News & Events

วุฒิภาวะทางจิตสังคม – Psychosocial maturity

 

 

 

 

วุฒิภาวะทางจิตสังคม (Psychosocial maturity) หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการคิดตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมกับความเป็นผู้ใหญ่

 

วุฒิภาวะทางจิตสังคมเป็นตัวแปรทางจิตวิทยาที่แสดงให้เห็นถึงการมีบุคลิกภาพและสุขภาวะทางจิตที่ดี และยังเป็นตัวแปรด้านสังคมที่ทำให้บุคคลสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ วุฒิภาวะทางจิตสังคมอยู่บนพื้นฐานทฤษฎีของ Erikson กล่าวคือ ถ้าบุคคลสามารถผ่านช่วงวิกฤตของชีวิตไปได้ด้วยดีก็จะส่งผลให้มีการเปลี่ยนผ่านสู่ช่วงวัยถัดไปได้อย่างประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังมีความสำคัญในการวัดการประสบความสำเร็จในชีวิต

 

 

วุฒิภาวะทางจิตสังคมมี 7 องค์ประกอบ


 

  1. ความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง (Self-reliance) หมายถึง ความสามารถในการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง เพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ สามารถริเริ่มและเป็นที่พึ่งให้แก่คนรอบข้างได้
  2. การรู้จักตนเอง (Identity) หมายถึง การรู้จักอุปนิสัยของตนเอง อัตลักษณ์ ความสนใจหรือความต้องการของตนเอง และให้คุณค่ากับสิ่งนั้น
  3. ความรับผิดชอบในการทำงาน (Work responsibility) หมายถึง ความสามารถในความมุ่งมั่นต่อการทำงาน รับผิดชอบต่องานที่ตนเองได้รับมอบหมาย และแสดงความคิดเห็นระหว่างการทำงานได้อย่างเหมาะสม
  4. การคำนึงถึงผลกระทบในอนาคต (Consideration of future consequence) หมายถึง ความสามารถในการคาดคะเนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากการกระทำหรือความคิดของตนเอง เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย และวางแผนสู่เป้าหมายของตนเองในอนาคต
  5. การคำนึงถึงผู้อื่น (Consideration of others) หมายถึง ความสามารถในการคิดหรือเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ ในมุมมองของผู้อื่น เห็นอกเห็นใจ ไม่เห็นแก่ตัว และช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม
  6. การควบคุมอารมณ์หุนหันพลันแล่น (Impulse control) หมายถึง ความสามารถในควบคุมอารมณ์ภายในของตนเอง ไม่หุนหันทำตามสัญชาตญาณ มีการคิดไตร่ตรองก่อนการกระทำเสมอ
  7. การยับยั้งความก้าวร้าว (Suppression of aggression) หมายถึง ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมก้าวร้าวของตนเองให้แสดงออกอย่างเหมาะสม ไม่ทำร้ายบุคคลรอบข้างเมื่อโกรธ

 

 

อายุมีความสัมพันธ์กับวุฒิภาวะทางจิตสังคม โดยงานวิจัยพบว่ากลุ่มวัยผู้ใหญ่จะมีวุฒิภาวะทางสังคมมากกว่า และตัดสินใจเข้าสังคมมากกว่ากลุ่มวัยรุ่น โดยวุฒิภาวะทางจิตสังคมอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปมาได้ในช่วงอายุ 16-19 ปี และจากการศึกษาเรื่องความคิดความเข้าใจ (cognition) และวุฒิภาวะทางจิตสังคม ใน 11 ประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย พบว่า ความคิดเข้าใจเข้าจะเกิดขึ้นราว ๆ อายุ 16 ปี แต่วุฒิภาวะทางจิตสังคมจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่ออายุประมาณ 18 ปี

 

ในการศึกษาระยะยาว (longitudinal study) ในวัยรุ่นอันธพาลและติดตามผลไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ พบว่า วัยรุ่นที่มีวุฒิภาวะทางจิตสังคมต่ำจะมีปัญหาพฤติกรรมในการแยกตัวจากสังคมสูง (antisocial behavior) และเมื่อติดตามผลไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ พบว่า บุคคลมีวุฒิภาวะทางจิตสังคมสูงขึ้นจะเริ่มมีการเข้าสังคมมากขึ้น กลับกันผู้ที่ยังคมมีวุฒิภาวะทางจิตสังคมต่ำ จะยิ่งขาดทักษะการควบคุมอารมณ์ มีความก้าวร้าว มุมมองความคิดไม่กว้างไกล และยังคงมีปัญหาพฤติกรรม

 

นอกจากนี้ มีงานวิจัยที่พบว่าการเลี้ยงดูของพ่อแม่ มีความสัมพันธ์ทางบวกต่อวุฒิภาวะทางจิตสังคม กล่าวคือ หากลูกรับรู้ถึงการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่เหมาะสม ทั้งการได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่และการได้รับอิสระในการคิดหรือทำสิ่งต่าง ๆ จากพ่อแม่ จะช่วยส่งเสริมให้ลูกมีวุฒิภาวะทางจิตสังคม ทั้งยังช่วยลดพฤติกรรมเสี่ยง ๆ ที่เป็นปัญหาได้อีกด้วย

 

 

 

 

ข้อมูลจาก

“ความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนบทบาท การเลี้ยงดูของพ่อแม่ และการรับรู้ความคาดหวังของพ่อแม่ ต่อวุฒิภาวะทางจิตสังคม ในผู้ใหญ่แรกเริ่ม” โดย ณิชมน กาญจนนิยต (2562) – https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/69650

 

 

 

พิธีตักบาตรของจุฬาฯ เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2567

 

เมื่อวันศุกร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2567 บุคลากรคณะจิตวิทยา นำโดย ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา เข้าร่วมพิธีตักบาตรพระสงฆ์จำนวน 60 รูป เนื่องในโอกาสขึ้นพุทธศักราชใหม่ 2567 ณ ลานพระศรีมหาโพธิ์ หน้าอาคารจามจุรี 4

 

ในพิธีการนี้มีกรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้บริหารมหาวิทยาลัย ตัวแทนจากคณะ สถาบัน สำนักงาน ศูนย์ สำนัก และนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเข้าร่วมกันอย่างอบอุ่น โดย ศ.(กิตติคุณ) นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล นายกสภามหาวิทยาลัย และ ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาฯ ได้กล่าวให้โอวาทและอวยพรปีใหม่แก่ประชาคมจุฬาฯ

 

 

สวัสดีปีใหม่ 2567 นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

 

เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2567 คณะจิตวิทยา นำโดย ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา เข้าพบนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.กิตติคุณ นายแพทย์ ภิรมย์ กมลรัตนกุล เพื่อสวัสดีปีใหม่ พุทธศักราข 2567

 

 

พิธีทำบุญตักบาตร วันสถาปนาคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ

 

 

เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2567 คณะจิตวิทยา เข้าร่วมพิธีตักบาตรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2567 และวันสถาปนาคณะอักษรศาสตร์ครบรอบ 107 ปี และร่วมแสดงความยินดีกับคณะอักษรศาสตร์ ณ อาคารมหาจักรีสิรินธร

 

 

 

 

พิธีตักบาตรต้อนรับพุทธศักราชใหม่ พ.ศ. 2567 โดยกลุ่มคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ

 

 

เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2567 กลุ่มคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ ประกอบด้วย คณะจิตวิทยา คณะพยาบาลศาสตร์ คณะสหเวชศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดให้มีพิธีตักบาตรต้อนรับพุทธศักราชใหม่ พ.ศ. 2567 ณ ลานสนามหน้าอาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ โดยมีคณะและหน่วยงานต่าง ๆ ในจุฬาฯ กว่า 20 หน่วยงาน เข้าร่วมพิธีตักบาตรกันอย่างอบอุ่น

 

 

 

 

 

 

 

เพลงจะพาวัยรุ่นเติบโตไปทางไหน?

 

จากการสำรวจในช่วงปี ค.ศ. 2004-2009 ของ Rideout และคณะ (2010) ได้ผลว่า วันรุ่นทั่วโลกใช้เวลาเฉลี่ยกับการฟังเพลง ประมาณ 3 ชม./วัน และเชื่อว่าด้วยเทคโนโลยี 20 กว่าปีผ่านไป อินเทอร์เน็ตก็มี online streaming ก็มา น่าจะทำให้เพลงหาฟังได้ง่ายขึ้น และใช้เวลาได้มากกว่าเดิม ไม่ว่าจะตอนเดินทาง ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ เล่นเกม ปาร์ตี้สังสรรค์ ฯลฯ ก็น่าจะมีเพลงอยู่ร่วมด้วยไม่มากก็น้อย

 

ถ้าหากนึกถึงทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการอย่าง Psychosocial stages ของ Erikson ในช่วงวัยรุ่นที่เป็นขั้น Identity vs. Role Confusion ซึ่งมีเนื้อหาส่วนหนึ่งเกี่ยวกับพฤติกรรมและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงวัยนี้จะมีผลในการหล่อหลอม สร้างแบบแผนพฤติกรรม เรียนรู้ตัวเอง มากกว่าวัยอื่น ๆ ดังนั้นแล้วถ้าหากวัยรุ่นฟังเพลงเยอะกว่าวัยอื่น ๆ เพลงก็น่าจะมีบทบางอะไรบางอย่างกับพัฒนาการของวัยรุ่น ก็เลยจะมาชวนดูว่านักจิตวิทยาได้กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัยรุ่นกับเพลงในแง่ใดบ้าง

 

ในเชิงวิวัฒนาการมนุษย์ เพลง-ดนตรี มีบทบาทในการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคม บทบาทโดยทั่วไปของเพลงที่เกิดขึ้น ก็จะมีทั้งการกระตุ้นร่างกาย (physical arousal) สื่อสารอารมณ์ (communicating emotions) กำกับอารมณ์ (emotional regulation) แต่หากพูดถึงเพลงที่ได้รับในช่วงวัยรุ่น นักวิจัยบางส่วนเสนอว่ามีบทบาทเป็นตัวแบบในการสร้างกลุ่มพันธมิตร และพฤติกรรมการเกี้ยวพาราสี (mating) (Fu et al., 2023) ดังนั้นการจีบกันด้วยเพลง หรือใช้บทตามหนัง-ละคร ในช่วงวัยมัธยม ก็คือการทดลองตัวแบบหลาย ๆ แบบ หลาย ๆ ตัวตน เพื่อหาตัวตนที่ประสบความสำเร็จในการสร้างสัมพันธ์กับเป้าหมาย หรือตัวตนที่คิดว่าตรง/เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด

 

ในช่วงวัยรุ่น “กลุ่ม” ก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างตัวตน แต่ในสภาพแสดล้อมทั่วไปอย่างชั้นเรียน กลุ่มก็มักจะเป็น เพื่อนที่อยู่ในปีเดียวกัน อาจจะรวมตัวกันด้วยกิจกรรมการเรียน การเล่น การเดินทางกลับบ้าน ชมรม ฯลฯ การมีแนวเพลงหรือกิจกรรมดนตรีที่ชอบ นอกจากจะได้ตัวแบบเพิ่มเติมจาก แนวดนตรี-เนื้อหาของเพลง พฤติกรรมของตัวศิลปิน การที่วัยรุ่นระบุตัวตนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มแฟนเพลง และได้มีปฏิสัมพันธ์ ไม่ว่าจะทาง offline หรือ online การที่มีความชอบอย่างใดอย่างหนึ่งตรงกันแล้ว (ในที่นี้หมายถึงเพลง) ก็จะง่ายที่วัยรุ่นจะอนุมานไปยังค่านิยม หรือไลฟ์สไตล์ อื่น ๆ ที่น่าจะตรงกัน เมื่ออนุมานอย่างนั้นแล้วก็จะทำให้ผูกพันกันได้ง่าย เมื่อใช้เวลาและมีประสบการณ์ร่วมกันมากขึ้นก็จะมีรูปแบบการสื่อสาร หรือความเข้าใจเรื่องราว หรือมุกตลกเฉพาะกลุ่ม (Clark & Lonsdale, 2023)

 

ถ้านึกเล่น ๆ ปัจจุบันกลุ่มเกี่ยวกับดนตรีที่เป็นไปได้ในช่วงวัยรุ่นก็มีหลากหลาย กลุ่มดุริยางค์ กลุ่มดนตรีไทย-นาฏศิลป์ กลุ่มวง Band ที่พบเห็นได้ง่ายในโรงเรียน กลุ่มเต้นโคฟเวอร์ รวมไปถึงกลุ่มแฟนคลับ โอตะ ติ่ง ฯลฯ แต่ละกลุ่มก็จะมีผู้นำกลุ่มเป็นคนที่มีประสบการณ์มากกว่า อย่าง ครู-อาจารย์ รุ่นพี่ หรือกลุ่มคนที่พร้อมจะทุ่มเทเวลาในการทำกิจกรรมกลุ่มมากกว่าในการ คิด ทำ ประสาน ระดมทุน ทำโปรเจกต์ใด ๆ ให้ศิลปินที่ชื่นชอบ ก็จะมีกระบวนการคล้าย ๆ การทำงาน วัยรุ่นในกลุ่มที่ได้มีปฏิสัมพันธ์ สังเกตเรียนรู้ผู้คนในกลุ่มที่มีอายุหรือประสบการณ์มากกกว่า ก็มีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานและอาชีพเพิ่มเติมด้วย

 

ตาม Social identity theory การที่มนุษย์สามารถบรรจุตัวเองเข้าไปในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แนวคิดของกลุ่มก็จะมีผลในการสร้างแนวคิดเกี่ยวกับตนเอง (self-concept) ของสมาชิก (Tajfel & Turner, 1986) สมาชิกมักต้องการพัฒนาภาพลักษณ์ของตนเอง (self-image) ในรูปแบบที่เป็นที่ชื่นชอบยอมรับของกลุ่มที่สังกัด ซึ่งก็สามารถสร้าง การเห็นคุณค่าตัวเอง (self-esteem) ในวัยรุ่นได้ ในทางกลับกัน ถ้าศิลปินตัวแบบ หรือค่านิยมร่วมของกลุ่มถูกด้อยค่า จากสังคม หรือกลุ่มอื่น ก็มีโอกาสที่จะทำให้การเห็นคุณค่าตัวเองของวัยรุ่นลดลงง่ายกว่าช่วงวัยหลังจากนั้น

 

 

สำหรับบทความนี้ก็น่าจะขอจบแต่เพียงเท่านี้ โดยรวมก็คือ ดนตรีจะสร้างกลุ่มผู้ฟังหรือกลุ่มกิจกรรมดนตรีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการเป็นสมาชิกลุ่มและการได้รับการยอมรับจากกลุ่มก็เป็นพัฒนาการทั่วไปในช่วงวัยรุ่นอยู่แล้ว เพิ่มเติมคือสมาชิกกลุ่มมีหลายวัย และกลุ่มมีความซับซ้อนหลากหลายกว่ากลุ่มเพื่อนทั่วไปในโรงเรียน วัยรุ่นได้รับแบบอย่างจาก เนื้อหา-อารมณ์ของเพลง ตัวแบบจากศิลปิน ตัวแบบจากสมาชิกกลุ่ม ฯลฯ ในการสร้างแนวคิดเกี่ยวกับตนเอง (self-concept) รวมถึงอาจมีโอกาสได้ตัวแบบเกี่ยวกับอาชีพที่หลากหลายจากสมาชิกในกลุ่มด้วยซึ่งก็สำคัญต่อพัฒนาการทางอาชีพ และการตัดสินใจเกี่ยวกับอาชีพที่เกิดกับวัยรุ่นในช่วง มัธยมปลาย และมหาวิทยาลัยเช่นกัน

 

 

 

อ้างอิง

 

Clark, A. B., & Lonsdale, A. J. (2023). Music preference, social identity, and collective self-esteem. Psychology of Music, 51(4), 1119-1131.

 

Fu, J., Tan, L. K., Li, N. P., & Wang, X. (2023). Imprinting-like effects of early adolescent music. Psychology of Music, 03057356231156201.

 

Rideout, V. J., Foehr, U. G., & Roberts, D. F. (2010). Generation M2: Media in the lives of 8- to 18-year-olds. Henry J. Kaiser. Family Foundation. https://eric.ed.gov/?id=ED527859

 

Tajfel, H., & Turner, J. C. (1986). The social identity theory of intergroup behaviour. In S. Worchel & W. Austin (Eds.), Psychology of intergroup relations (pp. 7–24). Nelson-Hall.

 

 

 


 

 

บทความโดย

คุณณัฐนันท์ มั่นคง

นักจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ตั้งเป้าหมายอย่างไร ให้ทำได้ดังใจหวัง

 

คุณเป็นอีกคนหนึ่งหรือเปล่า ที่ได้ตั้งเป้าหมายถึงสิ่งดี ๆ ที่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองหรือคนใกล้ตัวในปีใหม่ ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะเล็กหรือใหญ่ ใกล้หรือไกลตัว ก็เป็นสิ่งดี ๆ ที่คุณอยากเติมเต็มให้กับตัวเองหรือส่วนรวม เช่น อยากดูแลรักษาสุขภาพตัวเองให้แข็งแรง หรืออยากมีจิตอาสาช่วยเหลือสังคม

 

สำหรับคุณที่ยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายใด ๆ ในปีใหม่ปีนี้เลย ยังไม่สายไปนะคะที่จะตั้งเป้าหมายให้กับตัวเอง ขอเพียงแต่คุณแบ่งเวลาสักนิด เพื่อคิดทบทวนว่ามีอะไรในแง่มุมต่าง ๆ ของชีวิต ที่คุณอยากเติมเต็มสิ่งดี ๆ ให้กับตัวเองค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การพัฒนาตัวเอง การศึกษา การทำงาน หรือจะเป็นการทำประโยชน์ให้กับส่วนร่วม ความเชื่อ ศาสนา ปรัชญา ค่านิยมที่มี หรืองานอดิเรกและการพักผ่อนหย่อนใจ

 

งานวิจัยที่ผ่านมาทั้งในและต่างประเทศ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การมีเป้าหมายจะเป็นเสมือนหลักชัยในการใช้ชีวิต ช่วยให้แต่ละวันของคุณมีความหมาย เติมพลังให้ชีวิตตื่นเต้นท้าทายยิ่งขึ้น ลองทบทวนสักนิดนะคะ แล้วมาดูกันว่าเราจะมีวิธีตั้งเป้าหมายอย่างไร ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดี ๆ เหล่านี้ได้

 

 

ขั้นตอนที่จะทำให้ก้าวไปสู่เป้าหมายเหล่านี้ง่ายยิ่งขึ้น


 

ขั้นแรก คือเมื่อคุณพบประเด็นที่อยากเติมเต็มให้กับตัวเองแล้ว ต้องหาทางพัฒนาให้ประเด็นนั้น ๆ กลายเป็นเป้าหมายกระจ่างชัดค่ะ ยิ่งชัดเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพื่อที่เราจะได้ทราบแน่ว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อจะได้ไปถึงเป้าหมายนั้น อีกทั้งจะได้ประเมินความคืบหน้าของเป้าหมายได้สะดวกอีกด้วย

 

ดังนั้น แทนที่จะตั้งเป้าหมายลอย ๆ ว่า “อยากจะดูแลสุขภาพตัวเอง” ให้ระบุไปเลยว่าเป็นสุขภาพด้านใดที่อยากเน้น และการดูแลนั้นจะทำได้อย่างไร

 

หากเป็นสุขภาพทางกาย เช่น เรื่องการรับประทานอาหาร ก็น่าจะกำหนดไปเลยว่าจะรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ และจะยิ่งดีหากจะบอกตัวเองเลยว่าอาหารที่ว่านั้นคืออะไร เป็นผักหรือผลไม้ จะรับประทานมากหรือน้อยเพียงใด และจะทานให้ได้กี่ครั้งภายในช่วงเวลาที่กำหนด

ดังนั้น จากเป้าหมายกว้าง ๆ ที่ว่า “อยากจะดูแลสุขภาพตัวเอง” คุณอาจจะตั้งเป้าหมายที่เจาะจงไปเลยว่า “จะรับประทานฝรั่งหรือแอปเปิลวันละหนึ่งลูก อย่างน้อยสามวันต่อสัปดาห์”

หรือหากคุณอยากเน้นเรื่องการออกกำลังกาย ก็อาจจะระบุว่า “จะไปฟิตเนสหลังเลิกงาน วันละครึ่งชั่วโมง สี่ครั้งต่อสัปดาห์” หากกำหนดชัดเจนได้ขนาดนี้จะช่วยให้คุณทราบแน่ชัดว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้ได้มาซึ่งสุขภาพที่แข็งแรง และง่ายต่อการทบทวนว่าคุณได้ทำตามเป้าหมายที่วางไว้ได้หรือไม่ มีอะไรที่ควรปรับปรุงเพื่อให้ทำได้ดีขึ้น

 

ประเด็นต่อมาก็คือ การตั้งเป้าหมายควรตั้งให้เหมาะสมกับตัวของคุณเอง แม้ฝรั่งหรือแอปเปิลจะเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ แต่หากไม่ใช่ผลไม้ที่คุณชื่นชอบ และคุณตั้งเป้าหมายว่าจะรับประทานเพียงเพราะได้ยินคำบอกเล่าถึงสรรพคุณจากเพื่อนฝูงว่ารับประทานแล้วดี ก็จะไม่ใช่เป้าหมายที่เหมาะสมกับตัวคุณ ขอให้เลือกเป้าหมายที่เป็นไปได้และเหมาะสมกับตัวคุณดีกว่าค่ะ

 

นอกจากนี้ เราควรตั้งเป้าหมายแบบค่อยเป็นค่อยไป บางครั้งช่วงแรก ๆ ของการตั้งเป้าหมาย เราจะฮึกเหิมมากเกินไป อาจจะฟิตมาก ๆ ตั้งเป้าหมาย “จะไปฟิตเนสหลังเลิกงานวันละสองชั่วโมงทุกวัน” ทั้งที่ไม่เคยออกกำลังมาก่อนเลย หรือไม่ได้มีฟิตเนสใกล้กับที่ทำงาน แต่ต้องเดินทางฝ่าการจราจรเป็นชั่วโมงกว่าจะไปถึงได้ หากเป็นเช่นนั้น แม้เป้าหมายจะชัดเจนมากพอ แต่ความเป็นไปได้ในการที่จะประสบความสำเร็จก็จะลดลง

 

ค่อยเป็นค่อยไปเถอะนะคะ อย่ากดดันตัวเองในการตั้งเป้าหมายเลย ค่อย ๆ เริ่มจากเป้าหมายที่พอทำได้สะดวกก่อน แล้วค่อยทวีความเข้มข้นก็ยังได้ เช่น อาจจะเริ่มออกกำลังกายสัปดาห์ละครั้งสองครั้งก่อนสำหรับผู้ที่ไม่เคยคุ้น แล้วค่อยเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้ไม่รวดเร็วทันใจ แต่เพิ่มโอกาสให้ตัวเองได้ประสบความสำเร็จ เรียกว่า ช้า ๆ แต่มั่นคงจะดีกว่าค่ะ

 

ประเด็นที่ขอเพิ่มเติมก็คือ ในการตั้งเป้าหมายนั้นควรมุ่งเน้นถึงสิ่งที่ต้องการทำ หรือตั้งเป้าหมายทางบวก มากกว่าที่จะตั้งเป้าหมายทางลบ หรือพยายามที่จะหลีกเลี่ยงไม่ทำอะไร

 

ลองเปรียบเทียบตัวอย่างของเป้าหมายแต่ละประเภทดูดีไหมคะ ตัวอย่างของเป้าหมายประเภทแรกหรือเป้าหมายทางบวก ก็คือเป้าหมายที่เราเคยพูดคุยกัน เช่น “จะรับประทานฝรั่งหรือแอปเปิลวันละหนึ่งลูก อย่างน้อยสามวันต่อสัปดาห์” ในขณะที่เป้าหมายทางลบนั้นอย่างเช่น “จะไม่รับประทานขนมหวานหรือของทานจุบจิบในสัปดาห์นี้”

 

เมื่อเทียบกันแล้ว โอกาสที่คุณจะรับรู้ถึงความสำเร็จของเป้าหมายแบบแรก หรือการรับประทานผลไม้ให้ครบกำหนดว่าเกิดขึ้นง่ายกว่าค่ะ เมื่อเทียบกับการตั้งเป้าหมายแบบที่สองซึ่งเป็นเป้าหมายทางลบ ที่คุณจะต้องคอยรู้สึกเกร็ง ระมัดระวังไม่แตะต้องของทานต้องห้ามที่ระบุเอาไว้ และหากเผลอไปทานเข้าเพียงครั้งเดียวก็นับได้ว่าล้มเหลวในการทำตามเป้าหมายไปเสียแล้ว

 

จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าปรากฏผลการวิจัยออกมาอย่างชัดเจนว่าการตั้งเป้าหมายในทางลบทำให้คนเราเกิดความรู้สึกวิตกกังวล และความรู้สึกนี้เองที่มีส่วนทำให้โอกาสที่เราจะทำตามเป้าหมายทางลบได้สำเร็จก็ยิ่งลดน้อยลงตามไปด้วย

 

เพราะฉะนั้นการตั้งเป้าหมายเพื่อจะทำสิ่งดี ๆ ในปีนี้ ขอให้คุณคิดว่าอยากจะทำอะไร แทนที่การคิดว่าจะห้ามตนเองไม่ให้ทำอะไรค่ะ แล้วคุณจะสามารถทำตามอย่างที่ตั้งใจไว้ได้ง่ายขึ้น

 

 

สุดท้ายนี้ เมื่อได้ตั้งเป้าหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โปรดอย่าหยุดแต่เพียงเท่านั้นค่ะ เป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะหาทางให้ตัวเองทำตามเป้าหมายที่วางไว้

 

การให้รางวัลตัวเองเมื่อทำตามเป้าหมายได้สำเร็จนับเป็นวิธีหนึ่งที่ควรพิจารณา นอกเหนือจากความภาคภูมิใจที่คุณจะได้รับจากการทำตามเป้าหมายแล้ว การให้รางวัลตัวเองเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เป็นสิ่งที่จะช่วยเสริมสร้างขวัญและกำลังใจค่ะ

 

นอกจากนี้ ยังเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องมีการทบทวนถึงความคืบหน้าของเป้าหมายที่วางไว้อยู่เสมอ เพื่อที่จะได้หาทางปรับเปลี่ยนว่า มีสิ่งใดบ้างที่จะช่วยเสริมให้เป้าหมายที่วางไว้คืบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

อาจจะเป็นกำหนดเวลาทุก ๆ หนึ่งเดือนเพื่อถามตนเองว่า ตลอดเดือนนี้ฉันได้ทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้สำเร็จเพียงใด มีอุปสรรคอะไรบ้าง ที่ทำให้เราทำไม่ได้ในบางครั้ง และเราจะแก้ปัญหาได้อย่างไร หรือถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีแล้ว เราจะทำอะไรเพิ่มขึ้นอีกดีหรือไม่ เพื่อให้ก้าวเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นไปอีก

 

 

 


 

 

 

บทสารคดีทางวิทยุ รายการ “จิตวิทยาเพื่อคุณ” (2559)
ออกอากาศทางสถานีวิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz
บทความโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กุลยา พิสิษฐ์สังฆการ

 

 

Stereotype threat – การคุกคามจากภาพในความคิด

 

 

 

 

การคุกคามจากภาพในความคิด หมายถึง เหตุการณ์ที่บุคคลต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่กลุ่มของตนมีภาพในความคิดทางลบ และบุคคลรู้สึกตระหนักในตนว่าตนเป็นสมาชิกของกลุ่มนั้น หรือเมื่อบุคคลรับรู้ว่าภาพในความคิดนั้นเกี่ยวของกับตน ซึ่งการคุกคามจากภาพในความคิดอาจส่งผลให้บุคคลแสดงออกได้ด้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น หรือแสดงออกได้ต่ำกว่าศักยภาพของตน

 

เช่น นักเรียนหญิงที่ถูกบอกว่าผู้หญิงคิดเลขไม่เก่งเท่าผู้ชาย เมื่อทำโจทย์เลข ก็ได้คะแนนน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการบอกดังกล่าว

หรือกรณีที่ คนแอฟริกันอเมริกันมีภาพในความคิดว่าตนมีความสามารถทางปัญญาด้อยกว่าคนผิวขาว เมื่อให้เล่นกีฬากอล์ฟ กลุ่มที่ได้รับการบอกว่ากอล์ฟเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยปัญญา ได้คะแนนการตีกอล์ฟน้อยกว่า กลุ่มที่ได้รับการบอกว่ากอล์ฟเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยทักษะทางกีฬา

 

 

กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการคุกคามจากภาพเหมารวม


 

กลไกที่สามารถอธิบายผลของการเกิดการคุกคามจากการเหมารวมมีหลายประการ เช่น การเกิดความวิตกกังวลในบุคคล และการรบกวนทางความคิด (cognitive interruption) หมายถึง การที่บุคคลคิดมากขึ้นในเรื่องความเกี่ยวข้องของตนเองกับการเหมารวม ทำให้บุคคลถูกดึงความสนใจออกไป ขาดแรงกระตุ้น จนทำให้ผลงานแย่ลงในที่สุด

 

การคุกคามจากการเหมารวมอาจทำให้ความพยายามของบุคคลในการทำงานลดลงอันเนื่องมาจากความคาดหวังที่ต่ำลง หรืออาจเกิดจากการใช้วิธีหักล้างตนเอง (self-defeating strategies) เช่น การไม่เข้าร่วมกิจกรรมใด ๆ ที่กระตุ้นการเหมารวมของกลุ่มตนเอง หรือลดเวลาในการฝึกฝนหรือการทำงานลง

 

นอกจากนี้ มีงานวิจัยที่พบว่าการคุกคามจากการเหมารวมทำให้บุคคลมีการควบคุมตนเองที่ลดลง คือทำให้ความสามารถในการควบคุมความสนใจและพฤติกรรมที่ตนต้องการลดน้อยลง เช่น เมื่อนักศึกษาผิวดำถูกเหยียดผิว พวกเขากำกับตนเองได้ยากขึ้นในการเรียน

 

 

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการคุกคามจากการเหมารวม


 

การคุกคามจากภาพในความคิดนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น และจะเกิดขึ้นมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น

 

  • ความยากง่ายของงาน : ในงานยากบุคคลจะเกิดความสงสัยในความสามารถของตน วิตกกังวลและคับข้องใจทำให้ผลงานแย่ลง
  • การประเมินผลงาน : งานที่มีการประเมินทำให้เกิดความกดดันสูงมากกว่างานที่ไม่มีการประเมิน
  • การเห็นคุณค่าในตนเอง รูปแบบการมองโลก และความตระหนักในความสามารถของตน : แต่ละคนมีความไวต่อการถูกคุกคามจากภาพในความคิดแตกต่างกัน หากเป็นบุคคลที่เห็นคุณค่าในตนเองสูง หรือมองโลกในแง่ดี หรือเรื่องที่มาคุกคามนั้นเป็นเรื่องที่บุคคลมั่นใจในความสามารถ การคุกคามดังกล่าวจะไม่มีผลมากนักหรือไม่มีเลย
  • จำนวนบุคคลในกลุ่ม : หากบุคคลที่ถูกคุกคามจากการเหมารวมอยู่ตัวคนเดียวโดยถูกคาดหวังให้เป็นตัวแทนของกลุ่ม อิทธิพลของการคุกคามจากการเหมารวมจะมีมากขึ้นและผลงานที่แสดงออกจะด้อยลง เช่น เมื่อผู้หญิงทำข้อสอบกับผู้ชาย จะทำให้ทำได้แย่ลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเพิ่มจำนวนผู้ชายที่เข้าสอบด้วย
  • ความเด่นชัดของการเหมารวม : เช่น เมื่อผู้หญิงถูกประเมินด้วยผู้ประเมินเพศชายที่มีความเหยียดเพศ

 

การลดการคุกคามจากการเหมารวม


 

งานวิจัยศึกษาอิทธิพลของการคุกคามจากการเหมารวมต่อความสามารถในหลายด้าน เช่น

 

  • การสนับสนุนให้บุคคลนึกถึงคุณค่าและความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง (self-identity) การยืนยันคุณค่าของตนเอง (valued-affirmation) รวมถึงการให้บุคคลเน้นภาพความคิดของตนในบทบาทอื่นมากกว่า
  • การให้ตัวแบบเชิงบวก (positive role model) โดยการเสนอมุมมองที่ทำให้บุคคลมองความสำเร็จของบุคคลตัวอย่างภายในกลุ่ม เช่น ผู้หญิงจะทำข้อสอบเลขได้ดีขึ้นเมื่อผู้คุมสอบเป็นผู้หญิง

 


 

 

ข้อมูลจาก

 

“ผลของการคุกคามจากภาพในความคิด การเห็นคุณค่าในตนเอง และรูปแบบการอนุมานสาเหตุต่อผลงานด้านคณิตศาสตร์ในนักเรียนหญิงระดับมัธยม ศึกษาตอนปลาย” โดย ธนรักษ์ คุณศรีรักษ์สกุล (2554) http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/32107

 

“อิทธิพลของการคุกคามจากการเหมารวมและการดูตัวแบบเชิงบวกต่อการรับรู้การคุกคามจากการเหมารวมและความเร็วในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของคนที่มีภาวะตาบอดสี” โดย อนุสรณ์ อาศิรเลิศสิริ (2563) https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/75702

 

 

Stereotype – ภาพในความคิด

 

 

 

 

ภาพในความคิด หมายถึง ความเชื่อที่บุคคลมีต่อคนกลุ่มหนึ่ง ว่าคนกลุ่มนั้นมีลักษณะหรือนิสัยใจคอบางประการเป็นสิ่งที่ค่อนข้างถาวร โดยไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลที่มีในคนกลุ่มนั้น

 

เช่น ผู้หญิงต้องเก่งงานบ้าน, ผู้ชายต้องเข็มแข็ง, ครูต้องเจ้าระเบียบ, นักบัญชีต้องละเอียดรอบคอบ, คนจีนค้าขายเก่ง, คนญี่ปุ่นชอบทำงานหนัก

 

ภาพในความคิดเป็นวิธีการที่คนเรารับรู้บุคคลโดยแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อลดความซับซ้อนของข้อมูล กล่าวคือ แทนที่จะรับรู้ว่าบุคคลแต่ละคนเป็นอย่างไร เราจะมีการรับรู้ว่าสมาชิกของแต่ละกลุ่มมีลักษณะอย่างไร ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการเก็บข้อมูลและการนำข้อมูลมาใช้ของบุคคล

 

ทั้งนี้ ที่มาของภาพในความคิดอาจเกิดจากการรับรู้ด้วยประสบการณ์ตรง หรือเกิดจากการรับรู้ผ่านสื่อ/บุคคลอื่นก็ได้ โดยภาพในความคิดเกิดจากการแผ่ขยายของการเรียนรู้ (generalization) ว่าสิ่งที่มีลักษณะเช่นตัวอย่างจะต้องมีลักษณะที่เหมือนกัน ข้อมูลที่สอดคล้องกับภาพในความคิดหรือความคิดเดิมของเราก็จะได้รับการจัดกลุ่มเข้ารวมกับภาพในความคิดนั้น ส่วนภาพในความคิดที่ไม่สอดคล้องก็จะไม่ได้รับการจดจำหรือถูกหักล้างเป็นข้อมูลที่สอดคล้องแทน ทำให้บางกรณีการแผ่ขยายนี้อาจจะเป็นไปมากเกินกว่าขอบข่ายของข้อมูลหรือข่าวสารที่มีอยู่จริงในขณะนั้น

 

ดังนั้น ภาพในความคิดที่บุคคลมีต่อคนอื่นหรือกลุ่มคนจึงอาจมีลักษณะนั้น ๆ อยู่จริงหรือไม่จริงก็ได้ กล่าวคือ ภาพในความคิดจำนวนมากมีพื้นฐานมาจากการรับรู้เกี่ยวกับกลุ่มที่ถูกต้อง แต่ยังมีภาพในความคิดอีกจำนวนมากเช่นกันที่เกิดจากความสัมพันธ์ลวง (จากการที่ได้รับข้อมูล 2 เรื่องคู่กันบ่อยครั้ง จึงคิดว่าข้อมูล 2 เรื่องนั้นมีความสัมพันธ์กัน)

 

 

ผลจากการรับรู้ภาพในความคิด


 

การรับรู้ภาพในความคิดของกลุ่มบุคคลมีผลต่อการรับรู้ใน 2 ลักษณะ

ประการแรก การรับรู้ลักษณะบุคคลในกลุ่มจะสอดคล้องกับลักษณะภาพในความคิดของกลุ่ม แต่ถ้าเกิดพบว่ามีพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับภาพในความคิด เราก็จะตีความบุคคลนี้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้การรับรู้มีการสอดคล้องกัน ตรงกับแนวคิดที่ว่าถ้ามีข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกับภาพในความคิดเข้าสู่การรับรู้ของเรา เราก็จะหาข้อเท็จจริงหรือข้อมูลที่สอดคล้องกับภาพในความคิดของเรามาหักล้าง

ประการที่สอง การรับรู้ภาพในความคิดระหว่างกันมีผลต่อพฤติกรรมระหว่างกลุ่ม ดังนั้นเราจึงสามารถเห็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอันเนื่องมาจากการมีภาพในความคิดทางลบระหว่างกันได้เสมอ ตั้งแต่ระดับนักเรียนต่างสถาบันที่ยกพวกตีกัน ไปจนถึงระดับสงครามอันเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ (ถ้าผู้นำหรือผู้กำหนดนโยบายของประเทศใดมีภาพในความคิดที่เลวร้ายต่ออีกประเทศหนึ่ง ก็มักกจะเลือกดำเนินนโยบาลที่ไม่เป็นมิตรต่อประเทศนั้น)

 

 

การเปลี่ยนแปลงของภาพในความคิด


 

ในการศึกษาระยะยาวหลาย ๆ การศึกษา พบว่า ภาพในความคิดของเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ และนอกจากการเปลี่ยนแปลงตามระยะเวลาแล้ว ภาพในความคิดยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ภายหลังเกิดสงครามหรือข้อพิพาทระหว่างประเทศ ประชาชนจะมีภาพในความคิดต่อประเทศที่เป็นคู่กรณีในทางลบมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงของภาพในความคิดเหล่านี้มาจากการเปลี่ยนแปลงไปตามการเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ภายนอก การเปลี่ยนแปลงนี้มาจากกระบวนการเรียนรู้ในสองลักษณะ ได้แก่ การเรียนรู้โดยตรงด้วยตนเอง อาทิ การมีปฏิสัมพันธ์กับคนในกลุ่มบุคคลนั้น ๆ และการเรียนรู้ทางอ้อม คือการเรียนรู้ผ่านตัวแทนที่หลากหลาย อาทิ บิดามารดา เพื่อน ครู ผู้นำทางการเมือง ผู้นำทางศาสนา และสื่อสารมวลชน รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของสังคม เช่น การเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม การรวมกันของวัฒนธรรม เป็นต้น ดังนั้นในโลกยุคปัจจุบันที่การรับรู้ข่าวสารเป็นไปอย่างแพร่หลาย มีการเผยแพร่วัฒนธรรมและข่าวสารผ่านสื่อต่าง ๆ มากมาย การเปลี่ยนแปลงของภาพในความคิดจึงเป็นไปได้โดยง่ายและรวดเร็ว

 


 

ข้อมูลจาก

 

“ผลของการอภิปรายกลุ่มและการกระจายข้อมูลต่อภาพในความคิด” โดย ฑศพล รัตนภากร (2546) http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/11002

 

“ภาพในความคิดเกี่ยวกับคนสัญชาติต่างๆ ตามการรับรู้ของนิสิตนักศึกษาไทย” โดย ชลัมพล เถระกุล (2548) https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/47643

 

“อิทธิพลของการกระตุ้นภาพในความคิดของความเป็นหญิงเป็นชาย และปฎิกิริยาทางจิตต่อการเกิดปฎิกิริยาต่อภาพในความคิดในการเจรจาต่อรอง” โดย รัตติกาล พาฬเสวต (2553) http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/20206

 

Announcement High Potential Doctoral Student Scholarship Guidelines, Fiscal Year 2024

Announcement

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

High Potential Doctoral Student Scholarship Guidelines, Fiscal Year 2024

 

 

The Faculty of Psychology, Chulalongkorn University, has allotted a budget for a doctoral scholarship to attract applicants with high academic and research abilities to join forces with our faculty members in producing high-quality scholarly works and research.

 

Per Section 34 of the Chulalongkorn University Statute 2008 and the approval of the Extra 4/2023 Faculty of Psychology’s management committee meeting on 22 November 2023, the scholarship details are as follows.

 

1. This announcement is called “Announcement Faculty of Psychology, Chulalongkorn University High Achieving PhD Student Scholarship Guidelines, Fiscal Year 2024.”

 

2. This announcement is in effect starting from the date of the announcement.

 

3. Eligible applicants must:

 

3.1 Have one of the following educational qualifications:

 

3.1.1 Completed a Bachelor’s or Master’s degree program in psychology OR

 

3.1.2 Currently studying in the final year of a Bachelor’s or Master’s degree program in psychology OR

 

3.1.3 A Master’s degree student of the Faculty of Psychology, Chulalongkorn University, who has passed the Doctoral Qualification Exam and has been elevated to the doctoral level within the academic year of 2023.

 

3.2 Have a cumulative GPA of 3.50 or above on the date of application and upon graduation

 

3.3 Have an English proficiency score of 75 or above for CU-TEP, OR 550 or above for TOEFL, OR 6.5 or above for IELTS, OR have graduated or are currently graduating from a program that uses English and the mode of instruction.

 

3.4 Have a 1,000-to-1,500-word dissertation proposal.

 

3.5 Have a faculty member at the Faculty of Psychology, Chulalongkorn University, agree to be their academic advisor according to the form.

 

4. Eligible scholarship recipients must:

 

4.1 Have met the requirements stated in No. 3. AND

 

4.2 Have been evaluated and approved as eligible to receive the scholarship by the program committee of the Faculty of Psychology doctoral program the applicant is applying to AND

 

4.3 Apply and be admitted into one of the Faculty of Psychology doctoral programs in the academic year 2024.

 

5. Conditions of the Scholarship

 

5.1 From the first semester until they successfully defend their dissertation proposal, typically within four semesters, the scholarship recipients must work as an academic or research assistant of their academic advisor for 20 hours a week. (The advisor must include the student as a co-author in at least one of their publications).

 

5.2 After their dissertation proposal has been approved, the scholarship recipients must work as an academic or research assistant of their academic advisor for 10 hours a week. They must have at least one research paper published or waiting to be published within one year after graduation. The paper must meet the following requirements.

 

(1) The research paper must be published in an international journal recognized by ISI/SCOPUS with a journal quartile score of 2 or higher according to the latest ranking by the Journal Citation Report – Clarivate Analytics (JCR) or Scimago Journal & country (SJR)

 

(2) The scholarship recipient must be listed as the first author, the academic advisor as the corresponding author, and the authors’ affiliation must be “the Faculty of Psychology, Chulalongkorn University.”

 

5.3 At the end of each semester, the scholarship recipients must report their academic, dissertation, and research progress to the program committee via their academic advisor for approval to continue receiving the scholarship in the following semester.

 

5.4 The scholarship recipients must acknowledge the scholarship in their dissertation and any published works as follows:

 

Acknowledgments in the dissertation must say, “My sincere gratitude to the Faculty of Psychology, Chulalongkorn University, for the High Potential Scholarship, which has been an important factor in helping me complete this research smoothly.”

 

Acknowledgments in any published works must say, “This article is part of a research on……………………………………… which has been supported by the Faculty of Psychology, Chulalongkorn University, High Potential Doctoral Student Scholarship.”

 

6. Benefit and Duration

 

Three successful applicants will be selected and awarded this scholarship. The benefits and duration of the scholarship are as follows:

 

6.1 From the first semester until they successfully defend their dissertation proposal, the scholarship recipients will receive the following financial support with a maximum duration of 4 semesters.

University Tuition Fee 35,000 Baht per semester

Program Fee 50,000 Baht per semester

 

6.2 After their dissertation proposal has been approved, the scholarship recipients can apply for the program fee waiver and apply for the second part of this scholarship in the semester following the proposal exam. They will receive the following financial support with a maximum duration of 2 semesters.

University Tuition Fee 35,000 Baht per semester

 

7. Suspension of Scholarship. The Faculty of Psychology will suspend scholarships per any of the following conditions:

 

7.1 Termination of student status

 

7.2 Recipients engage in academic dishonesty

 

7.3 Recipients are during leave

 

7.4 Recipients are unable to meet the requirements of No. 5

 

7.5 The Faculty of Psychology has seen fit to suspend

 

8. Application Process

 

Interested and eligible individuals can contact the Office of Academic Affairs, Faculty of Psychology, for more details on the application process, starting from the date of this announcement until 15 February 2024

 

 

Announced on 28 November 2023

 

Assistant Professor Dr. Natthasuda Taephant
Dean of the Faculty of Psychology