News & Events

โครงการ Mental Health University Incubation 2022 : รับสมัครอาสาสมัครผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นสุขภาพจิต

ประชาสัมพันธ์รับสมัครอาสาสมัครผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นสุขภาพจิตเพื่อการพัฒนาเครื่องมือ
เพื่อสร้างเสริมสุขภาพจิต ของโครงการ Mental Health University Incubation 2022

 

ศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับ Innowhale จัดโครงการ Mental Health University Incubation 2022 โดยมีเป้าหมายให้กลุ่มนิสิตคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงนิสิตที่จบการศึกษาที่สนใจสร้างสรรค์เครื่องมือด้านสุขภาพจิตได้เรียนรู้กระบวนการ Design Thinking และฝึกสร้างต้นแบบที่สามารถตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมายในประเด็นสุขภาพจิต

 

ทีมงานเชื่อว่าเครื่องมือหรือบริการที่ตอบโจทย์จะต้องเริ่มจากการเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย/ผู้ใช้งาน ทีมงานจึงขอเชิญชวนกลุ่มเป้าหมายที่มีเรื่องราวไม่สบายใจในประเด็นสุขภาพจิตร่วมให้สัมภาษณ์ (ออนไลน์) กับกลุ่มนิสิตผู้เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อให้ทีมทำความเข้าใจปัญหาและหาโอกาสในการพัฒนาเครื่องมือที่ช่วยแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพจิตอย่างยั่งยืน

 

โดยผู้เข้าร่วมจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

  1. อายุ 21 – 30 ปี
  2.  มีเรื่องที่ไม่สบายใจและยังไม่สามารถจัดการได้ในประเด็น
    – การตัดสินใจเกี่ยวกับเส้นทางอาชีพ/การเลือกเรียน เป้าหมายในชีวิต
    – การจัดการความคาดหวังจากตนเองและคนอื่น
    – ความมั่นใจและตระหนักในคุณค่าของตัวเอง
    – การปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่
    – ความสัมพันธ์ กับครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก
  3. สะดวกให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสัมภาษณ์และทดสอบไอเดีย (ออนไลน์) ในวันที่ 11 มิถุนายน (12.00 – 15.00 น.) และ 12 มิถุนายน (10.00 – 11.30 น.) หรือ วันที่ 13 มิถุนายน (12.00 – 15.00 น.) และ 14 มิถุนายน (10.00 – 11.30 น.)

 

สามารถสมัครได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 8 มิถุนายน 2565 ผ่านแบบฟอร์มออนไลน์
https://docs.google.com/…/1FAIpQLSf1HP36Xu1Ef9…/viewform

 

ในการคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลทีมงานจะพิจารณาถึงความเหมาะสม และจะรีบติดต่อกลับไปเพื่อยืนยันการนัดหมายเข้าร่วมกิจกรรม

 

ข้อมูลที่ท่านให้จะมีประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาเครื่องมือในการดูแลสุขภาพจิตให้กับสังคมไทยในอนาคตค่ะ
ขอบคุณค่ะ

ศูนย์ประเมินทางจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท แอล ซอฟท์โปร (L SOFTPRO) จำกัด ได้ลงนามความร่วมมือทางวิชาการ

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา ศูนย์ประเมินทางจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท แอล ซอฟท์โปร (L SOFTPRO) จำกัด ได้ลงนามความร่วมมือทางวิชาการว่าด้วยการจัดทำระบบประเมิน ระบบทดสอบ และการอบรมในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้บริการทางวิชาการแก่หน่วยงานภายนอกและสังคม

 

 

โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในนามของศูนย์ประเมินทางจิตวิทยา ลงนามร่วมกับ นายจรัสพงศ์ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล ซอฟท์โปร จำกัด ณ ห้องประชุมชั้น 18 อาคารล็อกซเล่ย์ คลองเตย

การลงนามในข้อตกลงทางวิชาการนี้มีจุดประสงค์คือการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันองค์ความรู้ทางวิชาการของคณะจิตวิทยาและความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีของบริษัทแอล ซอฟท์โปร เพื่อพัฒนาเป็นระบบการประเมินและจัดอบรมรูปแบบออนไลน์ที่ทันสมัย เข้าถึงได้ง่าย และตอบสนองต่อความต้องการในการเป็นผู้นำองค์ความรู้ยุคใหม่ตามพันธกิจของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อสังคม
ที่ผ่านมา ศูนย์ประเมินทางจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาฯ และบริษัท แอล ซอฟท์โปร ได้พัฒนาระบบแบบประเมินต่างๆ ร่วมกันอยู่แล้ว การลงนามในข้อตกลงครั้งนี้เป็นการยืนยันว่าทั้งสององค์กรจะร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรมและครบวงจรมากขึ้น รวมไปถึงร่วมกันขยายโอกาสเพิ่มการจัดการอบรมทางด้านจิตวิทยาแบบปฏิบัติจริงให้กับองค์กรต่างๆที่สนใจ ควบคู่ไปกับการใช้ระบบประเมินออนไลน์ต่อไป

 

 

 


ขอบคุณรูปภาพจาก โพสต์ทูเดย์ออนไลน์ และ ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวการลงนามข้อตกลงทางวิชาการ :
แอล ซอฟท์โปร จับมือคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พัฒนาระบบประเมินผลอิเล็กทรอนิกส์
Source – มติชนออนไลน์
แอล ซอฟท์โปร จับมือคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พัฒนาระบบประเมินผลอิเล็กทรอนิกส์
Source – ฐานเศรษฐกิจ
L Softpro ร่วมมือคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พัฒนาระบบประเมินผลอิเล็กทรอนิกส์
Source – ผู้จัดการออนไลน์
แอล ซอฟท์โปร จับมือคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พัฒนาระบบประเมินผลอิเล็กทรอนิกส์
Source – โพสต์ทูเดย์ออนไลน์
“แอล ซอฟท์โปร” จับมือคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พัฒนาระบบประเมินผลอิเล็กทรอนิกส์
Source – สยามรัฐออนไลน์
แอล ซอฟท์โปร จับมือคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พัฒนาระบบประเมินผลอิเล็กทรอนิกส์
Source – แนวหน้าออนไลน์
แอล ซอฟท์โปร จับมือคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พัฒนาระบบประเมินผลอิเล็กทรอนิกส์
Source – บ้านเมืองออนไลน์
แอล ซอฟท์โปร จับมือคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พัฒนาระบบประเมินผลอิเล็กทรอนิกส์
Source – ijournalist
แอล ซอฟท์โปร จับมือคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พัฒนาระบบประเมินผลอิเล็กทรอนิกส์
Source – kinyupen

“เราเข้าใจเธอนะ” บนโลกออนไลน์

เพราะอะไร ??? เพียงแค่เราอ่านข้อความผ่านหน้าจอ

แต่เรากลับเข้าใจได้ว่า อีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไร ???

 

ถึงแม้ว่าการสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์อาจทำให้เราไม่ได้เห็นสีหน้า ไม่ได้ยินน้ำเสียงเทียบเท่ากับการปฏิสัมพันธ์แบบต่อหน้า แต่จริง ๆ แล้วจากระบบวิเคราะห์ของเว็บไซต์ออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Facebook และ Twitter พบว่าข้อความที่โพสต์ลงเว็บมักเกี่ยวข้องกับการแสดงออกทางอารมณ์ทั้งสิ้น ที่สำคัญคือ เราต่างสามารถรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นแม้อยู่ในโลกออนไลน์ได้เช่นเดียวกัน

ถ้าเช่นนั้น…. เรารู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นแม้อยู่ในโลกออนไลน์ได้อย่างไร ???

 

ความสามารถนี้สามารถอธิบายได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า Empathy หรือ การรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกผู้อื่น เป็นความพยายามที่จะเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น โดยจินตนาการเหมือนว่าเราได้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์ของอีกฝ่าย โดยนักจิตวิทยา Daniel Goleman ได้กล่าวถึง “Empathy” ไว้ว่า เป็นความสามารถในการรับรู้ในสิ่งที่ผู้อื่นรู้สึก มองเห็นในมุมเดียวกับที่ผู้อื่นมอง

และด้วย empathy นี่แหละที่ทำให้เราสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่บุคคลนั้นไม่ได้พูดออกมา รวมถึงสามารถเข้าใจความคิดและวิธีการมองโลกของอีกฝ่ายได้

 

Empathy เป็นความสามารถที่สำคัญต่อทุกบริบทในการดำเนินชีวิตของบุคคลในทุกช่วงวัย
เด็กที่สามารถรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกผู้อื่นย่อมเรียนรู้ที่จะสร้างสัมพันธภาพที่ดีทางสังคมกับเพื่อนและคนรอบข้างได้
ในขณะเดียวกัน ผู้ใหญ่ที่มีความเข้าอกเข้าใจกันก็จะสามารถควบคุมอารมณ์ ทำงานเป็นทีม มีการแสดงออกทางอารมณ์และมีการตอบสนองต่อผู้คนรอบข้างได้อย่างเหมาะสมเช่นกัน

 

โดย empathy สามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้านด้วยกัน คือ
ด้านที่ 1 การรรับรู้และมองออกว่าผู้อื่นกำลังรู้สึกอย่างไร หรือ Cognitive empathy
ด้านที่ 2 การรู้สึกเหมือนกับที่ผู้อื่นรู้สึก หรือ Emotional / Affective empathy
ด้านที่ 3 ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและปรารถนาดีต่อผู้อื่น หรือ Compassionate empathy

 

หากเรากลับมามองที่การสื่อสารในโลกออนไลน์ ที่บางครั้งเราอาจเห็นเพียงตัวอักษรโดยปราศจากคำใบ้ เช่น สีหน้า หรือ น้ำเสียง ที่จะทำให้เรารับรู้ได้ถึงอารมณ์ของผู้ส่งสาร อีกทั้งยังต้องใช้เวลานานกว่าจะได้รับคำตอบ จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่า ด้วยลักษณะการสื่อสารเช่นนี้ empathy อาจเกิดขึ้นได้ยากระหว่างผู้คนที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน

 

อย่างไรก็ตาม…. ความพยายามของเราที่จะหาสิ่งอื่นมาทดแทนคำใบ้ที่หายไป ความต้องการที่อยากจะเล่าหรือแบ่งปันประสบการณ์หรือความสนใจให้ผู้อื่นได้เข้าใจ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นแรงผลักที่ทำให้เราสามารถพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้อื่นผ่านทางโลกออนไลน์ได้

โดยจากงานวิจัยที่ศึกษาการสื่อสารผ่านโลกออนไลน์พบว่า การได้รับเนื้อหา (ข้อความที่ได้อ่าน) และ อารมณ์ที่แฝงอยู่ในข้อความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนที่สนิทสนมคุ้นเคยบ่อยๆ จะเอื้อให้เรามี empathy ทั้ง 3 ด้าน

โดยจะช่วยสร้างการรับรู้และมองออกว่าผู้อื่นกำลังรู้สึกอย่างไร (cognitive empathy) ได้ และหากการสื่อสารนั้นมีความเป็นส่วนตัวและมีอารมณ์ทางบวก เช่น สร้างความสุข ความสนุกสนาน ความสามารถในการรับรู้และการมองออกว่าผู้อื่นกำลังรู้สึกอย่างไร ยิ่งเกิดได้ง่ายมากขึ้น และเมื่อเริ่มเข้าใจว่าผู้อื่นรู้สึกเช่นไร เราก็จะสามารถรู้สึกเหมือนกับที่ผู้อื่นรู้สึก (emotional / affection empathy) และรู้สึกเห็นอกเห็นใจและปรารถนาดีต่อผู้อื่น (compassionate empathy) ได้

 

ในขณะเดียวกัน หากเราเคยมีประสบการณ์หรือได้พบเห็นข้อมูลและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกถึง การรู้และความเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น (empathy) ในการปฏิสัมพันธ์ผ่านโลกออนไลน์ จะช่วยให้เราสามารถรับรู้และตีความสิ่งที่พบในโลกออนไลน์ได้อย่างมี empathy มากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม… ก็ยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมว่า การที่เรามีประสบการณ์เห็นเนื้อหาหรือเรื่องราวที่แสดงถึงการรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นในโลกออนไลน์ช่วยให้เราสามารถรับรู้และเข้าใจผู้อื่นได้อย่างไร ด้วยกระบวนการใด

แต่ในปัจจุบันที่เราต่างใช้โลกออนไลน์เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่หรือกระทั่งผู้สูงอายุ การปฏิสัมพันธ์ในโลกออนไลน์ก็ไม่แตกต่างกับการปฏิสัมพันธ์แบบต่อหน้า ในแง่ที่ว่าท้ายที่สุดแล้ว…เราก็กำลังสื่อสารกับคนๆ หนึ่งที่มีอารมณ์ความรู้สึกเช่นเดียวกัน การที่เรามีปฏิสัมพันธ์กันบนพื้นฐานของการรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่ายย่อมส่งผลให้เราสามารถทำความเข้าใจคู่สนทนาได้มากขึ้นและสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกันได้แม้จะไม่ได้เห็นหน้ากันก็ตาม

 


 

รายการอ้างอิง

Powell, P., & Roberts, J. (2017). Situational determinants of cognitive, affective, and compassionate empathy in naturalistic digital interactions. Computers in Human Behavior, 68, 137-148.

Hodges, S. D., & Myers, M. W. (2007). Empathy. In R. F. Baumeister & K. D. Vohs (Eds.), Encyclopedia of social psychology (pp. 296-298). SAGE Publications.

Goleman, D. (2017, June 7). Empathy: A key to effective leadership. https://www.linkedin.com/pulse/empathy-key-effective-leadership-daniel-goleman

 

บทความโดย ฐิติรัตน์ ลีละวินิจกุล และ จิรภัทร รวีภัทรกุล

 


 

รู้จัก “มาตรวัดทางจิตวิทยา”

ในช่วงชีวิตของคนเราไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก วัยเรียน หรือวัยทำงานคงต้องมีสักครั้งหนึ่งที่เราได้ผ่านการทดสอบและการประเมินทางจิตวิทยาด้วยมาตรวัดมาแล้วทั้งในลักษณะของการวัดความสามารถทางเชาว์ปัญญา (IQ) การประเมินความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) หรือการทดสอบบุคลิกภาพ (Personality Test) อีกทั้งปัจจุบันนี้มีแบบทดสอบทางจิตวิทยาหลากหลายที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายตาม Social Network อาทิ แบบทดสอบบุคลิกภาพ 16 แบบ (MBTI) อันเป็นที่นิยมอย่างมากในสังคมออนไลน์

 
คงทำให้หลาย ๆ คนสงสัยไม่มากก็น้อยเลยว่าเพียงแค่ตอบคำถามไม่กี่คำถามที่ปรากฎขึ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือของเรา จะสามารถทำให้เรารู้จักตัวตนของตัวเองได้มากขึ้นจริงหรือไม่
 
ในการตอบคำถามที่ทุกคนอาจเคยมีความสงสัยนั้น อันดับแรกเรามาเริ่มจากการทำความรู้จักมาตรวัดเพื่อการประเมินทางจิตวิทยากัน
 
แบบทดสอบหรือมาตรวัดทางจิตวิทยานั้นในอดีตถูกใช้เพื่อเป็นเครื่องมือในการคัดเลือกบุคลากรทางการทหาร วินิจฉัยโรคทางจิตเวชและคัดกรองผู้ป่วย ซึ่งการประเมินหรือแบบทดสอบเหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถคัดกรองได้ในหลากหลายมิติและตัวแปรทางจิตวิทยา เช่น สุขภาวะทางจิต ภาวะทางอารมณ์ ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เป็นต้น โดยตัวแปรเหล่านี้จะถูกใช้เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของความสามารถของบุคคล ความเป็นไปของโรคและใช้พิจารณาสำหรับการรักษาต่อไป
 
แต่เมื่อเวลาผ่านไปความหลากหลายของแบบทดสอบทางจิตวิทยานั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก แบบทดสอบเหล่านี้จึงถูกใช้ทางด้านการศึกษา การวัดความถนัด การประเมินความบกพร่องด้านต่าง ๆ และการคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงานในองค์กรอีกด้วย
 
โดยมาตรวัดทางจิตวิทยานั้นมักประกอบด้วย ข้อคำถามที่มุ่งเน้นการสะท้อนถึงตัวแปรต่าง ๆ ทางจิตวิทยาตามทฤษฎีที่เป็นแกนหลักในการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบทดสอบบุคลิกภาพซึ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับคำตอบตามความเป็นจริงที่ตรงกับตัวผู้ถูกประเมินมากที่สุด เพื่อให้แนวโน้มของคำตอบมีความแม่นยำมากขึ้นและสามารถสะท้อนบุคลิกภาพของบุคคลตามทฤษฎีได้นั่นเองค่ะ
 
ศูนย์ประเมินทางจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการให้บริการมาตรวัดทางจิตวิทยาที่หลากหลายทั้งทางด้านการวัดความถนัด ทดสอบบุคลิกภาพ วัดความสามารถทางเชาว์ปัญญารวมไปถึงมาตรวัดทางจิตวิทยาเกี่ยวกับการทำงานอีกด้วย นิสิตนักศึกษาในระดับปริญญาตรี/โท/เอก ที่สนใจมาตรวัดต่างๆสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ : psyassesscu@gmail.com 
 
นอกเหนือจากนี้ยังสามารถทำความรู้จักเกี่ยวกับมาตรวัดทางจิตวิทยาได้ในบทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz โดย อาจารย์สักกพัฒน์ งามเอก คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ : https://smarterlifebypsychology.com/2018/01/09/แบบวัดทางจิตวิทยา/
 
 
ขอให้เป็นวันที่ดีของทุก ๆ คนครับ

ประชาสัมพันธ์การเสวนาเรื่อง การโทษเหยื่อ (victim blaming)

การโทษเหยื่อ (victim blaming) หรือ การมุ่งไปที่ผู้ถูกกระทำหรือผู้เสียหาย โดยเฉพาะในกรณีการถูกคุกคามทางเพศเป็นสิ่งที่ยังคงอยู่ในสังคมเรา

  • ทำไมถึงควรยุติการโทษเหยื่อ 
  • การโทษเหยื่อมีผลต่อผู้ถูกกระทำอย่างไร ทั้งทางสุขภาพและการเรียกร้องความยุติธรรม และผลต่อสังคมโดยรวมคืออะไร
  • คนในสังคมจะทำยังไงถึงจะช่วยขจัดการโทษเหยื่อได้ 
  • ปัจจัยทางจิตวิทยาสังคมอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับการโทษเหยื่อ เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่

 

 

 

ร่วมแลกเปลี่ยนกับนักจิตวิทยาสังคมและนักจิตวิทยาการปรึกษา ผ่านคลับเฮ้าส์ห้องจิตวิทยาสังคมกับสังคม

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน 19.00-21.00 น. 

หากไม่สะดวกฟังสด สามารถรับฟังคลิปเสียงที่บันทึกไว้ได้ค่ะ

 

https://www.clubhouse.com/room/myldGvJ4?utm_campaign=zyocyw1VIHqsVvKX3ZCmkQ-155972&utm_medium=ch_event

รับสมัครเข้าศึกษาระดับปริญญาโท-เอก ปีการศึกษา 2565 รอบที่ 2

รับสมัครเข้าศึกษาระดับปริญญาโท-เอก ปีการศึกษา 2565 รอบที่ 2
ระหว่างวันที่ 20 เม.ย. – 20 พ.ค. 2565

 

 

แขนงวิชาที่เปิดรับ
– Basic and Applied Social Psychology
– จิตวิทยาพัฒนาการ
– จิตวิทยาทรัพยากรมนุษย์และการทำงาน
– การวิจัยจิตวิทยาประยุกต์

((จำนวนรับทั้งหมดรวมกับรอบแรก))

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


→ https://www.grad.chula.ac.th/

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณวัลลภ สีหเดชวีระ
ในเวลาราชการ โทร. 02-218-1184
E-Mail: wanlop.s@chula.ac.th

 


 

Here to heal Online Workshop: Internalised Oppression

“Internalised Oppression” การกดขี่ตนเอง
จะทำอย่างไรเมื่อตนเองเริ่มคิดและเชื่อตามการกดขี่ คำเหยียด มุมมองต่าง ๆ ที่สังคมพร่ำบอก

 

 

 

Here to heal ชวนคุณมาทำความรู้จัก “Internalised Oppression” ใน Online Workshop ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

 

ในหัวข้อเรื่อง “Internalised Oppression” การกดขี่ตนเอง

 

โดยวิทยากร อ. ดร.พนิตา เสือวรรณศรี หัวหน้าศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ในวันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน 2565 เวลา 15.00-17.00 น.

 

สามารถลงทะเบียนได้ที่ https://docs.google.com/…/1gEha…/edit

โดยทางทีมงานจะจัดส่งลิงก์ Zoom ให้ผู้ลงทะเบียนทุกท่านในวันศุกร์ที่ 17 เวลา 15.00 น. ผ่านทาง Email ที่ใช้ลงทะเบียนเข้าร่วม หรือหากไม่ได้

รับอีเมลสามารถทักสอบถามข้อมูลที่ LINE OFFICIAL ACCOUNT

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://lin.ee/P77s2bW
ในเวลาทำการ 10.00-22.00 น.

 


 

 

Workshop นี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ here to heal โดยคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ สสส.
เป็นโครงการให้บริการแชทพูดคุยกับนักจิตวิทยา ฟรี
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อผ่าน Line official หรือทางเพจเฟซบุ๊ก Here-to-Heal เพื่อนัดหมายเวลาพูดคุยได้เลยค่ะ

สีรุ้งเริ่มสดใส งานวิจัยเกี่ยวกับการ (ไม่) กีดกัดบุคคลข้ามเพศในการสมัครงาน

Pride Month เดือนแห่งสีรุ้ง

 

เดือนมิถุนายนนี้เป็นเดือนที่เรียกว่า Pride Month หรือเดือนแห่งความภาคภูมิใจในตนเองของผู้มีความหลากหลายทางเพศหรือ LGTBQ+ บทความนี้จึงอยากจะกล่าวถึงสถานการณ์การยอมรับสมาชิกจากกลุ่มนี้ในประเทศไทยค่ะ เอาจริง ๆ แล้วเรียกว่าการยอมรับก็อาจจะดูไม่เหมาะสมนัก เพราะฟังประหนึ่งว่าคนอื่น ๆ ถูกยกให้อยู่เหนือกว่าเหล่าสีรุ้ง LGTBQ+ และ “เป็นผู้ให้การยอมรับ” พวกเขา ซึ่งจริง ๆ แล้วพวกเราทุกคนก็คนเหมือนกัน มีสิทธิเท่าเทียมกันทุกประการ แบบนี้น่าจะหมายความว่า เราน่าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างเท่า ๆ กัน ไม่ต้องรอให้ใครให้การยอมรับใคร จริงไหมคะ?  เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่า ในประเทศไทยเรา ชาวสีรุ้งได้รับการปฏิบัติไปในเชิงดูหมิ่นหรือไม่ได้รับความเท่าเทียม จริงหรือไม่ค่ะ

 

 

งานวิจัยทางจิตวิทยาสังคม – เราปฏิบัติกับชาวสีรุ้งอย่างไร?

 

ดิฉันได้มีโอกาสทำงานวิจัยร่วมกับนิสิตระดับปริญญาตรีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ อันเป็นส่วนหนึ่งของการทำโครงงานวิจัยของนิสิตปีสุดท้าย โดยนิสิต ชนิตา ราวีศรี ระเบียบ โพธิ์ชัย และวัชราภรณ์ เสนศรี ได้ศึกษาเพื่อดูว่า ชาว LGTBQ+ ในประเทศไทยถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเมื่อสมัครเข้าทำงานหรือไม่ เนื่องจากการทำงานเป็นส่วนที่สำคัญมากในชีวิตเรา ไม่มีงานก็ไม่มีเงินเพื่อดำเนินชีวิตจริงไหมคะ?

 

ส่วนกลุ่มชาวสีรุ้งนั้น เราเจาะจงไปที่กลุ่ม Transwomen หรือผู้ที่เป็นชายและข้ามเพศมาเป็นหญิง (มีการเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายเป็นหญิง) เนื่องจากมักมีประเด็นยุ่งยากในการสมัครงานชัดเจนกว่ากลุ่มอื่น เช่น รูปร่างหน้าตาที่เป็นหญิงไม่ตรงกับคำนำหน้าชื่อที่เป็นชาย นอกจากนี้ ทฤษฎีเกี่ยวกับการรังเกียจกลุ่มสมัยใหม่ยังเสนอว่า แม้คนเรามักจะเก็บอาการไม่แสดงการรังเกียจกลุ่มอื่นอย่างตรงไปตรงมาโดยเฉพาะในการพิจารณาจ้างงานเขา แต่เรามักแสดงการรังเกียจสมาชิกกลุ่มอื่นออกมาเมื่อต้องประเมินคนกลุ่มนั้นในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และโดยเฉพาะเมื่อมีเหตุผลบังหน้าให้อ้างเป็นเหตุผลที่จะไม่รับคนกลุ่มนั้นเข้าทำงาน

 

การวิจัยของเราจึงสร้างสถานการณ์เปรียบเทียบกันระหว่าง การมีผู้สมัครงานตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ ที่เป็นเพศหญิงตรงเพศ กับ เป็นหญิงข้ามเพศ ส่งประวัติการทำงานและคุณสมบัติที่เหมือนกันทุกอย่างมาให้ผู้ร่วมการทดลองที่เป็นผู้ใหญ่ที่ทำงานด้านบริหารทรัพยากรบุคคลหรือคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน ได้อ่านและประเมินผู้สมัคร แต่ที่น่าสนใจคือ เราได้ใส่ข้อมูลลักษณะทางลบของผู้สมัครเข้าไปด้วยว่า คนคนนี้เป็นคนยิ้มยาก และอาจจะทำให้มีปัญหาการประสานงานกับเพื่อนร่วมงานได้ เจ้าลักษณะยิ้มยากนี้เองค่ะที่เราตั้งใจให้เป็นเสมือนข้ออ้างทำให้ผู้ประเมินสามารถแสดงการกีดกันไม่ให้คนข้ามเพศเข้าทำงานหรือเสนอเงินเดือนเริ่มต้นที่ต่ำกว่าได้

 

ผลการวิจัยปรากฏว่า ไม่ว่าจะเป็นหญิงข้ามเพศหรือหญิงตรงเพศ และผู้ประเมินเป็นหญิงหรือชายก็ตาม ไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจจ้างงาน การประเมินเงินเดือน และการประเมินโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ แต่เมื่อผู้สมัครมีลักษณะยิ้มยากจะถูกประเมินว่าน่าจ้างงานน้อยกว่าและน่าจะมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพน้อยกว่า เมื่อผู้สมัครไม่มีลักษณะยิ้มยาก ซึ่งตรงนี้ขอบอกชัดๆ นิดนะคะว่า ไม่ว่าผู้สมัครจะเป็นหญิงตรงเพศหรือหญิงข้ามเพศ หากมีลักษณะทางลบนี้ก็จะได้รับการประเมินไม่ค่อยดีเช่นเดียวกัน แสดงให้เห็นว่า ไม่มีการเลือกปฏิบัติทางลบต่อผู้สมัครงานหญิงข้ามเพศแต่อย่างใด หรือ หญิงข้ามเพศได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกับหญิงตรงเพศ

 

 

แน่ใจหรือว่า เราให้ความเท่าเทียมกับหญิงข้ามเพศในการสมัครงาน?

 

เพื่อความแน่ใจ หนึ่งปีต่อมาดิฉันและนิสิตปีที่ 4 คณะจิตวิทยาอีกกลุ่มหนึ่งคือ จิรัชญา ตั้งธีระสุนันท์ และ ธนภรณ์ สุธรรมจารี ได้ทำวิจัยซ้ำเพื่อตรวจสอบผลของการวิจัยครั้งที่ 1 โดยทำการวิจัยเช่นเดียวกันทุกอย่างในเรื่องมีหญิงข้ามเพศและหญิงตรงเพศมาสมัครทำงานในบริษัท แต่ได้เปลี่ยนลักษณะทางลบจากยิ้มยาก เป็นมั่นใจในตัวเองสูงเกินไป และให้คนทำงานในตำแหน่งบริหารทรัพยากรบุคคลและคัดเลือกบุคคลในบริษัทต่าง ๆ ช่วยประเมินผู้สมัครทั้ง 2 เพศเพื่อนำผลมาเปรียบเทียบกันและเทียบกับผลที่พบในการวิจัยครั้งที่ 1 เราพบว่า การเป็นหญิงข้ามเพศหรือหญิงตรงเพศ ไม่ใช่ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจจ้างงาน การประเมินเงินเดือน และการประเมินโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพของผู้สมัครงานในบริษัทค่ะ เช่นเดียวกับผลการวิจัยครั้งที่ 1 มีเพียงปัจจัยลักษณะทางลบ ที่ทำให้ผู้ประเมินไม่ค่อยอยากจ้างงานผู้สมัครและมองว่าผู้สมัครจะมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพน้อยกว่า เมื่อไม่มีลักษณะทางลบดังกล่าว

 

โดยสรุปแล้ว เราพบผลที่ยืนยันจากงานวิจัย 2 ชิ้นว่า หญิงข้ามเพศที่สมัครงานตำแหน่งธุรการซึ่งเป็นตำแหน่งปกติทั่วไปในบริษัทต่าง ๆ ไม่ได้รับการกีดกันในการจ้างงาน หรือในการประเมินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานแต่อย่างใดแม้เมื่อผู้สมัครดังกล่าวมีลักษณะทางลบที่สามารถใช้เป็นข้ออ้างในการไม่อยากจ้างได้ค่ะ ผลการวิจัยทั้ง 2 เรื่องนี้เมื่อรวมกันแล้วจึงมีความน่าเชื่อถือ ที่จะสรุปว่า เรายังไม่พบการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมอย่างน้อยในเรื่องการจ้างงาน ต่อผู้สมัครหญิงข้ามเพศข่าวดีสำหรับเดือนแห่งความเท่าเทียมทางเพศ ของผู้หลากหลายทางเพศค่ะ!

 

อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ศึกษาการสมัครงานในตำแหน่งที่มีความเคร่งครัดมากกว่า เช่น ตำแหน่งครู ที่เป็นไปได้ว่า การไม่ยอมรับเหล่า LGBTQ+ การจะมีมากกว่าก็เป็นได้ค่ะ และเป็นไปได้ว่าการไม่ยอมรับชาวหลากหลายทางเพศนั้นอาจจะพบจากครอบครัวมากกว่าในบริบทของการสมัครงาน

 

 ดิฉันขอส่งท้ายบทความนี้ โดยการส่งสัญญาณอีกครั้งหนึ่งว่า โลกของเราได้เปลี่ยนแปลงไปและเกิดความหลากหลาย อันเป็น “ความจริง” ที่เกิดขึ้นต่อหน้าเราแล้ว หากเรายังเลือกที่จะอยู่กับโลกใบเก่าที่มีเพียงสีขาวและสีดำหรือหญิงกับชายเท่านั้น เราอาจจะพลาดโอกาสที่จะได้ตระหนักว่า คนเราไม่ว่าเพศใดสภาพใด ก็ล้วนมีศักยภาพที่จะทำสิ่งดี ๆ ให้แก่โลกของเราไม่น้อยไปกว่ากันเลย

 

มองฟ้าด้วยสายตาที่เปิดกว้าง แล้วเราก็จะพบความสวยงามของสายรุ้งหลากสีค่ะ

 


 

 

รายการอ้างอิง

 

จิรัชญา ตั้งธีระสุนันท์ และ ธนภรณ์ สุธรรมจารี. (2565). อคติในการจ้างงานต่อผู้หญิงข้ามเพศ: อิทธิพลจากลักษณะทางลบเกี่ยวกับผู้สมัคร และเพศของผู้ประเมิน [วิทยานิพนธ์ปริญญาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

 

ชนิตา ราวีศรี, ระเบียบ โพธิ์ชัย, และ วัชราภรณ์ เสนศรี. (2563). อคติในการจ้างงานต่อผู้หญิงต่อผู้หญิงข้ามเพศ: อิทธิพลจากข้อมูลทางลบเกี่ยวกับผู้สมัครและเพศผู้ประเมิน [วิทยานิพนธ์ปริญญาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

 

อ่านต่อ

https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0927537120300646

 


 

 

บทความวิชาการ โดย

 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัชราภรณ์ บุญญศิริวัฒน์

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคมพื้นฐานและประยุกต์

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

โครงการอบรมพื้นฐานทางจิตวิทยาพัฒนาการ ประจำปี 2565

โครงการอบรมพื้นฐานทางจิตวิทยาพัฒนาการ ประจำปี 2565

 

 

 

ศูนย์จิตวิทยาพัฒนาการและความสัมพันธ์ระหว่างวัย (Life Di) คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วม โครงการอบรมความรู้พื้นฐานทางจิตวิทยาพัฒนาการ ประจำปี 2565 โดย อบรมผ่านโปรแกรม ZOOM ระหว่างวันที่ 9 – 17 มิถุนายน 2565 เวลา 18.00 – 21.00 น. และสอบวัดผล ในวันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565 เวลา 18.00 – 21.00 น. รวมใช้ระยะเวลาในการฝึกอบรมและสอบวัดผลทั้งสิ้น 24 ชั่วโมง อบรมและบรรยายโดย คณาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

โครงการอบรมมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ทางด้านจิตวิทยาพัฒนาการให้แก่ผู้สนใจทั่วไป และเป็นการปรับพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในทฤษฏีและการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาพัฒนาการให้แก่ผู้ที่กำลังจะเข้าศึกษาต่อระดับบัณฑิตศึกษา แขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการต่อยอดองค์ความรู้ทางด้านจิตวิทยาพัฒนาการให้แก่ผู้สนใจทั่วไป

 

เนื้อหาการอบรมจะมุ่งเน้นไปที่ พื้นฐานความรู้ด้านจิตวิทยาพัฒนาการ และความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการด้านต่าง ๆ ในแต่ละช่วงวัย โดยคาดหวังว่าผู้ที่เข้ารับการอบรมจะมีความรู้ และความเข้าใจทฤษฎีทางจิตวิทยาพัฒนาการ รวมถึงเนื้อหาในด้านจิตวิทยาพัฒนาการเบื้องต้น เพื่อนำความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้ต่อยอดในการทำความเข้าใจ และสร้างผลงานวิจัยทางด้านจิตวิทยาพัฒนาการในเชิงลึกต่อไปได้

 

 

ผู้เข้าอบรมจะได้รับ วุฒิบัตรเพื่อใช้ประกอบการสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา แขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ คณะจิตวิทยา ได้ผู้เข้าอบรมจะต้องผ่านเกณฑ์การวัดผลดังนี้

  • ต้องเข้ารับการฝึกอบรมไม่น้อยกว่า 6 ครั้ง (18 ชั่วโมง)
  • สอบวัดผลข้อเขียน โดยผ่านเกณฑ์การประเมิน 70% ขึ้นไป

 

หัวข้อการฝึกอบรม

 

 

หลังจากเสร็จสิ้นการอบรมแต่ละครั้ง ทางผู้จัดโครงการจะอัพโหลดไฟล์วิดีโอการอบรมให้ผู้เข้าร่วมโครงการ สามารถเข้ามาดูย้อนหลังได้จนถึงวันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน 2565

อัตราค่าลงทะเบียน

 

*บุคลากรของรัฐและหน่วยงานราชการที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาแล้ว
มีสิทธิเบิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ*
โดยท่านสามารถชำระเงินได้ผ่าน QR Code ด้านล่างนี้

 

และท่านสามารถลงทะเบียน พร้อมแนบหลักฐานการชำระเงินได้ที่ https://forms.gle/4EPSWJzNy5j8rRCj6
ตั้งแต่ วันนี้ – วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565 เวลา 16.00 น.

เงื่อนไขการลงทะเบียน

  1. กรุณาชำระค่าลงทะเบียนเข้าร่วมงานก่อนกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียน
  2. การส่งแบบฟอร์มลงทะเบียน จะต้องแนบหลักฐานการชำระเงินค่าลงทะเบียนมาด้วย จึงจะถือว่าการลงทะเบียนสมบูรณ์
  3. เมื่อผู้จัดงานได้ตรวจสอบการลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว จะแจ้งยืนยันการลงทะเบียนให้ทราบภายใน 3 วัน
  4. บุคลากรของรัฐและหน่วยงานราชการที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาแล้ว สามารถเข้าร่วมการอบรมได้โดยไม่ถือเป็นวันลา และมีสิทธิเบิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ
  5. ใบเสร็จรับเงินจะจัดส่งให้ทางไปรษณีย์
  6. เมื่อชำระเงินค่าลงทะเบียนแล้ว จะไม่สามารถขอรับเงินคืนได้ทุกกรณี

 

โครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยา หัวข้อ “จิตวิทยากับความรัก”

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมโครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยา หัวข้อ “จิตวิทยากับความรัก”

 

ซึ่งจะจัดอบรมแบบออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่น ZOOM ระยะเวลา : วันที่ 4 และ 11 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 13.00 – 16.00 น. (รวม 2 วัน / 4 หัวข้อ / 6 ชม.) โดยคณาจารย์ประจำแขนงวิชาต่าง ๆ ของ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากร

 

 

 

DAY1 – วันศุกร์ที่ 4 ก.พ. 65

  • ทฤษฎีจิตวิทยากับความรัก 13.00 – 14.30 น.

วิทยากร: ผศ.ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์

  • จิตวิทยาการเลือกคู่ และความสัมพันธ์ทางเพศ 14.30 – 16.00 น.

วิทยากร: รศ.ดร.พรรณระพี สุทธิวรรณ

 

 

DAY2 – วันศุกร์ที่ 11 ก.พ. 65

  • การจบความสัมพันธ์เมื่อรักถึงทางตัน 13.00 – 14.30 น.

วิทยากร: อ.ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน

  • เมื่ออกหักจะรับมืออย่างไร 14.30 – 16.00 น.

วิทยากร: อ.ดร.พนิตา เสือวรรณศรี

 

 

การอบรมในวันที่ 4 ก.พ. 65 ผู้เข้าร่วมการอบรมจะสามารถเข้าชมย้อนหลังได้ถึงวันที่ 11 ก.พ. 65 เวลา 12.00 น. และการอบรมในวันที่ 11 ก.พ. 65 ผู้เข้าร่วมการอบรมจะสามารถเข้าชมย้อนหลังได้ถึงวันที่ 18 ก.พ. 65 เวลา12.00 น. โดยจนท.โครงการจะ approve การชมย้อนหลังเฉพาะผู้มีสิทธิ์เข้าชมเป็นรายบุคคลและรายครั้งค่ะ

 

อัตราค่าลงทะเบียน : 300 บาท (100 ที่นั่ง)

ลิงค์ลงทะเบียนออนไลน์ : https://forms.gle/7ZQbU9c1UHzreR6C7

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณวาทินี โทร. 09-6720-6232 E-mail: wathinee.s@chula.ac.th