eds.), Handbook of psychophysiology (pp.643-664). Cambridge University Press.

 

Hawkley, L., Thisted, R., Masi, C., & Cacioppo, J. (2010). Loneliness Predicts Increased Blood Pressure:5-Year Cross-Lagged Analyses in Middle-Aged and Older Adults. Psychology and aging, 25(1), 132-141. https://doi.org/10.1037/a0017805

 

Kong, F., & You, X. (2013). Loneliness and Self-Esteem as Mediators Between Social Support and Life Satisfaction in Late Adolescence. Social Indicators Research, 110(1), 271-279. https://doi.org/10.1007/s11205-011-9930-6

 

Ladd, G. W., & Ettekal, I. (2013). Peer-related loneliness across early to late adolescence: Normative trends, intra-individual trajectories, and links with depressive symptoms. Journal of Adolescence, 36(6), 1269-1282. https://doi.org/10.1016/j.adolescence.2013.05.004

 

Peplau, L. A., & Perlman, D. (1982). Loneliness: A sourcebook of current theory, research and therapy. Wiley-Interscience.

 

Richard, A., Rohrmann, S.,Vandeleur, C. L., Schmid, M., Barth, J., & Eichholzer, M. (2017). Loneliness is adversely associated with physical and mental health and lifestyle factors: Results from a Swiss national survey. PLOS ONE, 12(7), e0181442. https://doi.org/10.1371/journal.pone.0181442

 

Schultz, N. R., & Moore, D. (1988). Loneliness: Differences Across Three Age Levels. Journal of Social and Personal Relationships, 5(3), 275-284. https://doi.org/10.1177/0265407588053001

 

Vanhalst, J., Goossens, L., Luyckx, K., Scholte, R. H. J., & Engels, R. C. M. E. (2013). The development of loneliness from mid-to late adolescence: Trajectory classes, personality traits, and psychosocial functioning. Journal of Adolescence, 36(6), 1305-1312. https://doi.org/10.1016/j.adolescence.2012.04.002

 

Weiss, R. S. (1973). Loneliness: The experience of emotional and social isolation. The MIT Press.

 

 


 

 

 

บทความโดย
คงพล แวววรวิทย์
นักจิตวิทยาประจำศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

 

ความสุขไม่ได้อยู่ที่สิ่งภายนอก แต่อยู่ที่ตัวเราเอง

 

ความหมายของความสุข


 

ความสุข เป็นคำที่มีความหมายกว้างและซับซ้อน แต่ละคนอาจให้ความหมายของความสุขแตกต่างกันไป โดยทั่วไปแล้ว ความสุขอาจหมายถึงความรู้สึกสบายใจ ผ่อนคลาย ความพึงพอใจ ความสำเร็จ ความรัก ความผูกพัน ความหมายของชีวิต เป็นต้น

 

ความสุข เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสุขได้เสมอไป บางครั้งเราอาจรู้สึกเศร้า เหงา ผิดหวัง หรือทุกข์ทรมาน สาเหตุของความทุกข์อาจมาจากปัจจัยภายนอก เช่น ปัญหาชีวิต โรคภัยไข้เจ็บ หรือปัจจัยภายใน เช่น ความคิด ความรู้สึก ทัศนคติของเราเอง

 

ทำอย่างไรจึงมีความสุข


 

  • ด้านสุขภาพจิต ความสุขมีส่วนสำคัญต่อสุขภาพจิตของเรา ผู้ที่มีความสุขจะมีสุขภาพจิตที่ดี มีความมั่นคงทางอารมณ์ ปรับตัวได้ดีต่อการเปลี่ยนแปลง มีความยืดหยุ่นในการรับมือกับความเครียด ห่างไกลจากโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล และโรคเครียด ดังนั้น เราควรดูแลสุขภาพจิตของเราให้แข็งแรงอยู่เสมอ เช่น ฝึกสมาธิ ฝึกสติ หลีกเลี่ยงการเสพสื่อที่ก่อให้เกิดความเครียด เป็นต้น
    นอกจากนี้ ควรมองโลกในแง่ดี คิดบวก ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น รู้จักปล่อยวาง รู้จักให้อภัย รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น การช่วยเหลือผู้อื่นทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า และมีความสุข
  • ด้านความสัมพันธ์ ความสุขสัมพันธ์กับความสัมพันธ์กับคนรอบข้างของเรา คนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างจะมีแนวโน้มที่จะมีความสุขมากกว่าคนที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดี ดังนั้น เราควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง เช่น ใช้เวลากับคนที่เรารัก ความรักเป็นพื้นฐานสำคัญของความสุข การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนที่เรารักทำให้เรารู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และมีความสุข
  • ด้านเป้าหมายในชีวิต คนที่มีเป้าหมายในชีวิตมักจะมีความสุขมากกว่าคนที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ดังนั้น เราควรตั้งเป้าหมายในชีวิตและพยายามทำให้บรรลุเป้าหมายนั้น เช่น ตั้งเป้าหมายในการทำงาน ตั้งเป้าหมายในการเรียน ตั้งเป้าหมายในการช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อชีวิตที่มีความหมาย เป็นต้น
  • ด้านสิ่งแวดล้อม สภาพแวดล้อมรอบตัวก็มีส่วนสำคัญต่อความสุขของเรา สภาพแวดล้อมที่ดีและน่าอยู่จะช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้น ดังนั้น เราควรสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีรอบตัว เช่น ตกแต่งบ้านให้น่าอยู่ ปลูกต้นไม้รอบบ้าน เป็นต้น
  • ด้านภายใน ความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่สิ่งภายนอก แต่อยู่ที่ตัวเราเอง ความสุขที่แท้จริงเกิดจากความสงบภายใน ความสงบภายในเกิดจากการที่เรารู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง และยอมรับตัวเอง ดังนั้น เราควรฝึกฝนตนเองให้รู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง และยอมรับตัวเอง เช่น ฝึกการเจริญสติ ฝึกการยอมรับ เป็นต้น นอกจากนี้ ควรทำในสิ่งที่เรารัก การทำในสิ่งที่เรารักทำให้เรารู้สึกสนุก เพลิดเพลิน และมีความสุข

 

ความสุข ไม่ได้อยู่ที่สิ่งภายนอก แต่อยู่ที่ตัวเราเอง เพียงแค่เรารู้จักมองหาและใส่ใจความสุขเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว เราก็จะมีความสุขมากขึ้นได้

 

ตัวอย่างความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน

  • การได้ตื่นนอนมาเห็นแสงแดดยามเช้า
  • การได้กินอาหารอร่อย ๆ
  • การได้ใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนฝูง
  • การได้ทำงานหรือทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ
  • การได้ช่วยเหลือผู้อื่น
  • การได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ

 

คำแนะนำในการแสวงหาความสุข


 

ในการแสวงหาความสุข เราควรทำอย่างสม่ำเสมอ และควรเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ใกล้ตัวก่อน ไม่จำเป็นต้องรอให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบก่อนจึงจะเริ่มแสวงหาความสุข เพียงแค่เรารู้จักมองหาและใส่ใจความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบตัว เราก็จะมีความสุขมากขึ้นได้

 

ตัวอย่างกิจกรรมที่ส่งเสริมความสุข

 

นอกจากแนวทางในการแสวงหาความสุขที่กล่าวมาแล้ว ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่ส่งเสริมความสุข เช่น

 

  • การใช้เวลากับธรรมชาติ เช่น การเดินป่า นั่งสมาธิ ฟังเสียงนกร้อง ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ และมีความสุข
  • การสร้างสรรค์ผลงาน เช่น การวาดรูป เขียนหนังสือ แต่งเพลง ทำให้เรารู้สึกภูมิใจ ประสบความสำเร็จ และมีความสุข
  • การช่วยเหลือผู้อื่น การช่วยเหลือผู้อื่นทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า และมีความสุข

 

ขอให้ทุกคนมีความสุขนะคะ

 

 


 

 

บทความโดย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิชญา ไชยวุฒิกรณ์วานิช

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม

 

คณะจิตวิทยาขอแสดงความยินดีกับ รศ. ดร.เรวดี วัฒฑกโกศล ที่ได้รับกำหนดตำแหน่งทางวิชาการในระดับรองศาสตราจารย์

 

คณะจิตวิทยาขอแสดงความยินดีกับ รองศาสตราจารย์ ดร.เรวดี วัฒฑกโกศล อาจารย์ประจำคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในโอกาสที่ได้รับกำหนดตำแหน่งทางวิชาการในระดับรองศาสตราจารย์ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565

ภาวะสะเทือนใจอย่างรุนแรง – Post-traumatic stress disorders

 

 

ความสะเทือนใจ (trauma) คือ ความรู้สึกตกใจหรือสั่นสะเทือนขวัญที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อจิตใจเป็นเวลานาน

 

ภาวะสะเทือนใจอย่างรุนแรง (Post-traumatic stress disorders) คือ ภาวะกระทบกระเทือนใจอันเนื่องมาจากความกลัว ความตกใจ ความฝังใจจากเหตุการณ์วิกฤตที่รุนแรง หรือความสูญเสียอย่างกะทันหัน ผลอันเกิดจากความสะเทือนใจซึ่งอาจสังเกตได้ไม่เด่นชัด แต่มีผลเรื้อรังในระยะยาวทั้งต่อสภาวะจิตใจ ทัศนคติ การมองโลก รวมถึงการปรับตัวและการมีสุขภาวะที่เหมาะสมในสังคม

 

ภายหลังเหตุการณ์วิกฤตหรือเหตุการณ์ความสูญเสียที่รุนแรงต่าง ๆ บุคคลจะมีความรู้สึกสะเทือนใจนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์จนถึงระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งใน คู่มือวินิจฉัยทางจิตเวช 4 (DSM-IV) กำหนดว่าเป็นภาวะความสะเทือนใจอย่างรุนแรงเฉียบพลัน แต่ในฉบับปรับปรุง (DSM-IV-TR) ได้เปลี่ยนแปลงและเรียกอาการในระยะ 3 เดือนแรกว่า trauma หรือความสะเทือนใจ ซึ่งผู้ที่มีอาการดังกล่าวจะฟื้นตัวได้ภายในช่วง 3 เดือนแรก และเรียกอาการความสะเทือนใจที่คงอยู่นานหลัง 3 เดือนว่าเป็น Post-traumatic stress disorders (PTSD) ซึ่งใน DSM-IV ฉบับก่อนหน้านี้กำหนดว่าเป็นภาวะความสะเทือนใจเรื้อรัง

 

 

อาการ


 

เกณฑ์การวินิจฉัยอาการทางจิตเวชในคู่มือการวินิจฉัยได้จำแนกอาการของภาวะสะเทือนใจอย่างรุนแรงไว้ 3 กลุ่มอาการคือ

 

  1. การย้อนเห็นภาพเหตุการณ์ (Intrusion) การคิดถึง ย้อนระลึกถึงซ้ำ ๆ ฝันร้ายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และรู้สึกทุกข์ใจอย่างยิ่งเมื่อพบสิ่งที่สะกิดใจหรือทำให้นึกถึงเหตุการณ์นั้นๆ
  2. การหลีกเลี่ยงสิ่งเร้าที่ทำให้หวนนึกถึงเหตุการณ์และหลีกเลี่ยงความรู้สึกที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ (Dissociation) บางทีก็เรียกลักษณะนี้ว่าการตัดความรู้สึกหรือการหลีกเลี่ยงความรู้สึก มีการหลีกหนี ไม่เผชิญหรือพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้ระลึกถึงเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกัน มีการระงับไม่รับรู้และแสดงความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการผ่านเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกสะเทือนใจ พยายามหลีกเลี่ยงผู้คนหรือสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกัน
  3. มีปฏิกิริยาไวในการระแวดระวังและตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เกินระดับปกติ (Hyperarousal) โดยแสดงอาการตื่นตัว สะดุ้งบ่อยกว่าปกติ นอนหลับยาก ตั้งสมาธิลำบาก และมีอารมณ์หงุดหงิดแปรปรวนง่าย

 

 

สาเหตุของอาการ


 

 

1. ปัจจัยภายนอกตัวบุคคล

 

คือลักษณะเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความสะเทือนใจ ซึ่งอาจเป็นเหตุการณ์ที่อยู่นอกวิสัยที่พบได้ตามปกติ เช่น สงคราม ที่มีทหารผ่านศึกหลายนายที่ทนทุกข์จากภาวะสะเทือนใจรุนแรง (แต่ทหารส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีอาการนี้) รวมถึงเหตุวิกฤตซึ่งเกิดเป็นปกติในช่วงชีวิต เช่น การหย่าร้าง การตายของคู่ชีวิต ความล้มเหลวในงาน การแท้งบุตร ความเจ็บป่วย และเหตุการณ์วิกฤตรุนแรงอื่น ๆ เช่น ภัยธรรมชาติต่าง ๆ ไฟไหม้ วินาศกรรม อุบัติเหตุ อาชญากรรม เป็นต้น อาจกล่าวได้ว่า ภาวะสะเทือนใจอย่างรุนแรงเกิดขึ้นได้จากเหตุการณ์หลากหลายเหตุการณ์ที่มีความรุนแรง ไม่คาดฝัน และก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินในระดับต่าง ๆ ต่อผู้ประสบเหตุการณ์

 

2. ปัจจัยภายในตัวบุคคล

 

คือ ปฏิกิรยาตอบสนองส่วนตัวของผู้ประสบเหตุการณ์ หากผู้ประสบเหตุการณ์มีความรู้สึกโดยส่วนตัวอย่างเข้มข้นว่าเหตุการณ์นั้นคุกคามต่อชีวิตและร่างกาย อาจทำให้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บได้ รู้สึกหวาดกลัวและตกใจอย่างที่สุด ประจวบกับความรู้สึกสิ้นหวัง ท้อแท้ ไร้ทางออก การรับรู้เช่นนี้มีความสัมพันธ์กับภาวะสะเทือนใจอย่างรุนแรงในระดับสูง

 

ทั้งนี้ มีงานวิจัยจำนวนมากที่พยายามศึกษาถึงปัจจัยเสี่ยงและตัวแปรต่าง ๆ ที่ส่งผลให้บุคคลได้รับผลจากเหตุการณ์วิกฤตและความสูญเสียลักษณะเดียวกันแตกต่างกัน พบว่า ตัวแปรที่ทำให้บุคคลมีความเสี่ยงต่ออาการดังกล่าว คือ ตัวแปรด้านบุคลิกภาพ และการคิด โดยปัจจัยด้านการคิดอย่างหนึ่งคือ ลักษณะการอนุมานสาเหตุ หรือลักษณะที่บุคคลมักใช้ในการหาเหตุผลเมื่อพบเหตุการณ์ร้าย ๆ ในชีวิต อาทิ แนวโน้มคิดโทษตนเอง การมองว่าเหตุการณ์เลวร้ายจะคงอยู่เช่นนั้นต่อไป และคิดแผ่ขยายประสบการณ์ที่ไม่ดีไปสู่เหตุการณ์อื่น ๆ และด้านอื่น ๆ ในชีวิต แทนที่จะมองว่าเป็นความบังเอิญหรือเป็นเหตุการณ์เฉพาะ

 

 

 

ข้อมูลจาก

 

“ประสบการณ์ความสะเทือนใจของผู้ประสบเหตุการณ์ไฟไหม้ : กรณีศึกษาชุมชนในเขตบางยี่ขัน” โดย ธีร์จุฑา จรัสโยธินนุวัฒน์ (2547) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/78

 

Cognitive reserve: การป้องกันและชะลอผลกระทบที่เกิดจากภาวะสมองเสื่อม

 

ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มตัว ประชากรในประเทศไทยประกอบไปด้วยผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป เกิน 10% ของประชากรทั้งหมด และคาดว่าสัดส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นจะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 28% ภายใน 10 ปีข้างหน้า (WHO, 2023)

 

หนึ่งในโรคอันดับต้น ๆ ที่มักพบในผู้สูงวัยทั่วโลกคือโรคภาวะสมองเสื่อม (dementia) เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมถอยของสมองในส่วนของการทำงานขั้นสูง ที่มีความรุนแรงมากจนมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ภาวะสมองเสื่อมอาจเกิดจากหลายสาเหตุ รวมถึงโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease) โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดการทำลายเซลล์สมอง ภาวะสมองเสื่อมส่งผลต่อกระบวนการรู้คิด (cognitive functions) ขั้นสูงในหลาย ๆ ด้านที่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น ความจำ (memory) การพูดและการเข้าใจภาษา (language processing) การรับรู้ระยะและทิศทาง (visuospatial processing) และการแสดงออกทางพฤติกรรม (behavior) และอารมณ์ (mood)

 

ปัจจุบันยังไม่มียาหรือวิธีทางการแพทย์ที่สามารถรักษาโรคภาวะสมองเสื่อมให้หายขาด สิ่งที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบของโรคนี้จึงเป็นการค้นหาวิธีที่จะเลื่อนเวลาของการดำเนินโรคภาวะสมองเสื่อม เพื่อขยายระยะเวลาที่บุคคลยังสามารถใช้กระบวนการรู้คิดของตนอย่างสมบูรณ์ให้นานที่สุดในช่วงระยะแรก ๆ ของการเสื่อมถอยของสมอง แม้ว่าสุดท้ายแล้วยังต้องเผชิญกับโรคนี้อยู่ดี

 

 

Cognitive reserve


 

งานวิจัยที่ศึกษาการการทำงานของสมองที่เปลี่ยนแปลงจากความชราหรือโรคทางระบบประสาทพบผลวิจัยที่น่าสนใจ คือ ผู้สูงวัยสองคนอาจมีภาวะเสื่อมถอยในสมองในระดับคล้าย ๆ กัน แต่ผู้สูงวัยสองคนนี้อาจมีความสามารถทางกระบวนการรู้คิดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เช่น ผู้สูงวัย ก. อาจมีความสามารถทางกระบวนการรู้คิดที่เปลี่ยนไปอย่างมากหลังจากการเสื่อมถอยของสมอง ในขณะที่ผู้สูงวัย ข. อาจมีความสามารถทางกระบวนการรู้คิดที่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสมองของแต่ละบุคคลมีสมรรถภาพในการรับมือกับการเสื่อมถอยของสมองในระดับที่แตกต่างกัน

 

การที่ผู้สูงวัยบางคนสามารถต้านผลกระทบของภาวะสมองเสื่อมได้ดีกว่าผู้สูงวัยคนอื่น ๆ อาจเป็นเพราะผู้สูงวัยเหล่านั้นมีสมรรถภาพสำรองของกระบวนการรู้คิด (cognitive reserve) ในปริมาณที่มากกว่าผู้อื่น (Stern, 2009, 2012) บุคคลที่มี cognitive reserve สูงจะมีลักษณะแตกต่างเมื่อเทียบกับบุคคลที่มี cognitive reserve ต่ำ ในสองประการหลักดังนี้ (ดังที่แสดงในภาพที่ 1)

  1. จุดเปลี่ยนของความสามารถทางกระบวนการรู้คิดที่ลดลงจากการเสื่อมถอยของสมอง จะเกิดขึ้นช้ากว่า ในบุคคลที่มี cognitive reserve สูง
  2. บุคคลที่มี cognitive reserve สูงจะได้รับการวินิจฉัยโรคภาวะสมองเสื่อมในเวลาที่ช้ากว่า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดความเสื่อมถอยของสมองที่ค่อนข้างรุนแรงแล้ว

 

 

ภาพที่ 1. ระดับ cognitive reserve มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างความเสื่อมถอยของสมองและความสามารถทางกระบวนการรู้คิดที่เปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลา

 

 

เนื่องจาก cognitive reserve ไม่สามารถวัดได้โดยตรง และเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตามประสบการณ์ตลอดช่วงชีวิต งานวิจัยส่วนมากศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นบุคคลที่ได้รับการวินิจฉัยโรคภาวะสมองเสื่อมแล้ว และรวบรวมข้อมูลเชิงประชากรเพื่อวิเคราะห์หาตัวแปรที่สามารถทำนายการดำเนินโรคภาวะสมองเสื่อมและคะแนนความสามารถทางกระบวนการรู้คิดของบุคคลเหล่านี้ ส่วนงานวิจัยอื่น ๆ ศึกษาผู้สูงวัยที่มีสุขภาพดีเป็นกลุ่มตัวอย่าง และวิเคราะห์ตัวแปรที่สามารถทำนายคะแนนความสามารถทางกระบวนการรู้คิด งานวิจัยเหล่านี้ทางระบาดวิทยาพบว่าปัจจัยทางวิถีการใช้ชีวิตในหลาย ๆ ด้านมีความสัมพันธ์กับปริมาณ cognitive reserve ของแต่ละบุคคล ปัจจัยเหล่านี้ร่วมช่วยชะลอผลกระทบต่อกระบวนการรู้คิดที่เกิดจากภาวะสมองเสื่อม และอาจช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้ด้วย

 

  1. ความสามารถทางสติปัญญา (IQ)
    ก่อนเกิดความเสื่อมถอยของสมอง บุคคลที่มีคะแนน IQ สูงมีความเสี่ยงน้อยกว่าต่อการเป็นโรคภาวะสมองเสื่อมเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่มีคะแนนน้อยกว่า งานวิจัยโดย Whalley และคณะ (2000) พบว่าคะแนน IQ ที่วัดเมื่ออายุ 11 ขวบ (ในปี 1932) สามารถทำนายโอกาสที่บุคคลเหล่านี้จะได้รับการวินิจฉัยโรคภาวะสมองเสื่อมในวัยชรา และบุคคลเหล่านี้มีความสามารถทางกระบวนการรู้คิดในระดับที่ดีกว่าคาดคิดเมื่อเปรียบเทียบกับความเสื่อมถอยของสมอง ซึ่งชี้ว่าสมองของบุคคลที่มี IQ สูงสามารถต้านทานผลเสียของการเสื่อมถอยของสมองได้ดีกว่า
  2. ระดับการศึกษาและความสำเร็จด้านอาชีพ
    การศึกษาเป็นประสบการณ์ที่เสริมสร้างการเชื่อมโยงในเครือข่ายเซลล์สมอง และอีกหนึ่งประสบการณ์ชีวิตที่ท้าทายความสามารถของกระบวนการรู้คิดก็คือความสำเร็จด้านอาชีพ เช่น การทำอาชีพที่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษานอกเหนือจากการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีงานวิจัยหลายชิ้นที่สนับสนุนว่าทั้งสองปัจจัยนี้สามารถชะลอการดำเนินโรคภาวะสมองเสื่อม และมีงานวิจัยที่พบว่าผลประโยชน์นี้ไม่ได้จำกัดแค่ในผู้ที่มีการศึกษาระดับสูง แต่การศึกษาเพียงไม่กี่ปีก็สามารถเพิ่มปริมาณ cognitive reserve ได้ (Farfel et al., 2013) การที่คุณสามารถอ่านบทความนี้ได้หมายความว่าคุณมีทักษะการอ่านเขียนที่ได้ฝึกฝนมาจากการศึกษาตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งทักษะนี้มีส่วนช่วยส่งเสริม cognitive reserve ให้มีปริมาณที่สูงกว่าบุคคลที่ไม่ได้มีความสามารถนี้ (Manly et al., 2003)
  3. การทำกิจกรรมนันทนาการในช่วงสูงวัย
    ก็มีส่วนช่วยเพิ่มปริมาณ cognitive reserve ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมที่ท้าทายกระบวนการรู้คิด เช่น การอ่านหนังสือพิมพ์ การเล่นบอร์ดเกมส์ การเล่นเครื่องดนตรี และการเรียนหลักสูตรที่ส่งเสริมความรู้ในด้านต่าง ๆ และกิจกรรมทางสังคม เช่น การนัดเจอสังสรรค์กับเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้อง โดยผู้สูงวัยที่ทำกิจกรรมเหล่านี้มากกว่าจะมีโอกาสน้อยกว่าที่จะได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคภาวะสมองเสื่อม ประมาณ 38% เมื่อเทียบกับผู้สูงวัยที่ทำกิจกรรมเหล่านี้น้อยกว่า (Scarmeas et al., 2001) และงานวิจัยนี้ก็พบว่าสิ่งที่สำคัญคือจำนวนและความถี่โดยรวมในการทำกิจกรรมทั้งสองหมวดนี้ การมุ่งทำเพียงกิจกรรมประเภทใดประเภทหนึ่งไม่ได้ส่งผลต่อโอกาสที่จะเป็นโรคภาวะสมองเสื่อมในเวลาต่อมา
  4. การออกกำลังกาย
    โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่เน้นการหายใจเข้าออกเพื่อให้หัวใจและหลอดเลือดเกิดการสูบฉีดอาจช่วยเพิ่มปริมาณ cognitive reserve ได้เช่นกัน ผู้สูงวัยที่ออกกำลังกายตามเกณฑ์ที่แพทย์แนะนำมีโอกาสน้อยกว่าที่จะได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคภาวะสมองเสื่อม ประมาณ 20% เมื่อเทียบกับผู้สูงวัยที่ออกกำลังกายน้อยกว่า (Cheng, 2016; Klil-Drori et al., 2022) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ที่อเมริกาแนะนำให้ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปออกกำลังกายในระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่ออาทิตย์ เช่น การเดินเร็ว 30 นาทีต่อวัน เป็นระยะเวลา 5 วันต่ออาทิตย์

 

 

ข้อสรุป


สุขภาพของสมองและการทำงานของสมองของแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้านที่สั่งสมมาตลอดชีวิต ซึ่งรวมถึงปัจจัยที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น การมีพันธุกรรมที่เสี่ยงต่อโรคภาวะสมองเสื่อม และ ความสามารถทางสติปัญญา อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือเราสามารถควบคุมวิธีการดำเนินชีวิตของเราที่จะช่วยส่งเสริมสุขภาพสมองของเราให้ดีที่สุด โดยการทำกิจกรรมที่กระตุ้นความสนใจ ความท้าทายทางสมอง การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และระบบไหลเวียนโลหิต ซึ่งการกระตุ้นในด้านต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนจะช่วยสั่งสมปริมาณ cognitive reserve ที่เรามี

 

  • ทำกิจกรรมนันทนาการที่ทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน อย่างต่อเนื่อง
  • ทำกิจกรรมที่ท้าทายสมอง รวมถึงการลงมือทำกิจกรรมใหม่ ๆ ที่คุณไม่เคยทำ
  • สานสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับครอบครัวและเพื่อนฝูง หมั่นติดต่อกันและนัดพบกันอยู่เรื่อย ๆ
  • ออกกำลังกายในระดับปานกลางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการดูแลสุขภาพหัวใจและสุขภาพสมองไปในตัว

 

ไม่มีคำว่า ‘เร็วเกินไป’ หรือ ‘สายเกินไป’ ที่จะดูแลสุขภาพสมองของเราตามคำแนะนำเหล่านี้ และการทำกิจกรรมหลากหลายอย่างจะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพสมองเมื่อเทียบกับการทำกิจกรรมในด้านใดด้านเดียว สุดท้ายนี้ ขอเป็นกำลังใจให้กับทุก ๆ คนในการดูแลสุขภาพสมองของตนเอง เพื่อการใช้ชีวิตในวัยสูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพและห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บ

 

 

 

รายการอ้างอิง

 

Barulli, D., & Stern, Y. (2013). Efficiency, capacity, compensation, maintenance, plasticity: emerging concepts in cognitive reserve. Trends in Cognitive Sciences, 17(10), 502-509.

 

Cheng, S. T. (2016). Cognitive reserve and the prevention of dementia: the role of physical and cognitive activities. Current Psychiatry Reports, 18, 1-12.

 

Farfel, J. M., Nitrini, R., Suemoto, C. K., Grinberg, L. T., Ferretti, R. E. L., Leite, R. E. P., … & Brazilian Aging Brain Study Group. (2013). Very low levels of education and cognitive reserve: a clinicopathologic study. Neurology, 81(7), 650-657.

 

Klil-Drori, S., Cinalioglu, K., & Rej, S. (2022). Brain health and the role of exercise in maintaining late-life cognitive reserve: a narrative review providing the neuroprotective mechanisms of exercise. The American Journal of Geriatric Psychiatry, 30(4), S72.

 

Manly, J. J., Touradji, P., Tang, M. X., & Stern, Y. (2003). Literacy and memory decline among ethnically diverse elders. Journal of Clinical and Experimental Neuropsychology, 25(5), 680-690.

 

Scarmeas, N., Levy, G., Tang, M. X., Manly, J., & Stern, Y. (2001). Influence of leisure activity on the incidence of Alzheimer’s disease. Neurology, 57, 2236–2242.

 

Stern, Y. (2009). Cognitive reserve. Neuropsychologia, 47(10), 2015-2028.

 

Stern, Y., (2012). Cognitive reserve in ageing and Alzheimer’s disease. The Lancet Neurology, 11(11), 1006-1012.

 

Whalley, L.J., Starr, J.M., Athawes, R., Hunter, D., Pattie, A., & Deary, I.J. (2000). Childhood mental ability and dementia. Neurology, 55, 1455–1459.

 

World Health Organization. (2023, February 9). Thailand’s leadership and innovations towards healthy ageing. https://www.who.int/southeastasia/news/feature-stories/detail/thailands-leadership-and-innovation-towards-healthy-ageing

 

 

 

บทความโดย

 

อาจารย์ ดร.สุภสิรี จันทวรินทร์

ประธานแขนงวิชาจิตวิทยาปริชาน

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University