News & Events

ถอดความ PSY Talk เรื่อง Beauty Privileges: รูปร่างหน้าตามีอิทธิพลต่อชีวิตจริงหรือไม่

 

การเสวนาทางจิตวิทยา (PSY Talk) เรื่อง

Beauty Privileges: รูปร่างหน้าตามีอิทธิพลต่อชีวิตจริงหรือไม่

 

โดยวิทยากร
  • คุณกมลกานต์ จีนช้าง (อ.น้ำ)
    นิสิตปริญญาเอก แขนงวิชาจิตวิทยาสังคมพื้นฐานและประยุกต์ กำลังศึกษาวิจัยเรื่อง Beauty Standard
  • คุณพงศ์มนัส บุศยประทีป (คุณนัส)
    มหาบัณฑิตแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม เคยเขียนหนังสือและแปลหนังสือความรู้ทางจิตวิทยา ปัจจุบันเป็นคอลัมน์นิสต์และนักแปล

 

วิทยากรและผู้ดำเนินรายการ
  • อ. ดร.พูลทรัพย์ อารีกิจ (อ.สาม)
    ผู้ช่วยคณบดี และอาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2565 เวลา 17.00 – 18.00 น.

 

รับชม LIVE ย้อนหลังได้ที่
https://www.facebook.com/CUPsychBooks/videos/550041026469217

 

 

 

 

ความหมายของคำว่า Beauty Privileges


 

คุณนัส

ก็ตรงตามตัวเลย คือคนที่หน้าตาดีจะมีอภิสิทธิ์ มีสิทธิประโยชน์มากกว่า เช่น ทำอะไรเหมือนกัน แต่คนหน้าตาดีกว่าย่อมได้สิ่งที่ดีกว่า ได้รับการประเมินดีกว่า มีคนเห็นและคนชอบมากกว่า โอกาสก็อย่างเช่นในการสมัครงาน หรือในการทดสอบความสามารถที่ได้เห็นหน้าค่าตา โอกาสที่จะชนะโอกาสที่จะได้รับคะแนนมากกว่า ถ้าเป็นในด้านความถูกต้อง หรือการพิจารณาผิด โอกาสที่จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้บริสุทธิ์มากกว่า ก็คือแทบทุกด้านเลย ทุกครั้งที่มีการประเมินเกิดขึ้นคนหน้าตาดีจะได้เปรียบ

 

อ.น้ำ

คนที่หน้าตาถูกรับรู้ว่าสวยกว่าหล่อกว่าก็จะมีโอกาสในเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตเยอะกว่า ทั้งในเรื่องทางสังคม และเศรษฐกิจ ทางสังคมก็เช่น ถูกรับรู้ว่าน่าจะมีแนวโน้มมี personality บางอย่างที่ดีกว่า เช่น ดูอบอุ่นกว่า น่าจะเป็นมิตรมากกว่า น่าเข้าหา เพราะเมื่อคนเราเจอกันแรก ๆ เราจะประเมินแค่ภายนอกก่อน เราไม่มีข้อมูลมากพอที่จะประเมินลึกกว่านั้น ในบริบททางเศรษฐกิจ เราจะพบว่า โอกาสเวลาที่คนหน้าตาดีส่งเรซูเม่เข้าไป แล้วเขาประเมิน ก็จะได้รับการคัดเลือกขั้นต้น และเวลามาสัมภาษณ์ ก็มีโอกาสได้รับการประเมินดี ในบางงานวิจัยก็บอกเลยว่า เรื่องค่าตอบแทนก็ได้รับมากกว่าด้วย

 

ในความสัมพันธ์เชิงโรงแมนติก คนหน้าตาดีก็มีโอกาสในการออกเดตและสานความสัมพันธ์มากกว่า แม้บอกไม่ได้ว่าจะประสบความสำเร็จมากกว่า แต่ในขั้นต้นก็ได้รับโอกาสตรงนี้มากกว่า

 

อ.สาม

เหมือนเป็นต้นทุน หรือที่เขาบอกว่าความสวยเป็นใบเบิกทาง what is beautiful is good. แต่หลังจากนั้นอาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้วแต่บุคคล แต่ก็เหมือนตรงนี้จะเป็นข้อได้เปรียบ หรือเป็น privilege

 

 

คำว่าสวยคำว่าหล่อในทางจิตวิทยาเป็นอย่างไร


 

คุณนัส

ขอแบ่งเป็น 2 แง่หลัก ๆ คือ วัตถุกับคน มนุษย์เราเนี่ย ไม่จำเป็นต้องสอน เราก็มีรสนิยมของสิ่งที่เรียกว่าความสวยความงามตั้งแต่เกิดมาอยู่แล้ว อาจไม่ถึงขนาดว่าเราเกิดมาแล้วรู้ทุกอย่างว่าอะไรสวยอะไรไม่สวย แต่ว่าเราค่อย ๆ เรียนรู้และค่อย ๆ ซึมซับและแบ่งแยกว่าอะไรสวยไม่สวย แต่ในเรื่องหน้าตาจะค่อนข้างพิเศษกว่านิดหน่อย เพราะเราจะแบ่งแยกคนหน้าตาดีกับไม่ดีได้เหมือนกับว่าเป็นโปรแกรมที่ติดตัวมาแต่เกิดเลย ถ้าเราถามตัวเองว่าเรารู้ได้อย่างไรว่าใครหน้าตาดี ก็ไม่ได้มีใครมาสอนเรา คือเราก็สังเกตและเห็นมาตั้งแต่เด็ก คือเราดูละครหรือโฆษณาในทีวี แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่พ่อแม่จะบอกเราว่าคนนี้สวยนะคนนี้ไม่สวย แต่ว่าสักพักหนึ่ง เราเห็นคนหลาย ๆ คน เราจะรู้เองว่าใครที่หน้าตาดีใครที่หน้าตาไม่ดี

 

สังเกตได้ว่าคนที่เป็นดาราเนี่ยผู้คนก็จะมองว่าหน้าตาดี แน่นอนว่าคนเรามีรสนิยมที่ต่างกันไป แต่มันจะมีความสวยความหล่อมาตรฐานที่ใครเห็นใครก็ชอบ ขนาดดาราต่างประเทศไม่ว่าจะชนชาติไหนก็ตาม ถ้าเป็นดาราก็จะหน้าตาดีโดยที่เรารู้สึกว่าคนนี้หน้าตาดีกว่ามาตรฐาน ดังนั้นการรับรู้ความสวยความหล่อเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ถึงขนาดมีงานวิจัยระบุว่าเด็กทารกจะชอบคนหน้าตาดีมากกว่า เห็นแล้วอารมณ์ดีมากกว่า แสดงว่ามันเป็นสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องเรียนรู้

 

นักจิตวิทยาก็พยายามหาว่าแล้วความสวยความหล่อมันมาจากไหน คือถ้าติดตัวมาตั้งแต่เกิดแสดงว่ามาจากยีนส์ (genes) ถ้ามาจากยีนส์แปลว่า มันเป็นเรื่องพันธุกรรม เป็นเรื่องวิวัฒนาการ ถ้าเป็นเรื่องวิวัฒนาการแปลว่ามันเกี่ยวกับความอยู่รอด เขาก็เลยลองพยายามหาสาเหตุของมันดู มีการวิจัยที่เขาเอาหน้าคนมาหลาย ๆ คน แล้วดูว่าคนหน้าตาแบบไหนที่คนจะบอกว่าหน้าตาดี เขาพบว่าคนที่หน้าตาดีคือคนที่หน้าตามีสัดส่วนที่เป็นเฉลี่ย หมายความว่า ขนาดของอวัยวะบนใบหน้าเฉลี่ย คือไม่โตไปไม่เล็กไป นอกจากขนาดแล้วตำแหน่งที่อยู่บนใบหน้าเฉลี่ยแล้วอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างกลาง ๆ พอดี นักจิตวิทยาเอาใบหน้าคนจำนวนมากมาใช้คอมพิวเตอร์เฉลี่ยขนาดและตำแหน่งเข้าด้วยกัน แล้วพบว่า ใบหน้าที่เข้าใกล้กับใบหน้าเฉลี่ยมากเท่าไร ยิ่งดูหน้าตาดีมากขึ้นเท่านั้น เขาก็เลยคิดว่าคนที่หน้าตาดีคือคนที่หน้าตาเป็นค่าเฉลี่ยที่สุด

 

ส่วนเหตุผลว่าทำไม ย้อนกลับไปที่เรื่องวิวัฒนาการ ความชอบอะไรที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดมันต้องมีประโยชน์อะไรกับเราสักอย่างหนึ่งในการเอาตัวรอด ก็มีข้อสันนิษฐานว่า ในเวลาที่เราเจอกันแรกสุดเราเห็นหน้าก่อน ดังนั้นใบหน้าคือสิ่งที่เราพิจารณาเยอะที่สุด แล้วการพิจารณาที่สำคัญมากที่สุดของการเอาตัวรอด สิ่งแรกอาจเป็นเรื่องของการเป็นมิตรหรือศัตรู ข้อต่อมาคือเรื่องของการหาคนรัก เรามักจะหลงรักคนที่หน้าตา ดังนั้นเรื่องหน้าตาดีกับเรื่องคนรักมันเป็นสิ่งที่ไปด้วยกัน แล้วทำไมเราถึงอยากมีคนรักที่หน้าตาดี นักจิตวิทยาและนักชีววิทยาเขามองว่าคนที่หน้าตาดีคือคนที่หน้าตาเฉลี่ย หน้าตาเฉลี่ยหมายความว่าปกติ ปกติที่สุดแปลว่ามีโอกาสน้อยที่จะมียีนส์ที่มันผิดแปลก ดังนั้นคนที่หน้าเฉลี่ยที่สุดก็มีโอกาสน้อยที่สุดที่จะมีความผิดแปลกทางพันธุกรรมและน่าจะเป็นพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่แข็งแรง มีโอกาสผิดปกติน้อย นึกภาพคนที่มีใบหน้าที่มีอวัยวะอยู่ในตำแหน่งแปลก ๆ หรือมีขนาดใหญ่เกินไปเล็กเกินไปมาก ห่างจากค่าเฉลี่ยเยอะ โอกาสที่เขาจะมียีนส์ที่ไม่ดีนั้นสูงกว่า วิวัฒนาการก็เลยสอนสะสมมาให้เราชอบคนที่มีลักษณะแบบนี้ คนหน้าเฉลี่ยเลยเป็นคนหน้าตาดี

 

อ.น้ำ

ความหน้าตาดีมีการรับรู้ที่เป็นเอกฉันท์ของมนุษย์ส่วนหนึ่ง แต่อีกพาร์ทหนึ่งมีปัจจัยเชิงสังคมเข้ามาเกี่ยวด้วยเช่นกัน อย่างที่เรารับรู้เรื่องมาตรฐานความงาม หรือ beauty standard ซึ่งในบางประเด็นก็จะแตกต่างกันไปตามค่านิยม ของการให้คุณค่าของแต่ละบริบทสังคม เช่น ลักษณะรูปหน้าบางรูปแบบ สีผิว อย่างที่เราก็คุ้นกันในปัจจุบัน ความสวยที่เป็น universal ก็มีส่วน ความสวยที่เป็นผลร่วมมาจากความนิยมของสังคมหรือยุคสมัยที่ต่างกันก็มีส่วน

 

 

ปัจจัยทางสังคมอะไรบ้างที่กำหนดกรอบความสวยความหล่อ


 

อ.น้ำ

ถ้าในปัจจุบัน ส่วนที่เข้ามาเป็นบทบาทหลักก็คือการให้ข้อมูลโดยสินค้าและผลิตภัณฑ์ เราถูกไดรฟ์ให้ชอบลักษณะบางรูปแบบเพื่อความต้องการเชิงการตลาด เช่น ถ้าพูดเรื่องหุ่น เทรนด์ของผู้หญิงเอเชีย กึ่งหนึ่งก็ยังเป็นหุ่นสลิมแบบผอม อีกกึ่งหน้าก็เป็นแบบสายฝอที่เราเรียกกัน ที่ฟิต มีกล้ามนิดหน่อย ไม่ผอมแบบสกินนี่ คือผอมแบบมีกล้ามเนื้อดูแข็งแรง ส่วนผู้ชาย ก็จะต้องมีกล้ามเนื้อ ดูเป็นนักกีฬา แต่ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งก่อนหน้านี้ในเอเชียน จะชอบผู้ชายหุ่นผอมบาง ข้อมูลเหล่านี้น่าจะถูกบรรจุในไม่เรื่องการตลาดก็เรื่องภาพลักษณ์ที่ปรากฏในสื่อ โดยเฉพาะสื่อบันเทิง

 

อ.สาม

ในนิยายที่อ่าน จะมีการบรรยายรูปลักษณ์ของตัวละครที่เป็นตัวหลัก อ่านกี่เล่ม ๆ นางเอกก็จะสูงผอม เพรียวบาง จมูกเชิด เราจะเห็นว่าผู้หญิงต้องมีรูปร่างประมาณนี้ถึงจะเป็นตัวเอก ส่วนผู้ชายก็มีคาแรคเตอร์บางอย่างที่มีการผลิตภาพซ้ำ ๆ อยู่

 

คุณนัส

จากฐานเดิมที่เรารู้อยู่แล้วว่าใครสวยใครหล่อจากวิวัฒนาการ พอโตขึ้นเราจะมีการเรียนรู้ เราจะดูสื่อ ดูคนรอบตัว สำหรับมนุษย์ข้อมูลที่เราจะไวที่สุดที่จะรับรู้คือข้อมูลของคน พูดง่าย ๆ คือเรื่องของชาวบ้าน เราจะไม่รู้ตัวหรอก แต่เราจะเรียนรู้ว่าคนหน้าตาแบบไหนที่คนชอบ คนชื่นชม แล้วเราก็จะเก็บสะสมเอาไว้ ตรงนี้ความแตกต่างระหว่างสมัยจึงเกิดขึ้นตามที่อ.น้ำบอก เช่น ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา จะนิยมนางแบบผู้หญิงที่ผอมมาก แล้วถ้าเรามองย้อนกลับไปเรื่อย ๆ นางแบบกับนางงามสมัยก่อนจะท้วมกว่านี้แล้วค่อย ๆ ผอมลงมาเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา แล้วเราเพิ่งมาตระหนักในช่วงสิบปีมานี้ว่ามันมีผลเสียค่อนข้างเยอะเกี่ยวกับเรื่องของโรค anorexia bulimia ที่ผู้หญิงกดดันตัวเองเพื่อให้ผอมจนเกินไป จนเดี๋ยวนี้มาพยายามเหมือนกับว่าไม่ต้องผอมจนไม่ healthy มีกระแสใหม่ว่าไม่ผอมแต่ดูแข็งแรง มีน้ำมีเนื้อมากขึ้น

 

ประเด็นคือสื่อก็เป็นตัวชักนำ นิยายอาจจะไม่เห็นภาพชัดเท่าละคร เพราะละครเขาหยิบมาเลยว่าใครควรจะเป็นพระเอกนางเอก ดูละครมากี่สิบเรื่อง โอกาสที่จะเห็นพระเอกนางเอกไม่ใช่คนหน้าตาดีมีกี่เรื่อง เว้นแต่จะเป็นละครอินดี้หรือละครที่เน้นจริง ๆ ว่าพระเอกนางเอกเป็นคนธรรมดา ขณะที่ละครส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเมืองไทยหรือเมืองนอก พระเอกนางเอกหน้าตาดี ดังนั้นก็เป็นความชินว่าสิ่งนี้แหละคือหน้าตาดี

 

ในวงการของความสวยความงาม เคยได้ยินไหมว่า สวยนางงามกับสวยนางเอกมันต่างกัน เราไปดูการประกวดนางงาม เราจะเห็นหน้าตาที่เป็นรูปแบบอย่างหนึ่ง แต่พอเราไปดูทีวีเราจะเห็นหน้านางเอกอีกแบบหนึ่งที่เราจะไม่เห็นบนเวทีนางงาม มันไม่ใช่เป็นสิ่งตายตัว แต่เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้เพิ่มพอสมควร แต่ทุกอย่างมันจะมีฐานหรือมีกรอบของมันว่าความหน้าตาดีมันจะไม่หลุดไปจากนี้มากนัก คือสุดท้ายคนที่เป็นพระเอกนางเอกหรือนางงามคนก็จะมองว่าเขาสวยเขาหล่อ แต่อาจจะมีลักษณะคนละแบบ หรือมีหุ่นคนละแบบกัน

 

ในตอนนี้เทรนด์เกี่ยวกับฟิตเนสมาแรงมาก ตอนเราเด็ก ๆ ดาราสมัยนั้นหุ่นไม่ใช่แบบนี้ จะเป็นหุ่นผอม ๆ พระเอกก็จะไม่ได้ล่ำ แต่ถ้าย้อนไปไกลกว่านั้น พระเอกก็จะตัวตัน ๆ หน่อย มีความแมนหน่อย เน้นห้าว ๆ ขรึม ๆ แต่พอเราเริ่มได้รับอิทธิพลจากญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง พระเอกที่ดูโรแมนติกก็จะมีความอ่อนหวาน มีความเป็นหญิงเข้ามาผสมนิดหน่อย หุ่นก็จะเพรียวบางลง แต่พอมาปัจจุบัน กระแสของการรักษาหุ่นมันเกิดขึ้นมาในสังคม พระเอกก็จะมีกล้ามหนาขึ้นมาตามความต้องการของสังคมไปด้วย มีลักษณะคล้ายกับแฟชั่น ซึ่งแฟชั่นเป็นเรื่องของทางสังคมวิทยามากกว่า แต่ว่ามันก็หนีกันไม่พ้นในเรื่องของสังคมกับเรื่องของมนุษย์ เราก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มมาจากไหน แต่พอมันเริ่มมันกระจายตัวไปเรื่อย ๆ แล้วคนก็ชอบตาม ๆ ๆ กันหมดเลย ยิ่งมีคนชอบเยอะคนก็ยิ่งชอบตาม ส่วนนี้จึงเป็นส่วนสำคัญเหมือนกันที่จะเป็นตัวกำหนดว่าอะไรที่ทำให้สวยอะไรที่ทำให้หล่อ มันเหมือนกันแฟชั่นที่ว่าทำไมคนถึงแต่งตัวแบบนี้ ยุคหนึ่งทำไมคนถึงแต่งกระโปรงสั้น แต่ยุคต่อมาคนไม่แต่งกระโปรงสั้นแล้ว ยุคหนึ่งทำผมทรงนี้ อีกยุคก็ทำผมอีกทรง มันไม่มีคำตอบตายตัว แต่มันมีตัวเริ่ม อาจจะเป็น influencer เป็นดาราที่ดังเขาเริ่ม หรือบางครั้งเราก็ไม่รู้เลยว่ามาจากไหน แต่มันกระจายตัวมาเรื่อย ๆ แล้วสังคมยอมรับ สังคมเห็นด้วย ก็เป็นตัวกำหนดของยุคนั้น ๆ ไป

 

อ.สาม

เหมือนคำว่าสวยคำว่าหล่อไม่ได้มีคำนิยามตายตัว แต่เป็นผลของสังคมว่าในยุคนั้นว่าให้คุณค่าให้ความสำคัญในเรื่องใด

 

 

คนที่มี Beauty privileges จะมีความสุขหรือประสบความสำเร็จมากกว่าจริงหรือไม่


 

อ.น้ำ

อยากให้มันไม่เป็นจริง แต่ถ้าในหลักฐานเชิงประจักษ์มันปฏิเสธไม่ได้ หลักฐานค่อนข้างหนักแน่น เมื่อมีแนวโน้มที่จะถูกรับรู้ดีกว่า พอถูกรับรู้ดีกว่าโอกาสในเรื่องต่าง ๆ ก็มากกว่า นำไปสู่วลีฮิตที่ว่า “แค่สวยก็ชนะแล้ว” “ไม่สวยก็เหนื่อยหน่อยนะ”

 

งานวิจัยที่ศึกษาเรื่องความสุขความสำเร็จ เปรียบเทียบคนที่หน้าตาน่าดึงดูดใจกับไม่น่าดึงดูดใจ ผลพบว่าคนหน้าตาน่าดึงดูดใจมีแนวโน้มที่จะมีความสุขมากกว่า มีสุขภาวะดีมากกว่า แต่งานนั้นก็บอกได้แค่ เหตุคือหน้าตา ผลคือความสุขความสำเร็จ แต่มันขาดตัวอธิบายตรงกลางไป มันก็มีสิ่งที่น่าสนใจในทางจิตวิทยาที่จะมาอธิบายปรากฏการณ์เหล่านี้ได้ คือความรู้สึกมั่นใจในตัวเองหรือ self-confidence เพราะตั้งแต่เด็กเป็นต้นมาจนโต ตั้งแต่อยู่ที่บ้านจนมาถึงโรงเรียน เขาได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ได้รับการปฏิบัติจากคนอื่นในรูปแบบที่ต่างกัน มันส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเขา ที่เคยคุยกับน้องบางคน เขารู้ว่าเขาไม่ใช่คนหน้าตาตรงตาม beauty standard แต่ที่บ้านเขาดีมาก คุณพ่อคุณแม่ตระหนักถึงเรื่องพวกนี้แล้วก็สนับสนุนลูกให้ลูกเกิดความเชื่อมั่นในสิ่งที่ลูกเป็น ในรูปร่างหน้าตาที่ลูกเป็น ไม่ใช่ว่าชมจนเฟ้อ แต่มีวิธีที่อยู่ด้วยกันแล้วเป็นแบบนั้น รวมถึงเพื่อนในกลุ่มที่อยู่ด้วย ซึ่งความมั่นใจตรงนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนที่สวยตาม beauty standard แต่เขามีความมั่นใจ เขาเชื่อมั่นในตัวเอง มันก็ทำให้ตัวเขารู้สึกมั่นใจในการไปทำอะไรต่าง ๆ ซึ่งทำให้เขามีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน

 

คนสวยมักจะได้รับการปฏิบัติที่จะเสริมความมั่นใจในบริบทสังคมตั้งแต่เล็กจนโต พอเสริมความมั่นใจ เขาจึงมีแนวโน้มที่เขาจะประสบความสำเร็จ เพราะกล้าทำ กล้าคิด กล้าแสดงออก ในทางกลับกัน คนที่หน้าตาไม่ตรงตามพิมพ์นิยมหรือถูกรับรู้ว่าไม่น่าดึงดูดเท่าไร เขาได้รับการปฏิบัติที่ต่างไปหรือเปล่า อันนี้เป็นการตั้งคำถามว่าจริง ๆ แล้วมันไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา แต่ปัญหามันอยู่ที่การรับรู้ของคนในสังคมที่มีอคติ แล้วเราควรหรือไม่ที่จะมีความตระหนักในเรื่องนี้ ถ้าเราลดเรื่องความเหลื่อมล้ำได้ ไม่ว่าเราจะหน้าตาเป็นอย่างไรก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้เท่า ๆ กัน

 

อ.สาม

ตอนเด็ก ๆ คนหน้าตาดีมักจะได้รับโอกาส อย่างได้ไปถือพาน เป็นผู้นำ ก็มีโอกาสได้สำรวจตัวเองมากขึ้น และมีโอกาสได้รับคำชื่นชมที่จะมาเสริมความมั่นใจ

 

คุณนัส

แน่นอนว่าคนเรามีอคติ พอเห็นใครหน้าตาดีกว่าก็มีโอกาสจะลำเอียง ปฏิบัติกับเขาดีกว่า มองเขาดีกว่า แต่บางทีมันก็เป็นอคติที่เราไม่รู้ตัว เวลาที่เราเจอหน้ากันเราก็จะมีการประเมินกันและกันเป็นธรรมชาติ แต่ข้อมูลที่เรามีมันน้อยเหลือเกินโดยเฉพาะคนที่เราไม่รู้จัก พอเป็นคนไม่รู้จักสิ่งที่เราเห็นก็มีเพียงรูปร่างภายนอก หน้าตา การแต่งตัว บุคลิกภาพ บุคลิกภาพอาจไม่ได้เห็นด้วยซ้ำในแวบแรก จะเห็นว่าเปลือกนอกมันมีพลังมาก เพราะแค่มองไปก็เห็นแล้ว เมื่อเห็นก็เป็นตัวตั้งมาตรฐานของคนนั้น มนุษย์เรามีกลไกที่เป็นทางลัดทางความคิดที่ทำให้การประเมินเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ถ้าเราข้อมูลไม่พอ สมองของเขาจะพยายามดึงข้อมูลอื่น ๆ ที่มีมาแทน หลายๆ ครั้งข้อมูลมันไม่มีอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น การสัมภาษณ์งานเราก็ดูเรซูเม่ ดูประวัติการทำงาน ซึ่งทุกคนก็จะเขียนมาให้มันสวยหรูอยู่แล้ว แต่คนนี้เก่งจริงหรือเปล่าดีจริงหรือเปล่า ไม่รู้ เพราะยังไม่เคยทำงานด้วยกัน แต่สิ่งที่เห็นแล้วรู้แน่ ๆ คือหน้าตาดีหรือเปล่า พอเห็นเสร็จมันก็ไปดึงคะแนนด้านอื่นที่มันไม่รู้มันสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม สมองเราจะใช้กลไกนี้กับสิ่งที่เราไม่รู้ เมื่อคนเรามาทำงานจริง ถ้าเกิดทำงานไม่ได้ แม้หน้าตาดีมันก็ไม่ช่วย คือสุดท้ายแล้วข้อมูลที่เรารู้ได้มันเกิดขึ้น สิ่งนี้ก็มาทดแทน

 

หรือคนรัก คนที่หน้าตาดีย่อมมีคนเลือก เวลาที่เราจะจีบใครเราก็มักจะเลือกจีบคนที่หน้าตาดีหรือค่อนข้างโอเคในสายตาเรา แล้วค่อยไปดูทีหลังว่าอย่างอื่นเข้ากันได้มั้ย แต่พอคบกันไปแล้ว มันไม่มีงานวิจัยใดที่บอกว่าหน้าตาส่งผลให้คนคบกันได้ยืด พอคบกันแล้ว นิสัยใจคอ ความเป็นอยู่ ไลฟ์สไตล์ ความชอบพอ มันจะชัดเจนมากขึ้น หน้าตาก็มีผลลดลงไป แล้วหน้าตาพอเราเห็นไปนาน ๆ จะเกิดความชิน พอชินก็ไม่มีผลเท่าไร คนที่แฟนสวยแฟนหล่อเท่าไรก็ตาม พอคบกันไปสักสิบปีก็ไม่หล่อไม่สวยเหมือนคนอื่นที่เราไม่ค่อยเห็นมาก่อน ไม่มีอะไรที่สวยตลอด หล่อตลอด พอเริ่มชินอคติก็ลดลง แล้วความจริงในด้านอื่น ๆ ก็โผล่ขึ้นมา ดังนั้นหน้าตาดีมีผลในช่วงแรก ๆ แต่ไม่มีผลตลอดไป

 

คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เขามีใบเบิกทาง มีความได้เปรียบ แต่ถ้าเขามีแค่นั้น สักพักหนึ่งเขาก็จะไม่ประสบความสำเร็จต่อไป ดังนั้นไม่ใช่คนหน้าตาดีทุกคนจะประสบความสำเร็จ ในทางกลับกัน คนที่หน้าตาไม่ดี แต่เขายืนหยัดและพยายามดึงความสามารถ ดึงสิ่งดี ๆ อย่างอื่นของเขา สติปัญญา บุคลิกภาพ ให้มันดี พอทำงานไปด้วยนาน ๆ คนทำงานด้วยจะรู้ว่าคนนี้เก่งจริงดีจริง และเขาจะประสบความสำเร็จได้ไม่ว่าเขาจะหน้าตาอย่างไร เราจะเห็นคนดังหรือนักธุรกิจหลาย ๆ คนที่หน้าตาไม่ได้ดี เขาก็ประสบความสำเร็จ หรือพิธีกร ดาราหลาย ๆ คนที่เขาไม่ได้หน้าตาดี แต่แสดงหนังมาเยอะ อยู่ในวงการได้นาน เพราะว่ามีฝีมือได้รับการยอมรับ

 

 

ความสวยความหล่อนอกจากสร้างข้อได้เปรียบแล้ว มีผลทางลบด้วยหรือไม่


 

คุณนัส

ในวิจัยของแอพหาคู่ คนหน้าตาดีจะมีคนปัดเยอะอยู่แล้วโดยปกติ แต่คนหน้าตาดีจะประสบความสำเร็จในการหาคู่หรือไม่ ปรากฏว่าไม่เป็นอย่างนั้นเสียทีเดียว คนหน้าตาดีเองก็มีความลำบากส่วนตัวเหมือนกัน มีคนหน้าตาดีบางคนเหมือนกันที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองหน้าตาดี แต่ส่วนใหญ่แล้วคนหน้าตาดีเขาก็จะรู้ว่าตัวเองหน้าตาดี ดังนั้นเมื่อมีคนมาชอบ มีคนมากดปัดฉันในแอพ เขาชอบฉันเพราะอะไร เพราะหน้าตาหรือ มันเพียงพอต่อการที่คนเราจะหาคู่รักหรือเปล่า ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็คิดว่าไม่พอ เพราะสังคมเราสอนกันมาเสมอว่าอย่าคบคนที่ใบหน้า และคู่รักก็มีอะไรอย่างอื่นนอกจากหน้าตา ดังนั้นเขาจะมีปัญหาว่า ฉันมีดีอย่างอื่น แต่ไม่รู้ว่าคนอื่นจะเห็นสิ่งที่ฉันเห็นว่าดีนั้นไหม ดังนั้นคนสวยคนหล่อเองก็จะมีความระแวงว่าคนที่เข้ามา นอกจากหน้าตาแล้วเห็นข้อดีอย่างอื่นของเขาสักกี่คน มันก็ทำให้เขาช่างเลือก อีกประเด็นคือพอมีคนปัดเขาเยอะ ความช่างเลือกของเขาก็จะเยอะขึ้น เพราะมีตัวเลือกเยอะ ตามธรรมชาติของมนุษย์เมื่อมีตัวเลือกเยอะเกินไปเรามักจะเลือกได้ไม่มีประสิทธิภาพ เรียกว่า supermarket effect คือของเยอะมากเราก็เลือกไม่ถูก มีข้อมูลล้นไปหมด คนนั้นก็ดูดีคนนี้ก็ได้ พอข้อมูลเยอะไปหมดเราก็อาจจะเลือกข้อมูลที่มันไม่จำเป็นเสมอไป เช่น ไปดูที่เงินเดือน หรือความน่าสนใจอื่น ๆ ที่จริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญใด ๆ เลยที่ทำให้คบกันยืด ความช่างเลือกอาจทำให้ได้คนที่มีเกณฑ์สูงมาตามเกณฑ์พื้น ๆ ทั่วไปที่ชัด ๆ เช่น หน้าตาดี การงานดี เงินเดือนดี ฐานะดี สังคมดี แต่เกณฑ์เหล่านี้อาจไม่ทำให้เราเจอคนที่ใช่

 

เทียบกับคนที่หน้าตาธรรมดาที่พอคลิกกันมันมีความคลิกกันอย่างอื่น เช่น อ่านโปรไฟล์แล้วมีความสนใจตรงกัน มีงานอดิเรกเหมือนกัน ซึ่งอาจจะส่งผลมากกว่า และความรู้สึกระแวงว่าจะชอบฉันที่หน้าตาก็มีน้อยกว่า ไม่คิดว่าจะมีใครมาหลอก

 

สรุปว่าก็มีข้อเสีย แต่ถ้าถามว่าเป็นข้อเสียที่เยอะมั้ยเมื่อเทียบกับอภิสิทธิ์ที่ได้มาก็คิดว่าน้อยกว่า แต่ก็ถือว่าเป็นข้อเสีย

 

อ.น้ำ

ในเรื่องงาน ถ้าเป็นงานที่มีความจริงจัง เช่นต้องอาศัยความสามารถหรือทักษะทางปัญญาสูง ๆ มันก็จะมีความเชื่อเหมารวมติดในหัวที่มองว่าคนสวยคนหล่ออาจจะไม่ได้เก่งจริง เหมือนถูกตีตราจากบางส่วนของสังคมที่มองแบบนี้ ซึ่งถ้าเขาเป็นคนสวยและอยากจะสำเร็จด้วยความสามารถ เขาก็ต้องต่อสู้อย่างหนัก พิสูจน์ตัวเองให้คนเห็นความสามารถของเขา ซึ่งเขาอาจจะทำงานได้ดี แต่มันจะมีเงาเล็ก ๆ ที่คนคิดว่า ที่ทำได้ ที่ได้ผลงานผลประเมินที่ดีมา จริง ๆ แล้วเป็นเพราะหน้าตาหรือเปล่า

 

ถ้าเป็นเรื่องงานทั่ว ๆ ไปจะไม่เท่าไร แต่ในบริบทงานที่เน้นผู้ชายเป็นหลัก เช่น งานที่เป็น male dominant อย่างวิศวะ ถ้าผู้หญิงสวยเข้าไปทำ ถ้าเขาอยากให้คนยอมรับว่าผลงานของเขามาจากความสามารถไม่ได้มาจากความสวย ยิ่งถ้าเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่เป็นเพศตรงข้าม ที่ความสวยจะมีอิทธิพลในการรับรู้ มันเลยกลายเป็น gender bias ที่เขาจะต้องต่อสู้ให้เห็นว่าฉันสำเร็จเพราะความสามารถ

หรือแม้แต่งานที่เป็นผู้ชายมาก ๆ แล้วเป็นผู้ชายหน้าสวยเข้าไปทำ ก็อาจจะมีเรื่องลำบากใจเหมือนกัน เพราะจะถูกประเมินว่าเจ้าสำอางจะทำงานได้ไหม บางงานมีภาพจำว่าต้องอาศัยแรง ขณะที่ความหน้าตาดีไปเชื่อมโยงกับความเจ้าสำอาง ไม่แข็งแรง เป็นต้น ในแง่หนึ่งคนสวยคนหล่อต้องพิสูจน์ตัวเองเรื่องความสามารถ

 

งานวิจัยในมหาวิทยาลัยก็พบว่า คนหน้าตาดีบางคนไม่ได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถเชิงวิชาการ เพียงเพราะว่าเขาสวย

 

นอกจากนี้ ในการทำงานถ้าอยู่ในเซตติ้งที่มีคนเพศเดียวกันเยอะ ๆ ก็กลายเป็นว่า สวยมากไปคนก็ไม่ค่อยชอบ กลายเป็นว่าความสวยไปสร้างความระคายเคืองให้เพื่อนร่วมงานได้ มันไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้น อาจจะเป็นเรื่องของการเขม่นกันว่าคนหน้าตาดีจะมีโอกาสได้รับการประเมินดีกว่าหรือไม่

 

อ.สาม

ที่เคยมีคนเล่า เขาบอกว่าบางทีเขาไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เขาถูกปฏิบัติแบบแปลกแยกเพราะเขาสวย พูดกันง่าย ๆ คือเขาถูกเขม่น โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กวัยรุ่น ถ้าไม่ได้รับการเชิดชูไปเลย ก็จะมีกลุ่มที่คล้าย ๆ แอนตี้แฟน โดยที่เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรผิด

 

อ.น้ำ

ในแง่ของการรังแกกัน ในกลุ่มเด็กผู้หญิง เด็กที่หน้าตาดี สวยดึงดูดใจ กลายเป็นเป้าของการรังแกมากกว่า เพราะเวลาเราอยู่ในกลุ่มเพื่อนก็มักจะเป็นเพื่อนเพศเดียวกัน คนสวยก็มีจุดเจ็บเหมือนกัน

 

อ.นัส

เราจะรู้สึกมีมุทิตาหรือยินดีกับสิ่งดีที่คนอื่นมี เมื่อเราไม่จำเป็นต้องมีสิ่งนั้น เช่น ถ้าในบริบทของการงานถ้าหน้าตาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยกับงานที่ได้ สมมุติว่าทั้งเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างานต่างเป็นเพศเดียวกัน โอกาสที่หัวหน้างานจะชอบคนสวยคนหล่อมากกว่าก็มีไม่เยอะนัก เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเพื่อนร่วมงานฉันหน้าตาดีฉันต้องอิจฉา แต่เมื่อไรก็ตาม ถ้าหัวหน้าเป็นคนละเพศกัน แล้วรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น แล้วเขาไปคิดว่ามันอาจจะเกิดจากหน้าตาเมื่อไร ความอิจฉาก็จะเกิดขึ้นได้ โดยที่ว่าหัวหน้าเขาจะลำเอียงจริงไหมไม่รู้ แต่มันขึ้นอยู่กับคนมองว่าเขามองว่า เป็นเพราะคนนี้หน้าตาดีเลยได้สิ่งที่ดีกว่าเขา ถ้าเขามองอย่างนึ้ความอิจฉาจะเกิด

 

ในบริบทอื่น เช่น นักกีฬา ถ้าเป็นกีฬาที่ผลการแข่งขันมันชัดเจน อย่างการแข่งวิ่ง ว่ายน้ำ แบดมินตัน เทนนิส ฟุตบอล คะแนนมันเห็นชัด ๆ ว่ามันเกิดจากอะไร ไม่ได้เกิดจากใบหน้า แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นที่เป็นคะแนนแบบไม่ชัดเจนหรือมีการประเมินที่ดูยาก เช่น ยิมนาสติก การเต้น การร้องเพลง คนก็จะมองได้ว่าหน้าตามีส่วนช่วยอีกฝ่ายหรือไม่ ความอิจฉาก็อาจจะเกิดขึ้นได้

 

สรุปว่า ถ้าหน้าตาไม่ทำให้เกิดส่วนได้ส่วนเสียกับเรา เราก็มักจะโอเคกับคนหน้าตาดี แต่ถ้ามีการแข่งขัน เกิดผลกระทบกับเรา หน้าตาของคนอื่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจะยินดีสักเท่าไร เพราะมันทำให้เราดูแย่ลง หรือทำให้เกิดความไม่ยุติธรรม

 

 

ผู้ชายหน้าตาดีกับผู้หญิงหน้าตาดี การรับรู้เกี่ยวกับความสามารถแตกต่างกันหรือไม่ เพศไหนที่หน้าตาดีแล้วได้เปรียบกว่า


 

คุณนัส

ตอบยากมาก เพราะมันมีการที่ ผู้ชายประเมินผู้ชาย ผู้ชายประเมินผู้หญิง ผู้หญิงประเมินผู้หญิง และผู้หญิงประเมินผู้ชาย แล้วเรื่องหน้าตากับการรับรู้ทางสังคมก็ไม่เหมือนกันอีก และยังเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาพอสมควรเหมือนกัน

 

ก่อนอื่นเราต้องดูก่อนว่าพรีวิลเลจกับหน้าตามันเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยโบราณนานมากแล้ว แต่สังคมโบราณผู้หญิงไม่มีโอกาสได้ทำงานเหมือนปัจจุบัน ไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถเท่าไร ผู้หญิงในอดีตมีหน้าที่เป็นภรรยาเป็นแม่ ถ้าไม่ใช่งานบ้าน ดูแลลูกและสามี ก็เป็นงานที่เกี่ยวกับความงามโดยตรง เป็นนักร้องนักแสดง ดังนั้นอคติของผู้หญิงในเรื่องหน้าตาจะส่งผลแรงกว่า เพราะผู้หญิงในสังคมในอดีตไม่มีโอกาสแสดงความสามารถ แต่ผู้ชายไม่เหมือนกัน ผู้ชายต้องแข่งขันกันในเรื่องความสามารถมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ผู้ชายมีความกดดันว่าต้องทำงานเก่ง ต้องมีฐานะ ดังนั้นแต่เดิมผู้ชายน่าจะได้รับผลกระทบเรื่องหน้าตาน้อยกว่าผู้หญิง ที่เรามักพูดกันว่าผู้หญิงชอบผู้ชายที่รวย ความรวยก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่ง ดังนั้นจะเห็นว่าผู้ชายมีผลกระทบเบากว่าผู้หญิง แต่มาในปัจจุบันจะเห็นว่าผู้ชายมีการแข่งขันในเรื่องหน้าตามากขึ้น วงการความงามของผู้ชายก็เข้มข้นขึ้น ในสายตาของผู้ชาย หน้าตาและหุ่น โดยเฉพาะหุ่น เริ่มเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้น ก็กลายเป็นว่าผู้ชายเริ่มได้รับผลกระทบตรงนี้บ้าง แต่ตอนนี้เป็นช่วงการเปลี่ยนผ่าน ผู้หญิงยังน่าจะได้รับผลประทบเยอะกว่าอยู่ดี

 

ถ้าในวงการการงาน อย่างที่อ.น้ำบอก ว่าบางทีหน้าตามันกลายเป็นแสงส่องที่ทำให้ความสามารถกลายเป็นเงา คนมองแต่หน้าไม่ได้มองความสามารถ เลยทำให้เขาถูกรับรู้ว่าเขาไม่ได้เก่ง และในการประเมิน ถ้ามีผู้ชายมาชมพนักงานผู้หญิงที่หน้าตาดี ผู้หญิงคนอื่นอาจจะรู้สึกว่าชมเพราะงานหรือชมเพราะใบหน้า แต่ในทางกลับกันผู้ชายมีผลกระทบลักษณะนี้เบากว่า คือผู้ชายจะไม่ได้รับผลกระทบจากใบหน้า แต่เป็นเพศ จากงานวิจัย ความเป็นเพศชายมักจะได้เปรียบในเรื่องของงานมากกว่าอยู่แล้ว งานส่วนใหญ่ผู้ชายมักจะได้รับการประเมินที่ดีกว่า ได้รับการยอมรับมากกว่าผู้หญิง เป็นมาตั้งแต่โบราณที่ผู้ชายจะครองในเรื่องของการงาน ส่วนผู้หญิงจะถูกมองว่าทำหน้าที่รองมาโดยตลอด ซึ่งตอนนี้ผู้หญิงก็พยายามบอกว่าฉันทำงานได้เหมือนผู้ชาย งานอะไรก็แล้วแต่ฉันทำได้เหมือนผู้ชายทั้งหมด อย่างที่บอกว่ามันค่อนข้างซับซ้อน แล้วแต่กรณี แล้วแต่เรื่อง

 

อ.น้ำ

ถ้าเทียบกันแล้วระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย บทบาททางเพศแบบ tradition ทุกวันนี้อาจจะน้อยลง แต่ก็ยังมีอยู่ ต้องยอมรับ ด้วยบทบาททางเพศและความคาดหวังทางสังคม ผู้ชายไม่ได้ถูกคาดหวังเกี่ยวกับเรื่องรูปร่างหน้าตา ดังนั้นในการประเมินการทำงาน ปัจจัยนี้จึงไม่ค่อยส่งผลกับผู้ชายมากนัก ความสวยงามที่จะมาเป็นตัวขัดขวางหรือเป็นอุปสรรคในการรับรู้ความสามารถ ผู้หญิงจึงน่าจะได้รับผลกระทบเยอะกว่า

 

 

มีโอกาสที่เราจะลดผลกระทบของ Beauty Privilege ได้หรือไม่


 

คุณนัส

ทางจิตวิทยา เมื่อเราพูดถึงอคติ บางครั้งเราอาจจะรู้ตัว แต่บ่อยครั้งจะไม่ พอไม่รู้ตัวเนี่ยคนก็จะไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหา ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำเอียง แต่อย่างที่บอกว่าสมองเรามักจะดึงข้อมูลเปลือกนอกมาใช้เมื่อเรามีข้อมูลไม่พอ แต่พอผ่านเวลาไป ข้อมูลอย่างอื่นเริ่มมาเติมเต็มมากขึ้น อิทธิพลของหน้าตาก็จะลดลงไป แต่แน่นอนว่าการเจอกันครั้งแรกมันยากอยู่แล้วที่หน้าตาจะไม่มีผล เพราะเรามีข้อมูลอื่นน้อย ถามว่ามันทุเลาได้หรือไม่ การตระหนักก็ช่วยได้ในส่วนหนึ่ง และในการพิจารณาอะไรที่ไม่เกี่ยวกับความงาม เช่น การสัมภาษณ์งาน หรือการสอบ เราต้องมีเกณฑ์ในการพิจารณาให้ชัดเจนและยุติธรรม ว่าทำอะไรหรือมีลักษณะใดควรจะได้รับคะแนนเท่าไร อย่าปล่อยให้เป็นความรู้สึกคร่าว ๆ แล้วออกมาเป็น ผ่าน/ไม่ผ่าน ชอบ/ไม่ชอบ หรือเป็นคะแนนที่คิดเอาเอง เพราะถ้าไม่อย่างนั้นอคติมันจะเกิดขึ้นง่ายและไม่รู้ตัวด้วยว่าเราไม่ยุติธรรม

 

ทั้งนี้มันก็มีปัญหาเหมือนกัน บางทีก็มีการกดคะแนนของคนหน้าตาดี เพราะเขากลัวว่าที่ให้คะแนนดีไปเป็นเพราะหน้าตาหรือเปล่า กลายเป็นว่าคนหน้าตาดีได้คะแนนน้อยกว่าปกติ พยายามที่จะปรับให้คะแนนยุติธรรม แต่กลายเป็นทำให้คะแนนน้อยกว่าความเป็นจริง กลายเป็นไม่ยุติธรรมแทน

 

ถ้าต้องการลดอคติ ก็ต้องรู้ให้ชัดเจนถึงหลักเกณฑ์การประเมิน ก็จะช่วยลดได้บ้าง แต่ถ้าจะให้หายไปเลยคงยากมาก

 

อ.น้ำ

ถ้าจะลดอิทธิพลของ Beauty Privileges ก็ต้องพยายามมีความตระหนักรู้ว่าเรากำลังอคติอยู่ หลายครั้งเวลาเราพูดถึงอคติ เรามักจะนึกถึงเรื่องอื่น เราจะนึกถึงเรื่องเพศ เชื้อชาติ ชนชั้น แล้วเรื่องบิวตี้จะเป็นลำดับท้าย ๆ ที่เราจะนึกถึงว่านี่คือการเลือกปฏิบัติ เป็นเรื่องความไม่เท่าเทียม ดังนั้นหนึ่งในคำแนะนำคือต้องมีความตระหนักรู้ ถ้าคนตระหนักรู้ก็จะควบคุมตัวเอง แม้ว่าจะทำได้ยากและบางครั้งอาจจะกลายเป็นผลสะท้อนกลับแบบที่คุณนัสอธิบาย

 

นอกจากนี้ สำหรับคนที่ได้รับผลกระทบจาก Beauty Privileges เช่น รู้สึกไม่ค่อยดีเพราะรู้สึกว่าฉันไม่สวยตามมาตรฐานนั้น ทำไมฉันถึงไม่ได้รับพรีวิลเลจนั้น ฉันน้อยเนื้อต่ำใจ ฉันขาดโอกาสหรือเปล่า ในมุมนี้ เราควรขยายมุมมองเรื่องความสวยจะดีกว่า อย่าให้ความสวยมันจำกัด เราลองมาขยายคอนเซปต์ของตัวเองว่าความสวยนั้นเป็นไปได้หลายอย่าง มีหลายแบบ เราก็จะไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่เราจะไม่ได้ Beauty Privileges นั้น
จริง ๆ มันเป็นปัญหา เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งถูกจัดประเภทไว้ในมาตรฐานนี้ คนอีกกลุ่มไม่ได้ถูกจัดประเภท ก็เลยไม่ได้พรีวิลเลจนั้น ดังนั้นก็ขยายมุมมอง ซึ่งขยายได้ทั้งสำหรับตัวเราเองเพื่อให้เรารับรู้ตัวเองดีขึ้น เพื่อให้เรามีความสุขกับตัวเองมากขึ้น หรือไปขยายมุมมองของสังคมเพื่อที่ว่าเมื่อ beauty standard มันเปลี่ยนไป เราก็สามารถโอบคนหลาย ๆ แบบเข้ามาได้มากขึ้น

 

เรื่องอคตินั้นเข้าไปจัดการได้แต่ยอมรับตรง ๆ ว่ามันไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมันเป็นเรื่องค่อนข้างอัตโนมัติเราไม่รู้ตัว การแทรกแซงบางทีมันก็ไม่ทัน ก็ต้องใช้อย่างอื่นช่วยบ้าง เคยไปสัมภาษณ์กลุ่มคนที่มีมุมมองบวกเกี่ยวกับเรื่องหน้าตาตัวเองมาก ๆ พบว่าเด็กกลุ่มนี้เวลาเขามองความสวย เขาไม่ได้มองความสวยเฉพาะแบบที่รับรู้กันทั่ว ๆ ไปในสังคม ที่เป็น popular standard อยู่ แต่เขามองหลาย ๆ แบบ ไม่ว่าจะในเรื่องร่างกาย และคุณสมบัติอื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากเรื่องร่างกายด้วย เช่น ทักษะทางสังคม ลักษณะข้างในตัวบุคคล เขาเชื่อมโยงเรื่องพวกนี้กับความสวยด้วย เด็กกลุ่มนี้เขาจะมีสุขภาพจิตที่ดีกับร่างกายตัวเอง มี body positivity ซึ่งตัวนี้แหละที่ทำให้เรามีความสุขกับตัวเอง เรามั่นใจ และไปเสริมสร้างอะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิต อันนี้ในมุมสำหรับตัวเอง สำหรับสังคม ถ้าเราสามารถกระตุ้นให้สังคมปรับมาตรฐานความงามได้ มันก็ช่วยได้อีกระดับหนึ่ง ส่วนตัวมองว่าขั้นนี้มันกำลัง move ถ้าคุณดูกระแสโซเชียลในตอนนี้ เด็กรุ่นใหม่เขารับสิ่งนี้มากขึ้น เขาไม่ยึดติดอยู่กับกรอบเหมือนสมัยที่เราเป็นวัยรุ่น

 

อ.สาม

ในต่างประเทศมีแคมเปญหนึ่งที่ค่อนข้างไวรัล คือ Check your privileges คือเขาชวนให้กลับมาลองถามตัวเองดูว่าเราเองได้อภิสิทธิ์อะไรไหม หรือถูกกดทับด้วยพรีวิลเลจอะไรบ้าง และตัวเรามองว่าอภิสิทธิ์เหล่านี้มีอยู่ตรงไหนบ้าง อันนี้อาจจะช่วยเสริมให้เราตระหนักและเท่าทันกับมันมากขึ้น เพื่อที่เราจะได้ไม่เป็นส่วนหนึ่งของกลไกที่ทำให้พรีวิลเลจเหล่านั้นมันเข้มแข็ง

 

นอกจากนี้ที่อ.น้ำพูดถึงเรื่องการขยายกรอบของความงามให้มากขึ้น ซึ่งเราได้เห็นการเคลื่อนไหวนี้ในปัจจุบันมากขึ้น เราเห็นการให้คุณค่ากับสีผิวที่แตกต่าง รูปร่างที่แตกต่าง เรามองความต่างของความงามเป็นเรื่องที่หลากหลาย เรามีคำพูดว่า “ความหลากหลายคือความงดงาม” ของมนุษย์

 

 

ในกรณีของการตัดสินโทษในทางคดี หน้าตามีผลหรือไม่


 

คุณนัส

จากงานวิจัยมีครับ และมีค่อนข้างชัดเจน ส่วนใหญ่คนที่หน้าตาดีมักจะได้รับโทษน้อยกว่า ซึ่งความจริงก็ไม่น่าแปลกใจเพราะการตัดสินโทษในศาล หลาย ๆ ครั้งหลักฐานมันไม่ชัดเจน และโทษของมนุษย์มันไม่มีคะแนนเป็น 1 2 3 คะแนนว่ามันผิดระดับไหน แล้วก็กฎหมายมันต้องใช้การตีความค่อนข้างเยอะ ดังนั้นจะสังเกตว่ามันมีจุดที่มีการประเมินในใจเยอะมาก และมีความไม่ชัดเจนเยอะมาก ยิ่งความไม่ชัดเจนมากขึ้นเท่าไรอคติยิ่งมีผลมากขึ้นเท่านั้น แล้วสิ่งที่มันส่งผลมากที่สุดก็คือใบหน้า เมื่อศาลเห็นใบหน้าของคนหน้าตาดีที่น่าสงสาร กับคนหน้าตาไม่ดีที่น่าสงสาร ก็ส่งผลต่างกัน คนที่หน้าตาดีก็ดูมีความบริสุทธิ์มากขึ้นไปด้วย แต่นี่ก็คือเป็นแนวโน้มในภาพรวม ๆ มากกว่า งานวิจัยไม่ได้บอกว่าทุกคดีต้องเป็นอย่างนั้น

 

ส่วนในเรื่องคดีฉ้อโกง มันขึ้นอยู่กับบริบทมากกว่าว่าเกิดการตีความ อันนี้ก็คือเป็นอคติ ว่าคนทั่วไปมองอย่างไร มองว่ามีการใช้หน้าตาเป็นเครื่องมือในการหลอกลวงหรือเปล่า ถ้ามีการใช้หน้าตาเมื่อไร คนที่พิจารณาคดีเขาก็มีการเรียนเกี่ยวกับเรื่องอคติมาบ้างว่าคนนี้อาจจะใช้หน้าตามาเป็นเครื่องมือในการหลอกล่อ เช่น การล่อลวงเพื่อให้เกิดการให้เงินโดยเสน่หา ศาลก็อาจจะพิจารณาว่าคนนี้น่าจะมีโอกาสในการหลอกลวงมากกว่า เทียบกับคนที่หน้าตาธรรมดาที่ไปหลอกให้เงินโดยเสน่หา คือจะถูกมองว่าแล้วจะใช้อะไรไปหลอก และในการพิจารณาคดีหลาย ๆ ครั้ง โทษหนักหรือไม่หนักดูกันที่เจตนา แต่เจตนาเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ดังนั้นการหน้าตาดีก็ทำให้ศาลมองเห็นชัดเจนว่ามีเจตนาเอาหน้าตาตัวเองไปหลอกล่อมากกว่าคนที่หน้าตาธรรมดา ดังนั้นก็ถือว่าเป็นผลลบกับคนหน้าตาดีอยู่บ้างใบบางคดี ไม่ใช่ทุกคดี

 

อย่างคดีข่มขืน คือมันแล้วแต่สังคมด้วย บางสังคม พอคนร้ายหน้าตาดี เหยื่อที่ถูกข่มขืนก็โดนมองว่าสมยอมหรือเปล่า ยอมนอนกับเขาแล้วมาอ้างว่าถูกข่มขืนทีหลังหรือเปล่า ก็จะมีอะไรแบบนี้ ขณะที่ถ้าคนร้ายหน้าตาไม่ดี ลักษณะคล้ายโจร คนก็จะมองว่าอย่างนี้เป็นการข่มขืนแน่ ๆ เลย ไม่มีทางที่ใครจะยอมนอนด้วย ดังนั้นเรื่องพวกนี้มันขึ้นอยู่กับรายละเอียด ก็ต้องดูเป็นเคสไป แต่โดยภาพรวมหน้าตาดีก็มีผล และเป็นผลดี แต่อาจจะไม่ใช่ทุกคดีเสียทีเดียว

 

อ.น้ำ

งานที่พวกเราชอบอ่านคืองานฝั่ง western หรืองานฝั่งอเมริกัน ซึ่งเขาใช้ระบบ civil law และมันจะมีระบบลูกขุนด้วย ขณะของเราเป็น common law ที่เป็นการตัดสินโดยคณะผู้พิพากษาเท่านั้น และการตัดสินต้องเป็นไปตามตัวอักษรที่บัญญัติในกฎหมาย ประเด็นนี้ก็น่าสนใจว่าจะมีความแตกต่างกันไหม

 

อ.สาม

เรื่องความยุติธรรม มองมาที่นอกศาล บางทีเราจะเห็นกรณีที่มีกลุ่มแฟนคลับกับผู้กระทำความผิดหรือผู้ถูกกล่าวหาที่หน้าตาดี หรือมีคาแรกเตอร์ที่น่าดึงดูดใจ ก็เกิดปรากฏการณ์ที่น่าตั้งคำถามว่าทำไมถึงมีการชื่นชมหรือให้กำลังใจคนที่กำลังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบความผิดหรือบางทีชัดเจนแล้วว่าผิด ขณะเดียวกันในเคสเดียวกันเลยแต่หน้าตาไม่ดีเท่าไม่มีคาแรกเตอร์ที่น่าดึงดูดเท่า ไม่มีใครเข้าไปให้กำลังใจหรือแฟนคลับแบบนั้น

 

และขยายความจากของพี่นัส มีงานวิจัยในต่างประเทศพบจริง ๆ ว่า ในกระบวนการตัดสิน เรื่องของหน้าตามีผล และมีการศึกษาว่าเพิ่มว่าแล้วทำอย่างไรจึงจะลดอิทธิพลของหน้าตา เขาบอกว่าให้ใช้เวลาตัดสินที่นานขึ้น อย่างที่เราคุยกันไปว่าหน้าตานั้นใช้เป็นใบเบิกทาง แต่ว่าความคุ้นชินจะทำให้ความสวยความงามที่เคยมีอิทธิพลนั้นมันลดลง ก็เลยเป็นข้อเสนอว่า ในการพิจารณาแบบที่ไม่ได้ตัดสินไปตามตัวอักษร หากใช้ระยะเวลาในการพิจารณาคดีให้นานขึ้น หรือหลายครั้งขึ้น ก็จะช่วยให้มีความแม่นยำมากขึ้นและลดอิทธิพลของหน้าตา

 

 

ฝากทิ้งท้าย


 

คุณนัส

ถ้าจะถามว่าโลกนี้มีความยุติธรรมหรือไม่ แค่ดูหน้าตาก็เห็นแล้วว่าคนเราเกิดมาหน้าตาไม่เหมือนกัน ดังนั้นเป็นธรรมชาติของโลกที่คนเราเกิดมาต้นทุนไม่เท่ากัน มีความแตกต่างกัน ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกน้อยใจถ้าเราเกิดมาไม่ดีเท่าคนอื่น ๆ แต่หน้าตาไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต และหน้าตาไม่ใช่สิ่งที่จะบอกความสำเร็จ หน้าตาดีทำให้มีคนมาชอบมารักเยอะจริง แต่หน้าตาดีไม่ได้ทำให้มีความรักที่ประสบความสำเร็จ และเราคงเคยเห็นดารานักร้องหลายคนที่ทั้งหน้าตาดีและมีความสามารถ แต่กลับฆ่าตัวตาย เรามองว่าชีวิตเขาดูเพอร์เฟก อะไรก็ดี แต่ทำไมเขาไม่มีความสุข ดังนั้นหน้าตากับความสุขมันคนละเรื่องกัน ให้ตระหนักไว้ให้เราไม่ไปอคติเวลาที่จะประเมินใคร ส่วนสังคมจะมาประเมินเรายังไงเราไปบังคับเขาไม่ได้ ก็ยอมรับมันไป

 

แต่ในเรื่องความสวยงาม อย่างที่อ.น้ำ อ.สามบอก โลกเราสวยงามเพราะมีความแตกต่าง มีคนหน้าตาดีได้เพราะมีคนหน้าตาธรรมดาให้เปรียบเทียบ ทุกอย่างก็มีประโยชน์ของมัน และมีความสวยงามของมันเองเหมือนกัน คุณค่ามันมีอยู่ในความแตกต่าง แต่ว่าจะมีคุณค่าในด้านไหนก็ขึ้นอยู่ที่คนจะมอง สังคมมันมีความไม่ยุติธรรมแต่เราต้องหาทางอยู่กับมันให้ได้ คนหน้าตาดีที่อยู่ไม่รอดก็มีอยู่เยอะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปอิจฉาเขา เพราะมันมีปัจจัยอื่นอีกเยอะแยะที่ทำให้เรามีความสุขและประสบความสำเร็จ

 

อ.น้ำ

สิ่งที่เราจะทำได้นอกจากการยอมรับว่ามีเรื่องนี้อยู่ นอกจากการตระหนักเพื่อลดอคติและการเลือกปฏิบัติ คือในเมื่อเรามองว่าความหน้าตาดีเป็นเซตอย่างหนึ่ง เราก็ขยายเซตนั้น ทั้งกับตัวเองและกับการรับรู้ของสังคม เพื่อให้มีคนอยู่ในกลุ่มนี้มากขึ้น ความงามหลาย ๆ แบบก็ถูกเลือกเข้าไปอยู่ในกลุ่มมากขึ้น

 

ถ้าคุณบอกว่าคนที่มี Beauty Privileges เขาจะมีความสุข มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า แต่อย่างที่บอกไปว่าคีย์สำคัญมันอยู่ตรงกลาง คือ ความมั่นใจ ดังนั้นพ่อแม่มีสิทธิ์ให้ตรงนี้ได้ตั้งแต่ในครอบครัว คุณครูที่โรงเรียน เพื่อนและสังคมที่เราอยู่ ซึ่งเราเลือกคบได้ การเลือกเสพสื่อก็เช่นกัน มีงานที่พบว่า คนที่ชอบตัวเอง เวลาเล่นโซเชียลก็จะเลือกแต่เนื้อหาที่เพิ่มความรู้สึกดีให้กับตัวเอง และอัลกอริทึ่มของแพลตฟอร์มนั้นก็จะเลือกเนื้อหาเชิงบวกให้กับเราด้วย

 

หากทำได้เช่นนี้ Body positivity ก็เกิดขึ้น มีกรอบความงามกว้างขึ้น หลายคนก็มีสิทธิที่จะได้รับความมั่นใจและมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ มีความสุข เช่นกัน

 

คุณนัส

แน่นอนว่าหน้าตาดีที่เป็นมาตรฐานสากลมันมีอยู่จริง แต่รสนิยมของคนมันมีความแตกต่างกันไป แต่ละคนมีความชอบส่วนตัว บางคนก็ชอบคนที่ตาโตกว่าปกติ ผู้หญิงบางคนชอบผู้ชายตัวเล็ก ๆ บางประเทศก็มีรสนิยมที่ต่างกันไป เช่น บางประเทศไม่ชอบคนผอม บางประเทศไม่ชอบผู้หญิงขาว อย่างคนไทยชอบผู้หญิงขาว แต่ผู้หญิงญี่ปุ่นชอบเอาตัวไปอบแดด ดังนั้น ถ้าเราไม่สวยหรือหน้าตาไม่ดีในประเทศนี้ อาจจะหน้าตาดีในประเทศอื่น หรืออย่างน้อยเราก็จะหน้าตาดีในสายตาใครสักคนหนึ่ง ในโลกนี้มีเป็นพันล้านคน ต้องมีคนที่มองว่าเราหน้าตาดี ดังนั้นอย่าคิดว่าตัวเองไม่ดีเอาเสียเลย มันจะมีคนที่มองว่าเราหน้าตาดีในแบบของเรา

 

อ.สาม

สรุปได้ว่าความงามมีไม่จำกัด ตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน แต่ละบริบทมันไม่ได้มีขีดจำกัดของความงาม แต่บางครั้งมุมมองของเราที่เรามอง อาจจะไปจำกัดว่าความงามมันมีแค่นี้ ดังนั้นคีย์สำคัญคือการขยายมุมมองของทั้งตัวเราเองและสังคมว่าความงามมีความหลากหลายและแตกต่าง ดอกไม้ยังมีหลายแบบหลายสี ทุกดอกก็สวยในแบบของมัน ถ้าเรามองตรงนั้นได้ Privileges ที่เราปฏิบัติต่อกันอาจจะเบาบางลง เราอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ในเรื่องความลำเอียง แต่เราเลือกที่จะปฏิบัติและเคารพกันและกันได้

 

 

 

ทุนสนับสนุนไปแลกเปลี่ยน ณ Tohoku University ประเทศญี่ปุ่น ประจำปีการศึกษา 2566

 

ทุนสนับสนุนไปแลกเปลี่ยน ณ Tohoku University ประเทศญี่ปุ่น ประจำปีการศึกษา 2566

 

 

 

ระยะเวลาที่นิสิตไปแลกเปลี่ยน

1 หรือ 2 ภาคการศึกษา ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 (ภาคการศึกษาปลายของมหาวิทยาลัยที่เดินทางไปแลกเปลี่ยน)

 

คุณสมบัติของผู้สมัคร

  • เป็นนิสิตระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 ถึง ชั้นปีที่ 4
  • ต้องมีสถานะนิสิตปัจจุบันและสถานะนิสิตในช่วงที่เดินทางไปแลกเปลี่ยน
  • มีเกรดเฉลี่ยสะสม (GPAX) 3.00 ขึ้นไป
  • มีความสนใจในวัฒนธรรม การเรียนต่อประเทศญี่ปุ่น และการสื่อสารภาษาญี่ปุ่น (หากมีการสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ)
  • สามารถเดินทางไปใช้ชีวิตที่ Tohoku University ประเทศญี่ปุ่น อย่างน้อย 3 เดือน (1 ภาคการศึกษา) ไม่เกิน 1 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566

 

หลักฐานที่ใช้ในการสมัคร

  1. ใบสมัครทุนสนับสนุนไปแลกเปลี่ยน ณ Tohoku University ประเทศญี่ปุ่น ประจำปีการศึกษา 2566
  2. ประวัตินิสิต (Resume) ภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาญี่ปุ่น
  3. ใบประมวลผลการศึกษา (Transcript)
  4. เหตุผลที่นิสิตอยากไปศึกษาต่อต่างประเทศในประเทศญี่ปุ่น (เรียงความ 1 หน้ากระดาษ A4 เป็นภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาญี่ปุ่น)
  5. อื่น ๆ (ถ้ามี)

 

ทุนสนับสนุนที่ได้

  • ค่าเล่าเรียนที่ Tohoku University
  • ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
  • ทุนสนับสนุนค่าใช้จ่าย 80,000 JPY จำนวน 4 เดือน

 

หลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือก

คณะกรรมการคัดเลือกนิสิตเพื่อรับทุนสนับสนุนไปแลกเปลี่ยน ณ Tohoku University ประเทศญี่ปุ่น ประจำปีการศึกษา 2566 จะดำเนินการพิจารณาเอกสารของผู้สมัครและคัดเลือกนิสิตที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่จะได้รับทุนสนับสนุนไปแลกเปลี่ยน ณ Tohoku University ประเทศญี่ปุ่น ประจำปีการศึกษา 2566 ตามวัตถุประสงค์และข้อกำหนดร่วมกับ Tohoku University

 

กำหนดการรับสมัคร

นิสิตที่สนใจสามารถยื่นเอกสารการสมัคร ภายในวันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2566 ก่อนเวลา 23.59 น. ที่อีเมล psy.undergrad@chula.ac.th

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณชุติมา หงสะมัต โทร 0 2218 1312 หรือ อีเมล psy.undergrad@chula.ac.th

 

กำหนดการสอบสัมภาษณ์

วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 เวลา 10.00 น. ในรูปแบบออนไลน์ผ่าน Zoom

 

การประกาศผล

ประกาศนิสิตที่ได้รับทุนสนับสนุนไปแลกเปลี่ยน ณ Tohoku University ประเทศญี่ปุ่น ประจำปีการศึกษา 2566 ในวันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม 2566 โดยจะแจ้งผลไปยังอีเมลของนิสิตตามที่นิสิตแจ้งไว้ในใบสมัคร

 

โครงการอบรมความรู้สถิติเบื้องต้นสำหรับการวิจัยทางจิตวิทยา ประจำปี 2566

 

โครงการอบรมความรู้สถิติเบื้องต้นสำหรับการวิจัยทางจิตวิทยา ประจำปี 2566

 

 

 

ศูนย์จิตวิทยาพัฒนาการและความสัมพันธ์ระหว่างวัย (Life Di) คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วม โครงการอบรมความรู้สถิติเบื้องต้นสำหรับการวิจัยทางจิตวิทยา ประจำปี 2566 โดย อบรมผ่านโปรแกรม ZOOM ระหว่างวันที่ 3–14 กรกฎาคม 2566 เวลา 18.00 – 21.00 น. รวมใช้ระยะเวลาในการฝึกอบรมทั้งสิ้น 18 ชั่วโมง

 

อบรมและบรรยายโดย รองศาสตราจารย์ สักกพัฒน์ งามเอก Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

โครงการอบรมมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ทางด้านสถิติเบื้องต้นสำหรับการวิจัยทางจิตวิทยาให้แก่ผู้สนใจทั่วไป และเป็นการปรับพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในทฤษฏีทางสถิติที่ใช้ในการศึกษาวิจัยทางจิตวิทยา ให้แก่ผู้ที่กำลังจะเข้าศึกษาต่อระดับบัณฑิตศึกษา รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการต่อยอดองค์ความรู้ทางด้านสถิติเบื้องต้นสำหรับการวิจัยทางจิตวิทยาให้แก่ผู้สนใจทั่วไป

 

เนื้อหาการอบรมจะมุ่งเน้นไปที่ พื้นฐานความรู้ด้านสถิติเบื้องต้นสำหรับการวิจัย และการนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ โดยคาดหวังว่าผู้ที่เข้ารับการอบรมจะมีความรู้ และความเข้าใจทฤษฎีทางสถิติศาสตร์เบื้องต้น โดยเฉพาะเนื้อหาในด้านสถิติเบื้องต้นสำหรับงานวิจัย ครอบคลุมถึงการวิเคราะห์อิทธิพลส่งผ่านและอิทธิพลกำกับ เพื่อนำความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้ต่อยอดในการทำความเข้าใจ และสร้างผลงานวิจัยทางด้านจิตวิทยาในเชิงลึกต่อไปได้

 

 

หลังเสร็จสิ้นการอบรมผู้เข้าร่วมจะได้รับ เกียรติบัตรรับรองการเข้าร่วมอบรม (E-certificate) โดยจะต้องเข้ารับการฝึกอบรมไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง (15 ชั่วโมง)

 

 

หัวข้อการฝึกอบรม

 

 

 

หลังจากเสร็จสิ้นการอบรมแต่ละครั้ง ทางผู้จัดโครงการจะอัพโหลดไฟล์วิดีโอการอบรมให้ผู้เข้าร่วมโครงการ สามารถเข้ามาดูย้อนหลังได้จนถึงวันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม 2566 เวลา 23.59 น

 

 

อัตราค่าลงทะเบียน

 

 

*บุคลากรของรัฐและหน่วยงานราชการที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาแล้ว

มีสิทธิเบิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ*

 

 

 

เงื่อนไขการลงทะเบียน

  1. กรุณาชำระค่าลงทะเบียนเข้าร่วมงานก่อนกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียน
  2. การส่งแบบฟอร์มลงทะเบียน จะต้องแนบหลักฐานการชำระเงินค่าลงทะเบียนมาด้วย จึงจะถือว่าการลงทะเบียนสมบูรณ์
  3. เมื่อผู้จัดงานได้ตรวจสอบการลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว จะแจ้งยืนยันการลงทะเบียนให้ทราบภายใน 3 วัน
  4. บุคลากรของรัฐและหน่วยงานราชการที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาแล้ว สามารถเข้าร่วมการอบรมได้โดยไม่ถือเป็นวันลา และมีสิทธิเบิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ
  5. ใบเสร็จรับเงินจะจัดส่งให้ทางไปรษณีย์
  6. เมื่อชำระเงินค่าลงทะเบียนแล้ว จะไม่สามารถขอรับเงินคืนได้ทุกกรณี

 

 

 

https://forms.gle/11kSM28TgRh21qWt9

 

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณวาทินี สนลอย

โทร. 02-218-1307 หรือ email: Wathinee.s@chula.ac.th

โครงการอบรมพื้นฐานทางจิตวิทยาพัฒนาการ ประจำปี 2566

 

โครงการอบรมพื้นฐานทางจิตวิทยาพัฒนาการ ประจำปี 2566

 

 

 

ศูนย์จิตวิทยาพัฒนาการและความสัมพันธ์ระหว่างวัย (Life Di) คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วม โครงการอบรมความรู้พื้นฐานทางจิตวิทยาพัฒนาการ ประจำปี 2566 โดย อบรมผ่านโปรแกรม ZOOM ระหว่างวันที่ 12 – 20 มิถุนายน 2566
เวลา 18.00 – 21.00 น. และสอบวัดผล ในวันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2566 เวลา 18.00 – 21.00 น. รวมใช้ระยะเวลาในการฝึกอบรมและสอบวัดผลทั้งสิ้น 24 ชั่วโมง อบรมและบรรยายโดย คณาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

โครงการอบรมมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ทางด้านจิตวิทยาพัฒนาการให้แก่ผู้สนใจทั่วไป และเป็นการปรับพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในทฤษฏีและการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาพัฒนาการให้แก่ผู้ที่กำลังจะเข้าศึกษาต่อระดับบัณฑิตศึกษา แขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการต่อยอดองค์ความรู้ทางด้านจิตวิทยาพัฒนาการให้แก่ผู้สนใจทั่วไป

 

เนื้อหาการอบรมจะมุ่งเน้นไปที่ พื้นฐานความรู้ด้านจิตวิทยาพัฒนาการ และความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการด้านต่าง ๆ ในแต่ละช่วงวัย โดยคาดหวังว่าผู้ที่เข้ารับการอบรมจะมีความรู้ และความเข้าใจทฤษฎีทางจิตวิทยาพัฒนาการ รวมถึงเนื้อหาในด้านจิตวิทยาพัฒนาการเบื้องต้น เพื่อนำความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้ต่อยอดในการทำความเข้าใจ และสร้างผลงานวิจัยทางด้านจิตวิทยาพัฒนาการในเชิงลึกต่อไปได้

 

 

ผู้เข้าอบรมจะได้รับ วุฒิบัตรเพื่อใช้ประกอบการสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา แขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ คณะจิตวิทยา ได้ผู้เข้าอบรมจะต้องผ่านเกณฑ์การวัดผลดังนี้

  • ต้องเข้ารับการฝึกอบรมไม่น้อยกว่า 6 ครั้ง (18 ชั่วโมง)
  • สอบวัดผลข้อเขียน โดยผ่านเกณฑ์การประเมิน 70% ขึ้นไป

 

 

หัวข้อการฝึกอบรม

 

 

 

 

หลังจากเสร็จสิ้นการอบรมแต่ละครั้ง ทางผู้จัดโครงการจะอัพโหลดไฟล์วิดีโอการอบรมให้ผู้เข้าร่วมโครงการ สามารถเข้ามาดูย้อนหลังได้จนถึงวันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม 2566

 

 

อัตราค่าลงทะเบียน

 

 

*บุคลากรของรัฐและหน่วยงานราชการที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาแล้ว
มีสิทธิเบิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ*

 

 

เงื่อนไขการลงทะเบียน

  1. กรุณาชำระค่าลงทะเบียนเข้าร่วมงานก่อนกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียน
  2. การส่งแบบฟอร์มลงทะเบียน จะต้องแนบหลักฐานการชำระเงินค่าลงทะเบียนมาด้วย จึงจะถือว่าการลงทะเบียนสมบูรณ์
  3. เมื่อผู้จัดงานได้ตรวจสอบการลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว จะแจ้งยืนยันการลงทะเบียนให้ทราบภายใน 3 วัน
  4. บุคลากรของรัฐและหน่วยงานราชการที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาแล้ว สามารถเข้าร่วมการอบรมได้โดยไม่ถือเป็นวันลา และมีสิทธิเบิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ
  5. ใบเสร็จรับเงินจะจัดส่งให้ทางไปรษณีย์
  6. เมื่อชำระเงินค่าลงทะเบียนแล้ว จะไม่สามารถขอรับเงินคืนได้ทุกกรณี

 

 

 

https://forms.gle/XdYR5h1GrqgQw2UC9

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณวาทินี สนลอยโทร. 02-218-1307 หรือ email: Wathinee.s@chula.ac.th

ถอดความ PSY Talk เรื่อง จิตวิทยา กับ มูเตลู : จะ พ.ศ.ไหน ทำไมคนไทยก็ยังมูเตลู

การเสวนาทางจิตวิทยา (PSY Talk) เรื่อง

จิตวิทยา กับ มูเตลู : จะ พ.ศ.ไหน ทำไมคนไทยก็ยังมูเตลู

 

โดยวิทยากร
  • ผศ. ดร.ไตรภพ จตุรพาณิชย์ (อ.เอก)
    หัวหน้าสาขาวิชาสังคมและธุรกิจ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ประยุกต์และสังคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้านครเหนือ
  • อ. ดร.ชาญ รัตนะพิสิฐ (อ.ตั้ว)
    หัวหน้าศูนย์การศึกษาระดับปริญญาตรี และอาจารย์ประจำหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา คณะมนุษย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • ผศ. ดร.นรุตม์ พรประสิทธิ์ (อ.เป็ก)
    หัวหน้าภาควิชาจิตวิทยา และอาจารย์ประจำสาขาวิชาจิตวิทยาชุมชน คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 

วิทยากรและผู้ดำเนินรายการ
  • ผศ. ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์ (อ.หยก)
    รองคณบดี และอาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคมพื้นฐานและประยุกต์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม 2565 เวลา 11.00 – 12.00 น.

 

รับชม LIVE ย้อนหลังได้ที่
https://www.facebook.com/CUPsychBooks/videos/1108806123020728

 

 

 

 

ทำไมสังคมไทยจึงเป็นสังคมแห่งความเชื่อ และเปิดรับความเชื่อจากหลากหลายวัฒนธรรมได้ง่าย


 

อ.ไตรภพ

จริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่ไทย มนุษยชาติเราเริ่มต้นมาจากความไม่รู้ และสมองเราวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ เริ่มแรกโดยธรรมชาติของคน วิธีการคิดของเราเราไม่ได้คิดเป็นตรรกะเป็นวิทยาศาสตร์แบบปัจจุบัน เราอาศัยการเชื่อมโยง เราเห็นสิ่งไหนที่ประสบการณ์เราบอกว่ามันเป็นภัยคุกคามเราก็หนีมัน พอเราเจอสิ่งใหม่ เราก็เข้าไปเรียนรู้มัน พอเราวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ สังคมเราเริ่มซับซ้อนขึ้น ความรู้เรายังไม่สามารถไปเข้าใจทุกสิ่งได้ เราก็อาศัยเรื่องเล่า ความเชื่อ ตำนาน เช่น เราอนุมานว่าทำไมฟ้าถึงผ่า ทำไมถึงมีพายุ เราก็มีมโนภาพเกิดขึ้น เราเริ่มมีสัญลักษณ์แทนว่ามันน่าจะมีอะไรเหนือว่าสิ่งที่ตาเราเห็นที่มีอำนาจในการควบคุม ในอีกแง่หนึ่งเรื่องเล่าตำนานพวกนี้มันมีประโยชน์ในการทำให้คนเราพึ่งพากันได้ รวมกลุ่มเป็นชุมชนได้ เพราะฉะนั้นต่อให้เวลามันผ่านมานานแค่ไหน แม้วิทยาศาสตร์เริ่มก้าวหน้าขึ้นมาแล้ว ซึ่งเมื่อเทียบกับไทม์ไลน์ของมนุษยชาติ วิทยาศาสตร์ก็ถือว่าเพิ่งมีไม่นานมานี้เอง ดังนั้นเรื่องเล่า ตำนานต่าง ๆ ความเชื่อ จินตนาการ ยังไงมันก็ฝังรากลึกมากับมนุษยชาติเราอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ตาม จริง ๆ ของต่างประเทศเองเรื่องเล่าตำนานก็มีมากมาย ทั้งเรื่องเทพ เทวดา เมจิกต่าง ๆ ปัจจุบันก็ยังมีอยู่

 

มาที่แถบเอเชียอาคเนย์ แถวบ้านเรา คนแถบนี้ในสมัยก่อนก็จะนับถือภูตผีมาก่อน หรือที่เรียกว่าศาสนาผี และอิทธิพลของพราหมณ์ฮินดูก็เข้ามาด้วย ซึ่งก็จะมีผลกับเรื่องว่าทำไมเราถึงได้มีพิธีกรรมอะไรมากมาย ถ้าเราบอกว่าเรานับถือศาสนาพุทธเป็นหลัก ซึ่งแก่นของศาสนาพุทธไม่ได้มีเรื่องพวกนี้ แต่เราผูกผสมมาด้วยพิธีกรรมของศาสนาอื่นเข้ามา และมันเป็นคล้าย ๆ กับคุณลักษณะของคนในแถบเอเชียอาคเนย์ด้วยว่าค่อนข้างจะรับอะไรง่าย เราก็ผสมวัฒนธรรมค่อนข้างง่าย ส่วนหนึ่งมองว่ามันเป็นเรื่องการอยู่รอดด้วย ในสมัยที่เรายังไม่ค่อยรู้จักโลกใบนี้มากนัก ดังนั้นความรู้ในเรื่องที่เป็นตำนานความเชื่อ จึงเป็นเรื่องที่เข้าไปอยู่ในใจเราค่อนข้างเยอะ เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องเล่าจากรุ่นสู่รุ่นมันก็ฝังอยู่ในใจเราเพราะเราก็ฟังจากคนรุ่นก่อน ๆ

 

ส่วนทางตะวันตก เขานำหน้าเราไป วิทยาศาสตร์ตะวันตกนั้นบูมในช่วงท้าย ๆ ของยุคเรเนซองส์ เป็นช่วงที่คนเริ่มตื่นตัวว่าฉันทนอยู่กับยุคมืดไม่ได้ และออกไปเดินเรือ ออกไปหาอาณานิคม ออกไปเจอความรู้ใหม่ สิ่งที่ตามมาคือความเข้าใจในเรื่องธรรมชาติและความเป็นจริงมากขึ้น เพราะฉะนั้นสเตปของวิทยาศาสตร์เขานำหน้าเราไป แต่อย่าลืมว่าคนทั่วไป ปกติธรรมชาติของเราถนัดการคิดแบบเชื่อมโยง และธรรมชาติมนุษย์เราต้องการประหยัดแรง อะไรที่มันคิดซับซ้อนมาก ๆ มันเหนื่อย ฉันก็จะเอาแบบที่ฉันเข้าใจไว้ก่อน และเวลาที่คนเราคิดอะไรก็ตามมักจะไม่ค่อยอยากให้มันขัดแย้งกับความเชื่อหรือข้อมูลเดิมในสมองเรา เพราะฉะนั้นด้วยธรรมชาติแบบนี้จะให้ทุกคนมานั่งคิดเป็นตรรกะเป็นกระบวนวิทยาศาสตร์ 1 2 3 4 ก็เป็นอะไรที่ขัดกับธรรมชาติมนุษย์โดยส่วนรวม ดังนั้นคนส่วนใหญ่ก็ยังวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ตามแบบที่ฉันเข้าใจ ซึ่งเป็นไปโดยอัตโนมัติ ดังนั้นในโลกตะวันตกที่ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และมีข้อพิสูจน์อะไรต่าง ๆ มากมาย แต่ความเชื่อก็ยังมี ในเฟซบุ๊คก็จะเจอเพจมูเตลูของฝรั่ง เป็นแมจิก เป็นพ่อมดแม่มด มีเทพสายต่าง ๆ เทพทางสแกนดิเนเวีย เทยสายอียิปต์ก็ยังมีคนนับถืออยู่

 

อ.ชาญ

ด้วยกลไกการคิดของมนุษย์จะพยายามหาเหตุผลในการอธิบายสิ่งต่าง ๆ ถ้าเกิดเราหาเหตุผลอะไรอธิบายไม่ได้ เราจะรู้สึกแปลก ๆ ในใจ แต่ในบางเรื่องที่เกิดขึ้นมามันก็หาเหตุผลมาอธิบายได้ยากจริง ๆ ดังนั้นถ้าเกิดหาเหตุผลไม่ได้ เราอาจจะไปโทษตัวเอง ว่าทำไมฉันโง่ หรือฉันไม่มีความสามารถ ดังนั้นในแง่มุมหนึ่ง ความเชื่อ สิ่งลี้ลับ สิ่งเหนือธรรมชาติ จึงเป็นกลไกการคิดแบบหนึ่งของมนุษย์ที่จะสามารถเอาไว้เป็นการรักษาความมั่นใจและตัวตนของตัวเองได้ เช่น คิดว่าจังหวะชีวิตยังไม่มา ดวงไม่เปิด อะไรยังไม่เอื้ออำนวย

 

อีกส่วนหนึ่งเกี่ยวกับพื้นที่ตั้งหรือวัฒนธรรมของทางซีกตะวันออก ที่มีลักษณะ collectivism หรือคติรวมหมู่ ว่ามีอะไรก็เราก็มักจะคิดถึงคนอื่น ครอบครัว คนรวบข้าง ดังนั้นคนรอบข้างก็จะมีอิทธิพลต่อการคิด ความเชื่อ ความรู้สึกของเราค่อนข้างมาก คนไทยแต่เดิมโดยเฉลี่ยมักอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ก็จะได้รับค่านิยม ความคิด จากผู้เฒ่าผู้แก่ และเพื่อนรอบตัวเข้ามาค่อนข้างเยอะ และสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เราเปิดกว้าง ทั้งในเรื่องการค้าขาย และการให้คนมีเชื้อชาติหลากหลายเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ด้วยความเป็นมิตรของเราตั้งแต่โบราณกาล ดังนั้นจึงมีการรับเอาวัฒนธรรมที่หลากหลายติดมาพร้อมกับการตั้งถิ่นฐานและการทำการค้า ไปมาหาสู่กัน ประเทศเพื่อนบ้านเราแถบนี้ สมัยโบราณเราก็มีการขยายอาณาเขตหรือยุบอาณาเขต แต่สุดท้ายแล้วก็มีการถ่ายเทวัฒนธรรมกันอยู่แถว ๆ นี้กันไปหมดเลย จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีความเชื่อและวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ที่หลากหลายในประเทศไทย

 

อ.นรุตม์

นอกเหนือจากการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นจากคนในอดีต จะเห็นว่าสื่อที่เรารับชมกันในปัจจุบัน ตั้งแต่ละคร ภาพยนตร์ ก็มีการแฝงเรื่องไสยศาสตร์เข้าไปอยู่ แม้แต่ในข่าว นอกจากการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ก็จะเห็นว่าวิธีการทางความเชื่อต่าง ๆ ก็เข้ามาร่วมด้วย และคนส่วนหนึ่งก็ให้ความสนใจและเชื่อในทางนั้นมากกว่าวิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำ จะเห็นว่า ณ ปัจจุบันเองเราก็มีการถ่ายทอดเรื่องพวกนี้ไปสู่สังคมด้วยเหมือนกัน ในคนที่ทำสื่อ

 

อีกประเด็นหนึ่งเรื่องกระบวนการคิด คนเราขี้เกียจคิดเยอะ วิทยาศาสตร์ต้องคิดวิเคราะห์ว่าปัญหาคืออะไร ขั้นตอนคืออะไร แต่ธรรมชาติของเราเราชอบอะไรง่าย ๆ เราชอบทางลัด เราชอบคิดเร็ว ๆ การดูดวงหรือสีมงคล คำตอบมันจบในครั้งเดียว ว่าฉันใส่สีนี้ฉันโชคดีแล้ว หรือมีเครื่องรางนี้ชีวิตฉันจะดี ทั้งนี้เวลาดูดวง หมอดูมักจะบอกเราว่า “ช่วงนี้” พอเขาใช้คำว่าช่วงนี้ แปลว่าเรายังมีโอกาส ถ้าพ้นช่วงนี้ไป ดวงดาวมีการเคลื่อนย้าย เวลาเปลี่ยนไปเราจะมีโชค ดวงเราจะเปลี่ยนได้ เราก็จะรู้สึกดีขึ้น มีความหวัง เราจึงฝังคตินี้ไปเรื่อย ๆ

 

 

บางคนก็เชื่อเรื่องพวกนี้มาก บางคนก็ปฏิเสธความเชื่อเหล่านี้ ความแตกต่างระหว่างบุคคลคืออะไร


 

อ.ไตรภพ

ขออธิบายด้วยทฤษฎี Locus of control ความเชื่อว่าตัวเราเองมีอำนาจในการควบคุมชีวิตเรามากน้อยแค่ไหน ซึ่งความเชื่อนี้เป็นลักษณะทางบุคลิกภาพแบบหนึ่งที่สามารถจำแนกได้ เป็นสเปกตรัม เป็นสเกลไล่ลำดับว่าคนนี้มีมากหรือมีน้อย มันก็จะแบ่งเป็นสองฝั่ง คือฝั่งที่เชื่อว่าตัวเองสามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้ ว่าเราอยากจะดีหรือไม่ดีอย่างไร เราต้องลงมือทำเราต้องจัดการ อันนี้เรียกว่า อำนาจควบคุมภายใน (Internal locus of control) อีกอันหนึ่งเป็นอำนาจควบคุมภายนอก (External locus of control) อันนี้จะเชื่อว่าชีวิตเราเอาจริง ๆ แล้วมันมีอะไรหลายอย่างที่มีอิทธิพลกับเรามากมาย เราไม่สามารถไปจัดการหรือคาดการณ์อะไรได้ เดี๋ยวเราก็เจอคนนี้มาบอกแบบนั้น พ่อแม่มาบอกแบบนี้ ไปเรียนวิชานี้แล้วจะเจอครูแบบไหน ดุหรือไม่ดุ หรือเราจะลงทุนอะไรสักอย่างหนึ่ง ตลาดหุ้นกำลังน่าช้อนหุ้น พอเจอสงครามก็ดิ่งลงมาเป็นลบ อันนี้ก็ถือว่าชีวิตเราจริง ๆ แล้วก็มีทั้งส่วนที่เราควบคุมได้ และส่วนที่เราควบคุมไม่ได้ ถ้าใครเชื่อว่าชีวิตของเราล่องลอยเหมือนฟองสบู่ไปทางนั้นทีทางนี้ทีแล้วแต่ใครจะพาไป ถ้ามีความเชื่อนี้เยอะ โอกาสที่เราจะมูก็จะเยอะขึ้น

 

ความเชื่อเรื่องอำนาจควบคุมชีวิตนั้นมีรากเหง้าตั้งแต่การเลี้ยงดูในวัยเด็ก ถ้าเด็กคนไหนถูกเลี้ยงมาแบบพ่อแม่ตีกรอบมาก ๆ เด็กไม่สามารถที่จะคิดจะติดสินใจอะไรได้เองเลย เด็กก็จะรู้สึกว่าฉันไม่มีอำนาจที่จะใช้ชีวิตฉันเลย ก็จะพัฒนาเรื่องความเชื่อภายนอกมากกว่าความเชื่อภายใน เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะเปลี่ยนความเชื่อนี้ เปลี่ยนเจตคติ เปลี่ยนความคิดของเรา ก็ต้องเริ่มจากการที่เราต้องพยายามมากขึ้น ลองทำอะไรใหม่ ๆ มากขึ้น

 

ไม่ได้จะบอกว่าคนที่เชื่ออำนาจภายในมากกว่าจะชีวิตที่ดีกว่าคนที่เชื่ออำนาจภายนอก มันเป็นแค่สไตล์ความเชื่อที่ต่างกัน แต่คนที่เชื่ออำนาจภายในมากกว่ามีโอกาสที่จะยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ดีกว่าคนที่เชื่ออำนาจภายนอก ทั้งนี้เราต้องรู้ว่าชีวิตเราไม่มีอะไรที่ได้ดั่งใจเราทุกอย่าง ตัวเราเองไม่ใช่ศูนย์กลางของโลก เรามีโอกาสเจอทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย แต่ถ้าเกิดเราคาดหวังมากเกินไปว่าฉันรับไม่ได้ถ้าต้องเจอเรื่องความผิดหวัง ความล้มเหลว เราก็มีโอกาสจะหาที่พึ่งพาภายนอกมากขึ้น และเราจะหลงลืมตัวตน ความสามารถและความเข็มแข็งของเราไป

 

อ.ชาญ

มีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่าคนที่มีบุคลิกภาพแบบอ่อนไหว คือเมื่อมีสิ่งใดเข้ามากระทบ จะมีความรู้สึกตอบสนองที่ไวหรือรุนแรงมากกว่าบุคคลทั่วไป บุคคลที่มีบุคลิกภาพอ่อนไหวสูงมักที่จะโอนอ่อนตามสิ่งเร้าหรือเรื่องต่าง ๆ ที่ตัวเองประสบพบเจอได้มาก และบุคลิกภาพอ่อนไหวสูงก็สัมพันธ์กับความเชื่ออำนาจควบคุมภายนอก ด้วยกลไกเหล่านี้ รวมกับลักษณะ self-serving bias ที่เวลาทำอะไรสำเร็จเราก็บอกว่าเป็นเพราะตัวเรา แต่ถ้าเราทำอะไรล้มเหลว ความต้องการจะรักษาความรู้สึกว่าตัวเองยังคงมีความสามารถ มีความมั่นใจและไปต่อได้ จึงต้องหาบางอย่างที่จะโทษว่าความล้มเหลวนั้นไม่ได้เกิดจากฉัน บางครั้งการโทษคนอื่นทำได้ยาก ก็โทษที่ดวง ที่สีเสื้อ ที่เวรกรรม โทษในสิ่งที่ไม่มีชีวิต มันก็สะดวกใจดี

 

นอกจากนี้ความคิดอะไรก็ตามที่มันฝังหัวเราไปแล้วมันก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง ถ้าเราเหนื่อยล้ากับการใช้ชีวิตแล้วเราก็ไม่อยากจะคิดมาก เราก็พึ่งข้อมูลเดิมที่เราเคยฝังใจหรืออยู่ในสมองอยู่แล้ว เราก็ใช้มันอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไปเลย ซึ่งบ่อยครั้งมันก็จะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แล้วเราก็บอกว่านี่เป็นความเชื่อส่วนบุคคล

 

อ.นรุตม์

งานวิจัยเมื่อประมาณปี 2020 เขาศึกษาเรื่องบุคลิกภาพแบบหลงตนเอง คนหลงตนเองก็จะเป็นคนที่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และเอกลักษณ์ของตนเองมาก ๆ เพราะฉะนั้นคนที่หลงตนเองมีแนวโน้มที่จะเอาใจเอนเอียงไปกับการดูดวงและการมูที่ทำนายเกี่ยวกับตนเอง เพราะคำทำนายพวกนั้นเป็นการบ่งบอกถึงลักษณะเฉพาะหรือเอกลักษณ์ที่มีความพิเศษของแต่ละคน ซึ่งมันไปเติมความต้องการของคนหลงตนเอง

 

อีกเรื่องหนึ่งคือ บุคลิกภาพแบบ agreeableness คือเป็นคนค่อนข้างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี เห็นอกเห็นใจคนอื่น คนกลุ่มนี้มักจะมีความเชื่อหรือให้ความสำคัญกับหลักธรรมคำสอน ศาสนา เมื่อไปตามที่อ.ไตรภพอธิบายไว้ตอนแรกว่าการมูเตลู การดูดวง หรือโหราศาสตร์ ได้ผูกไว้กับความเชื่อทางศาสนา เพราะฉะนั้นจึงมีแนวโน้มที่คน agreeableness สูงจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ค่อนข้างมาก

และจะเสริมจากอ.ชาญ ที่พูดถึงเรื่องการลำเอียงเข้าข้างตนเอง คนเราจะมีความลำเอียงหนึ่ง คือ การลำเอียงเพื่อยืนยันความคิดของตนเอง (confirmation bias) หลาย ๆ ครั้งเวลาเราไปดูดวงเราจะเก็บข้อมูลจากที่หมอดูทำนาย บางคนอาจจะจดไว้แล้วคอยเช็ค พอเรามีข้อมูลตั้งต้นแบบนี้ คนเราก็มีแนวโน้มค้นหา ใส่ใจ หรือหาหลักฐานข้อมูลเพื่อยืนยันข้อมูลที่เราเก็บไว้ ในที่นี้คือคำทำนาย แล้วเราก็จะบอกว่าแม่นจังเลย หมอดูคอนนี้เจ๋ง

 

หรืออีกกรณีหนึ่งคือ ความคาดหวังของเราไปสร้างให้เกิดผลจริง ๆ ขึ้นมา บางครั้งเวลาเราไปดูดวง หมอดูบอกว่าปีนี้ปังมาก ประสบความสำเร็จแน่นอน พอเราได้ข้อมูลแบบนี้มา กลับมาเราก็ฮึกเหิม มีกำลังใจ เกิดอุปสรรคอะไรก็พร้อมสู้ พร้อมลุย เพราะหมอดูบอกว่าปีนี้เราจะปัง เราเลยทำ มันเลยกลายเป็นว่าความคาดหวังของเราที่มาจากคำทำนาย ไปทำให้เกิดพฤติกรรมจริง ๆ ในทางกลับกัน ถ้าหมอดูบอกว่าปีนี้เราจะพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ชีวิตมีปัญหา เวลาเราไปทำงาน เจอปัญหานิดปัญหาหน่อย เรานึกถึงหมอดู แก้ปัญหาไป สู้ไป ก็ไม่น่าจะไหว ปีนี้โชคไม่ดี ก็ไม่ลงมือแก้ปัญหา ไม่ทำอะไร งานก็ไม่เกิด ความสำเร็จก็ไม่เกิด

 

 

ความเครียดความกดดันในปัจจุบันส่งเสริมให้คนหาทางออกด้วยการมูฯ มากขึ้นหรือไม่


 

อ.ไตรภพ

ตามทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้นของมาสโลว์ ที่บอกว่ามนุษย์เราเกิดมาล้วนแต่วิ่งหาความต้องการ ขั้นที่ 1 เรื่องความอยู่รอด ปัจจัยสี่ ขั้นที่ 2 เรื่องความปลอดภัย ขั้นที่ 3 เรื่องความสัมพันธ์ ขั้นที่ 4 การเป็นคนเก่งได้รับคำชื่นชม ขั้นที่ 5 การเข้าใจตนเอง ผมมองว่าการมูฯ เข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของมนุษย์เหล่านี้ ซึ่งแต่ละคนมีความต้องการต่างกัน

หากสังคมมองว่าการที่เราออกไปทำมาหากินในแต่ละวันมันยากลำบาก หรือกลัวว่าออกจากบ้านไปจนโดนรถชนตาย มีใครมาแทงตายหรือเปล่า มีแต่ความไม่แน่นอน ทำนายไม่ได้ ก็กลับไปสู่เรื่อง locus of control ที่เราอาจจะมั่นใจว่าเราควบคุมชีวิตได้ แต่สังคมแวดล้อมเราไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกหรือระบบระเบียบที่ทำให้แน่ใจได้ว่าฉันจะมีความปลอดภัยในชีวิต ฉันจะได้รับทรัพยากร ได้เงินเดือน ได้กินอิ่มนอนหลับ บางคนก็รู้สึกขาดตรงนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าในเมื่อฉันพยายามแล้วฉันทำไม่ได้ ฉันก็ขอพึ่งพาอิทธิพลอะไรที่อยู่เหนือกว่าฉันขึ้นไป โดยมีความหวังว่ามันก็น่าจะดีขึ้น ดังนั้นผมมองว่า การมูฯ ส่วนหนึ่งสะท้อนถึงความต้องการส่วนตัวของคนได้ และอีกส่วนหนึ่งสะท้อนถึงคุณภาพชีวิตในสังคมนั้น ๆ ได้ด้วย

 

อ.ชาญ

การที่เราดูหมอดูหรือเสี่ยงเซียมซีก็เป็นการเลือกรับรู้ด้วยส่วนหนึ่ง อันไหนที่ดีให้กำลังใจเราเราก็เก็บไว้ ถ้าได้ไม่ดี เผาทิ้งเสี่ยงใหม่ หรือในการดูดวงเราก็เลือกรับรู้แค่บางประเด็น เรื่องไหนเกิดขึ้นจริงเราก็รับรู้ว่าหมอดูคนนี้แม่น แต่ถ้าหมอดูคนไหนทักว่ามีเรื่องต้องระวังเยอะ เราก็สงสัยว่าหมอดูคนนี้แม่นหรือเปล่า แล้วไปหาหมอดูคนอื่นที่จะพูดในสิ่งที่เราอยากฟัง ที่ช่วยลดความกังวลลดความเครียดให้เราได้

คนบางส่วนไปหามอดูเพราะตนเองตัดสินใจบางเรื่องไม่ได้ ต้องการพึ่งพาคนที่ช่วยใช้อะไรบางอย่างในการเสริมความคิดของเราว่าควรไปในทิศทางใดดี หลาย ๆ ครั้งไปถามเพื่อน เพื่อนก็ไม่กล้าช่วยตัดสินใจ ถามครอบครัว ครอบครัวก็ไม่สนับสนุน ที่พึ่งสุดท้ายบางคนก็เลยไปดูดวง ไปหาข้อมูลว่าใครจะช่วยเพิ่มความมั่นใจ เสริมในสิ่งที่ตนเองต้องการ ก็เริ่มที่จะบ่มเพาะกำลังใจขึ้นมา หรือคลายความกังวล ถ้าเจ้าไหนให้คำเตือนมา ก็ได้กระตุกสติของเราไม่ให้ประมาท เหล่านี้จึงกลายเป็นสิ่งที่ใช้เสริมการดำเนินชีวิตของคนไทยหรือคนทั่วโลกมาโดยตลอด

 

อ.นรุตม์

การมูเตลูมันเริ่มมาจากการที่คนเรารู้สึกไม่แน่นอน รู้สึกกังวลใจ ตัดสินใจไม่ได้ สุดท้ายก็ไปหาทางออก ซึ่งหมอดูก็เป็นทางเลือกทางออกหนึ่งที่ให้เราได้ข้อมูลพวกนั้นมา ที่ให้เรารู้สึกสบายใจขึ้นหรือมั่นคงมากขึ้น มีทิศทางที่จะเดินไปมากขึ้น แล้วเราค่อยตัดสินใจอีกทีหนึ่งว่าจะทำตามเขาหรือเปล่า บางเจ้าเขาก็จะบอกมาเสร็จสรรพเลยว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งก็อาจไม่ใช่การแก้ปัญหาตรง ๆ แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เจ้าตัวรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้นมั่นใจมากขึ้น และส่งผลต่อพฤติกรรมที่เราจะลงมือทำอะไรต่อไป

 

อ.ไตรภพ

คำแนะนำของหมอดูมันเหมือนกับว่าทำให้เรากลับมามีอำนาจควบคุมภายในอีกครั้งหนึ่ง เหมือนกันว่า โอเค หลาย ๆ อย่างฉันควบคุมไม่ได้ใช่ไหม แต่หมอดูบอกว่าให้ทำแบบนี้นะ 1 2 3 4 เมื่อฉันทำแล้ว มันก็คล้าย ๆ การ empowerment หรือเสริมพลังเรา ส่วนตัวจึงมองว่าการมูฯ มีประโยชน์ในการที่ช่วยเสริมพลังให้กับคนให้เขารู้สึกว่ามีโอกาสควบคุมชีวิตได้มากขึ้น ทำให้เขารู้สึกมีแรงมีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตมากขึ้น หรือมีโอกาสที่เขาจะได้ในสิ่งที่เขาอยากได้

 

อ.ชาญ

เวลาเรารู้สึกเครียด แล้วได้ไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไปทำบุญ ทำสิ่งบวก ๆ ตามคำแนะนำของหมอดู มันก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เกิดอารมณ์ทางบวกมากขึ้น มันก็ช่วยกดความวิตกกังวล ความเครียดลงไปได้ชั่วคราว ทำให้เราอยู่กับตัวเองได้ดีขึ้น และเวลาที่เราไปทำบุญ ก็เป็นการเชื่อมโยงบุคคลหลาย ๆ คนเข้ามา เพราะหลายคนเวลาที่ตัวเองจะไปไหว้พระก็ชวนเพื่อนไปด้วย ไปคนเดียวเหงา ตอนแรกไหว้พระเป็นหลัก ตอนหลังเป็นรองไปแล้ว กลายเป็นได้จับกลุ่มเม้ามอยต่อ ได้ออกมาเจอผู้คน ได้มีสังคม ได้กลับมารู้สึกว่ามีสิ่งบันเทิงจิตใจ ความเป็นสัตว์สังคมของเรา การได้มีสังคมก็ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายขึ้นและลดความเครียดไปได้

 

 

แล้วการมูเตลูเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดหรือไม่


 

อ.นรุตม์

การแก้ปัญหาที่ตรงจุดก็ต้องแก้ที่ตัวปัญหา ถ้าเรามีปัญหาที่งานก็ต้องแก้ที่ตัวงานหรือที่พฤติกรรมการทำงาน แต่ถ้าเราไปหาหมอดู ไปมูเตลู ไปมีสีมงคล มันก็ไม่ได้ลงไปเฉพาะเรื่องเหมือนที่เราลงมือกระทำ แต่ผมมองว่ามันเป็นเรื่องกำลังใจ ทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจ มีความหวัง ว่ามันน่าจะดีขึ้นได้ เช่นถ้าเดินไปหาหัวหน้างาน เขาก็น่าจะเมตตาเรามากขึ้น เพราะวันนี้เราใส่สีที่เสริมเมตตามหามงคล มันก็เป็นเรื่องของกำลังใจ และการที่หมอดูทำนายดวงเป็นช่วง ๆ ว่าช่วงนี้เป็นอย่างไร เราก็ยังมีความหวังว่าไม่ใช่ว่าชีวิตจะแย่ตลอดไป เราไม่ได้โชคร้ายตลอดชีวิต เรายังมีโอกาส เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องของจิตใจมากกว่า

 

 

ในสังคมไทยหลายครั้งคนก็ไปหาหมอดูมากกว่านักจิตวิทยาเวลามีเรื่องในใจ มองอย่างไร


 

อ.ไตรภพ

วิทยาศาสตร์ถ้าเรารู้ความจริงบางอย่างเราก็จะหมดอารมณ์ไปเลย เพราะมันไม่มีสตอรี่ ขณะที่เรื่องเล่า จินตนาการ มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์มาตั้งแต่แรก ธรรมชาติของคนเราชอบสตอรี่ แม้ว่ามีหลักฐานเชิงประจักษ์ ขนาดว่าตาเราเห็น เรายังไม่อยากเชื่อเลย เราก็ยังคิดว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านี้สิ เพราะสมองเราชอบเชื่อมโยงเรื่องราว เราอยู่ในยุคทุนนิยม สินค้ามีให้เลือกมากมาย สินค้าบางอย่างเราไม่ได้ซื้อเพราะคุณภาพมันอย่างเดียว เราซื้อเพราะสตอรี่มัน เรายอมจ่ายราคาแพงเพื่อได้ครอบครองของชิ้นนั้น แบรนด์นั้น ซึ่งผมมองว่ามันก็เป็นมูฯ อย่างหนึ่ง เพราะเราได้สร้างสตอรี่ขึ้นในใจ

 

ดังนั้นถ้าถามว่าทำไมคนถึงไม่เข้าหานักจิตวิทยามากนัก เพราะบางทีคนยังมี boundary มีเส้นกั้นระหว่างวิทยาศาสตร์กับชีวิตประจำวันอยู่ หมอดูเป็นอะไรที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า คุณไปตรงนี้สิเขาว่าเจ้านี้แม่นนะ มันเป็นวิถีชีวิต และคาดหวังได้ว่าฉันน่าจะได้ฟังอะไรบางอย่างที่ฉันไม่เคยได้รู้มาก่อน ตรงนี้เลยมองว่า เอาจริง ๆ นักจิตวิทยาและหมอดูมีความเหมือนกันตรงที่ นอกจากทำนายแล้วคุณยังชี้นำพฤติกรรมเขาได้ว่าเขาควรจะต้องปรับปรุงตัวอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับจรรยาบรรณของหมอดูด้วย

 

อ.ชาญ

อะไรที่มันเกินพอดีมันก็ไม่ดีทั้งนั้น มีงานวิจัยมากมายที่บอกว่าใครที่พึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พึ่งการดูดวง หรือพึ่งพาอำนาจนอกตัวมาก สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นเลยหรือ ความสามารถในการคิดประมวลผลจะลดลง สิ่งที่ตามมาคือจะมีความมั่นใจในตนเองลดลง เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือการทำนายมันจะมีทั้งที่ตรง ไม่ตรง ถูก และผิด ซึ่งถ้าเราเชื่อและทำในทางที่มันผิด ผลมันก็ออกมาไม่สำเร็จ บางครั้งมันก็ทำให้เราเครียดอีก นั่งคิดอีกว่าทำไมมันไม่สำเร็จ ทั้งที่เราทำตามคำทำนายและสิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกไว้แล้ว ซึ่งทางที่ดีมันก็คือการที่เราต้องแก้ที่ต้นเหตุ แต่บางครั้งเราหาต้นเหตุไม่เจอว่าคืออะไร เพราะเราไม่มีสมาธิและจิตใจที่นิ่งพอ เราก็เห็นแต่ปัญหาเล็ก ๆ และที่ไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง พอเราแก้ในปัญหาเล็ก ๆ เหล่านั้น แต่ปัญหาใหญ่ยังไม่ถูกแก้ เราก็จะรู้สึกว่าทำไมเรายังทุกข์อยู่ ทำไมยังไม่สามารถแก้ได้สำเร็จ

 

ท่านที่มีสติหรือได้มีเวลาอยู่กับปัญหาสักพัก และทำใจให้เย็น ๆ ไม่ใจร้อนเกินไป จะเริ่มเห็นภาพรวมของปัญหา และมองเห็นได้ว่าปัญหานั้นเกิดจากอะไร และเห็นถึงจุดที่สามารถเข้าไปแก้ไขได้ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ โดยที่ไม่ต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งเหนือธรรมชาติเลย แต่ก็อย่างที่คุยกันว่าการมูฯ ก็มีประโยชน์อยู่บ้างที่ช่วยให้คนจิตใจเย็นลง อารมณ์ดีขึ้น ตอนแรกคิดไม่ออก เดินไปหยอดตู้ทำบุญ ไปเลี้ยงขนมน้อง เห็นคนยิ้มเห็นคนมีความสุข เราก็ใจเย็นลง มีสติมากขึ้น ก็จะช่วยให้เรากลับไปย้อนมองปัญหานั้นอย่างละเอียดขึ้น ก็เริ่มที่จะแก้ไขปัญหานั้นได้ด้วยตัวเอง

 

อ.นรุตม์

หมอดูหรือความมูเตลูทั้งหลายมันเข้าถึงได้ง่ายกว่า มีเยอะกว่า สมมติว่าเราเจอคำทำนายของหมอดู A แล้วไม่ตรงกับใจเรา เราก็หาคำทำนายจากหมอดูคนอื่นได้ ที่จะสอดคล้องกับความคิดเรา ปัจจุบันตอนนี้เทคโนโลยีมันเอื้ออำนวยให้เราเข้าถึงคำทำนายพวกนี้ได้ง่ายด้วย ก็เลยยิ่งทำให้สิ่งนี้คงอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ

 

อ.ชาญ

มันอยู่รอบตัวเรามากกว่าที่เราคิด เว็บไซต์ข่าวหรือหนังสือพิมพ์เปิดมาก็เจอคอลัมน์พวกนี้ มันก็เลยเข้าถึงง่ายกว่านักจิตวิทยา ตอนนี้ทั้งสังคมไทยและสังคมทั่วโลกก็มีความเข้าใจมากขึ้นว่าถ้าเรามีปัญหาอะไรก็สามารถไปหานักจิตวิทยาได้ เป็นตัวเลือกหนึ่งที่ดี แต่ในเรื่องการเข้าถึงอาจจะยังไม่ทั่วถึงหรือเข้าถึงยากกว่า รวมถึงค่าใช้จ่ายอะไรต่าง ๆ มันก็สูงกว่า เพราะฉะนั้นทั้งในแง่ความเข้าถึงง่ายและในแง่ความสามารถในการจ่ายเพื่อผ่อนคลายความทุกข์ที่แตกต่างกัน ทางสายมูฯ ก็ตอบตรง ๆ ว่าใช้น้อยกว่าโดยเฉลี่ย จึงยังเป็นที่พึ่งหลักของคนกลุ่มหนึ่งอยู่

 

อ.นรุตม์

ถ้ามองในแง่กระบวนการทำงานของนักจิตวิทยา นักจิตวิทยาจะมีระบบระเบียบมีชั้นมีตอนในการให้คำปรึกษาหรือการให้ความช่วยเหลือ เขาจะไม่ได้บอกตรง ๆ ว่าให้ทำแบบนั้นแบบนี้ หรือไปตัดสินใจให้ นักจิตวิทยาจะมีวิธีการที่ค่อย ๆ ให้ผู้รับบริการรู้ปัญหา ตัดสินใจ และจัดการกับปัญหาได้ด้วยตนเอง แต่ในกรณีของหมอดู หมอดูจะเป็นคนแนะนำเลยว่าคุณมีเคราะห์เรื่องนี้ คุณไปจัดการเรื่องนี้สิ คุณโชคไม่ดีคุณใส่สีนี้สิ มันง่ายกว่า คนไปหาหมอดูแล้วได้คำตอบเลย ทำได้เลยทันที โดยที่ไม่ต้องใช้เวลาเยอะไม่ต้องคิดเยอะ

 

 

แบบไหนถึงเรียกว่างมงาย ที่เป็นการเชื่อมากเกินไป


 

อ.ไตรภพ

ทุกอย่างมีลิมิตของมัน ตอนนี้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามาก ในช่วง 20 ปีนี้เรียกได้ว่าก้าวกระโดด คำตอบบางอย่างที่เป็นปริศนามานาน ตอนนี้เราสามารถรู้ได้ และต่อไปการค้นพบพวกนี้ก็จะไปตอบปัญหาที่เป็นมูเตลูสมัยก่อนได้อีกหลายข้อ แต่ทั้งนี้วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่เหนื่อยในการทำความเข้าใจ เพราะมันยาก ดังนั้นมูเตลูก็จะยังคงอยู่ในสังคมมนุษย์ไปอีกนาน แต่มันจะสะท้อนอย่างหนึ่งตรงที่ว่ามันควรไหมที่เราจะต้องกระจายการศึกษาให้มันครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ให้คนในทุกที่สามารถเข้าใจในวิทยาศาสตร์พื้นฐานได้ อย่างน้อยถ้าคนเข้าใจในวิทยาศาสตร์มากขึ้น ความเชื่อในมูฯ บางเรื่องในลักษณะที่มันเกินไปจะได้ค่อย ๆ หายไปหรือลดลง

 

จุดตัดที่สำคัญเลยคือ คนที่เชื่อเรื่องมูฯ จะเป็นคนที่ค่อนข้างเปิดใจรับหรือเชื่ออะไรได้ง่ายอยู่แล้วโดยบุคลิก ก็จะทำให้กลายเป็นเหยื่อง่ายสำหรับคนที่ไม่หวังดี บางคนอาจจะเอาการมูฯ มาเป็นเครื่องมือหากินเพื่อหลอกลวงคน แล้วการหลอกสมัยนี้หลอกเนียนมาก ถ้าเรามีความเชื่ออยู่แล้ว เราอยากได้ยินสิ่งนี้ อยากอย่างนี้ แล้วเราไปเจอคนที่ตอบโจทย์เราพอดี ความเสี่ยงก็จะเกิดขึ้นที่เราจะเป็นเหยื่อของการหลอกลวง เป็นเหยื่อของการสูญเสียเงินจำนวนมาก เมื่อไรก็ตามที่ความเชื่อมูฯ มันทำให้ครอบครัวเราแตกแยก ทำให้พฤติกรรมของเราผิดไปจากความเหมาะสม ผิดไปจากศีลธรรมจริยธรรมที่มันควรจะเป็น แบบนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่มันเกินไปทั้งสิ้น

 

อีกประเด็นหนึ่งคือถ้าเราให้น้ำหนักไปที่มูฯ เยอะเกินไป เราจะสูญเสียความรู้สึกว่าตัวฉันมีคุณค่าที่จะควบคุมชีวิตฉันได้ ความนับถือตนเองอาจจะค่อย ๆ ลดลง ๆ เราอาจจะกลายเป็นคนที่จะถูกจูงไปทางไหนก็ได้โดยง่าย อันนี้ก็จะถือว่ามากเกินไป แต่ส่วนตัวก็เชื่อว่าคนที่มูฯ อยู่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่จะไม่ได้คาดหวังหรอกว่าเมื่อฉันมูฯ แล้วฉันต้องได้อย่างที่หวัง แต่เชื่อว่าที่มูฯ เพื่อเป็นการ empower ตัวเอง เพื่อให้รู้สึกมั่นใจและมีพลังมากขึ้นในการใช้ชีวิตมากกว่า แต่เมื่อไรก็ตามที่เราปล่อยให้มูฯ มาครอบงำเรา มาชี้นำพฤติกรรมเราทุกอย่าง เขาว่าอย่างไรทำหมดทุกอย่างเลย เสียเงินเสียนันเสียนี่ไป อันนี้เรียกว่าเกินไปแน่ ๆ

 

อ.ชาญ

เมื่ออะไรที่เป็นผลกระทบจนไม่สามารถใช้ชีวิตของตนเองได้อย่างปกติ หรือเริ่มส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างแล้ว แสดงว่าสิ่งที่เราเชื่อว่ามีผลดีมันน่าจะเป็นผลเสียแล้ว เพราะอย่างบางคนเชื่อว่าไปทำบุญเยอะๆ หรือซื้อไอเท่มอะไรบางอย่างมาบูชา เสียเงินเท่าไรก็ยอมเพื่อให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าความทุกข์อันใหม่คือสภาพเศรษฐกิจ เพราะใช้เงินกับตรงนี้ไปมาก และเริ่มกระทบต่อคนอื่น บางคนหยุดไม่ได้ เพราะมั่นใจในตนเองลดลงมีความสามารถในการคิดประมวลผลภาพรวมลดลง บางคนหยุดไม่ได้จนกลายเป็นการเสพติด อะไรก็ตามที่เป็นการเสพติดมันก็ต้องการที่จะทำอยู่เรื่อย ๆ ตนเองไม่มีเงินก็ต้องไปยืมคนรอบข้างมา แสดงว่าจุดนี้เป็นสิ่งที่รบกวนการใช้ชีวิตทางสังคมหรือชีวิตส่วนตัวของเราเองแล้ว ถ้าเราดึงสติตัวเองกลับมาได้เร็ว และคิดว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่เราทำอยู่นั้นแก้ปัญหาที่แท้จริงได้หรือไม่ ก็น่าที่จะทำให้คนปรับตัวและทำได้ดีขึ้น

 

ส่วนประเด็นที่ว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” มันก็เป็นวลีหนึ่งที่เหมือนกับ “โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม” เพราะบางอย่างมันจะไม่ถูกพิสูจน์หรือยังไม่มีวิธีพิสูจน์ที่แน่นอน คนเราต้องการ play safe อยู่แล้ว จึงมีกลไกออกมาว่า “ไม่เชื่อใช่ไหม ก็อย่าไปลบหลู่ เพราะถ้าเกิดผลเสียขึ้นมาจะทำยังไง” คนเราต้องการจะหลีกเลี่ยงถึงผลเสียหรือผลลัพธ์ที่ไม่ดี แต่จริง ๆ ความเชื่อบางอย่างตั้งแต่โบราณกาล ในหลาย ๆ ประเทศ มันก็แฝงความเป็นวิทยาศาสตร์อยู่ เช่น ที่บอกว่าห้ามตัดเล็บตอนกลางคืน เพราะว่าอะไร เมื่อก่อนแสงน้อย ถ้าตัดเล็บตอนกลางคืนก็กลัวจะเข้าเนื้อ ก็เป็นกลวิธีอย่างหนึ่ง หรือที่บอกว่า ตอนกินข้าวอย่าร้องเพลง เพราะเขาไม่อยากให้สำลัก แต่การให้อธิบายในแง่มุมของวิทยาศาสตร์ บางครั้งมันยากที่จะให้เด็ก ๆ เข้าใจและทำตาม เขาก็จะเบี่ยงประเด็นไปในจุดอื่นเลย ที่จะสามารถเข้าใจได้ง่ายกว่า แล้วมันจบไม่ต้องอธิบายเยอะ

 

อ.นรุตม์

คนเราไปมูฯ เพื่อใจ เพื่อกำลังใจ ความมั่นใจ ดังนั้นพอใจเราได้แล้ว เราอาจต้องย้อนกลับมาใช้สมองให้มากขึ้น ใช้ปัญญาในการพิจารณาเหตุและผล ว่าต้นตอของปัญหา หรือว่าการที่เราจะได้ตามเป้าที่เราอยากจะได้ มันต้องใช้วิธีการอะไร เพราะถ้าเกิดเราใช้แต่ทางสายมูฯ มันอาจจะเกิดผลเสียตามมาอย่างที่อ.ชาญได้บอกไป ทั้งกับเรื่องทางสังคมรอบ ๆ ตัวเรา และการใช้ชีวิต เศรษฐกิจ ต่าง ๆ อีกอย่างหนึ่งก็สามารถส่งผลกระทบต่อตัวตนของเราเองด้วยซ้ำ หมอดูอาจจะแนะนำให้เราไปเป็นหรือไปทำพฤติกรรมอะไรที่มันไม่ใช่ตัวเรา ซึ่งถ้าเราต้องไปทำอะไรที่มันไม่ใช่ตัวของเราจริง ๆ มันก็จะเป็นปัญหาทางด้านจิตใจเหมือนกันกับการที่เราต้องพยายามเป็นอะไรในสิ่งที่เราไม่ได้เป็น

 

กำลังใจเราสร้างจากการมูฯ ได้ แต่ถ้าเรามีใจที่โอเคแล้วระดับหนึ่ง ย้อนกลับมาใช้เหตุผล พิจารณาดูว่าเราจะจัดการกับปัญหา กับความไม่มั่นใจ ความรู้สึกไม่มั่นคงตรงนั้นอย่างไร

 

 

Workshop : เทคนิคพื้นฐานสำหรับการเจรจาต่อรอง ประจำปี 2566

 

โครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยา หัวข้อ “เทคนิคพื้นฐานสำหรับการเจรจาต่อรอง” ประจำปี 2566

 

 

 

 

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมโครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยา หัวข้อ “เทคนิคพื้นฐานสำหรับการเจรจาต่อรอง” ประจำปี 2566 ในวันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน 2566 เวลา 09.00 – 16.00 น.ห้อง 614 ชั้น 6 อาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัชราภรณ์ บุญญศิริวัฒน์ ประธานแขนงวิชาจิตวิทยาสังคมพื้นฐานและประยุกต์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากร

 

การเจรจาต่อรอง เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาระหว่างครอบครัว การเจรจาทางธุรกิจ เป็นต้น ผลประโยชน์ที่เราจะได้รับจาก “การเจรจาต่อรอง” ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากและมักจะเกิดขึ้นเป็นอันดับแรก ๆ เมื่อเราจะต้องประสานงานการทำงานกับผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นการเจรจาต่อรองกับผู้ที่เราจะต้องดำเนินธุรกิจด้วยหรือแม้แต่การเจรจาต่อรองที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน ก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในมิติอื่นๆ ได้ เพียงแต่ว่าเรื่องนั้นควรต่อรองหรือไม่ คุ้มหรือไม่กับการต้องต่อรอง หากต้องนิยามคำว่าเจรจาต่อรอง ก็สามารถให้ความหมายแบบกว้างๆ คือ กระบวนการสื่อสารสองทาง (Two-way Communication) มีบุคคลร่วมเจรจา 2 ฝ่ายขึ้นไป ถือเป็นกิจกรรมที่มีความทางการ มีการกำหนดจุดยืน มีผลประโยชน์ที่ต้องการแลกเปลี่ยนกัน และมุ่งหวังให้ผลประโยชน์หรือข้อกำหนดนั้นบรรลุความต้องการของทุกฝ่าย

 

โครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยา หัวข้อ “เทคนิคพื้นฐานสำหรับการเจรจาต่อรอง” จึงเป็นโครงการสำหรับผู้ที่ต้องเข้าใจในพื้นฐานของการเจรจาต่อรอง โดยมุ่งเน้นการศึกษาไปยังเทคนิคพื้นฐานในกระบวนการของการต่อรอง ว่าการออกไปพบปะผู้คนนั้น ควรวางแผนและเตรียมตัวล่วงหน้าในการเจรจาอย่างไร จะช่วยให้เราสามารถรับมือกับสิ่งต่างๆ รวมถึงการคาดหวังว่าผู้ที่ผ่านการอบรมไปนั้น จะสามารถนำเทคนิคดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น และสามารถรับมือและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นและพร้อมที่จะยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้

 

ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับเกียรติบัตรการเข้าร่วมโครงการจากคณะจิตวิทยา

 

 

วิธีการฝึกอบรม
  • ภาคทฤษฎี – โดยการบรรยาย ระยะเวลา 3 ชั่วโมง เวลา 9.00 – 12.00 น.
  • ภาคปฏิบัติ – โดยการฝึกปฏิบัติ ระยะเวลา 3 ชั่วโมง เวลา 13.00 – 16.00 น.

 

 

การอบรมมีอัตราค่าลงทะเบียน ท่านละ 3,500 บาท

 

 

 

เงื่อนไขการลงทะเบียน
  1. กรุณาชำระค่าลงทะเบียนเข้าร่วมงานก่อนกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียน
  2. การส่งแบบฟอร์มลงทะเบียน จะต้องแนบหลักฐานการชำระเงินค่าลงทะเบียนมาด้วย จึงจะถือว่าการลงทะเบียนสมบูรณ์
  3. เมื่อผู้จัดงานได้ตรวจสอบการลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว จะแจ้งยืนยันการลงทะเบียนให้ทราบภายใน 3 วันทำการ
  4. บุคลากรของรัฐและหน่วยงานราชการที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาแล้ว สามารถเข้าร่วมการอบรมได้โดยไม่ถือเป็นวันลา และมีสิทธิเบิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ
  5. ใบเสร็จรับเงินจะจัดส่งให้ทางไปรษณีย์
  6. เมื่อชำระเงินค่าลงทะเบียนแล้ว จะไม่สามารถขอรับเงินคืนได้ทุกกรณี

 

 

 

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณวาทินี โทร. 02-218-1307 E-mail: wathinee.s@chula.ac.th

 

จิตวิทยาเชิงปริมาณคืออะไร?

 

จิตวิทยาเชิงปริมาณ (Quantitative Psychology) เป็นสาขาหนึ่งของศาสตร์จิตวิทยาที่เน้นการพัฒนาและประยุกต์ใช้ข้อมูลเชิงปริมาณ (เชิงตัวเลข) เพื่อศึกษาพฤติกรรมและกระบวนการทางจิตใจของมนุษย์ และเนื่องจากงานวิจัยทางจิตวิทยาในปัจจุบันมักมาจากการวิจัยเชิงปริมาณ สาขานี้จึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาองค์ความรู้ทางจิตวิทยาในสาขาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจิตวิทยาการปรึกษา (Counseling Psychology) จิตวิทยาพัฒนาการ (Developmental Psychology) จิตวิทยาสังคม (Social Psychology) จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ (Industrial and Organizational Psychology) หรือสาขาอื่น ๆ ที่ใช้วิธีการเชิงปริมาณ

 

นิยาม


 

“จิตวิทยาเชิงปริมาณ” เป็นการศึกษาวิธีการในการออกแบบการวิจัย การวัดคุณลักษณะของบุคคล และการวิเคราะห์ข้อมูลทางจิตวิทยา นอกจากนี้ยังรวมถึงการสร้างโมเดลทางคณิตศาสตร์และสถิติเพื่อศึกษากระบวนการทางจิตวิทยา (American Psychological Association [APA], 2009)

 

จากนิยามข้างต้น จิตวิทยาเชิงปริมาณสามารถแบ่งได้เป็น 4 ด้านหลัก ๆ ที่สัมพันธ์กัน โดยนักจิตวิทยาเชิงปริมาณคนหนึ่งอาจมีความเชี่ยวชาญเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือหลายเรื่องในด้านดังต่อไปนี้

 

1. การออกแบบการวิจัย (Research Design)

 

การออกแบบการวิจัย คือ การกำหนดวิธีการวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบของคำถามวิจัยที่ตั้งไว้ ยกตัวอย่างเช่น นักจิตวิทยาการปรึกษาต้องการศึกษาว่าการเข้ากลุ่มที่ใช้การเจริญสติช่วยลดความเศร้าได้หรือไม่ การตอบคำถามนี้สามารถทำได้หลายวิธี เช่น สุ่มคนส่วนหนึ่งเข้ากลุ่มที่ใช้การเจริญสติและอีกส่วนหนึ่งเข้ากลุ่มที่ไม่ใช้การเจริญสติ จากนั้นเปรียบเทียบระดับความเศร้าของคนในสองกลุ่มนี้หลังจากการเข้ากลุ่ม

 

ในด้านการออกแบบการวิจัย นักจิตวิทยาเชิงปริมาณมีหน้าที่พัฒนาวิธีการวิจัยให้นักจิตวิทยาสามารถตอบคำถามวิจัยได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ นักจิตวิทยาเชิงปริมาณมักร่วมมือกับนักจิตวิทยาในสาขาอื่น ๆ ในการกำหนดรูปแบบการวิจัยารสุ่มตัวอย่าง การเลือกเครื่องมือ การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล

 

2. การวัด (Measurement)

 

 เมื่อนักจิตวิทยารู้ว่าจะตอบคำถามวิจัยด้วยวิธีใดแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการวัด เช่น นักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การต้องการวัดบุคลิกภาพของพนักงานเพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล แต่ปัญหาที่มักพบคือ จะใช้การวัดแบบใด และการวัดที่ใช้จะสามารถบอกบุคลิกภาพของพนักงานได้จริงหรือไม่

 

ตัวอย่างบทบาทของนักจิตวิทยาเชิงปริมาณในด้านนี้ ได้แก่ การพัฒนาทฤษฎีการวัดและวิธีการวัดที่ทำให้สามารถวัดในสิ่งที่ต้องการจะวัดได้อย่างแม่นยำ นักจิตวิทยาเชิงปริมาณยังทำงานร่วมกับนักจิตวิทยาสาขาอื่น ๆ ในการสร้างมาตรวัดและตรวจสอบคุณภาพของมาตรวัด

 

3. การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis)

 

การวิเคราะห์ข้อมูล คือ การนำข้อมูลที่รวบรวมได้มาทำการวิเคราะห์เพื่อหาคำตอบของถามวิจัย ตัวอย่างเช่น นักจิตวิทยาการศึกษาต้องการทราบว่าแรงจูงใจในการเรียนของนักเรียนลดลงหรือไม่หลังจากเปิดเทอม โดยเก็บข้อมูลจากนักเรียนกลุ่มเดียวซ้ำ ๆ ในช่วงเวลาต่าง ๆ วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลจากการวัดซ้ำในลักษณะนี้มีหลายวิธีซึ่งแต่ละวิธีมีความเหมาะสมในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน บางวิธีเหมาะสมกับข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก แต่มีการวัดซ้ำหลายครั้ง ในขณะที่บางวิธีเหมาะสมกับข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ แต่มีจำนวนการวัดซ้ำน้อย

 

งานของนักจิตวิทยาเชิงปริมาณในด้านนี้ ได้แก่ การค้นหาวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่เหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในการวิจัยทางจิตวิทยา การเปรียบเทียบวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลแบบต่าง ๆ การปรับแก้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่เดิมให้ดีขึ้น และการพัฒนาวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลขึ้นมาใหม่ เป็นต้น

 

4. โมเดลทางคณิตศาสตร์และสถิติ (Mathematical and Statistical Modeling)

 

นอกเหนือจากการพัฒนาและตรวจสอบวิธีการวิจัยรวมทั้งการวิเคราะห์ข้อมูล นักจิตวิทยาเชิงปริมาณยังใช้ความเชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์และสถิติในการสร้างโมเดลเพื่อทำความเข้าใจมนุษย์ โดยนักจิตวิทยาเชิงปริมาณจะนำเสนอปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางจิตวิทยาในรูปของสมการทางคณิตศาสตร์ เช่น การทำงานของสมอง กระบวนการคิดและการตัดสินใจ และการสร้างเครือข่ายทางสังคม อีกสิ่งหนึ่งที่นักจิตวิทยาเชิงปริมาณทำในด้านนี้คือการนำโมเดลทางคณิตศาสตร์ที่มีอยู่แล้วจากสาขาวิชาอื่นมาประยุกต์ใช้กับจิตวิทยา

 

สรุป


 

จิตวิทยาเชิงปริมาณมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อศาสตร์จิตวิทยา นักจิตวิทยาเชิงปริมาณมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาและตรวจสอบการออกแบบการวิจัย การวัด การวิเคราะห์ข้อมูล รวมทั้งการสร้างโมเดลทางคณิตศาสตร์และสถิติเพื่อทำความเข้าใจมนุษย์ ด้วยความรู้เหล่านี้ นักจิตวิทยาเชิงปริมาณจึงมีบทบาทอย่างมากต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางจิตวิทยา

 

 

รายการอ้างอิง

 

American Psychological Association. (2009). Task force for increasing the number of quantitative psychologists. https://www.apa.org/science/leadership/bsa/quantitative

 

 

 


 

 

บทความโดย

 

อาจารย์ ดร.ศุภณัฐ ศรีอุทัยสุข

อาจารย์ประจำแขนงจิตวิทยาเชิงปริมาณ

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

Circadian rhythm – วงจรเซอร์คาเดียน

 

 

โดยทั่วไปร่างกายมนุษย์จะมีวงจรประจำวันตามธรรมชาติ เปรียบเสมือนตารางเวลาสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ โดยวงจรดังกล่าวมีกำหนดที่ค่อนข้างตายตัว วงจรนี้เรียกว่า วงจรเซอร์คาเดียน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอิทธิพลจากหลาย ๆ ปัจจัยในธรรมชาติ เช่น แสงสว่าง ความมืด อาหารที่รับประทาน ระดับความดังของเสียง ระดับสารเคมีต่าง ๆ ร่างกาย และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

 

Czeisler และคณะ (1999) ศึกษาพบว่า มนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่ที่มีร่างกายสมบูรณ์ปกติจะมีระยะวงจรเซอร์คาเดียนอยู่ที่ประมาณ 24 ชั่วโมง 11 นาที (+/- 6นาที) ซึ่งวงจรดังกลล่าวจะตั้งค่าตัวเองใหม่ในทุก ๆ วันตามวงจรการหมุนของโลก

 

ใน 24 ชั่วโมง กระบวนการทางกายภาพของร่างกายจะทำงานตามเวลาที่เหมาะสมของรูปแบบวงจรเซอร์คาเดียนในแต่ละบุคคล เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต และอุณหภูมิในร่างกายจะอยู่ในระดับสูงเพื่อที่จะทำให้ร่างกายตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และในเวลากลางคืนกระบวนการทั้งหลายจะปรับลดระดับลงเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน เตรียมที่จะฟื้นตัวสำหรับเวลากลางวันของวันต่อไป

 

หากร่างกายและวงจรเซอร์คาเดียนทำงานในเวลาไม่สอดคล้องกัน สามารถส่งผลให้ร่างกายและจิตใจเกิดความผิดปกติ และอาจนำไปสู่สาเหตุของอาการป่วยต่าง ๆ เช่น ภาวะนอนหลับไม่เพียงพอ การนอนไม่หลับ หรือก่อให้เกิดความเครียดได้อีกด้วย

 

Alberni (2006) กล่าวว่ามนุษย์แต่ละคนมีระยะความยาวของวงจรเซอร์เดียนไม่เท่ากัน ซึ่งสามารถวัดรอบวงจรได้โดยการวัดในห้องระบบปิดที่ไม่มีสัญญาณจากภายนอกที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบเวลาภายในร่างกาย หรือที่เรียกว่า ไซจ์เบอร์ (Zeitgeber) จากนั้นให้สังเกตเวลาเข้านอน ตื่นนอน ที่ร่างกายเลือกเอง ก็จะทราบผลลัพธ์วงจรเซอร์คาเดียนของคนนั้น ๆ โดยในมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ไซจ์เบอร์จะช่วยในการปรับและตั้งค่าวงจรเซอร์คาเดียนให้มีความเหมาะสมอยู่เสมอ

 

 

ประเภทของวงจรเซอร์คาเดียน


 

วงจรเซอร์คาเดียนสามารถควบคุมได้ด้วยแสงและอุณหภูมิ ทั้งนี้การควบคุมดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้โดยการรับการกระตุ้นจากแสงแดดผ่านทางเรตินาของตาไปยังสมองส่วน Suprachiasmatic Nucleus (SCN) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมองอยู่ในไฮโปทาลามัส ทำหน้าที่เป็นระบบไวต่อแสง หรือไวต่อเวลากลางวันกลางคืน ภายใต้การควบคุมของยีนนาฬิกา (Clock genes) ที่กำหนดตารางเวลากิจกรรมของมนุษย์ให้มีความรู้สึกต่างๆ เช่น ความอยากอาหาร ความต้องการพักผ่อน ซึ่งยีนนาฬิกาทำให้วงจรเซอร์คาเดียนของมนุษย์แบ่งออกเป็น 3 ประเภทเวลา (Chronotype)

 

1. วงจรเซอร์คาเดียนประเภทเวลาเช้า

ผู้มีวงจรเซอร์คาเดียนประเภทเวลาเช้า คือ บุคคลที่ตื่นตัวและรู้สึกสดชื่นในเวลาเช้ามากกว่าในช่วงบ่ายหรือเวลาดึก ตัดสินได้จากการตื่นและเข้านอน หากมีการตื่นนอนเร็วกว่าเวลาตื่นนอนเฉลี่ยของประชากรทั้งหมด และเข้านอนอยู่ในระหว่างช่วงเวลา 20.00 น. ถึง 22.00 น. แสดงว่าบุคคลนั้นมีวงจรเซอร์คาเดียนประเภทนี้

 

2. วงจรเซอร์คาเดียนประเภทเวลาบ่าย

ผู้มีวงจรเซอร์คาเดียนประเภทเวลาบ่าย คือ บุคคลที่ตื่นตัวและรู้สึกสดชื่นในเวลาบ่ายหรือดึกมากกว่าในช่วงเช้า ตัดสินได้จากการตื่นและเข้านอนเช่นกัน หากมีการตื่นนอนช้ากว่าเวลาตื่นนอนเฉลี่ยของประชากรทั้งหมด และเข้านอนอยู่ในระหว่างช่วงเวลา 00.00 น. ถึง 02.00 น. แสดงว่าบุคคลนั้นมีวงจรเซอร์คาเดียนประเภทนี้

 

3. วงจรเซอร์คาเดียนประเภทเวลากึ่งกลาง

ผู้มีวงจรเซอร์คาเดียนประเภทเวลาแบบกึ่งกลางนี้เป็นบุคคลที่ไม่จัดอยู่ในบุคคล 2 ประเภทแรก ซึ่งบุคคลประเภทนี้มีจำนวนประมาณ 60-80 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งหมด

 

 

ประเภทของวงจรเซอร์คาเดียนนั้น นอกจากมีประโยชน์ทางด้านสุขภาพแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อการจัดบุคคลให้เหมาะกับการทำงานอีกด้วย มีการศึกษาพบว่าหากจับคู่บุคคลและลักษณะกะการทำงานได้เหมาะสม ก็จะทำให้บุคคลนั้นมีความอดทนต่อการทำงานเป็นกะได้มากขึ้น และมีสุขภาพจิตดีขึ้นอีกด้วย

 

 


 

 

ข้อมูลจาก

 

“อิทธิพลของวงจรเซอร์คาเดียนและเวลาการทำงานที่มีต่อสุขภาพจิตของพนักงานรักษาความปลอดภัย” โดย พิมพ์นฏา เวียงนนท์, ภัสสร สิทธินววิธ และ ลินดา คูเวน (2555) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/44192

 

Triangular theory of love – ทฤษฎีสามเหลี่ยมของความรัก

 

 

 

Sternberg (1986) เสนออทฤษฎีสามเหลี่ยมของความรัก ซึ่งอธิบายถึงธรรมชาติและรูปแบบของความรักว่าประกอบด้วย 3 องค์ประกอบสำคัญ คือ

 

  1. ความใกล้ชิด (intimacy) เป็นองค์ประกอบด้านอารมณ์ คือ มีความคุ้นเคยใกล้ชิดกันในความรู้สึก ความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง ความเอื้ออาทรต่อกัน สื่อสารกันได้อย่างดี มีความไว้วางใจต่อกัน ซึ่งจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามระยะเวลาของความสัมพันธ์
  2. ความเสน่หา (passion) เป็นองค์ประกอบด้านแรงจูงใจ เกิดจากแรงขับภายในระบบของร่างกาย หรือความรู้สึกที่ถูกกระตุ้นทางสรีระ เป็นความดึงดูดทางเพศ เช่น ความพอใจในรูป กลิ่น เสียง หรือจริตกิริยาของอีกฝ่ายหนึ่ง หรือเสน่ห์อื่นๆ และยังรวมถึงเหตุกระตุ้นอื่นๆ ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกโรแมนติกด้วย
  3. ความผูกมัด (commitment) เป็นองค์ประกอบด้านความคิด คือการตัดสินใจที่จะรักหรือมีพันธะทางใจหรือทางสังคมต่อกัน การใช้เวลาร่วมกันในกิจกรรมต่างๆ หรือการใช้ชีวิตร่วมกันต่อเนื่องเป็นเวลานาน ความรับผิดชอบในพันธะที่ตกลงต่อกัน การรับพันธะผุกพันจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อมีความสนิทสนมกันมากขึ้น และเปลี่ยนไปตามระดับของความสุดความพอใจในแต่ละช่วงเวลา หากมีปัญหายุ่งยากในความสัมพันธ์ระหว่างกัน การรับพันธะผูกพันอาจลดระดับลงไป

 

องค์ประกอบด้านความใกล้ชิดเป็นแกนหลักที่สามารถพบได้ในความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ มีความคงทนค่อนข้างสูง และมีบทบาทสำคัญในความสัมพันธ์ระยะยาว ส่วนความเสน่หามักพบในความสัมพันธ์เชิงคู่รักเท่านั้น เด่นชัดในความทรงจำ และมีบทบาทสำคัญในความสัมพันธ์ระยะสั้น มีผลต่อปฏิกิริยาทางร่างกายและการรับรู้ความเจ็บปวด ขณะที่ความผูกมัดนั้นมีความผันแปรในแต่ละช่วงอายุ เช่น มีความผูกมัดกับครอบครัวในวัยเด็ก ผูกมัดกับเพื่อนในช่วงวัยรุ่น และผูกมัดกับคนรักในวัยผู้ใหญ่ มีผลต่อการรับรู้ความเจ็บปวดและความสามารถในการควบคุมตนเอง

 

 

การจัดประเภทของความรัก


 

จากองค์ประกอบของความรักทั้งสาม สามารถจำแนกความรักออกได้เป็นประเภทต่างๆ 8 ประเภท ดังนี้

 

  1. การไม่มีความรัก (nonlove) เป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่ไม่มีองค์ประกอบทั้งสามเลย เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลแบบง่ายๆ ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไม่มีความรู้สึกหรือรักมาเกี่ยวข้อง
  2. ความชอบ (liking) เป็นรักที่ประกอบด้วยความใกล้ชิดเท่านั้น เกิดขึ้นกับคนที่เราสนิทสนมใกล้ชิดด้วย เช่น เพื่อน คนรู้จัก
  3. รักแบบหลงใหล (infatuated love) เป็นรักที่ประกอบด้วยความเสน่หาอย่างเดียว เกิดขึ้นได้บ่อย ทำนองรักแรกพบ
  4. ความสัมพันธ์แบบปราศจากความรัก (empty love) เป็นรักที่ประกอบด้วยความผูกมัดอย่างเดียว เช่น มีการแต่งงานที่ปราศจากความรู้สึกต่อกัน เพียงแค่อยู่ร่วมกัน (ซึ่งอาจพัฒนาองค์ประกอบอื่นภายหลัง)
  5. รักแบบโรแมนติก (romantic love) เป็นรักที่ประกอบด้วยความใกล้ชิด และความเสน่หา เกิดเมื่อบุคคลรู้จักกัน ใกล้ชิดกัน จึงเกิดความรู้สึกตื่นตัวทางร่างกาย ปรารถนาจะอยู่ใกล้ชิก ได้สัมผัสและถ่ายทอดความรู้สึกระหว่างกันโดยยังไม่มีพันธะผูกมัด
  6. รักแบบมิตรภาพ (companionate love) เป็นรักที่ประกอบด้วยความใกล้ชิดและความผูกมัด มักเกิดในความสัมพันธ์ระยะยาว เช่น เพื่อน หรือคู่แต่งงานที่ใช้ชีวิตร่วมกันมานาน
  7. รักแบบไร้สติปัญญา (fatuous) เป็นรักที่ประกอบด้วยความเสน่หาและความผูกมัด โดยบุคคลพบรักและผูกมัดกันอย่างรวดเร็ว ซึ่งรักแบบนี้มักจบลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน
  8. รักสมบูรณ์แบบ (consummate love) เป็นรักที่มีทั้งสามองค์ประกอบ ทั้งความเสน่หา ความใกล้ชิด และความผูกมัด รักรูปแบบนี้เป็นรักที่บุคคลปรารถนาแต่ยากที่จะเกิดขึ้นและรักษาให้คงสภาพไว้ได้ ขึ้นอยู่กับรูปแบบความสัมพันธ์และสถานการณ์ที่แวดล้อมในความสัมพันธ์ระหว่างสองบุคคล

 


 

 

ข้อมูลจาก

 

“ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของบุคลิกภาพห้าองค์ประกอบ ต่อความพึงพอใจในความสัมพันธ์ของคู่รัก โดยมีองค์ประกอบของความรักทั้งสามเป็นตัวแปรส่งผ่าน” โดย สิริภรณ์ ระวังงาน (2553) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/37529

 

 

โครงการอบรมความรู้พื้นฐานจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ ประจำปี 2566

 

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วม “โครงการอบรมความรู้พื้นฐานจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ ประจำปี 2566” ซึ่งจะจัดอบรมผ่านโปรแกรม ZOOM ระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน – 24 กรกฎาคม 2566 (วันจันทร์ และวันอังคาร เวลา 18.00 – 21.00 น.) รวมใช้ระยะเวลาในการฝึกอบรมและสอบวัดผลทั้งสิ้น 27 ชั่วโมง โดย คณาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากร

 

 

 

โครงการอบรมมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ด้านจิตวิทยาให้แก่บุคคลภายนอก และเตรียมความพร้อมทางจิตวิทยาให้แก่ผู้สมัครที่จะเข้ามาศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา แขนงวิชาอุตสาหกรรมและองค์การ ได้มีพื้นฐานทางจิตวิทยาที่จำเป็น เพื่อเตรียมความพร้อมและนำไปต่อยอดในการศึกษารายวิชาที่กำหนดในหลักสูตรในระดับที่สูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

เนื้อหาการอบรมจะเป็นการปูพื้นฐานให้แก่ผู้ที่สนใจศึกษาศาสตร์ทางด้านจิตวิทยาในบริบทการทำงานและบุคคลที่ทำงานเกี่ยวข้องกับทรัพยากรมนุษย์ ได้เรียนรู้และเข้าใจกับคําว่าจิตวิทยา I/O และสร้างความเข้าใจในประเด็นด้านอุตสาหกรรม เช่น กระบวกการคัดเลือก วัดและประเมิน และประเด็นด้านองค์การ เช่น ความพึงพอใจและผลการปฏิบัติงานของบุคลากร แรงจูงใจในการทำงาน เป็นต้น รวมทั้งประเด็นด้านการเรียนรู้และสุขภาวะทางจิตใจของบุคลากรในที่ทำงาน รวมถึงการคาดหวังว่าผู้ที่ผ่านการอบรมไปนั้น จะสามารถนําศาสตร์ทางจิตวิทยาไปประยุกต์พัฒนาบุคลากรและแก้ปัญหาในที่ทำงานเพื่อให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

 

 

 

หลังจากเสร็จสิ้นการอบรมแต่ละครั้ง ทางผู้จัดโครงการจะอัพโหลดไฟล์วิดีโอการอบรมให้ผู้เข้าร่วมโครงการ สามารถเข้ามาดูย้อนหลังได้จนถึงวันที่ 7 สิงหาคม 2566

 

ผู้ที่สอบผ่านเกณฑ์การวัดผลของโครงการจะได้รับวุฒิบัตรเพื่อใช้ประกอบการสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา แขนงวิชาแขนงวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ คณะจิตวิทยา ได้

 

 

เกณฑ์การวัดผล

  • ต้องเข้ารับการฝึกอบรมไม่น้อยกว่า 7 ครั้ง (21 ชั่วโมง)
  • สอบวัดผลข้อเขียน โดยผ่านเกณฑ์การประเมิน 70% ขึ้นไป

 

อัตราค่าลงทะเบียน

 

 

บุคลากรของรัฐและหน่วยงานราชการที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาแล้ว

มีสิทธิเบิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ

 

 

 

เงื่อนไขการลงทะเบียน

 

  1. กรุณาชำระค่าลงทะเบียนเข้าร่วมงานก่อนกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียน
  2. การส่งแบบฟอร์มลงทะเบียน จะต้องแนบหลักฐานการชำระเงินค่าลงทะเบียนมาด้วย จึงจะถือว่าการลงทะเบียนสมบูรณ์
  3. เมื่อผู้จัดงานได้ตรวจสอบการลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว จะแจ้งยืนยันการลงทะเบียนให้ทราบภายใน 3 วัน
  4. บุคลากรของรัฐและหน่วยงานราชการที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาแล้ว สามารถเข้าร่วมการอบรมได้โดยไม่ถือเป็นวันลา และมีสิทธิเบิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ
  5. ใบเสร็จรับเงินจะจัดส่งให้ทางไปรษณีย์
  6. เมื่อชำระเงินค่าลงทะเบียนแล้ว จะไม่สามารถขอรับเงินคืนได้ทุกกรณี

 

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณวาทินี สนลอย

โทร. 02-218-1307 หรือ email: Wathinee.s@chula.ac.th