News & Events

Social So Chill – Monthly Live Talk 2023

 

Social So Chill – Monthly Live Talk

 

 

2566


 

 

Ep.01 – รัก..ออกแบบได้

วิทยากร: ผศ.ดร. หยกฟ้า อิศรานนท์ และคุณวันทิพย์ ชวลีมาภรณ์ นิสิตปริญญาเอก

 

Ep.02 – ปรับงานอย่างไร… ให้ชีวิตสมดุล

วิทยากร: ผศ. ดร.ประพิมพา จรัลรัตนกุล และคุณปณต ศรีสินทรัพย์ นิสิตปริญญาเอก

 

Ep.03 – จิตวิทยาสังคมกับการเลือกตั้ง

วิทยากร: อ. ดร.ภัคนันท์ จิตต์ธรรม และคุณเมธพนธ์ เตชะบุญเกียรติ นิสิตปริญญาตรี

 

Ep.04 – Locus of control อำนาจควบคุมตนสำคัญอย่างไร

วิทยากร: ผศ. ดร.อภิชญา ไชยวุฒิกรณ์วานิช และคุณภรัณยู โรจนสโรช นิสิตปริญญาโท

 

Ep.05 – จูงใจคนให้ทำเพื่อสิงแวดล้อมยังไงดี

วิทยากร: ผศ. ดร.วัชราภรณ์ บุญญศิริวัฒน์ และคุณพีรยา พูลหิรัญ นิสิตปริญญาโท

 

Ep.06 – Growth mindset ในการเรียนและการทำงาน

วิทยากร: ผศ. ดร.ทิพย์นภา หวนสุริยา และ อ. ดร.ศุภณัฐ ศรีอุทัยสุข

 

Ep.07 – Cognitive bias อคติทางความคิดในการมองโลก…ของเราทุกคน

วิทยากร: อ. ดร.กฤษณ์ อริยะพุทธิพงศ์

 

EP.08 – ใช้ social media อย่างไรให้รู้ทัน

วิทยากร: ผศ. ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์

 

EP.09 – Burnout contagion ภาวะหมดไฟแพร่ระบาดได้หรือไม่?

วิทยากร: ผศ. ดร.ประพิมพา จรัลรัตนกุล

 

EP.10 – การทำความผิดในมุมจิตวิทยาสังคม

วิทยากร – อ. ดร.ภัคนันท์ จิตต์ธรรม และ คุณภัทรพงศ์ สุทธิรัตน์

 

 

 

Social So Chill – Monthly Live Talk 2022

 

Social So Chill – Monthly Live Talk

 

 

2565


 

 

Ep.01 – ผู้นำแบบไหน คนไทยชอบ

วิทยากร: ผศ. ดร.ประพิมพา จรัลรัตนกุล

 

Ep.02 – ความสัมพันธ์กึ่งเสมือน (Parasocial Relationship)

วิทยากร: ม่อน นิสิตป.โทจิตวิทยาสังคม, เบอร์ลิน โมน่า แพท ริว ริน นิสิตป.ตรีหลักสูตรนานาชาติ และ อ. ดร.ภัคนันท์ จิตต์ธรรม

 

Ep.03 – ความก้าวร้าวในสังคมไทย: บุคลิกภาพด้านมืด

วิทยากร: ผศ. ดร.อภิชญา ไชยวุฒิกรณ์วานิช และ ดร.นฤมล อินทหมื่น บัณฑิตปริญญาเอก

 

Ep.04 – การโน้มน้าวใจโดยใช้ความกลัว

วิทยากร: ผศ.ดร. วัชราภรณ์ บุญญศิริวัฒน์ และคุณสุประภา สง่าศรี นิสิตปริญญาโท

 

Ep.05 – ความปลอดภัยทางจิตวิทยาในองค์กรสำคัญอย่างไร

วิทยากร: ผศ. ดร.ทิพย์นภา หวนสุริยา และคุณณภัทร์ ชุติวงศ์ บัณฑิตปริญญาตรี

 

Ep.06 – ยิ่งใกล้เหมือนยิ่งไกล แรงจูงใจเมื่อยิ่งใกล้เป้าหมาย

วิทยากร: อ. ดร.กฤษณ์ อริยะพุทธิพงศ์

 

 

 

 

ดีที่สุด vs สมบูรณ์แบบ

 

เราทุกคนต่างต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองและครอบครัว การดำเนินชีวิตของเราจึงเป็นไปในทิศทางเพื่อให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เราเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ด้วยการดำเนินชีวิตแบบนั้น หลายครั้งเราเองก็รู้สึกว่าการใช้ชีวิตของเราเป็นสิ่งที่ยากลำบาก เกิดคำถามว่าอะไรคือความสมบูรณ์แบบในชีวิตของเรา อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่แท้จริงสำหรับเรา ดังนั้น การทำความเข้าใจคำว่า “ดีที่สุด” จึงเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เราเข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้น

 

ก่อนอื่นเรามีคำอยู่ 2 คำที่มีความหมายที่ใกล้เคียงกันค่อนข้างมากก็คือ คำว่า “สิ่งที่ดีที่สุด” และ “สิ่งที่สมบูรณ์แบบ” (Perfection) ถึงแม้ว่าสองคำนี้จะมีความหมายที่ใกล้เคียงกัน แต่ก็มีความแตกต่างในการรับรู้อยู่เช่นกัน หากเราพูดว่า “สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉัน” กับ “สิ่งที่สมบูรณ์แบบสำหรับฉัน” ตามการรับรู้ของคนทั่วไป เราค่อนข้างจะรับรู้ความหมายในเชิงบวกกับประโยคแรกมากกว่าประโยคที่สอง

 

เพราะอะไรเราถึงรับรู้ “สิ่งที่ดีที่สุด” ดีกว่า “สมบูรณ์แบบ”

 

หนึ่งในเหตุผลที่พอจะอธิบายได้ก็คือ คนเรารับรู้ความสมบูรณ์แบบตามการศึกษาทางจิตวิทยาที่อธิบายว่า ความสมบูรณ์แบบเป็นลักษณะที่บุคคลตั้งมาตรฐานของตนเองไว้สูงเกินไปและวิพากษ์วิจารณ์ตนเองมากเกินไป ประกอบไปด้วยลักษณะของความพยายามที่จะไปสู่มาตรฐานที่ตั้งไว้ (perfectionistic striving) และลักษณะความกังวลว่าจะไปถึงมาตรฐานได้หรือไม่เมื่อเทียบกับความเป็นจริง (perfectionistic concern) นอกจากนี้ ความสมบูรณ์ยังมีความสัมพันธ์กับปัญหาทางสุขภาพจิตหลายอย่าง เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ หมดไฟในการทำงาน การติดงาน (workaholism)

 

เราจะเห็นได้ว่าความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำว่าความสมบูรณ์แบบ ก็คือ การมีมาตรฐานเป็นตัวชี้วัดว่า ชีวิตนี้ดีแล้วหรือยัง ถ้าหากว่าเป็นไปตามมาตรฐานปัญหาต่าง ๆ ก็ไม่เกิด แต่เมื่อไหร่ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานปัญหาย่อมตามมา มาตรฐานจึงเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อบอกว่า “ดี” หรือ “ไม่ดี”

 

แต่ทว่า “สิ่งที่ดีที่สุด” มันก็มีมาตรฐานที่สร้างขึ้นมาจากตัวเองไม่ใช่หรือที่บอกว่าสิ่งนั้นดีหรือไม่ดี คำตอบคือใช่ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้คำว่า “สิ่งที่ดีที่สุด” มีความหมายใกล้เคียงกับ “สมบูรณ์แบบ” อย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดีที่สุดอาจมีอีกความหมายหนึ่งได้เช่นกันก็คือ สิ่งนี้ดีที่สุด(แล้ว)สำหรับฉัน การรับรู้ตรงนี้สะท้อนอีกนัยหนึ่งว่า สิ่งที่มีอยู่หรือสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ดีแล้วสำหรับฉัน ฉันพึงพอใจกับสิ่งนี้แล้ว นั่นสะท้อนให้เห็นว่าเป็นการรับรู้ที่ไม่มีมาตรฐานที่ตัวเองสร้างขึ้นแล้ว และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรารับรู้ “สิ่งที่ดีที่สุด” เป็นทางบวกมากกว่า “สมบูรณ์แบบ”

 

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินชีวิตของเรารับรู้ไปในทางบวก เราก็ควรดำเนินชีวิตที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เต็มที่โดยที่ไม่มีมาตรฐานอะไรมาเป็นตัวชี้วัด ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานจากคนอื่นหรือจากตนเอง และผลที่ตามมาก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเรา

 

 

อ้างอิง

 

Frost, R. O., Marten, P., Lahart, C., & Rosenblate, R. (1990). The dimensions of perfectionism. Cognitive Therapy and Research, 14(5), 449–468. https://doi.org/10.1007/BF01172967

 

Stoeber, J., & Otto, K. (2006). Positive conceptions of perfectionism: Approaches, evidence, challenges. Personality and Social Psychology Review, 10(4), 295–319. https://doi.org/10.1207/s15327957pspr1004_2

 

Limburg, K., Watson, H. J., Hagger, M. S., & Egan, S. J. (2017). The relationship between perfectionism and psychopathology: A meta-analysis. Journal of Clinical Psychology, 73(10), 1301-1326. https://doi.org/10.1002/jclp.22435

 

Clark, M. A., Michel, J. S., Zhdanova, L., Pui, S. Y., & Baltes, B. B. (2016). All work and no play? A meta-analytic examination of the correlates and outcomes of workaholism. Journal of Management, 42(7), 1836–1873. https://doi.org/10.1177/0149206314522301

 

Hill, A. P., & Curran, T. (2016). Multidimensional perfectionism and burnout: A meta- analysis. Personality and Social Psychology Review, 20(3), 269–288. https://doi.org/10.1177/1088868315596286

 

 

 


 

 

บทความโดย

อาจารย์ ดร.วรัญญู กองชัยมงคล

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา

 

 

ความเชื่อเกี่ยวกับการนอนไม่หลับ

 

ท่านเคยนอนไม่หลับหรือไม่

 

ไม่ต้องถึงขั้นเป็นโรคนอนไม่หลับ เอาแค่นอนไม่หลับสักคืนหรือสองคืน ก็รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน และการทำงานไปมากแล้ว

 

บางคนนอนไม่หลับติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จนถึงขั้นต้องหันไปพึ่งยา ช่วยทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะต้องเผชิญกับผลข้างเคียงต่างๆ ด้วยเช่นกัน

 

ปัญหานี้จิตวิทยาอาจจะช่วยท่านได้

 

การนอนไม่หลับมีสาเหตุและวิธีแก้ไขหลากหลายทีเดียว การเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมในการนอนก็สามารถช่วยให้เรานอนหลับได้ง่ายขึ้น หลับนานขึ้น และหลับอย่างมีคุณภาพที่ดีขึ้นได้ ซึ่งเราสามารถนำเอาความรู้ทางจิตวิทยามาใช้ในวัตถุประสงค์นี้ได้เช่นกัน

 

บทความนี้ เราจะมาคุยกันเรื่องความคิดและความเชื่อต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับข้องกับการนอนหลับของเรา ซึ่งเมื่อบุคคลมีความคิดความเชื่อบางอย่าง กลายเป็นว่าทำให้นอนหลับได้ยากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความเชื่อบางอย่างนั้นทำให้เรามีความวิตกกังวลเพิ่มขึ้น ร่างกายเลยนอนหลับยากขึ้นตามไปด้วย

 

ต้องบอกก่อนว่าความเชื่อเกี่ยวกับการนอนหลับนั้น บางความเชื่อเป็นความเชื่อที่ผิด แต่บางความเชื่อก็อาจมีส่วนที่ถูกต้อง แต่ไม่ว่าจะถูกหรือจะผิด ประเด็นสำคัญอยู่ที่เรามองความเชื่อนั้นและตอบสนองต่อมันอย่างไรมากกว่า

 

 

ความเชื่อเกี่ยวกับ “ผลลัพธ์” จากการนอนไม่หลับ หรือมีเวลานอนไม่เพียงพอ

 

 

เกือบทุกคนน่าจะเข้าใจว่า การนอนไม่หลับจะทำให้รู้สึกง่วงนอนมากขึ้นในวันถัดมา นั่นเป็นความเข้าใจที่ถูก

 

บางคนเลือกที่จะยอมรับสิ่งนี้ และพยายามวางแผนจัดกิจกรรมของวันรุ่งขึ้น ให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตัวเองมากที่สุด ถ้าสามารถหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะได้ก็ควรทำ

 

แต่บางคน มีอาการ “กระต่ายตื่นตูม” คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ไม่สามารถทำงานหรือเรียนหนังสือได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ขยายเรื่องราวจนเป็นเรื่องใหญ่พาลให้วิตกกังวลนอนไม่หลับมากขึ้นไปอีก

 

หรือบางคนอาจคิดกังวลไปว่า เมื่อนอนไม่หลับแล้วจะต้องใช้ยานอนหลับ ซึ่งอาจรู้อยู่แก่ใจเกี่ยวกับผลกระทบข้างเคียงจากการใช้ยานั้น ทั้งนี้อาจเนื่องด้วยเพราะไม่ทราบว่ามีวิธีอีกหลายวิธีนอกเหนือจากการใช้ยาที่สามารถช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น

 

ลองนึกถึงสถานการณ์ต่อไปนี้

 

ท่านกำลังนอนอยู่บนเตียง ขณะนี้เลยเวลานอนปกติมาหนึ่งชั่วโมงแล้ว ท่านก็ยังคงตาสว่างอยู่ ในหัวเฝ้าครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ร้ายๆ จากการอดนอน วิตกกังวลไปว่าเราอาจจะไปทำงานสาย ทำงานอย่างไร้ประสิทธิภาพ เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง ขับรถแล้วเกิดอุบัติเหตุ หรือไม่สามารถจดจ่อใช้ความคิดกับงานตรงหน้าได้อย่างเต็มที่

 

สำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ เมื่อนอนไม่หลับแล้วอาจจะกังวลไปถึงปัญหาด้านสุขภาพต่างๆ หรือไม่ก็ไม่มีแรงที่จะออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ ซึ่งอาจเป็นความกังวลใจหลักของผู้สูงอายุ

 

ความคิดที่แล่นเข้ามาในหัวอาจจะเป็น “ฉันไม่สามารถทำอะไรได้เลย ถ้าฉันนอนหลับไม่เพียงพอ” หรือ “ถ้าฉันยังนอนไม่หลับอยู่แบบนี้ พรุ่งนี้ฉันจะต้องไม่มีเรี่ยวแรงทำอะไรแน่ๆ”

 

ข้อความทั้ง 2 ข้อความนี้ถือเป็นความเชื่อที่ผิด ผิดตรงที่ระดับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นสุดโต่งเกินไป

 

ลองพูดกับตัวเองเสียใหม่ “ถ้าฉันนอนหลับไม่เพียงพอ ฉันอาจจะทำงานบางประเภทที่ต้องใช้พลังกาย พลังสมอง และพลังใจมากๆ ไม่ได้ แต่ก็น่าจะมีงานหรือกิจกรรมอีกหลายประเภทที่ฉันน่าจะทำได้ และทำได้ดีด้วย”

 

“หรือถ้าฉันยังนอนไม่หลับอยู่แบบนี้ พรุ่งนี้ฉันอาจจะมีเรี่ยวแรงไม่มากพอที่จะทำทุกอย่าง ตามที่ฉันได้วางแผนไว้ แต่ฉันน่าจะมีแรงที่จะทำบางอย่างได้สำเร็จเช่นกัน”

 

ท่านอาจจะคิดว่า ประโยคทั้งหมดนั้นไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่มันก็แตกต่างกันมากตรงที่ระดับความวิตกกังวล และระดับความวิตกกังวลที่ลดลงนี่เองที่ทำให้เรานอนหลับได้ง่ายมากขึ้น

 

คนที่มีความคิดแรกนั้นบอกตัวเองให้เชื่อว่า ฉันจะต้องนอนหลับอย่างเพียงพอ “เท่านั้น” ถึงจะทำงานหรือกิจกรรมอื่น ๆ ได้ ไม่เหลือทางออกให้ตัวเองแบบนี้ รังแต่จะวิตกกังวลนอนไม่หลับมากขึ้น

 

แต่ถ้าเปลี่ยนความคิดสักเล็กน้อยเป็น “ถึงแม้ว่าฉันจะนอนหลับไม่เพียงพอ ฉันก็น่าจะสามารถทำอะไรบางอย่างที่ฉันต้องทำได้”

โจทย์ก็เปลี่ยนไป มี “ทางออก” ขึ้นมาทันที ทางออกที่ว่านี่ คือ เราทำอะไรได้บ้าง และเราไม่ควรจะทำอะไรเมื่อร่างกายของเราไม่พร้อม

 

หรือถ้าเราไม่ได้มีทางเลือกมากนัก อย่างน้อยโจทย์ใหม่นี้ก็น่าจะช่วยให้เราได้วางแผนกิจกรรมต่างๆ ของวันพรุ่งนี้ได้ง่ายขึ้นมาก อาจจะทำงานเดิมแต่ระวังตัวมากขึ้น หรือทำในปริมาณที่น้อยลง

 

การเปลี่ยนความคิดให้มันสุดโต่งน้อยลงนั้นอาจจะได้ผลสำหรับบางคน แต่สำหรับบางคน ความเชื่อที่ว่า “ฉันไม่สามารถทำอะไรได้เลย ถ้าฉันนอนหลับไม่เพียงพอ” นั้น ไม่สามารถลบล้างได้ด้วยการคุยกันเฉย ๆ เสียแล้ว

 

ถ้าเช่นนั้นลองเขียนไดอารี่ จดบันทึกสักสองสามวันดู

 

ท่านปล่อยให้ตนเองเชื่อเช่นนั้นไปก่อนก็ได้ แต่ขอให้ท่านที่มีปัญหานอนไม่หลับ ลองจดบันทึกประจำวันดูเสียหน่อยว่า วันถัดมาหลังจากที่ท่านนอนหลับไม่พอนั้น ท่านได้ทำอะไรไปบ้าง

 

ท่านจะบันทึกทุกกิจกรรม หรือบันทึกเฉพาะกิจกรรมที่ท่านคิดว่าสำคัญสำหรับท่านเท่านั้นก็ได้ แต่จดอย่างเดียวไม่พอ ท่านจะต้องให้คะแนนด้วยว่า แต่ละกิจกรรมที่ได้ทำลงไปนั้น ท่านคิดว่า “ฉันทำได้ดีมากน้อยเพียงใด” และ “ฉันพึงพอใจกับผลลัพธ์ของแต่ละกิจกรรมมากน้อยเพียงใด”
ให้คะแนนตั้งแต่ 0 – 10

 

มีกิจกรรมใดบ้างไหมที่ “ผ่าน” หรือได้ 5 คะแนนขึ้นไป ถ้ามีก็แสดงว่าความเชื่อที่ว่า “ฉันไม่สามารถทำอะไรได้เลย ถ้าฉันนอนหลับไม่เพียงพอ” นั่น ก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว อาจจะมีบางกิจกรรมที่ “ตก” แต่ก็มีบางกิจกรรมที่ “ผ่าน” เช่นกัน

 

แต่ถ้าท่านคิดว่า ท่านจะต้องได้คะแนนเต็มในทุกกิจกรรมถึงจะเรียกได้ว่า “ทำได้ดี” แล้ว แสดงว่าท่านมีปัญหาสำคัญนอกเหนือไปจากการนอนแล้ว ต้องรีบปรึกษานักจิตวิทยาโดยด่วน

 

เมื่อจดบันทึกกิจกรรมที่ทำควบคู่ไปกับปัญหาการนอนไม่เพียงพอแล้ว สิ่งนี้เป็นหลักฐานที่จะช่วยให้เราเปลี่ยนความคิดความเชื่อได้ดีทีเดียว

 

หลักการคือพยายามให้ความคิดของตัวเองตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด เราไม่ได้หลอกตัวเองว่า เราทำ “ทุกอย่าง” ได้ดี ถึงแม้ว่าเรามีเวลานอนหลับไม่เพียงพอ และเราก็ไม่ได้หลอกตัวเองด้วยว่า “เราจะทำอะไรไม่ได้เลย” ไม่สุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง

 

การจดบันทึกข้างต้นยังช่วยให้เราวางแผนได้ดีขึ้นด้วย

 

สมมติว่าท่านพบว่าท่านทำงานบางอย่างได้ไม่ดีเอาเสียเลย อาจเป็นเพราะว่าคุณรู้สึกง่วงจนไม่สามารถมีสมาธิจดจ่อกับงานนั้นได้ หรือท่านเกือบจะประสบอุบัติเหตุก็ตาม

 

ข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงกิจกรรมนั้นในครั้งต่อไป เมื่อท่านรู้สึกว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องการนอน อย่างน้อยก็ในระยะแรกที่ท่านกำลังปรับพฤติกรรมการนอนของตัวเอง

 

 

 

ความเชื่อเกี่ยวกับการควบคุม “ปริมาณ” และ “คุณภาพ” การนอนหลับ

 

 

คนที่นอนไม่หลับ เมื่อมีอาการนี้ไปนานวันเข้า ก็จะมีความเชื่อบางอย่างเกิดขึ้น เป็นความเชื่อที่ว่าเราจะไม่สามารถ “ควบคุม” ปริมาณและคุณภาพการนอนหลับของตัวเองได้อีกต่อไป

 

นี่เป็นความเชื่อที่ถูกต้อง ถ้าเราไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการนอนของตัวเอง

 

สมมติว่าเรามีความเชื่อนี้ “ฉันไม่สามารถควบคุมการนอนหลับของตัวเองได้” นั่นอาจเป็นเพราะว่าคุณไม่สามารถนอนหลับเมื่อถึงเวลาที่ต้องการได้ ซึ่งถ้าเรามองเพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องทีเดียว

 

แต่เราลืมมองไปว่า เราสามารถควบคุมพฤติกรรมการ “ตื่นนอน” ของตัวเองได้

 

ไม่ปฏิเสธว่า การบังคับให้ตัวเองตื่นนอนมาทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งที่ยังง่วงและรู้สึกว่าตัวเองนอนไม่พอ เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่สิ่งนี้ก็ยังถือว่าอยู่ในการควบคุมของตัวเองได้ ซึ่งต่างจากการบังคับให้ตัวเองหลับ

 

การรู้ว่าเราสามารถควบคุมการตื่นนอนของตัวเองได้นั้นสำคัญอย่างยิ่ง

 

ประการแรกเป็นการทำให้ความเชื่อที่ว่า “ฉันไม่สามารถควบคุมการนอนหลับของตัวเองได้” ดูจะไม่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด น่าจะลดความกลัวและความวิตกกังวลลงไปได้มากโข

 

อีกประการนั้นเป็นการบอกกับตัวเองทางอ้อมว่า ถ้าเราควบคุมเวลาตื่นของตัวเองได้ การควบคุมการนอนหลับของตัวเองก็เป็นสิ่งที่ทำได้เช่นกัน

โชคดีที่คนเราอย่างไรเสียก็ต้องการการนอนหลับพักผ่อน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเองเล็กน้อย ก็สามารถทำให้เราควบคุมการนอนหลับของตัวเองได้บ้าง

 

คิดง่าย ๆ เมื่อเราอดนอนมาก ๆ เข้า ร่างกายก็จะบอกเองว่า ต้องการการนอนหลับแล้ว ซึ่งคนที่นอนไม่หลับตอนกลางคืน ก็อาจจะใช้เวลากลางวันนอนชดเชย ซึ่งบางคนอาจจะใช้เวลาส่วนนี้มากเกินไปสักหน่อย เป็นผลให้นอนหลับตอนกลางคืนได้ยากขึ้น หรือตื่นสายขึ้นในอีกวัน ด้วยความคิดที่ว่าจะต้องชดเชยเพื่อที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

 

และยังเป็นการย้ำความคิดว่า “ฉันไม่สามารถควบคุมการนอนหลับของตัวเองได้” ไปเสียอีก

 

ขอให้ท่านลองตื่นให้เป็นเวลา ถึงแม้จะรู้สึกว่าตัวเองนอนไม่พอ ไม่ว่าจะเป็นช่วงงีบหลับตอนกลางวันหรือช่วงกลางคืนก็ตาม มันอาจจะทรมานในระยะแรก แต่นั่นจะทำให้เรา “รู้สึก” ว่าเราสามารถควบคุมการนอนหลับของตัวเองได้บ้าง และยังทำให้ร่างกายของเรานอนหลับได้ง่ายขึ้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องการอีกด้วย

 

 

ความเชื่อในเรื่องทั่วไปเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับการนอนหลับ

 

 

ความเชื่อที่ผิดความเชื่อแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับความคาดหวังในการนอน “คนเราจะต้องนอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวันถึงจะดี” นี่เป็นความเชื่อที่ผิด ถ้าเรามัวแต่ยึดติดกับตัวเลขจำนวน 8 ชั่วโมง

 

ข้อแรกคือ บุคคลมีความแตกต่างกันในความต้องการการนอนหลับ ซึ่งความแตกต่างนี้อาจน้อยกว่าหรือมากกว่า 8 ชั่วโมงก็ได้

 

นอกจากนั้น ความต้องการในการนอนหลับ อาจแปรเปลี่ยนไปได้ตามกิจกรรมที่บุคคลทำในแต่ละวัน เพราะฉะนั้นคนเรามีโอกาสที่จะนอนหลับมากน้อยไม่เท่ากันในแต่ละวัน

 

การยึดติดกับการที่จะ “ต้อง” นอนหลับให้ได้เป็นเวลา 8 ชั่วโมงนั้นทำให้เราเกิดความวิตกกังวลโดยใช่เหตุ

 

ลองหาระยะเวลาที่เหมาะสมของตัวเอง และอย่าไปคิดว่าการนอนหลับน้อยกว่าช่วงเวลานั้นเป็นเรื่องใหญ่ มันเกิดขึ้นได้ถ้าร่างกายไม่ได้รับภาระหนักในวันนั้น

 

 

อีกความเชื่อหนึ่งที่ยังบอกไม่ได้ว่าถูกหรือผิด แต่ไม่น่าจะมีผลดีต่อสุขภาพสักเท่าไหร่คือ “แอลกอฮอล์ช่วยทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น” นั่นอาจจะเป็นความคิดที่ถูกต้องเมื่อมองในมุมของปริมาณการนอนเพียงอย่างเดียว

 

แต่ก็ไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องนัก เมื่อคำนึงถึงคุณภาพการนอนและสภาพร่างกายของตัวเองในวันรุ่งขึ้น ความเชื่อนี้ไม่ได้ทำให้นอนไม่หลับ แต่ทำให้มีพฤติกรรม การแก้ปัญหาการนอนไม่หลับอย่างผิด ๆ เสียมากกว่า

 

แอลกอฮอล์อาจจะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้นจริง แต่ก็มีอีกหลายวิธีที่จะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้นเช่นกัน และมีผลดีต่อสุขภาพโดยรวมมากกว่า ซึ่งการออกกำลังกายก็เป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง

 

 

 

ยังมีความคิดความเชื่อที่ผิดอีกมากที่เกี่ยวกับการนอนไม่หลับ แต่ก่อนจะจากกัน ขอย้ำอีกครั้งว่าเนื้อหาบทความนี้นำเสนอแค่ปัจจัยหนึ่งในหลาย ๆ ปัจจัย ที่มีผลต่อสุขภาวะการนอนของเรา แน่นอนว่ามันมีประโยชน์ที่จะลอง แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นตัวช่วยที่ดี ถ้าการนอนไม่หลับของเรานั้นไม่ได้เกิดจากปัจจัยด้านความคิดและความเชื่อ แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านสุขภาพร่างกาย หรือสภาพแวดล้อมในการนอน

 

สำหรับคนที่มีอาการนอนไม่หลับเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย แต่ถ้าไม่มีปัญหาสุขภาพกาย ลองปรึกษากับนักจิตวิทยาเพื่อปรับพฤติกรรมการนอน ก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน

 

 

 


 

 

จากบทสารคดีวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ FM 101.5 MHz
โดย อาจารย์สักกพัฒน์ งามเอก คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ออกอากาศเมื่อ พฤษภาคม 2556

 

 

การรับสมัครบุคคลเข้าศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิยาลัย ภาคการศึกษาปลาย ปีการศึกษา 2566

 

รายละเอียดการรับสมัครบุคคลเข้าศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิยาลัย

ภาคการศึกษาปลาย ปีการศึกษา 2566

หลักสูตรจิตวิทยา
  • แขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ
  • แขนงวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ
  • แขนงวิชาการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์
ตั้งแต่วันนี้ – 30 ก.ย. 66
สอบถามเพิ่มเติม
E-Mail: psy.grad@chula.ac.th

 

รับสมัครและประกาศรายชื่อทุกขั้นตอนผ่านทาง https://www.grad.chula.ac.th

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ติดต่อเพื่อรับเอกสารแบบฟอร์มชำระค่าธรรมเนียมรับสมัครและส่งหลักฐานการสมัครเข้าศึกษา
โทร: 02-218-1316
อีเมล: psy.grad@chula.ac.th

การเสวนาวิชาการออนไลน์ เรื่อง รู้จัก…เข้าใจ Cyberbullying

 

ขอเชิญชวนทุกท่านที่สนใจเข้าร่วมรับฟังการเสวนาวิชาการออนไลน์ (ฟรี) เรื่อง

รู้จัก…เข้าใจ Cyberbullying

 

โดย โครงการ “Smarter Life by Psychology รู้จักเข้าใจ Cyberbullying” คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ในวันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม 2566 เวลา 17.00-19.00 น. ทาง Zoom

ผู้เข้าร่วมรับฟังการเสวนาจนจบจะได้รับ e-certificate ทางอีเมล

 

 

วิทยากร
  • คุณคณาธิป สุนทรรักษ์ (ลูกกอล์ฟ) Founder of ANGKRIZ
  • คุณนรินทร ชฎาภัทรวรโชติ (เกรซ) Miss Thailand World ประจำปี 2562 และ Brand Ambassador of Mental Health Department of Thailand
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ (อ.เติ้น) คณบดี และอาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา

 

วิทยากรและผู้ดำเนินรายการ
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์ (อ.หยก) อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม และอาจารย์ประจำแขนงวิชาการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์

 

ประเด็นการเสวนา
  • Cyberbullying (การข่มเหงรังแกในโลกออนไลน์) คืออะไร
  • ประเภทต่าง ๆ ของ Cyberbullying
  • ผลกระทบและความรุนแรงของ Cyberbullying ต่อปัจเจกบุคคลและสังคม
  • วิธีการรับมือเหตุการณ์ Cyberbullying หากเป็นผู้ถูกกระทำหรือผู้พบเห็นเหตุการณ์
  • สิ่งที่ควรตระหนักเพื่อไม่ให้ตนเองเป็นผู้กระทำ

 

สมัครเข้าร่วมได้ทาง https://forms.gle/mX5HiUMi77A5Kgv98

รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อที่ คุณวาทินี 02-218-1307 อีเมล wathinee.s@chula.ac.th

 

 

เพราะไม่สมบูรณ์แบบ…จึงไม่สมควรเป็นผู้ถูกกระทำ : รู้จักมายาคติ “Perfect Victim” หรือ “เหยื่อในอุดมคติ”

 

“เป็นผู้หญิงแต่เมาจนไม่รู้เรื่อง ก็สมควรแล้วที่จะเกิดเรื่องแบบนี้”
“ขายบริการไม่ใช่เหรอ? ได้เงินจะเรียกว่าถูกข่มขืนได้ยังไง?”
“ไม่แปลกหรอกที่จะถูกต่อย ก็ดูสิปากแบบนี้”

 

แม้จะฟังดูโหดร้ายจนไม่น่าเกิดขึ้นได้ แต่คำพูดที่ทิ่มแทงเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคมปัจจุบัน ซ้ำร้ายยังเป็นคำพูดที่ส่งถึงผู้ถูกกระทำหรือเหยื่อของความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศโดยตรงเพียงเพราะผู้ถูกกระทำเหล่านั้น “ไม่ใช่เหยื่อสมบูรณ์แบบ”

 

Perfect Victim (เหยื่อสมบูรณ์แบบ) หรือ Ideal Victim (เหยื่ออุดมคติ) เป็นภาพจำทางสังคมที่กำหนดกรอบของ “ผู้ถูกกระทำ” หรือ “ผู้ตกเป็นเหยื่อ” ด้วยลักษณะต่าง ๆ ที่ผู้คนให้การตัดสินว่าเป็นลักษณะของผู้ที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ โดย นิลส์ คริสตี (Nills Christie) นักสังคมวิทยาชาวนอร์เวย์ ได้เคยเขียนถึงความคาดหวังต่อ “ผู้ถูกกระทำ” ว่ามีลักษณะตามเงื่อนไข 5 ประการด้วยกัน ที่ทำให้เหยื่อคนหนึ่งได้รับความเชื่อถือว่าพวกเขาเป็นผู้ถูกกระทำในความรุนแรงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นั่นคือ

 

  1. ผู้ถูกกระทำจะต้องมีลักษณะอ่อนแอ อาจเป็นผู้ที่มีอาการเจ็บป่วย ผู้สูงอายุ หรือเยาวชน
  2. ผู้ถูกกระทำจะต้องมีประวัติ หรือหน้าที่การงานที่ดี
  3. ผู้ถูกกระทำจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้อย่างแท้จริง
  4. ผู้ถูกกระทำจะต้องไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวใด ๆ หรือมีความรู้จัก สนิทสนมกับผู้กระทำ
  5. ผู้กระทำจะต้องเป็นคนไม่ดี ที่มีอำนาจมากกว่าผู้ถูกกระทำ

 

โดยคำจำกัดความที่ถูกตัดสินโดยสังคมเหล่านี้ ได้ทำให้ผู้ถูกกระทำจำนวนมากถูกจัดให้อยู่นอกเหนือความเป็นเหยื่อ หรือไม่ได้รับความเชื่อถือในกรณีความรุนแรงหรือการล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้น ส่งผลเสียอย่างรุนแรงในการได้รับความช่วยเหลือและเยียวยาอย่างเหมาะสม เพียงเพราะกรอบทางสังคมที่มีความเชื่อมั่นต่อสมมติฐานโลกยุติธรรม (Just-World fallacy) หรืออิทธิพลของความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรม ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของอคติทางความคิด (Cognitive Bias) อันตั้งบนพื้นฐานที่เชื่อว่าการกระทำของบุคคลหนึ่ง ๆ นั้นมีแนวโน้มที่จะนำผลที่ยุติธรรมโดยศีลธรรมและเหมาะสมมายังบุคคลนั้น และมีอิทธิพลอย่างมากในการตัดสินด้านจริยธรรมของสังคม

 

ตรรกะวิบัติ (Fallacy) ที่ส่งผลทางลบต่อผู้ถูกกระทำนี้ถูกส่งต่อในสังคมเป็นระยะเวลานานหลายชั่วอายุคน ด้วยบรรทัดฐานทางสังคมที่กำหนดกรอบคำจำกัดความของ “คนดีมีศีลธรรม” เอาไว้เพื่อเป็นแบบอย่างความประพฤติของผู้คน และถูกทำให้แพร่หลายมากขึ้นด้วยสื่อต่าง ๆ ที่เข้าถึงความรู้สึกและความคิดของผู้คนได้ง่าย อาทิ บทประพันธ์ งานเขียน นวนิยาย หรือแม้กระทั่งละครโทรทัศน์ที่เสนอภาพลักษณ์ของตัวละครเอกหรือตัวละครฝ่ายธรรมะที่จะได้รับความสุขในชีวิตก็ต่อเมื่อดำเนินชีวิตบนบรรทัดฐานอันดีงามของสังคม

 

แม้ว่าแบบอย่างนั้นจะเป็นตัวอย่างที่ดีของการประพฤติตน แต่ก็คล้ายจะเป็นดาบสองคมต่อผู้คนด้วยเช่นกันเมื่อภาพจำเหล่านั้นได้สร้างการตัดสินให้ผู้ที่ไม่ประพฤติตามแบบอย่างนั้นกลายเป็น “คนไม่ดี” ที่สมควรได้รับ “บทลงโทษจากการกระทำของตน”

 

 

 

มายาคติเหยื่อสมบูรณ์แบบ….ส่งผลเสียมากมายกว่าที่ทุกคนคิด


 

 

ความเลวร้ายของทัศนคติหรือกรอบแนวคิดที่กำหนดความเป็น “ผู้ถูกกระทำ” ของสังคมนั้น ส่งผลเสียต่อผู้ได้รับความเจ็บปวดจากเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างมากมาย ในกระบวนการทางกฎหมายของคดีความต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง หรือการล่วงละเมิดทางเพศนั้น เรื่องราวของเหยื่อจะถูกเปิดเผยต่อสังคมและหยิบยกขึ้นมาทำให้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อเหยื่อกลายเป็นโมฆะจากกรอบความคิดของ “ความเป็นเหยื่อ” นั้น เพื่อกล่าวโทษว่าพฤติกรรม ความสัมพันธ์ และการใช้ชีวิตของผู้เผชิญกับความรุนแรงดังกล่าวมีต้นเหตุมาจากตัวผู้ถูกกระทำเอง อาทิ

 

  • การตัดสินคดีความการกระทำชำเราในประเทศอิตาลี ผู้พิพากษายกเลิกข้อกล่าวหาของชายวัย 46 ปีที่กระทำต่อเพื่อนร่วมงานหญิง เพราะฝ่ายหญิงไม่ได้กรีดร้องขอความช่วยเหลือในระหว่างที่ถูกกระทำ
  • ข้อแก้ต่างของนักบินในประเทศมาเลเซียที่กระทำการข่มขืนแอร์โฮสเตสสาว ให้การว่าเธอทำตัวปกติและยังมีความสุขดีหลังจากเกิดเหตุการณ์ จึงไม่ถือเป็นการข่มขืน เพราะเธอไม่ได้แสดงออกถึงบาดแผลทางจิตใจหรือความเจ็บปวดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
  • ซามูเอล ลิตเติ้ล (Samuel Little) ฆาตกรต่อเนื่องอันดับ 1 ของสหรัฐอเมริกา ก่อเหตุฆาตกรรมเหยื่อไปกว่า 93 ราย โดยรอดพ้นจากการจับกุมจนกระทั่งอายุ 79 ปี ด้วยการก่อเหตุฆาตกรรม “กลุ่มเหยื่อที่ตำรวจไม่ให้ความสนใจ” เช่น โสเภณี คนติดยา คนผิวดำ และคนไร้บ้าน ในขณะที่ตัวผู้กระทำเองมีภาพลักษณ์เป็นชายแก่ใจดีที่มีทรัพย์สินพร้อมสมบูรณ์
  • คดีความทำร้ายร่างกายอดีตแฟนสาวของนักแสดงชาย ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงฝ่ายหญิงในการกระทำนี้ว่าสมควรถูกกระทำ มีคำพูดและความประพฤติไม่เหมาะสมให้เห็นใจ และใช้อำนาจผลักดันอดีตแฟนหนุ่มในทางหน้าที่การงานอย่างไม่สมควร

 

โดยจะเห็นได้ว่าความเป็น “เหยื่อในอุดมคติ” นั้นส่งผลให้ผู้ถูกกระทำในหลายต่อหลายครั้งถูกปฏิเสธการช่วยเหลือ การได้รับความเห็นใจ หรือแม้แต่การเยียวยาทางจิตใจอย่างที่สมควรได้รับ นอกเหนือไปจากนั้นแม้แต่การเปิดเผยเรื่องราวภายหลังเกิดเหตุการณ์ขึ้นในอดีตนั้น ในบางครั้งยังถูกมองว่าเป็นการใช้กระแสสังคมเพื่อเป็นการหาผลประโยชน์ส่วนตนเช่นที่เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ทางลบของ #metoo ที่เปิดเผยเรื่องราวการถูกล่วงละเมิดทางเพศของผู้คนจำนวนมากในโลกอินเทอร์เน็ตอีกด้วย

 

การตัดสินคนคนหนึ่งด้วยกรอบความคิดที่สร้างจากภาพเหมารวม อาจสร้างความเจ็บปวดและบาดแผลทางใจให้กับผู้ถูกกระทำไปชั่วชีวิต ซ้ำร้ายยังเป็นการตอกย้ำบาดแผลจากความรุนแรงที่เคยเกิดขึ้น และตราบาปทางจิตใจให้เกิดการโทษความไม่สมบูรณ์แบบของตนเอง

 

 

 

เพียงเพราะไม่ตรงตามอุดมคติ ไม่ได้แปลว่าไม่ได้รับความเจ็บปวด

เหยื่อสมบูรณ์แบบนั้นไม่มีอยู่จริง แต่ความเลวร้ายจากการถูกกระทำเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของผู้เผชิญ

 

เพราะในโลกใบนี้ “ไม่มีใครไร้ที่ติ” จึงไม่ควรที่จะมีใครถูกเพิกเฉยต่อความรุนแรงเพราะความด่างพร้อยในชีวิต…ความเห็นใจและความเข้าอกเข้าใจ อาจเป็นส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งที่สามารถสร้างให้โลกอันแสนโหดร้ายของคน ๆ หนึ่งน่าอยู่มากขึ้นได้นะคะ 🙂

 

 

 

 

ข้อมูลอ้างอิง

ไตรภพ จตุรพาณิชย์. (2557). อิทธิพลของความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมต่อการตัดสินด้านจริยธรรม [วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. Chulalongkorn University Intellectual Repository (CUIR). http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/45922

 

Nuttkamol Chaisuwan. (2019). เพราะเหยื่อคือกลุ่มคนที่ตำรวจไม่สนใจ : เหตุผลและคำรับสารภาพจากฆาตกรต่อเนื่อง 93 ศพ. https://thematter.co/thinkers/samuel-little-serial-killer/87403

 

ศิรอักษร จอมใบหยก. (2023). หรือเป็นเพราะฉันไม่ดี ถึงไม่มีใครเชื่อว่าเป็นเหยื่อความรุนแรง. https://themomentum.co/wisdom-perfect-victim/

 

Nudchanard k.. (2021). ในโลกนี้ไม่มี “เหยื่อในอุดมคติ”. https://www.sherothailand.org/post/th_there-is-no-perfect-victim

 

Wesley Lowery. (2020). Indifferent Justice Part 1 “The Perfect Victim”

 

รวิตา ระย้านิล. (2022). การโทษเหยื่อในกรณีล่วงละเมิดทางเพศ. https://www.psy.chula.ac.th/th/feature-articles/article-victimblame

 

 


 

 

 

บทความโดย

คุณบุณยาพร อนะมาน

นักจิตวิทยาประจำศูนย์จิตวิทยาเพื่อประสิทธิภาพองค์กร (PSYCH-CEO)

 

 

Belief in a just world – ความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรม

 

 

 

 

 

ความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรม คือ ความต้องการของบุคคลที่จะเชื่อว่าโลกนี้มีกฎเกณฑ์ที่ผู้กระทำดีจะได้รับผลที่ดีเป็นรางวัล ส่วนผู้ที่กระทำไม่ดีจะได้รับผลที่ไม่ดีเป็นการลงโทษ ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่ตายตัว ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับใคร ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ย่อมมีความคู่ควรแก่คนคนนั้น

 

ความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรม คือแรงขับทางด้านความยุติธรรม ที่เป็นแรงจูงใจขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่ต้องการเห็นความยุติธรรมเกิดขึ้น และผู้คนส่วนใหญ่มีความเชื่อนี้อยู่ในใจ ในระดับและรูปแบบที่แตกต่างกันไป ความเชื่อนี้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพัฒนาการภายในของตัวบุคคล ประกอบไปด้วย ความต้องการที่จะเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรม ประสบการณ์ตรงในชีวิต และการขัดเกลาทางสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มคนหัวก้าวหน้า (liberal) ที่ต้องการความรู้สึกว่าเท่าเทียมกันในสังคม

 

ในมุมมองของนักจิตวิทยาสังคม ความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมถูกอธิบายว่าเป็นความลำเอียงทางปัญญา แต่ความเชื่อนี้เป็นกลไกสำคัญที่บุคคลใช้ในการรับมือกับความเครียด เสมือนภาพลวงตาทางบวกที่ช่วยให้บุคคลรู้สึกดีและนำไปสู่สุขภาพจิตที่ดี เพราะในชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยการกีดกัน การกดขี่ และความไม่ยุติธรรมในสังคม การที่บุคคลพยายามจะหาคำอธิบายเพื่อรักษาความยุติธรรมไว้จะต้องลงแรงมาก บุคคลที่เชื่อว่าโลกยุติธรรมจึงใช้วิธีที่ง่ายกว่า โดยให้ความชอบธรรมกับเหตุการณ์ที่ไม่ยุติธรรมโดยละทิ้งความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้น และตีความเหตุการณ์นั้นใหม่ ด้วยการมองว่าใครก็ตามที่ต้องประสบเคราะห์ร้ายหรือพบความไม่ยุติธรรมนั้นก็สมเหตุสมผลดีแล้ว

 

ดังนั้น ความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมจึงไม่ได้เป็นเรื่องความยุติธรรมโดยแท้จริง แต่เป็นลักษณะความเชื่อที่จัดว่าเป็นภาพลวงตาขั้นพื้นฐานที่บุคคลใช้แก้ต่างความไม่ยุติธรรม มากกว่าเป็นแรงจูงใจที่จะกระทำการอย่างยุติธรรมจริงๆ

 

 

ผลทางบวก


 

1. สุขภาวะ

ผู้ที่มีความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมสูงมีแนวโน้มจะครุ่นคิดต่อเหตุการณ์ด้านลบน้อยกว่าเพราะความเชื่อนี้ทำให้บุคคลลดความสำคัญของสิ่งร้ายๆ ที่ตนต้องเผชิญลง ความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมจึงส่งผลให้บุคคลเป็นปกติสุขได้ เมื่อบุคคลมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกว่าทุกอย่างมีความหมายและสามารถคาดการณ์ได้ บุคคลจะมีทัศนคติทางบวกต่ออนาคต ซึ่งอาจทำให้เห็นคุณค่าในตนเองสูงขึ้น ทำให้บุคคลแน่ใจว่าเขาจะได้รับสิ่งที่สมควรแก่ตนถ้าเขาปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม

 

2. การไปสู่เป้าหมายระยะยาว

บุคคลที่เชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมย่อมหวังว่าการกระทำดีในปัจจุบันจะให้ผลที่ควรค่าในอนาคต การกระทำใดๆ ที่อาจได้ผลในระยะสั้นอาจไม่น่าพึงพอใจเท่ากับการอดทนรอผลที่คุ้มค่ากว่าในระยะยาว นั่นคือบุคคลจะสร้างพันธะส่วนบุคคลเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่รอคอย (อดเปรี้ยวไว้กินหวาน)

 

3. พฤติกรรมทางบวก

จากการวิจัยพบว่า ผู้ที่เชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมสูงจะสามารถยอมรับต่อเหตุการณ์ที่ไม่ยุติธรรมกับตนได้มากกว่า มีแนวโน้มจะช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อตนเองต้องการมากกว่า รับรู้ถึงความเอื้อเฟื้ออย่างจริงใจของผู้อื่นได้มากกว่า และมีคะแนนความรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่า นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ที่เชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมจะตอบสนองต่อผู้กระทำไม่ดีในทางสร้างสรรค์ (เช่น การเจรจา การให้อภัย) มากกว่าที่จะแก้แค้นหรือใช้ความรุนแรง และช่วยให้ผู้ถูกกระทำสามารถรับมือกับความทุกข์ด้วยวิธีต่างๆ

 

ผลทางลบ


 

1. การดูหมิ่นผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ

การศึกษาความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมกับผู้ตกเป็นเหยื่อรูปแบบต่างๆ พบสหสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมกับการโยนความผิดผู้ที่ตกเป็นเหยื่อหรือผู้ที่ต้องประสบกับเคราะห์ร้ายประเภทต่างๆ คือเมื่อบุคคลพบเหตุการณ์ที่ผู้ถูกกระทำตกเป็นเหยื่อของความไม่ยุติธรรมหรือความไม่สมเหตุสมผล บุคคลจะกล่าวหาว่าผู้เคราะห์ร้ายนั้นต้องเคยกระทำสิ่งที่ไม่ดีมาก่อนจึงต้องมารับผลเช่นนี้ เพื่อหาทางกู้ความรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ยังยุติธรรมดีอยู่ เป็นแรงจูงใจที่จะหาความยุติธรรมจากเหตุการณ์ในกรณีที่รู้สึกว่าไม่สามารถกระทำสิ่งใดๆ เป็นการชดเชยเหยื่อได้ การโยนความผิดนี้จะชัดเจนเมื่อเหตุร้ายเกิดขึ้นกับบุคคลอื่นมากกว่าเกิดขึ้นกับตนเอง ซึ่งเป็นกลไกที่เกิดขึ้นในระดับจิตก่อนสำนึก หรือเป็นกลไกที่เกิดขึ้นอัตโนมัติและเกี่ยวพับกับอารมณ์ความรู้สึก ทั้งนี้การดูหมิ่นเหยื่อของผู้ที่มีความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมสูงจะเกิดขึ้นน้อยลงหากบุคคลได้รับการเน้นย้ำถึงความบริสุทธิ์ของเหยื่อ หรือได้คำนึงถึงสถานการณ์แวดล้อมและบรรทัดฐานของสังคม

 

2. อคติและการกีดกันสถานภาพ

ความคิดที่ว่าผู้เคราะห์ร้ายสมควรได้รับผลเช่นนั้นแล้ว นำไปสู่การกีดกันและการกดขี่ เนื่องจากผู้ที่เชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมจะมองว่าทุกอย่างที่ทุกคนได้รับนั้นสมเหตุสมผลดีแล้ว จึงไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่ นั่นคือมองว่าการที่มีใครต้องประสบเคราะห์น้อยหรือมีสถานภาพที่ด้อยกว่าในสังคม (เช่น ชนกลุ่มน้อย กลุ่มรักร่วมเพศ ผู้หญิง คนยากจน ฯลฯ) ไม่ใช่ปัญหา มองว่าคนเหล่านั้นไม่ได้ถูกกีดกันแต่อย่างใด และไม่เกิดแรงจูงใจที่จะแก้ปัญหา

 

 


 

 

ข้อมูลจาก

 

“อิทธิพลของความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมต่อการตัดสินด้านจริยธรรม” โดย ไตรภพ จตุรพาณิชย์ (2557) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/45922

 

ขอบคุณภาพจาก Getty Images

และภาพการ์ตูนจาก @มิติคู่ขนาน
http://www.ookbeecomics.com/authors-and-artists/Phongmanus-Nus/detail-page/14571

 

 

ทำไมพ่อแม่ที่ดีจึงเลี้ยงลูกได้ไม่ดี

 

ท่านเคยคิดไหมค่ะว่าการเป็นพ่อแม่ที่ดีนั้นเป็นภารกิจที่แสนยาก แม้เราจะมีความตั้งใจ และพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ทำไมลูกของเราจึงยังคงเป็นเด็กดื้อ ไม่เอาใจใส่ต่อการเรียน และมีพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เป็นปัญหา ซึ่งสร้างความหนักใจให้กับพ่อแม่และครูบาอาจารย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในวันนี้ดิฉันมีคำตอบค่ะ คำตอบเหล่านี้ได้มาจากการรวบรวมผลการวิจัยของนักจิตวิทยาจากหลายมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่ง Naney Shute ได้เขียนรวบรวมไว้ใน US. News World and Report ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ดิฉันขอถือโอกาสนี้นำมาถ่ายทอดนะคะ ผลการวิจัยทางจิตวิทยาได้พบข้อผิดพลาด 8 ประการ ที่พ่อแม่มักทำอยู่บ่อย ๆ ในการอบรมเลี้ยงดูลูกดังนี้

 

1. พ่อแม่ไม่ได้กำหนดขอบเขตความประพฤติให้แก่ลูก

 

พ่อแม่หลายคนเห็นด้วยกับการตั้งกฎกติกา เพื่อให้ลูกปฏิบัติตาม แต่เมื่อพบกับเด็กที่กำลังร้องไห้หรืออาละวาด พ่อแม่ก็จะยอมแพ้ โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากพ่อแม่มีเวลาอยู่กับลูกจำกัด ดังนั้นจึงอยากให้เวลานั้นเป็นเวลาที่ลูกมีความสุขมากที่สุด เลยไม่อยากขัดใจลูก ผลที่ตามมาก็คือพ่อแม่ก็เลยต้องเลี้ยงลูกแบบตามใจ อย่างไรก็ตามงานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่า พ่อแม่ที่ตามใจลูกอย่างไม่มีขอบเขตนั้น ทำให้เด็กต่อต้านและท้าทายพ่อแม่ขึ้น เนื่องจากการที่พ่อแม่ไม่วางกรอบให้เด็กเดิน เด็กจะรู้สึกขาดความมั่นคง ปลอดภัย จึงพยายามทดสอบว่าพ่อแม่ จะยอมตามใจเขาไปถึงไหน เด็กที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบตามใจ ยังมีผลเสียอีกหลายอย่าง เช่น มีปัญหาเรื่องการเรียน ใช้ยาเสพติด และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมื่อเป็นวัยรุ่น และยังมีปัญหาด้านสุขภาพจิต มีอาการซึมเศร้า หรือวิตกกังวล มากกว่าเด็กที่พ่อแม่วางกรอบความประพฤติไว้อย่างชัดเจน และสนับสนุนลูกให้ปฎิบัติตาม

 

พ่อแม่สามารถกำหนดกฎกติกาง่าย ๆ และชัดเจนได้โดยการอธิบาย ให้เด็กเข้าใจถึงผลที่จะเกิดขึ้น ถ้าเด็กไม่ทำตามกติกา และถ้าพ่อแม่ไม่อยากให้ลูกรู้สึกว่าตนเป็นพ่อแม่ที่ใจร้าย พ่อแม่ก็สามารถให้เด็กเลือกจากทางเลือกสองสามอย่างที่พ่อแม่ยอมรับได้ เช่น เล่นเกมคอมพิวเตอร์ครึ่งชั่วโมงก่อนทำการบ้าน หรือจะทำการบ้านให้เสร็จก่อนจึงจะมีสิทธิ์เล่นเกม เป็นต้น เมื่อมีกฎแล้วพ่อแม่ก็จะต้องสนับสนุนให้เด็กทำตามกฎอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใจอ่อนหรือยอมให้เด็กทำผิดกฎโดยง่าย กล่าวชมเชย และให้กำลังใจแก่เด็กในการทำตามข้อตกลง ข้อสำคัญควรเริ่มสอนให้เด็กเคารพกติกาตั้งแต่อายุน้อย ๆ เมื่อเด็กเริ่มพูดเข้าใจแล้ว การตามใจเด็กไประยะหนึ่งแล้วจึงมาตั้งกฎ จะทำให้พ่อแม่เหนื่อยมากขึ้นในการทำให้เด็กยอมรับกติกา

 

 

2. พ่อแม่ปกป้องคุ้มครองมากเกินไป

 

ครู ผู้ฝึกสอน และนักจิตบำบัดได้ตั้งข้อสังเกตว่า พ่อแม่ในปัจจุบันไม่สามารถทนเห็นลูกล้มเหลว หรือประสบความยากลำบากได้ ดังนั้นพ่อแม่จะเข้ามาแทรกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของลูก ตั้งแต่การทะเลาะกับเพื่อนที่สนามเด็กเล่น การได้เล่นตำแหน่งไหนในทีมฟุตบอลของโรงเรียน จนกระทั่งคะแนนผลการเรียนของลูก พ่อแม่บางคนยังตามปกป้องคุ้มครองลูก แม้ว่าลูกจะจบการศึกษาและเข้าทำงานแล้ว

 

มีเจ้าของบริษัทประชาสัมพันธ์แห่งหนึ่งในนครนิวยอร์คได้เล่าว่า เขาเคยได้รับอีเมลล์จากพ่อแม่ที่เขียนมาต่อว่าว่าบริษัทให้ลูกของเขาทำงานมากเกินไป การที่พ่อแม่ไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ว่าในบางครั้งเขาอาจจะต้องล้มเหลวหรือผิดพลาด หรือพบกับอุปสรรคบ้างจะทำให้เด็กไม่รู้จักวิธีการเผชิญกับปัญหา และการที่พ่อแม่เข้ามาช่วยเหลืออย่างรวดเร็วนั้นเท่ากับเป็นการบอกเด็กว่าพ่อแม่ไม่มั่นใจ ว่าลูกจะสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง ทำให้เด็กกลัวปัญหา ขาดแรงจูงใจในการเรียน เด็กบางคนไม่ได้เป็นเด็กที่เกียจคร้าน แต่ไม่อยากล้มเหลวเลยไม่พยายาม

 

 

3. พ่อแม่บ่น พูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ และตะโกนใส่เด็ก

 

ถ้าพ่อแม่บอกเด็กหนึ่งครั้งให้มาทานอาหาร แล้วเด็กไม่มา ถ้าพูดซ้ำอีก 20 ครั้ง เด็กจะมาไหมคะ งานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ มักจะไม่รับฟังคำสั่งที่ซ้ำ ๆ กัน พ่อแม่หลายคนคิดว่าจะต้องใช้อารมณ์ พูดเสียงดัง ขู่ หรือพูดประชดประชัน เพื่อให้ลูกทำตาม ผลที่ตามมาคือ เด็กจะเลียนแบบวิธีการของพ่อแม่ ในเวลาที่มีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ การบ่นของพ่อแม่ถือเป็นการเสริมแรงทางลบอย่างหนึ่ง เพราะทำให้เด็กรู้สึกว่าตนได้รับความสนใจ จึงยังคงทำพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาต่อไป พ่อแม่หลายคนไม่รู้ตัวว่าได้เสริมแรงพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาของลูกโดยการไม่สนใจเวลาลูกทำดี แต่ทันทีที่ลูกทำผิด พ่อแม่ก็จะหันมาให้ความสนใจ ซึ่งเท่ากับเป็นการเสริมแรงให้ลูกทำผิดบ่อยขึ้น เพื่อจะได้รับความสนใจจากพ่อแม่ ทางที่ดีพ่อแม่ควรจะใช้การสริมแรงทางบวกแทน โดยการชมเชยทุกครั้งที่ลูกทำในสิ่งที่ดีหรือถูกต้อง และไม่ให้ความสนใจในข้อผิดพลาดของลูก นอกจากนั้นพ่อแม่ยังสามารถสร้างระบบการให้รางวัลแก่ลูก เมื่อลูกทำตามข้อตกลง รวมทั้งการทำโทษเมื่อลูกทำผิดกติกาได้ด้วย เช่น ถ้าลูกเก็บของเล่นทุกครั้งที่เล่นเสร็จครบหนึ่งสัปดาห์ ลูกจะได้ของเล่นที่ลูกอยากได้ แต่ถ้าลูกไม่เก็บของเล่นเกินสองครั้งต่อสัปดาห์ ลูกจะไม่ได้ของเล่น เป็นต้น

 

 

4. พ่อแม่ชมเชยเด็กมากเกินไปและชมเชยไม่ถูกจุด

 

เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปแล้วว่าการชมเชยเด็กทำให้เด็กรู้สึกดีและมีแรงจูงใจที่จะทำในสิ่งที่ดี แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือพ่อแม่พูดคำชมเชยไม่เป็น ส่วนมากจะใช้คำกว้าง ๆ เช่น “ดีมาก” หรือเป็นคำที่เกี่ยวกับตัวเด็กแทนที่จะเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กทำ เช่น “ลูกเป็นคนเก่งจริงๆ” นักจิตวิทยาพบว่า คำชมเชยเหล่านี้ทำให้เด็กเกิดแรงจูงใจน้อยลงและมีความเชื่อมั่นน้อยลง จากผลการทดลองของนักจิตวิทยาในมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด พบว่า เด็กระดับป.5 ที่ได้รับคำชมเชยว่า “ฉลาด” แทนที่จะได้รับคำชมเชยว่า “มีความพยายามดี” ได้ใช้ความพยายามในการทำแบบทดสอบน้อยลงและมีความยากลำบากในการจัดการกับความล้มเหลวมากกว่า การที่พ่อแม่พยายามบอกลูกว่า เขาเป็นคนพิเศษอาจทำให้เด็กหลงตนเอง แทนที่จะเห็นคุณค่าในตนเอง ดังนั้นแทนที่จะบอกกับลูกว่า “ลูกเป็นคนพิเศษของพ่อ แม่” การบอกลูกว่า “พ่อแม่รักลูก” จะดีกว่าในทุกกรณี

5. พ่อแม่ลงโทษเด็กรุนแรงเกินไป

 

ถึงแม้ว่านักจิตวิทยาพัฒนาการจะไม่เห็นด้วยกับการเฆี่ยนตีเด็ก แต่งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าพ่อแม่ยังคงลงโทษเด็กรุนแรงเกินไป และถ้าเด็กยังทำผิดซ้ำอีก พ่อแม่ก็จะเฆี่ยนตีด้วยไม้เรียวที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ดังนั้นพ่อแม่จึงควรจะทำความเข้าใจใหม่ว่าเป้าหมายของการลงวินัยเด็กนั้นคือ การสอน ไม่ใช่ทำให้เด็กเจ็บหรือหลาบจำเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น การลงโทษเด็กโดยไม่ให้เด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ทุกคนกำลังทำอยู่โดย แยกเด็กให้อยู่ตามลำพังเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ที่เรียกว่า “timeout” นั้น นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฟลอริดาได้พบว่า “timeout” จะได้ผลดีที่สุดก็ต่อเมื่อพ่อแม่ลงโทษเด็กทันทีที่ทำผิด และเป็นการลงโทษที่ใช้เวลาเพียงสั้น ๆ เพราะเด็กจะสามารถเชื่อมโยงกับความผิดที่ได้ทำไป และการลงโทษนั้นต้องไม่รุนแรง จนทำให้เด็กโกรธเคืองพ่อแม่ นักจิตวิทยาแนะนำว่า การแยกเด็กออกตามลำพังควรจะใช้เวลาเพียง 2-3 นาที โดยทั่วไปแล้วจะเป็นเวลา 1 นาทีต่ออายุ 1 ปีของเด็ก ส่วนวัยรุ่นซึ่งโตเกินกว่าที่จะใช้การลงโทษด้วย “timeout” แล้ว พ่อแม่อาจจะตัดสิทธิพิเศษ บางอย่างออกแต่ไม่ควรเกินหนึ่งวัน เพราะถ้านานกว่านั้น แทนที่เด็กจะรู้สึกสำนึกในความผิดที่ได้ทำลงไปเด็กจะรู้สึกโกรธเคืองพ่อแม่ ทำให้เกิดความห่างเหินในความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับพ่อแม่ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามีการลงโทษนานเกินไป ในที่สุดพ่อแม่ก็จะต้องยอมผ่อนผันอยู่ดี ดังนั้น พ่อแม่ควรจะสอนเด็กให้รู้จักทำความดี เช่น ให้ซ่อมแซมสิ่งที่เขาได้ทำให้เกิดความเสียหาย เพื่อแลกกับการได้สิทธิพิเศษคืน เป็นต้น

 

 

6. พ่อแม่บอกลูกว่าควรจะรู้สึกอย่างไร

 

หนังสือเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดูส่วนใหญ่จะเป็นวิธีกำจัดพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาของเด็ก แต่งานวิจัยจำนวนมากได้แสดงให้เห็นว่าความสามารถในการร่วมรู้สึกกับผู้อื่นเป็นคุณสมบัติสำคัญข้อหนึ่งที่ทำให้เราสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนหรือความสัมพันธ์ภายในครอบครัว การที่เด็กได้มีโอกาสคิดถึงความรู้สึกของตนเองว่ามันเกิดจากสาเหตุอะไร บางครั้งก็อาจจะเกิดจากการกระทำของเขาเอง บางครั้งก็อาจเกิดจากการกระทำของคนอื่น การเข้าใจความรู้สึกของตนเองจะนำไปสู่ความเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นด้วย ทำให้เด็กรู้จักยับยั้งที่จะไม่ทำร้ายความรู้สึกของคนอื่น ไม่ว่าจะโดยการพูด หรือการกระทำ

 

ในเวลาที่เด็กรู้สึกเสียใจ พ่อแม่มักจะบอกกับเด็กว่า “ไม่เป็นไรหรอก” หรือ “อย่าร้องไห้” การทำเช่นนี้ทำให้เด็กไม่มีโอกาสเรียนรู้จากความรู้สึกของตนเอง แทนที่พ่อแม่จะห้ามไม่ให้เด็กเสียใจ พ่อแม่ควรจะบอกกับลูกว่า “พ่อแม่ก็เสียใจเช่นกัน พ่อแม่เข้าใจนะว่าลูกรู้สึกอย่างไร” ก็เพียงพอแล้ว อีกประการหนึ่งที่พ่อแม่ไม่ควรลืมก็คือ พ่อแม่เป็นตัวแบบที่สำคัญของลูก เด็กจะเรียนรู้การร่วมรู้สึกกับผู้อื่นจากการกระทำของพ่อแม่ ดังนั้น พ่อแม่จะต้องเข้าใจว่าการตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ของลูกมีความสำคัญ มันเป็นการง่ายที่จะร่วมรู้สึกดีใจกับลูกเมื่อลูกสอบได้เกรด A ในทุกวิชา แต่ถ้าลูกสอบตกนั่นเป็นช่วงเวลาที่ลูกต้องการการสนับสนุนทางด้านจิตใจจากพ่อแม่ คำพูดและท่าทีของพ่อแม่ในเวลานั้น จะทำให้ลูกรู้สึกแย่หรือมีกำลังใจที่จะแก้ตัวใหม่ ซึ่งพ่อแม่จะต้องเตรียมคำพูดและการแสดงท่าทีที่เหมาะสมสำหรับเหตุการณ์ทางลบเหล่านั้นด้วย

 

 

7. พ่อแม่ให้ความสำคัญแก่คะแนนสอบมากกว่าความริเริ่มสร้างสรรค์

 

การที่พ่อแม่เน้นผลการเรียนหรือคะแนนมากเกินไป อาจทำให้เด็กเข้าใจผิดว่าเขาควรจะเรียนรู้อะไร พ่อแม่อยากให้เด็กเรียนรู้กฎ และข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ อยากให้เด็กอ่านหนังสือคล่อง คิดเลขได้เร็ว แต่พ่อแม่ไม่ค่อยได้สนับสนุนให้เด็กมีความริเริ่มสร้างสรรค์ เด็กที่มีความริเริ่มสร้างสรรค์จะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เมื่อความคิดแรกของเขาไม่เกิดผล แต่เขาจะรู้ว่าการใช้เวลาและความอดทนจะทำให้ได้คำตอบ ดังนั้น เป้าหมายของการสอนจึงไม่ใช่เพียงแต่ทำให้เด็กตอบคำถามได้เท่านั้น แต่จะต้องสอนให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักถามคำถามที่สำคัญ ๆ ด้วย พ่อแม่สามารถช่วยให้เด็กเป็นนักคิดได้โดยการถามคำถามปลายเปิด เช่น “ลูกมีวิธีอื่นอีกไหมที่จะแก้ปัญหานี้” หรือถามลูกที่กำลังร้องไห้งอแงว่า “ลูกมีวิธีอื่นอีกไหมที่จะบอกแม่ว่า ลูกต้องการอะไร”

 

 

8. พ่อแม่ลืมที่จะเล่นสนุกกับลูก

 

นักจิตวิทยาพบว่าในครอบครัวที่มีปัญหานั้น พ่อแม่ลูกมักไม่ค่อยได้หัวเราะหรือเล่นสนุกร่วมกัน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวมักจะเป็นการแก้ไขความขัดแย้ง การว่ากล่าวสั่งสอน และการตำหนิติเตียน ดังนั้น พ่อแม่จึงควรจะถามตนเองว่า “เราได้หัวเราะและเล่นสนุกกับลูกครั้งสุดท้ายเมื่อไร” และถ้าหากพบว่าพ่อแม่ลูกไม่ได้หัวเราะร่วมกันร้องเพลงด้วยกัน หรือเล่นสนุกร่วมกันนานมาแล้ว ก็ถึงเวลาที่พ่อแม่จะต้องหันกลับมาเตือนตนเองว่าได้มีความบกพร่องเหล่านี้ในครอบครัวแล้ว ยังคงไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นในวันนี้เพื่อทำให้บรรยากาศของครอบครัวมีความสุข สนุกสนาน และน่าจดจำตลอดไป

 

 


 

 

 

จากบทความสารคดีทางวิทยุ รายการจิตวิทยาเพื่อคุณ

ของ รองศาสตราจารย์ ดร.เพ็ญพิไล ฤทธาคณานนท์

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

ออกอากาศวันที่ 15-19 กันยายน 2551

 

 

จิตวิทยาผู้บริโภค : หลักการทางจิตวิทยาที่มักนำมาใช้ในการโฆษณา

 

นักโฆษณาได้นำหลักการทางจิตวิทยาหลายเรื่องมาใช้ในการโฆษณา เรื่องแรกก็คือการชี้ว่าสินค้าที่โฆษณาใคร ๆ ก็ใช้กัน วิธีนี้ใช้หลักการเรื่องบรรทัดฐานของสังคมที่ชี้ให้เห็นว่าการใช้สินค้าที่โฆษณาเป็นเหมือนบรรทัดฐานของสังคม วิธีการนี้ใช้ได้ผลดีกับผู้บริโภคที่เป็นวัยรุ่น เนื่องจากวัยรุ่นมักต้องการการยอมรับจากเพื่อน การทำตัวให้เหมือนเพื่อน ๆ ก็เป็นหนทางหนึ่งที่จะได้รับการยอมรับจากเพื่อนได้

 

เรื่องที่สองคือการใช้การเปรียบเทียบกับสินค้าอื่นโดยภาพรวม เช่น การบอกว่าสินค้าของตนทนทานกว่าสินค้าอื่นในท้องตลาดทั้งหมด หรือสินค้าของตนมีคุณภาพดีกว่าสินค้าอื่น ๆ ในด้านนี้เนื่องจากในประเทศไทยไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาเปรียบเทียบสินค้าที่เจาะจงตราหนึ่งกับอีกตราหนึ่งโดยตรง เหมือนที่มีการอนุญาตกันในต่างประเทศ ในประเทศไทยจึงหลีกเลี่ยงไปเปรียบเทียบกับสินค้าอื่นโดยภาพรวม

 

เรื่องที่สามคือการทำให้ผู้รับสารเกิดอารมณ์ดีเพื่อประโยชน์ในการโฆษณา โดยใช้หลักการที่ว่าถ้าทำให้ผู้รับสารมีอารมณ์ดี ผู้รับสารก็จะมีความรู้สึกที่ดีต่อสินค้าที่โฆษณาไปด้วย เช่นการใช้นักร้องยอดนิยมดาราภาพยนตร์ยอดนิยม สาวงามหรือหนุ่มหล่อมาเป็นผู้เสนอสินค้า การใช้ความตลกขำขันเข้ามาช่วยในการโฆษณา การเสนอภาพทิวทัศน์สวยงามมาช่วยในการโฆษณา และการใช้กลิ่นที่หอมยวนใจใส่ในนิตยสารหรือเผยแพร่ในห้างสรรพสินค้า

 

เรื่องที่สี่คือการใช้เทคนิคบอกว่าของที่เสนอขายมีจำนวนจำกัด วิธีนี้ทำให้ผู้บริโภคเห็นว่าของที่เสนอขายมีจำนวนจำกัด หมดแล้วหมดเลย หากผู้บริโภคมาซื้อช้าก็อาจซื้อสินค้านั้นไม่ได้

 

เรื่องที่ห้าเป็นการบอกว่ามีการลดราคาสินค้าในเวลาที่จำกัด เช่นลดราคาวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์เพียง 3 วัน หรือลดราคาระหว่างเวลา 4 ทุ่มถึงตีหนึ่ง แล้วเรียกชื่อให้จำง่ายว่า มิดไนท์เซลล์

 

เรื่องที่หกเป็นการกำหนดระยะเวลาที่ผู้บริโภคจะได้รับสิทธิพิเศษถ้ารีบซื้อในเวลาที่กำหนด เช่นที่มีการโฆษณาในโทรทัศน์ว่าถ้าโทรสั่งของภายในเวลา 15 นาที จะได้รับของแถมพิเศษ ได้ซื้อสินค้าในราคาพิเศษ หรือได้รับสินค้า 2 ชิ้นในราคาของสินค้าชิ้นเดียว

 

 

 

เรื่อง 3 เรื่องหลังนี้ใช้หลักการที่คล้ายคลึงกัน คือทำให้ผู้บริโภคคิดไปว่ามีข้อจำกัดในด้านปริมาณของสินค้า เวลาที่ขายและสิทธิพิเศษที่ได้รับจากการซื้อสินค้า ผู้บริโภคที่รู้เท่าทันจึงต้องตระหนักว่าสิ่งและวิธีการที่นักโฆษณานำมาโฆษณานั้น เป็นสิ่งที่ตนกำลังต้องการอยู่พอดีหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ควรไปคล้อยตามโดยง่าย เพราะสินค้าหลายอย่างมีอายุในการเก็บไว้ใช้งาน หากซื้อเก็บไว้นานเกินไปจะไม่ดี

 

 

สีกับผู้บริโภค


 

บางส่วนนำมาจากงานเขียนของเบอร์นิส แคนนเนอร์ (Bernice Kanner) ในนิตยสารนิวยอร์ค นักโฆษณาได้นำสีต่าง ๆ ที่ได้มีการวิจัยกันโดยหลักการทางจิตวิทยามาใช้ในการโฆษณา และนักการตลาดก็นำมาใช้มากเช่นกัน

 

เริ่มจากสีฟ้า เป็นสีที่เชื่อมโยงกับบุคลิกภาพของผู้มีอำนาจหรือผู้ที่สมควรให้ผู้อื่นเคารพนับถือ เป็นสีที่ได้มีการศึกษากันมาแล้วว่าผู้คนทั่วโลกชอบมากที่สุด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเป็นสีที่เหมือนกับท้องฟ้าที่ผู้คนสามารถมองเห็นได้จากทั่วโลก และเป็นสีที่ผู้คนคุ้นตามากที่สุด ผู้ชายมักมองหาสินค้าที่ใส่ในกล่องสีฟ้า ทางตะวันตกเช่นอเมริกามีการเชื่อมโยงสีฟ้ากับเพศชาย สินค้าหลายอย่างที่ทำสำหรับเด็กชายจึงมักใช้สีฟ้าประกอบ เช่นสีของจุกขวดนม สีผ้าเช็ดตัว สีเสื้อเด็ก สีของป้ายชื่อที่ผูกข้อมือเด็กหลังคลอด และสีของสินค้าหลายอย่างสำหรับเด็กอ่อนที่มีการจัดใส่ตะกร้าขาย ในประเทศไทยโรงพยาบาลหลายแห่งและผู้ขายสินค้าหลายรายก็รับเอาความนิยมนี้มาใช้ด้วย สินค้าที่ใส่ในกล่องสีฟ้าหลายอย่างถูกรับรู้ว่าเป็นสินค้าที่มีแคลอรีต่ำ เช่นน้ำตาลเทียม หรือนมพร่องไขมัน ถ้าเป็นกาแฟขวดสีฟ้าจะทำให้ผู้บริโภครับรู้ว่าเป็นกาแฟที่มีรสนุ่มนวลหรือไมลด์ แต่ก็น่าแปลกที่สีฟ้าเป็นสีที่ไม่พบในอาหารตามธรรมชาติเลย บริษัทข้ามชาติที่ใช้สีฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของตนโดยสม่ำเสมอคือบริษัท IBM

 

ต่อมาคือสีเขียว เป็นสีที่ใช้แทนความเป็นธรรมชาติที่ผ่อนคลาย ความมีชีวิตชีวา และความมั่นคง เป็นสีที่ใช้ทาห้องทำงานแล้วจะทำให้ผู้ทำงานมีความรู้สึกที่ดี เป็นสีที่เชื่อมโยงกับผักและหมากฝรั่ง เครื่องดื่ม Canada Dry ginger ale มียอดขายเพิ่มขึ้นหลังจากเปลี่ยนกล่องบรรจุจากสีแดงเป็นสีเขียวและขาว น้ำอัดลมที่ใช้สีเขียวมาเน้นการโฆษณา ทำให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความสดชื่นมาเชื่อมโยงกับน้ำอัดลมนั้น ๆ สินค้าต่าง ๆ และบุหรี่ที่มีรสเมนทอลนิยมใช้สีเขียวเป็นกล่องบรรจุจนทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากเชื่อมโยงสีเขียวกับรสเมนทอล ถ้าเป็นสีเขียวอ่อนแล้วนำไปใช้ในการโฆษณาบ้าน จะทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกว่าบ้านมีความร่มรื่นท่ามกลางแมกไม้

 

สีเหลือง เป็นสีที่เชื่อมโยงกับความระมัดระวัง ความแปลกใหม่ ความชั่วคราวและความอบอุ่น เป็นสีที่ตาคนมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว เป็นสีบอกให้เตรียมหยุดของสัญญาณไฟจราจร เป็นสีที่นิยมในการใช้เขียนป้ายขายบ้านในอเมริกา กาแฟในขวดที่ใช้ฉลากสีเหลืองจะถูกรับรู้มีรสชาติอ่อน

 

สีแดง เป็นสีที่เชื่อมโยงกับความเป็นมนุษย์ ความตื่นเต้น ความเร่าร้อนความหลงใหล และความเข้มแข็ง กาแฟที่ใช้ฉลากสีแดงทำให้ผู้บริโภครับรู้ว่าเป็นกาแฟที่มีรสเข้มข้น สีแดงที่ใช้ประกอบกับอาหาร เช่นเป็นกล่องของอาหาร มักทำให้ผู้บริโภครับรู้ว่าอาหาร “มีกลิ่นที่ดี” น้ำอัดลม “โคคาโคล่า” ใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ตลอดกาล ผู้หญิงมักชอบไปทางสีแดงอมน้ำเงิน ขณะที่ผู้ชายมักชอบไปทางสีแดงอมเหลือง

สีขาว เป็นสีที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ ความดี ความสะอาด ความละเอียดอ่อน และความเป็นทางการ ถ้าใช้กับอาหารจะแสดงถึงความบริสุทธิ์และความมีประโยชน์ต่อร่างกาย แสดงถึงว่าเป็นอาหารที่มีแคลอรีต่ำ หากใช้กับผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำ แสดงถึงความสะอาดและความเป็นหญิง โรงแรมต่าง ๆ มักจัดผ้าเช็ดตัวสีขาวไว้บริการแขกที่มาพัก เพื่อสื่อความหมายถึงความสะอาด และผลพลอยได้ก็คือความสะดวกในการซักให้สะอาดได้ง่ายกว่าการใช้ผ้าสี

 

สีดำ เป็นสีที่แสดงถึงพลังอำนาจ ความลึกลับ และความซับซ้อน ถ้าเป็นเรื่องเสื้อผ้าก็แสดงถึงความทรงพลังอำนาจและความลึกลับ แต่ถ้าเป็นเรื่องเครื่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ก็แสดงถึงความมีเทคโนโลยีสูงของสินค้า คนไทยและคนในอีกหลายสังคมใช้สีดำเป็นสีในการไว้ทุกข์

 

สีเงิน สีทองและสีทองคำขาว เป็นสีที่แสดงถึงความสง่าผ่าเผย ความร่ำรวยและความเป็นทางการ ถ้าใช้กับสินค้าจะเป็นการชี้แนะว่าเป็นสินค้าที่มีราคาแพง บริษัทรถยนต์หลายบริษัทใช้สีทองหรือสีเงินเป็นสีแนะนำรถยนต์รุ่นหนึ่ง ๆ ทั้งที่พิมพ์ในแผ่นพับ ในการทำภาพยนตร์โฆษณา และในการนำไปแสดงจริง เป็นการแสดงถึงความสง่าผ่าเผยของผู้ที่จะใช้รถยนต์รุ่นนั้น ๆ

 

สีน้ำตาล เป็นสีที่แสดงถึงความไม่เป็นทางการ ความผ่อนคลาย เป็นธรรมชาติและแสดงถึงความเป็นชาย ถ้ากาแฟใช้ฉลากสีน้ำตาลเข้มมักทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเป็นกาแฟที่มีรสเข้มข้นมาก ผู้ชายมักมองหาสินค้าที่บรรจุกล่องสีน้ำตาล

 

สีส้ม เป็นสีที่เชื่อมโยงกับความมีอำนาจ ความไม่เป็นทางการและราคาพอซื้อหาได้ เป็นสีที่สะดุดตาได้ง่าย ที่คนไทยเราคุ้นเคยกันในเวลานี้ก็คือโทรศัพท์สีส้ม

 

 


 

 

จากบทความสารคดีทางวิทยุ รายการจิตวิทยาเพื่อคุณ
ของ รองศาสตราจารย์ ดร.ธีระพร อุวรรณโณ
Faculty of Psychology, Chulalongkorn University
ออกอากาศวันที่ 20-24 พฤษภาคม 2545