News & Events

ชายและหญิงรักต่างกันหรือไม่?

ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์เพราะต้องการความรัก ผู้ชายมีความรักเพราะต้องการมีเพศสัมพันธ์”
แม้คำกล่าวนี้จะมีอคติ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่ว่า ผู้หญิงและผู้ชายรักแตกต่างกัน

 

นักจิตวิทยา ได้สรุปผลการวิจัยที่ศึกษาความแตกต่างในเรื่องความรักของผู้หญิงและผู้ชายไว้ว่า ผู้หญิงตกหลุมรักบ่อยกว่าผู้ชาย และเป็นความรักที่รุนแรงกว่าผู้ชาย ผู้หญิงคิดว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงามและมีอุดมคติเรื่องคู่มากกว่าผู้ชาย แม้ผู้หญิงจะรักบ่อยกว่าและรุนแรงกว่า แต่กลับพบว่าผู้ชายตกหลุมรักเร็วกว่าผู้หญิง

ผู้หญิงและผู้ชายเชื่อและมีประสบการณ์รักแรกพบบ่อยพอ ๆ กัน ผู้หญิงและผู้ชายรักในปริมาณเท่า ๆ กัน แต่อาจจะมีวิธีรักแตกต่างกัน ดูเหมือนผู้ชายเชื่อในรักโรแมนติคมากกว่าผู้หญิง เช่น เชื่อว่ารักแท้มีแค่เพียงครั้งเดียวในชีวิต รักแท้ย่อมนำไปสู่ความสุขที่สมบูรณ์แบบ คนควรจะแต่งงานกับใครก็ได้ที่ตนรักโดยไม่ต้องคำนึงถึงสถานภาพทางสังคม ผู้หญิงดูเหมือนจะฉลาดกว่าผู้ชายในเรื่องนี้ และคำนึงถึงความเป็นจริงในเรื่องของเศรษฐกิจสังคมมากกว่า จึงทำให้ผู้หญิงใช้ความเหมาะสมเป็นเกณฑ์ในการเลือกคนที่ตนจะรักและแต่งงานด้วย

 

การที่คู่รักหรือคู่สมรสทำให้อีกฝ่ายรู้สึกพึงพอใจมักทำให้ความสัมพันธ์ยืนยาว การให้เครดิตในสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้กับตนจะช่วยเติมความสุขให้แก่คนทั้งคู่ แต่สิ่งที่พบก็คือ คู่รักหรือคู่สมรสมักมองว่าตนทำอะไร ๆ ให้แก่อีกฝ่ายมากกว่าที่ทำจริง ๆ เช่น การหุงหาอาหาร การทำความสะอาดบ้าน และการวางแผนทำโน่นทำนี่ เป็นต้น นี่ย่อมแสดงว่าผู้ชายและผู้หญิงไม่ได้ให้เครดิตกับคู่ของตนเต็มที่เท่าที่อีกฝ่ายทำจริง ๆ และเป็นไปได้ว่ามีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในเรื่องความสำคัญของกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การกวาดบ้าน หรือการโอบกอดแสดงความรัก

 

จริง ๆ แล้วผู้ชายและผู้หญิงมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมากในเรื่องนี้ ผู้ชายคิดว่ากิจกรรมบางอย่าง เช่น การล้างจาน การกวาดบ้าน สำคัญมากกว่าการแสดงความรักใคร่ หรือการโอบกอด ในขณะที่ผู้หญิงคิดตรงกันข้าม ด้วยเหตุนี้ เวลาที่ผู้ชายคิดจะแสดงความรักต่อคู่รักหรือภรรยา ผู้ชายจึงล้างรถให้ผู้หญิงเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขารักผู้หญิงมากแค่ไหน ซึ่งผู้หญิงมองว่าการล้างรถเป็นการทำประโยชน์แต่ไม่ใช่การแสดงความรัก

 

ผู้หญิงและผู้ชายมองความรักและความสัมพันธ์แตกต่างกัน สำหรับผู้หญิงความใกล้ชิดคือการพูดคุยกัน สำหรับผู้ชาย ความสัมพันธ์คือการทำอะไร ๆ ด้วยกัน ผู้หญิงให้ความสำคัญของความสามารถในการหารายได้ของผู้ชาย ความซื่อตรงไม่นอกใจ  ผู้ชายให้ความสำคัญกับเรื่องเพศ การเอาอกเอาใจ และความสนใจร่วมกัน ผู้หญิงชอบบ่นว่าความสัมพันธ์กำลังมีปัญหา ในขณะที่ผู้ชายคิดว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ผู้หญิงต้องการแก้ปัญหาเวลาที่ขัดแย้งกัน แต่ผู้ชายต้องการหลีกเลี่ยงปัญหา

 

…คงจะพอเห็นนะคะว่า ผู้หญิงกับผู้ชายรักต่างกันอย่างไร…

 

 


 

รายการอ้างอิง

ภาพประกอบจาก http://www.freepik.com

 


 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย รองศาสตราจารย์ ดร.คัคนางค์ มณีศรี

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

ความพึงพอใจในเพศสัมพันธ์ – Sexual satisfaction

 

ความพึงพอใจในเพศสัมพันธ์ หมายถึง ผลการประเมินความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อเพศสัมพันธ์ที่ตนมีกับคนรักว่ามีความน่าพึงพอใจแค่ไหน และบุคคลพึงพอใจกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่รักเป็นอย่างไร

 

ทั้งนี้นักวิชาการมักศึกษาเรื่องความพึงพอใจในเพศสัมพันธ์จากกลุ่มคู่รักชายหญิงมากกว่ากลุ่มคู่รักเพศเดียวกัน ดังนั้นทฤษฎีและและคิดเรื่องความพึงพอใจในเพศสัมพันธ์จึงเป็นความรู้ที่ครอบคลุมความสัมพันธ์ของคู่รักชายหญิงเป็นส่วนใหญ่ โดยแนวคิดที่ได้รับความนิยมประกอบด้วย 3 แนวคิด ดังนี้

 

 

1. แนวคิดที่มุ่งเน้นปัญหาเพศสัมพันธ์

 

เป็นการศึกษาความพึงพอใจในเพศสัมพันธ์ด้วยการประเมินปัญหาที่เกิดขึ้นในการมีเพศสัมพันธ์ (Magnitude of problem) คือมุ่งเน้นวัดความรู้สึกไม่พึงพอใจที่บุคคลมีต่อเพศสัมพันธ์ของตนกับคนรัก มากกว่าเป็นการวัดความพึงพอใจ ใช้ประสบการณ์ทางลบหรือปัญหาจริงของคนไข้ที่มาบำบัดเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ในชีวิตอยู่เป็นแนวคิดในการสร้างมาตรวัดเพื่อจำแนกคู่รักที่มีปัญหาเพศสัมพันธ์ออกจากกลุ่มคู่รักที่ไม่มีปัญหา ข้อคำถามส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของการมีเพศสัมพันธ์กับคู่รักเช่น เพศสัมพันธ์ของเราจืดชืด คนรักของฉันรุนแรงกับฉันเกินไปขณะมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น

 

ในการศึกษาตามแนวคิดนี้พบว่า คู่รักที่มีปัญหาเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์จะรายงานว่ามีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงคู่รักด้วย เช่น งานวิจัยในกลุ่มชายรักชายของ Peixoto และ Nobre (2016) พบว่า ชายรักชายที่มีความเครียดเนื่องจากปัญหาสมรรถภาพทางเพศ คือ มีปัญหาเรื่องการแข็งตัวของอวัยวะเพศ การหลั่งเร็ว การหลั่งช้า และการไม่มีอารมณ์เพศ จะประเมินความพึงพอใจในความสัมพันธ์เชิงคู่รักต่ำกว่าชายรักชายที่ไม่มีปัญหาเรื่องสรรถภาพทางเพศ สอดคล้องกับงานของ Heiman และคณะ (2011) ที่ศึกษาเรื่องความพึงพอใจในความสัมพันธ์ในคู่รักชายหญิงวัยสูงอายุใน 5 ประเทศ พบว่า ความพึงพอใจในเพศสัมพันธ์สามารถวัดได้ด้วยสมรรถภาพทางเพศ เพราะสองสิ่งนี้มีความสัมพันธ์กันสูงมากจนสามารถใช้แทนกันได้ เช่นเดียวกับ งานวิจัยของ Sprecher (2002) ที่ศึกษากลุ่มผู้ที่อยู่ในระยะคบหากัน และงานวิจัยของ Stanik และ Bryant (2012) ที่ศึกษากลุ่มคู่สมรสใหม่ ก็พบว่าความพึงพอใจในเพศสัมพันธ์สามารถทำนายความพึงพอใจในความสัมพันธ์เชิงคู่รักได้ โดยพบความสอดคล้องทั้งชายและหญิง

 

 

2. แนวคิดตามทฤษฎีแลกเปลี่ยนทางสังคม (Interpersonal Exchange Theory)

 

แนวคิดนี้อธิบายความพึงพอใจในเพศสัมพันธ์ว่าเป็นทั้งความคิดและเป็นความรู้สึกของบุคคลผสมผสานกัน โดยบุคคลจะประเมินผลตอบแทนหรือสิ่งที่ตนได้รับ (Rewards) เปรียบเทียบกับส่วนที่ลงทุนหรือที่ตนต้องเสีย (Cost) เพื่อความสัมพันธ์ทางเพศ ประกอบกับใช้ความรู้สึกของตนเพื่อตัดสินการประเมินนั้นร่วมด้วย

 

งานวิจัยของ Byers และ Macneil (2006) ที่ศึกษาคู่สมรสชายหญิงที่มีความสันพันธ์ยาวนาน ยืนยันว่าความพึงพอใจในเพศสัมพันธ์ของคู่รักเป็นผลมาจากการประเมินผลตอบแทนและการลงทุนที่เกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์ เช่น หากบุคคลรับรู้ว่าคนรักใส่ใจเพศสัมพันธ์ไม่เท่ากับตน ก็จะเกิดความพึงพอใจต่ำกว่ากรณีที่รับรู้ว่าคนรักใส่ใจกับเพศสัมพันธ์เช่นเดียวกับตน

 

 

3. แนวคิดที่มองว่าเพศสัมพันธ์เป็นกิจกรรมทางเพศของบุคคลสองฝ่ายกระทำร่วมกัน

 

แนวคิดนี้มองว่าผลลัพธ์หรือความพึงพอใจในเพศสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นอิทธิพลมาจากทั้งตัวบุคคลเองและคนรัก Štulhofer และคณะ (2010) วิเคราะห์องค์ประกอบความพึงพอใจในเพศสัมพันธ์ในกลุ่มเพศชาย ทั้งผู้ที่เป็นชายรักชายและชายรักหญิง พบว่า ความพึงพอใจในความสัมพันธ์แบ่งเป็น 2 องค์ประกอบ คือ

 

(1) องค์ประกอบด้านความพึงพอใจส่วนบุคคล (Ego-focused) หมายถึง การรับรู้ของบุคคลว่าตนเองรู้สึกเช่นไรต่อเพศสัมพันธ์ เช่น เกิดอารมณ์ตื่นตัวทางเพศ มีสมาธิกับเพศสัมพันธ์ หรือมีความพร้อมต่อเพศสัมพันธ์

 

(2) องค์ประกอบด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่รัก (Activity-focused) คือ การรับรู้ของบุคคลว่าคนรักของตนมีการตอบสนองต่อเพศสัมพันธ์ที่มีกับตนว่าเช่นไร เช่น คนรักเปิดใจขณะมีเพศสัมพันธ์ คนรักใส่ใจต่อความต้องการทางเพศ หรือคนรักมีความสร้างสรรค์ในการมีเพศสัมพันธ์

ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบระดับความพึงพอใจในเพศสัมพันธ์ของชายรักชายและชายรักหญิง พบว่า ชายรักชายมีความพึงพอใจในเพศสัมพันธ์สูงกว่าชายรักหญิง และความพึงพอใจในเพศสัมพันธ์มีสหสัมพันธ์ทางบวกกับความพึงพอใจในชีวิต ความใกล้ชิดผูกพันระหว่างคู่รัก การสื่อสารระหว่างคู่รัก

 

 


 

รายการอ้างอิง

 

“ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดของชายรักชาย ความพึงพอใจในเพศสัมพันธ์ และการสื่อสารเมื่อเกิดความขัดแย้ง กับความพึงพอใจในความสัมพันธ์ของชายรักชาย” โดย ณัชชา วิรัชวัฒนกุล (2559) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/55673

 

ภาพประกอบ https://www.freepik.com/rawpixel-com

ความรักในที่ทำงาน

 

ท่านผู้อ่านกำลังมีความรักอยู่หรือเปล่าคะ คนรักของท่านเป็นใคร ท่านกับเขาเจอกันยังไงคะ

 

หากเราถามคำถามนี้กับหนุ่มสาววัยทำงาน ท่านจะพบว่า คำตอบที่ได้จำนวนมากคือ เจอกันในที่ทำงาน ซึ่งปัจจุบันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ถ้าเราลองนับจำนวนชั่วโมงที่เราลืมตาตื่น ท่านคงไม่ปฏิเสธว่าเวลาที่ตื่นส่วนใหญ่ เราอยู่ในที่ทำงาน เราแทบจะไม่มีเวลาสำหรับเรื่องอื่น ๆ นอกจากไปทำงานแล้วก็กลับบ้านนอน ไม่นับชั่วโมงที่ติดอยู่บนท้องถนนนะคะ

 

อย่างไรก็ตามแม้เราจะยุ่งกับงานสักแค่ไหน แต่เราก็ยังอยากมีใครสักคนเป็นคนพิเศษที่เรารักและรู้ว่าเขาก็รักเรา เพียงแต่เราไม่รู้ว่าจะหาได้ที่ไหน ที่ทำงานจึงกลายเป็นที่สำหรับแสวงหาความรักที่สะดวกและดูจะเหมาะสมที่สุด

 

ในอดีตคนทั่ว ๆ ไปมักมีทัศนคติว่า “จงหลีกเลี่ยงการมีความสัมพันธ์กับคนในที่ทำงาน เพราะจะมีแต่ความยุ่งยาก” ผู้ที่ศึกษาเรื่องของความรักในที่ทำงานจะมุ่งเน้นแต่ผลทางลบจากความสัมพันธ์ของคนที่ทำงานอยู่ในที่เดียวกัน แต่ในเมื่อเราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงาน โรแมนซ์ในที่ทำงานจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจะพบเห็นคู่รักในที่ทำงานและบางคู่ก็พัฒนาความสัมพันธ์จนถึงขั้นแต่งงานกันเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า โรแมนซ์ในที่ทำงานเป็นผลดีต่อหน่วยงานเสียด้วยซ้ำไป เมื่อไหร่ที่คู่รักผ่านพ้นช่วงหลงใหลใฝ่ฝันอีกฝ่ายจนไม่มีสมาธิกับเรื่องใด ๆ นอกจากรักครั้งแรกหรือรักครั้งใหม่นี้ จากการศึกษาพบว่า โรแมนซ์ในที่ทำงานกลับช่วยเพิ่มขวัญและกำลังใจแก่พนักงานที่เป็นคู่รักกัน และอาจขยายผลไปสู่เพื่อนร่วมงานในเชิงของบรรยากาศในที่ทำงาน กระตุ้นให้สร้างผลงาน พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์และมีผลผลิตเพิ่มขึ้น

ความรักเปลี่ยนแปลงคนนะคะ จากคนที่โดดเดี่ยวกลายเป็นคนที่เข้าสังคม จากคนขี้บ่นช่างวิพากษ์วิจารณ์เป็นคนที่ร่วมทีมงานกับผู้อื่นได้ และจากคนสะเพร่าไม่มีระเบียบกลายเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ

 

รู้อย่างนี้แล้ว ท่านที่ตั้งใจว่าจะไม่ยอมมีความสัมพันธ์กับคนในที่ทำงานเดียวกัน จะเปลี่ยนใจไหมคะ

 

ดังที่ได้กล่าวว่าโรแมนซ์ในที่ทำงานเป็นสิ่งที่มีให้พบเห็นมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะคนยุคใหม่ใช้เวลาของชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในที่ทำงาน นอกจากนี้ ที่ทำงานก็มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการที่จะเกิดความดึงดูดใจระหว่างบุคคล คนที่ทำงานด้วยกัน ส่วนใหญ่มีบุคลิกลักษณะมุ่งมั่นและเป้าหมายหลายอย่างคล้าย ๆ กัน เมื่อทำงานด้วยกันนาน ๆ ก็เกิดความคุ้นเคย พึ่งพาอาศัยกัน เวลาที่มีเรื่องตื่นเต้น หรือเรื่องคับข้องใจ เขาก็มีประสบการณ์ร่วมกัน ร่วมกันฉลองชัยชนะและร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในงาน เกือบจะเรียกได้ว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขกันในระดับหนึ่งทีเดียวค่ะ

 


 

 

อะไรทำให้คนยุคใหม่ตกหลุมรักเพื่อนร่วมงาน

 

ปัจจัยแรกก็คือ ความใกล้ชิด นั่นเองค่ะ

 

หนุ่มสาวรักกันก็เพราะเพื่อนร่วมงานเป็นบุคคลที่อยู่ตรงหน้า นักจิตวิทยาบอกว่า ยิ่งคุณอยู่ใกล้กับใครสักคนนาน ๆ คุณจะยิ่งชอบเขามากขึ้น นานวันเข้า หากไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคอื่น ๆ เข้ามาขัดขวาง ความชอบนี้จะพัฒนาเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งขึ้น ความใกล้ชิดที่พูดถึงนี้ ครอบคลุมทั้งทางกายภาพ เช่น โต๊ะทำงานอยู่ใกล้กัน หรือ ความใกล้ในการทำงาน เช่น ทำโปรเจคเดียวกัน อาจจะเป็นเรื่องของความบังเอิญ เช่น เจอกันในลิฟต์ หรือร้านอาหาร หรืออาจจะถูกส่งเข้าประชุมหรือสัมมนาที่เดียวกัน การเจอกันบ่อย ๆ ก่อให้เกิดความรู้สึกคุ้นเคย… ซึ่งนำไปสู่ความไว้วางใจ… ซึ่งนำไปสู่ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ท่านพอจะเห็นภาพใช่ไหมคะ

 

ปัจจัยที่ 2 ที่ทำให้เกิดโรแมนซ์ในที่ทำงาน คือ ความปลอดภัย ค่ะ

 

ในสังคมที่มีความสับสนซับซ้อน แต่ละคนก็มีภูมิหลัง หรืออาจจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังต่าง ๆ กัน เราไม่รู้ว่าใครเป็นใครกันแน่ เพื่อนร่วมงานจึงเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัย อย่างน้อย ๆ เราก็รู้ว่าเขาเรียนจบอะไรมา เขามีอุปนิสัยส่วนตัวอย่างไร ใจเย็นหรือใจร้อน ขี้เหนียวหรือฟุ่มเฟือย มีรสนิยมหรือไม่ใส่ใจ มีน้ำใจหรือชอบโดดเดี่ยว เขาแต่งงานหรือกำลังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับใครหรือเปล่า และหากสนิทกันมาก ๆ คุณอาจได้รู้ปัญหาสุขภาพและปัญหาส่วนตัวของเขาเสียด้วยซ้ำไป ในเมื่อคุณสามารถมีข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาที่เชื่อถือได้ เพราะประสบกับตัวเอง คุณจึงสามารถใช้ข้อมูลนี้ประกอบการพิจารณาว่า เขากับคุณจะเดินเส้นทางเดียวกันไปได้ราบรื่นหรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คุณจะเสี่ยงมีความสัมพันธ์กับคนนอกที่ทำงานที่คุณอาจไม่สามารถมีข้อมูลประกอบการพิจารณาได้ดีแบบนี้ทำไมกันคะ

 

ปัจจัยที่ 3 ที่นำมาสู่โรแมนซ์ในที่ทำงานคือ ความคล้ายคลึงกัน

 

ตามปกติเรามีแนวโน้มที่จะทำงานกับคนที่มีอะไรหลาย ๆ อย่างคล้ายเรา ไม่ว่าจะเป็นสถานภาพทางสังคมที่คล้ายคลึงกัน ระดับการศึกษา และรายได้ ความสนใจ ทัศนคติ และค่านิยม ซึ่งเรามีความเชื่อว่า คนที่เหมือนกันมักจะชอบกัน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่คนในที่ทำงานเดียวกันจะชอบกัน

ผู้ที่สนใจศึกษาเรื่องโรแมนซ์ในที่ทำงานกล่าวว่า การที่หน่วยงานคัดเลือกพนักงานที่มีคุณสมบัติตรงกับวัฒนธรรมขององค์การ หน่วยงานจึงได้ทำหน้าที่กลั่นกรองผู้สมัครงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นคู่รักกันไปโดยปริยาย พูดง่าย ๆ ก็คือว่า หน่วยงานหรือบริษัทได้ทำหน้าที่บริการหาคู่ให้แก่พนักงานนั่นเอง

 

ปัจจัยที่ 4 คือ ความรู้สึกตื่นตัว

 

ที่ทำงานอาจจะเป็นที่ที่น่าตื่นเต้น ท้าทาย มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา รวมถึงกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ หรือที่ทำงานอาจจะเป็นที่ที่น่าเบื่อ ห่างเหิน ว้าเหว่ หรือน่าหงุดหงิดใจ ไม่ว่าที่ทำงานจะเป็นแบบไหนก็ล้วนแล้วแต่เอื้อประโยชน์ให้ความรักเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น เวลาที่สภาพแวดล้อมเคร่งเครียด ไม่ว่าจะเป็นเพราะความตื่นเต้น หรือเป็นเพราะความวิตกกังวลในปัญหาเรื่องงานที่เกิดขึ้น นักจิตวิทยาบอกว่า สถานการณ์แบบนี้ทำให้เรารู้สึกตื่นตัว ซึ่งเป็นเพราะงาน แต่คนมักถ่ายโอนความรู้สึกตื่นตัวอันนี้ไปยังผู้หญิงหรือผู้ชายที่หน้าตาท่าทางดีที่อยู่ใกล้ ๆ ความตื่นตัวที่เกิดขึ้นนี้อาจมาจากเรื่องงาน เช่น ใกล้ถึงกำหนดส่งงาน การออกแรงทำอะไรสักอย่าง อากาศที่ร้อนไปหรือหนาวไป ลักษณะงานที่ค่อนข้างเสี่ยงอันตราย การแข่งขัน หรือความวิตกกังวล แต่คนจะตีความการตื่นตัวนี้ผิด ไปเข้าใจว่าเป็นความตื่นตัวจากการอยู่ใกล้ชิดกัน เลยเกิดเป็นความรู้สึกพิเศษที่มีต่อเพื่อนร่วมงานที่ใกล้ชิด

 

โรแมนซ์ในที่ทำงานจึงเป็นสิ่งที่พบเห็นบ่อยครั้ง เมื่อคนต้องทำงานร่วมกันนาน ๆ ในสภาพกดดัน และบางครั้งอาจต้องพึ่งพากันและกันในเรื่องที่ถึงแก่ความเป็นความตาย

 

ปัจจัยที่ 5 ที่เป็นที่มาของโรแมนซ์ในที่ทำงานคือ ความสะดวก ค่ะ

 

หากนับจำนวนชั่วโมงในแต่ละวันว่าเราทำอะไรบ้าง เอาแค่เรื่องหลัก ๆ นะคะ เรานอน 6 ถึง 7 ชั่วโมง เดินทางไปทำงานทั้งขาไป-ขากลับ 3 ถึง 4 ชั่วโมง อยู่ที่ทำงาน 8 ถึง 10 ชั่วโมง มนุษย์บ้างานอาจอยู่ที่ทำงานถึง 12 ชั่วโมง นับกิจวัตรประจำวันอื่น ๆ เช่น ซักผ้า ดูแลความสะอาดบ้านช่อง สัตว์เลี้ยง ซื้อของใช้จำเป็น แค่นี้ท่านก็เหลือเวลาสำหรับแสวงหาความรักเพียงประมาณวันละ 2 ถึง 4 ชั่วโมง นี่เราไม่ได้พูดถึงกรณีงานเร่งด่วนที่อาจต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ และทำแม้ในช่วงสุดสัปดาห์ก็ตาม

 

การแสวงหาคนพิเศษเป็นสิ่งที่ใช้เวลามากเหลือเกินค่ะ เพราะฉะนั้นการมองคนใกล้ชิดในที่ทำงานจึงเป็นสิ่งที่สะดวก และดูสมเหตุสมผลดี คุณสามารถใช้เวลาร่วมกันช่วงพักเที่ยง หรือช่วงเบรค คุณสามารถเดินไปหาพูดคุยกับเขาที่โต๊ะทำงาน หรือการที่คุณทำงานโปรเจคเดียวกัน คุณก็ได้ใช้เวลาร่วมกัน ซึ่งแบบนี้น่าจะเข้าท่ากว่าการนัดคนนอกที่ต้องรอกันที่ร้านอาหาร หรือรอที่บ้านจนกว่าคุณจะเสร็จงานใช่ไหมคะ

 

นอกจากนั้นการมีคนรักอยู่ในที่ทำงานเดียวกันยังทำให้คนมีคนที่จะคอยเกื้อหนุนให้กำลังใจคุณในชั่วโมงทำงานด้วย เขาสามารถเป็นที่ปรึกษาให้คุณได้ทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เพราะเขาน่าจะเข้าใจสถานการณ์ของคุณได้ดีกว่าคนนอก

 


 

จากการศึกษาคนวัยทำงานพบว่าโรแมนซ์ในที่ทำงานพัฒนาเป็นขั้น ๆ จำแนกได้เป็น 4 ขั้น

 

 

ขั้นแรก เป็นช่วงสร้างฝัน บุคคลเริ่มเกิดความสนใจในผู้ร่วมงาน จึงมีการปรุงแต่งโฉมเป็นพิเศษ มีการฝันกลางวัน และพยายามทำตนให้เป็นที่สนใจของอีกฝ่าย

 

ขั้นที่สอง เป็นขั้นดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ทั้งสองฝ่ายต่างรับรู้ว่ามีใจตรงกัน มีการนัดพบกันออกไปทานอาหาร ดูหนัง ฟังเพลง เริ่มต้นความสัมพันธ์ คู่รักอาจไม่มีสมาธิจดจ่อกับงาน เพราะมัวแต่มองหากันและกัน

 

ขั้นที่สาม เป็นขั้นความสัมพันธ์เข้าที่ คู่รักเริ่มแน่ใจในความสัมพันธ์ของตน หันกลับมาใส่ใจกับงาน และปฏิบัติตัวตามกิจวัตรปกติ

 

ขั้นที่สี่ เป็นขั้นตัดสินใจว่าจะผูกมัดกันจนถึงกับแต่งงานกันหรือตกลงใช้ชีวิตร่วมกัน หรือจะเลิกความสัมพันธ์

 

 

เราได้ทราบกันแล้วถึงสาเหตุที่คนในที่ทำงานเดียวกันมักจะกลายเป็นคู่ครองกันในที่สุด รวมถึงขั้นตอนความสัมพันธ์ของคู่รักในที่ทำงานว่าพัฒนาอย่างไรจนถึงขั้นแต่งงานกัน หรือเลิกร้าง

 


 

 

ข้อเตือนใจที่ควรระมัดระวังหากคุณกำลังคิดที่จะแสวงหาความรักในที่ทำงาน

 

ประการแรก การควงเจ้านาย การคบหาควงคู่ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง เป็นเรื่องที่อันตรายต่อชื่อเสียงและอาชีพของพนักงานที่สุด ความสัมพันธ์ลักษณะนี้เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับหน่วยงาน ทั้งถูกวิพาษ์วิจารณ์ในทางเสื่อมเสียจากผู้ร่วมงานอีกด้วย และหากโชคร้ายยังสามารถเป็นเรื่องขึ้นศาลก็เป็นไปได้

 

หากความสัมพันธ์ยุติ คนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานต่ำกว่ามักจะถูกกดดันให้ลาออก หรือสมัครใจออกเองเพราะทนความกดดันจากการต้องทำงานภายใต้อดีตคู่รักไม่ได้ แต่ถ้าหากความสัมพันธ์ราบรื่น ทั้งคู่ก็จะเป็นที่จับตามองของคนในหน่วยงาน ความอิจฉาริษยา หรือไม่พอใจในหมู่เพื่อนร่วมงานอาจจะปรากฏให้เห็น หากคุณได้รับการเลื่อนตำแหน่งหรือมีความดีความชอบ เพื่อนร่วมงานอาจเหมาเอาว่าเขาถูกมองข้ามเพราะเขาไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับนายเหมือนอย่างคุณ

 

โรแมนซ์ในที่ทำงานตามอุดมคติ ควรจะเป็นคนโสดสองคนที่ทำงานต่างแผนกกัน และมีเส้นทางความก้าวหน้าในตำแหน่งคนละเส้นทางกัน

 

ประการที่ 2 ที่ต้องระวังคือ การมีความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานที่แต่งงานแล้ว เรื่องนี้เป็นสิ่งน่าอึดอัดใจอย่างยิ่งของบรรดาเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ที่รับรู้ และบางรายอาจเป็นที่ชิงชังของเพื่อนร่วมงาน การมีความสัมพันธ์กับคนที่แต่งงานแล้ว เป็นการทำลายอาชีพของคนทั้งคู่เพราะเพื่อนร่วมงานมองว่า คนคู่นี้ขาดจริยธรรมและจรรยาบรรณในการทำงาน

 

ประการที่ 3 คือ การเลิกราความสัมพันธ์ ตามปกติการยุติความสัมพันธ์กับคนรักเป็นสิ่งที่ยากลำบากอยู่แล้ว แต่การยุติความสัมพันธ์กับคนที่ทำงานในสถานที่เดียวกันยิ่งยากเป็นหลายเท่า การที่คุณต้องเห็นเขาวันแล้ววันเล่าเป็นสิ่งที่ทรมานใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการตอกย้ำถึงความล้มเหลวของคุณ เวลาที่คู่รักเลิกรากัน บางครั้งทำให้ที่ทำงานกลายเป็นสมรภูมิรบย่อย ๆ ได้ เพราะเพื่อนร่วมงานมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ยิ่งกว่านั้นคู่รักที่เลิกรากันบางคู่ต่างแสดงธรรมชาติไม่ดีของตัวอออกมาเวลาเลิกรัก บางคนมีการตามตื้อและราวี ส่งผลกระต่องานที่ทำและบรรยากาศการทำงานโดยทั่ว ๆ ไป

 

 

เอาละค่ะ ท่านผู้อ่านมีข้อเตือนใจตัวเองแล้วนะคะ หากคิดจะค้นหารักในที่ทำงาน ขอให้ท่านโชคดีมีความสุขในความรักนะคะ

 

 


 

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย รองศาสตราจารย์ ดร.คัคนางค์ มณีศรี

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

การรับสมัครเข้าศึกษาระดับปริญญาโท-เอก ปีการศึกษา 2565

รับสมัครเข้าศึกษาระดับปริญญาโท-เอก ปีการศึกษา 2565
ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม 2565

 

 

🔸หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา

– จิตวิทยาการปรึกษา

– จิตวิทยาสังคมพื้นฐานและประยุกต์ (English Program)

– จิตวิทยาพัฒนาการ

– จิตวิทยาทรัพยากรมนุษย์และการทำงาน

– การวิจัยจิตวิทยาประยุกต์

 

🔹หลักสูตรศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา

– จิตวิทยาการปรึกษา

– จิตวิทยาสังคมพื้นฐานและประยุกต์ (English Program)

– จิตวิทยาพัฒนาการ

– การวิจัยจิตวิทยาประยุกต์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


https://www.psy.chula.ac.th/th/graduate
https://www.grad.chula.ac.th/

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณวัลลภ สีหเดชวีระ (ในเวลาราชการ)
โทร. 02-218-1184 E-Mail: wanlop.s@chula.ac.th

มองโลกในแง่ดี = ชีวิตดี = มีต้นทุนทางจิตวิทยา (ตอนที่ 3)

มองโลกในแง่ดี = ชีวิตดี = มีต้นทุนทางจิตวิทยา

“Optimism” ทุนทางจิตวิทยา ตอนที่ 3

 

 

หากทุกท่านเคยตอบคำถามว่า ในยามที่ท่านต้องการดื่มน้ำสักแก้ว ท่านคิดอย่างไรกับภาพน้ำครึ่งแก้วที่วางอยู่ตรงหน้า บ้างก็ตอบว่า “ดีจัง มีน้ำให้ดับกระหายตั้งครึ่งแก้ว” ในขณะที่บางคนอาจจะคิดว่า “น้ำที่มีอยู่เพียงครึ่งแก้วนั้น ช่างน้อยเหลือเกิน” คำถามง่าย ๆ ที่ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดานี้สามารถจัดกลุ่มความคิดทัศนคติและลักษณะนิสัยของคนออกได้เป็น 2 ประเภท นั่นคือคนที่มองโลกในแง่ดีและคนที่มองโลกในแง่ร้าย

 

 

การมองโลกในแง่ดีเป็นแนวคิดหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาเชิงบวก (Positive psychology) และเป็นองค์ประกอบของทุนทางจิตวิทยาและเป็นที่มาของอักษร O ในคำว่า HERO หากทุกท่านติดตามเรื่องราวของบทความชุดนี้มาตั้งแต่ตอนแรก [(1)Resilience(2)Hope] น่าจะเข้าใจความหมายและที่มากันเป็นอย่างดี การมองโลกในแง่ดีได้รับความสนใจมานานหลายทศวรรษแล้ว โดยในระยะแรกถูกนำมาใช้ในการรักษาอาการของคนป่วยทางด้านจิตใจ เช่น อาการวิตกกังวล หวาดกลัวหรืออาการทางโรคประสาท

 

หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่สนใจแนวคิดจิตวิทยาด้านบวกที่มุ่งเน้นและสนับสนุนให้คนเราใช้พลังที่มีในตัวเองช่วยขับเคลื่อน ผลักดันและกระตุ้นให้เกิดพลังในการแก้ไขปัญหาเพื่อก้าวข้ามผ่านอุปสรรคที่ทุกชีวิตต้องรับมือกับเหตุการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทฤษฎีหนึ่งที่สำคัญและอธิบายได้ถึงความสามารถและทักษะดังกล่าวในตัวคนเรา คือ ทฤษฎี Broaden and Build ของนักจิตวิทยาที่โด่งดังจากแนวคิดจิตวิทยาด้านบวกที่ชื่อว่า Barbara L. Fredrikson ศาสตราจารย์ชาวอเมริกันของภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัย North Carolina at Chapel Hill ผู้ที่สนับสนุนให้คนเราเห็นคุณค่าและความสำคัญของอารมณ์ในเชิงบวกซึ่งจะช่วยให้จิตใจของเราเปิดกว้างมากขึ้น สามารถยอมรับและมองเห็นมุมมองความคิดในด้านอื่น ๆ ในขณะที่อารมณ์และความคิดด้านลบมักจะนำไปสู่การหลีกหนี ไม่รับรู้ ปิดกั้นการยอมรับความคิดเห็นในแง่มุมที่ต่างออกไป

 

เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ เช่น สถานการณ์การระบาดใหญ่ของโรค COVID-19 เราทุกคนต่างต้องประสบกับผลพวงของความรู้สึกที่มีผลกระทบต่อจิตใจที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น ความกลัว ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า ซึ่งความกลัวนั้นจัดเป็นอารมณ์ในเชิงลบที่มาพร้อมกับการถูกกระตุ้นจากความตื่นตัวต่อภยันตรายที่รายรอบอยู่ใกล้ตัว ในทางจิตวิทยาพบว่า ยามที่เราต้องเผชิญกับความท้าทายที่เกิดจากช่วงเวลาที่สะเทือนใจนั้น คุณสมบัติในทางบวกที่คอยเป็นกำลังใจต่อตนเอง เช่น  ความนับถือตนเอง ความไว้วางใจผู้อื่น การควบคุมตนเอง และการคาดการณ์ต่อสถานการณ์ทุกอย่างรอบตัวนั้นอาจถูกทำลายลงได้ ซึ่งจะส่งผลไปสู่การมีทัศนคติด้านลบต่อผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ จนนำไปสู่ผลที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ความกลัวและความวิตกกังวล (Janoff-Bulman, 2010) ผู้ที่เคยประสบกับความกลัวมาแล้วอย่างแสนสาหัส มักจะเชื่อและคิดว่าสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นได้อีกครั้งแค่เพียงพวกเขารู้สึกได้ว่าเบาะแสของฝันร้ายนั้นเริ่มเข้ามาใกล้ตัว (Farnsworth & Sewell, 2011) การมองโลกในแง่ดีจึงเป็นปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยบรรเทาสถานการณ์หรืออารมณ์ความรู้สึกในทางร้ายที่หลายคนกำลังกังวลและเผชิญอยู่

 

 

การมองโลกในแง่ดี (Optimism)

 

หมายความถึง การที่บุคคลสามารถมองเห็นถึงสาเหตุหรือคุณลักษณะของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในทางบวก และเชื่อมั่นว่าสิ่งนั้นมีความคงทนถาวร สามารถแปลความหมายของเหตุการณ์เชิงลบว่าเป็นเรื่องที่เกิดจากปัจจัยภายนอกและจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวตามแต่สถานการณ์เท่านั้น (Seligman, 2011) องค์ประกอบด้านการมองโลกในแง่ดีของทุนทางจิตวิทยานี้ จะช่วยให้คนเรานำมาปรับใช้ได้ในชีวิต ในการสร้างเสริมความคาดหวังในเชิงบวก ลดการจดจ่ออยู่กับความคิดในด้านลบของตนเองในการตีความหมายของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวและในสถานที่ทำงาน (Carver & Scheier, 2002) ส่วน Seligman (2011) ให้ความหมาย การมองโลกในแง่ดี คือ กระบวนการทางปัญญาเกี่ยวกับความคาดหวังเชิงบวกของคนเราและการระบุสาเหตุของเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นว่าเกิดจากปัจจัยภายนอกตนเอง ดำรงอยู่เพียงชั่วคราว และเกิดขึ้นเฉพาะเหตุการณ์นั้นเท่านั้น ส่วนการระบุสาเหตุของเหตุการณ์ที่ดีนั้นจะเกิดจากปัจจัยภายในตนเองและสามารถเกิดขึ้นได้อีกอย่างสม่ำเสมอและอาจขยายผลต่อไปยังสถานการณ์อื่นได้

 

แนวคิดหนึ่งที่นำมาใช้ในการอธิบายที่มาและความสำคัญของการมองโลกในแง่ดีหรือร้าย ได้แก่ ทฤษฎีความคาดหวังและการให้คุณค่า (Expectancy Value Theory) (Vroom,1964) ซึ่งอธิบายว่า บุคคลจะแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อคุณค่าหรือเป้าหมายตามที่ตนเองปรารถนา ซึ่งความพยายามนั้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าคุณค่าของสิ่งนั้นมีมากพอที่จะไขว่คว้าหรือไม่ นอกจากคุณค่า (Value) แล้ว ยังมีองค์ประกอบสำคัญที่ร่วมกัน คือ ความคาดหวัง (Expectancies) อันหมายถึง บุคคลมีความมั่นใจหรือความลังเลว่าเป้าหมายนั้นตนสามารถจะไปถึงได้หรือไม่ หากความมั่นใจนั้นมีไม่มากพอ บุคคลนั้นมักจะล้มเลิกความตั้งใจและหยุดการกระทำในการไปสู่ความสำเร็จตามที่มุ่งหมายเอาไว้ จากการศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรัง (Fibromyaglia) พบว่า ผู้ที่มองโลกในแง่ดีจะมีแนวโน้มที่จะไม่ค่อยล้มเลิกความตั้งใจในการไปสู่เป้าหมายที่ตนเองวางไว้ แม้อาการเจ็บปวดจะรุนแรงเพียงใดก็ตาม (Affleck et al., 2001)  จากทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จึงพอสรุปได้ว่าทั้งความคาดหวังและการให้คุณค่านั้นมีความสำคัญในการอธิบายความหมายและที่มาของการมองโลกในแง่ดีได้เป็นอย่างดี

 

อีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจและอธิบายถึงการมองโลกในแง่ดีหรือร้ายได้ คือ ทฤษฎีการระบุสาเหตุ (Attribution theory) โดยใช้รูปแบบของการอธิบาย (Explanatory style) การอธิบายสาเหตุของการเกิดเหตุการณ์ต่างๆ นั้นเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงอุปนิสัย กระบวนการคิดของบุคคลนั้น ที่เป็นผลมาจากการเรียนรู้ตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งถึงวัยผู้ใหญ่ มุมมองของบุคคลที่คาดหวังต่อเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเกิดขึ้นมาจากการตีความของเหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีตว่ามีมุมมองความคิดในสิ่งนั้น ๆ เป็นเช่นไร เช่น คนมองโลกในแง่ดีจะอธิบายเหตุการณ์ดี ๆ ที่เกิดขึ้นว่ามีสาเหตุมาจากการกระทำหรือลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล มีความเชื่อว่าจะมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นได้อีกในอนาคตและรวมไปถึงด้านอื่น ๆ ของชีวิตด้วย หากเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้น คนมองโลกในแง่ดีมักมองว่าเหตุการณ์ผิดพลาดหรือเรื่องราวในทางลบนั้น เกิดจากปัจจัยภายนอกไม่ใช่ความผิดของพวกเขาและยังมองว่าเหตุการณ์เลวร้ายนั้นเป็นเรื่องที่บังเอิญเกิดขึ้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับส่วนอื่น ๆ ในชีวิตหรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ตัวอย่างเช่น หากคนที่มองโลกในแง่ดีได้รับการเลื่อนขั้น เขามักจะเชื่อว่าเป็นเพราะเขาทำงานเก่งและเหมาะสมที่จะได้รับสิทธิประโยชน์นั้น มีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงานต่อไป หากคนกลุ่มนี้ไม่ได้รับการเลื่อนขั้นในครั้งนี้ พวกเขาจะคิดว่าอาจเป็นเพราะสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่ค่อยดี แต่ทุกอย่างย่อมจะดีขึ้นได้ในอนาคต

 

คนมองโลกในแง่ร้ายกลับคิดในทางตรงกันข้าม พวกเขาเชื่อว่าเหตุการณ์เลวร้ายนั้นเกิดจากความผิดพลาดหรือลักษณะนิสัยของตนเอง คนกลุ่มนี้มีมุมมองว่าความผิดพลาดครั้งเดียวที่เกิดขึ้นจะนำความผิดพลาดมากขึ้นตามมาอีก และความผิดพลาดในชีวิตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย หากมีเหตุการณ์ดีเกิดขึ้น คนมองโลกในแง่ร้ายจะมีความคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทางบวกหรือเรื่องราวดี ๆ นั้นเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ซึ่งเกิดจากสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม และอาจจะไม่เกิดขึ้นอีก ตัวอย่างเช่น คนมองโลกในแง่ร้ายจะมองว่าการได้เลื่อนขั้นในการทำงาน (เป็นเหตุการณ์ดี) เป็นเรื่องบังเอิญซึ่งอาจจะไม่เกิดขึ้นอีกได้อีกในอนาคต และยังกังวลอีกว่า ตำแหน่งใหม่ที่ได้รับอาจถูกตรวจสอบมากยิ่งขึ้น หากพลาดการเลื่อนตำแหน่ง (เป็นเหตุการณ์ร้าย) นั่นเป็นเพราะตนเองไม่มีความชำนาญพอ ดังนั้นคนเหล่านี้จึงมักคาดการณ์ไว้ว่าจะพลาดโอกาสดี ๆ อีกในคราวต่อไป กล่าวโดยสรุปคือคนที่มองโลกในแง่ร้ายมักจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเป็นเรื่องเลวร้ายไปทั้งหมด มีรายงานการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่เป็นคนมองโลกในแง่ร้าย มักมีอัตราการการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น แม้จะมีการควบคุมปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาการซึมเศร้าที่เกิดขึ้นร่วมด้วยแล้วก็ตาม (Schulz et al., 1996)

 

นอกจากนั้นยังมีการศึกษาอีกเป็นจำนวนมากที่พบว่าการมองโลกในแง่ดีมีความสัมพันธ์กับรูปแบบการจัดการกับความเครียดแบบมุ่งจัดการกับปัญหา (Active coping) งานวิจัยพบว่าบุคคลที่มองโลกในแง่ดีมักมีภาวะอารมณ์ทางลบหรืออาการซึมเศร้าที่ลดลง (Anderson, 1996) ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของ Solberg Nes และ Segestrom (2006) ที่พบว่า การมองโลกในแง่ดีมีความสัมพันธ์ทางลบกับการจัดการกับความเครียดแบบหลีกหนีปัญหา (Avoidance coping)  โดยมีงานวิจัยพบว่า นักศึกษากฎหมายที่เป็นคนมองโลกในแง่ดี มักใช้วิธีการการหลีกหนีปัญหา (Avoidance coping) น้อยกว่านักศึกษาอื่น ๆ (Segestrom et al., 1998) และยังพบในการวิจัยอีกว่า เมื่อเผชิญสถานการณ์ตึงเครียดหรืออาการเจ็บป่วยต่าง ๆ การมองโลกในแง่ดีส่งผลให้บุคคลมีความเครียดลดน้อยลง (Steptoe, 2008)

 

การที่คนเราคิดและคาดหวังแต่เรื่องดีและเข้าใจในเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการประเมินปัจจัยต่าง ๆ ร่วมกับการใช้กลยุทธ์ในการรับมือที่พร้อมปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ของปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ ด้วยความเข้าใจดีว่าในชีวิตของคนเรานั้นย่อมมีทั้งเรื่องราวที่ดีและร้าย ดังนั้นการมองโลกในแง่ดี พร้อมรับมือและปรับตัวกับทุกสถานการณ์จึงเป็นหนทางที่เหมาะสมและสามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตในปัจจุบันของเราได้ กลยุทธ์ในการรับมือและปรับตัวต่อสถานการณ์ที่หนักหน่วงนั้นมีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนมุมมองให้เป็นไปในทางบวก (Positive reframing) การมีอารมณ์ขัน (Humour) หรือ แม้แต่การยอมรับความจริงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น (Acceptance) (Wrosch & Scheier, 2003)

กระบวนการทางความคิดของกลุ่มคนที่มองโลกในแง่ดีมีลักษณะดังนี้ คือ มีการปกป้องตนเองจากเรื่องราวที่ไม่พึงประสงค์และมักคิดเสมอว่าเรื่องดี ๆ จะเกิดขึ้นกับตนเองมากกว่าคนอื่น ๆ ในขณะเดียวกัน เรื่องร้าย ๆ ก็มักจะเกิดขึ้นกับคนอื่น ๆ มากกว่าตนเอง Schwarzer (1994) ได้ให้คำนิยามชุดความคิดในลักษณะนี้ว่า Defensive optimism ซึ่งการคิดในรูปแบบดังกล่าวนี้ จะเป็นเสมือนเกราะป้องกันทางอารมณ์ ต่อการรับรู้หรือยอมรับกับเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแง่ลบได้เป็นอย่างดี ช่วยพยุงความรู้สึกของคนชอกช้ำให้หลุดพ้นจากความเป็นจริงที่กดดันในบางช่วงบางสถานการณ์ของชีวิต

 

ที่ผ่านมามีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการมองโลกในแง่ดี การมองโลกในแง่ร้ายและความทุกข์ใจในกลุ่มคนที่ประสบความทุกข์ในกรณีที่แตกต่างกันออกไป เช่น นักเรียนที่สอบแข่งขันเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย พนักงานในแวดวงธุรกิจ และผู้รอดชีวิตจากขีปนาวุธและการถูกโจมตี ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งและผู้ดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยต่าง ๆ ที่ศึกษาประสบการณ์ความเครียดของผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมกับกระบวนการทางการแพทย์ เช่น การศึกษาในเด็ก การคลอดบุตร การทำแท้ง การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ ความพยายามในการทำเด็กหลอดแก้ว การปลูกถ่ายไขกระดูกและหัวใจ การรับฟังผลการวินิจฉัยโรคมะเร็ง ความเจ็บปวดจากโรคข้ออักเสบ และความก้าวหน้าของการต่อสู้กับโรคภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Scheier & Carver, 1992)

 

ตัวอย่างงานวิจัยที่ศึกษาในกลุ่มสตรีที่ได้รับการบำบัดมะเร็งเต้านม พบว่า กลุ่มคนมองโลกในแง่ร้ายมักจะมีแนวโน้มที่จะตีตัวออกห่างจากกิจกรรมทางสังคมมากกว่าคนที่มองโลกในแง่ดี (Carver et al., 2003) สิ่งนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่ง เพราะการมีเครือข่ายทางสังคมจะส่งผลดีต่อสุขภาวะของคนเรา (Taylor, 2007) โดยมีหลักฐานยืนยันได้ว่าการมองโลกในแง่ดีมีความสัมพันธ์ทางบวกกับขนาดของเครือข่ายทางสังคมของแต่ละบุคคล โดยสรุปคือ ยิ่งมองโลกในแง่ดีมากเท่าไร บุคคลก็จะมีเครือข่ายทางสังคมที่กว้างมากขึ้นเท่านั้น (Segerstrom, 2007)

 

การมองโลกในแง่ดีจึงถือเป็นทรัพยากรเชิงบวกที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เครือข่ายทางสังคม และความสัมพันธ์กับเพื่อนสนิทด้วย

 

สาเหตุที่การมองโลกในแง่ดีสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในสังคมได้มากกว่าการมองโลกในแง่ร้ายนั้น เป็นเพราะว่าโดยทั่วไปคนส่วนใหญ่มักชอบคบหาสมาคมกับคนที่มองโลกในแง่ดี มักให้การยอมรับคนที่มีมุมมองในอนาคตหรือความคาดหวังในเชิงบวก และมักปฏิเสธความสัมพันธ์กับคนที่มีความคิดหมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวในชีวิตที่มีแต่แง่ลบ (Carver et al., 1994; Helweg-Larsen et al., 2002)

 

แม้การมองโลกในแง่ดีจะดูคล้ายกับว่าเป็นลักษณะนิสัยที่ติดตัวมาในแต่ละบุคคล (Trait) ต่างจากสภาวะ (State) ที่สามารถจะกระตุ้นหรือสร้างให้เกิดการพัฒนาขึ้นมาได้จากกระบวนการต่าง ๆ เช่น การฝึกอบรม หรือ กิจกรรมกระตุ้นสภาวะที่พึงประสงค์ อย่างไรก็ตาม Folkman และ Moskowitz (2000) แนะนำว่า การประสบผลสำเร็จในการแก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตที่ผ่านมาในอดีต ช่วยสร้างความเชื่อในการมองโลกในแง่ดี (Optimism belief) ได้ ดังนั้นการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนทักษะในการเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ และการให้ผลตอบกลับที่เป็นบวก (Positive feedback) จะช่วยเสริมสร้างและพัฒนาคุณลักษณะของการมองโลกในแง่ดีได้เช่นกัน หากเราปรับมุมมองความคิดใหม่ว่าในทุกการแข่งขันที่มีเป้าหมายเป็นรางวัลของความสำเร็จนั้น ไม่เคยมีคำว่า “แพ้” มีแต่คำว่า “ชนะ” กับ “ได้รับบทเรียน” ซึ่งบทเรียนเหล่านั้นไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสมากเพียงใดก็ตาม หากเรายังมีลมหายใจและยังมีชีวิตอยู่ เราจะแข็งแกร่งมากขึ้นได้อย่างแน่นอน ตามคำกล่าวที่เป็นข้อความอมตะของนักปรัชญาชาวเยอรมัน Friedrich Nietzscher ที่เคยเขียนเอาไว้ว่า “อะไรก็ตามที่ฆ่าเราไม่ได้จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น” (What doesn’t kill us makes us stronger.)

 

 

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว การมองโลกในแง่ดี จะมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับการเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง (Efficacy) ซึ่งจะเป็นคุณลักษณะของ HERO  ลำดับสุดท้าย ขอเชิญทุกท่านติดตามบทความวิชาการ 4 ตอนจบสำหรับตอนสุดท้ายในโอกาสต่อไป

 

 

รายการอ้างอิง

 

Affleck, G., Tennen, H., Urrows, S., Higgins, P., Abeles, M., Hall, C., Karoly, P., & Newton, C.     (1998). Fibromyalgia and women’s pursuit of daily goals: A daily process analysis. Health Psychology, 17, 40–47.

 

Anderrson, G. (1996). The benefits of optimism: A meta-analytic review of the Life Orientation Test. Personality and Individual Differences, 21, 719–725.

 

Carver, C. S., Kus, L. A., & Scheier, M. F. (1994). Effects of good versus bad mood and optimistic versus pessimistic outlook on social acceptance versus rejection. Journal of Social and Clinical Psychology, 13, 138−151.

 

Carver, C. S., & Scheier, M. F. (2002). Optimism. In C. R. Snyder & S. J. Lopez (Eds.). Handbook of positive psychology (pp. 231–243). London: Oxford University Press.

 

Carver, C. S., Lehman, J. M., & Antoni, M. H. (2003). Dispositional pessimism predicts illness-related disruption of social and recreational activities among breast cancer patients. Journal of Personality and Social Psychology, 84, 813– 821.

 

Farnsworth, J. K., & Sewell, K. W. (2011). Fear of emotion as a moderator between PTSD and firefighter social interactions. Journal of Traumatic Stress, 24, 444–450.

 

Folkman, S., & Moskowitz, J. T. (2000). Positive affect and the other side of coping. American Psychologist, 55, 647– 654.

 

Helweg-Larsen, M., Sadeghian, P., & Webb, M. S. (2002). The stigma of being pessimistically biased. Journal of Social and Clinical Psychology, 21, 92−107.

 

Janoff-Bulman, R. (2010). Shattered assumptions. Simon and Schuster.

 

Scheier, M. F., & Carver, C. S. (1992). Effects of optimism on psychological and physical well-being: Theoretical overview and empirical data. Cognitive Therapy and Research, 16, 201–228.

 

Schulz, R., Bookwala, J., Knapp, J. E., Scheier, M., & Williamson, G. M. (1996). Pessimism, age, and cancer mortality. Psychology and Aging, 11(2), 304-309.

 

Schwarzer, R. (1994). Optimism, vulnerability, and self-beliefs as health-related cognitions: A systematic overview. Psychology and Health, 9, 161-180

 

Segerstrom, S. C, Taylor, S. E., Kemeny, M. E., & Fahey, J. L. (1998). Optimism is associated with mood, coping, and immune change in response to stress. Journal of Personality and Social Psychology, 74, 1646-1655.

 

Segerstrom, S. C. (2007) Optimism and resources: Effects on each other and on health over 10 years. Journal of Research in Personality, 41:772–86.

 

Seligman, M. E. P. (2011). Learned optimism: How to change your mind and your life. New York, NY: William Heinemann.

 

Solberg Nes, L., & Segerstrom, S. C. (2006). Dispositional optimism and coping: A meta-analytic review. Personality and Social Psychology Review, 10, 235–251.

 

Steptoe, A., O’Donnell, K., Marmot, M., & Wardle, J. (2008). Positive affect and psychosocial processes related to health. British Journal of Psychology, 99, 211–217.

 

Taylor, S. E. (2007). Social support. In H. S. Friedman & R.C. Silver (Eds.), Foundations of health psychology (pp. 145−171). New York: Oxford University Press.

 

Vroom, V. H., Work and Motivation, Wiley, New York, 1964.

 

Wrosch, C., & Scheier, M. F. (2003). Personality and quality of life: The importance of optimism and goal adjustment. Quality of Life Research, 12, 59-72.

 

 


 

 

บทความวิชาการ

 

โดย คุณพัลพงศ์ สุวรรณวาทิน

นิสิตดุษฎีบัณฑิต แขนงการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เรวดี วัฒฑกโกศล

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

Here to heal Online Workshop: Empathy

“Empathy”
หัวใจความสัมพันธ์ ในการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ

 

 

Here to heal ชวนคุณมาเข้าใจหัวใจของความสัมพันธ์ และการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจกับ Online Workshop ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

ในหัวข้อเรื่อง “Empathy”

 

โดยวิทยากร ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดี คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในวันเสาร์ที่ 29 มกราคม 2565 เวลา 13.00-15.00 น.

 

สามารถลงทะเบียนได้ที่ https://docs.google.com/…/1FAIpQLSeC2RYC5Sy…/viewform…
โดยทางทีมงานจะจัดส่งลิงก์ Zoom ให้ผู้ลงทะเบียนทุกท่านก่อนถึงเวลา Workshop ผ่านทาง Email ที่ใช้ลงทะเบียนเข้าร่วม

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://lin.ee/P77s2bW
ในเวลาทำการ 10.00-22.00 น.

 


Workshop นี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ here to heal โดยคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ สสส.
เป็นโครงการให้บริการแชทพูดคุยกับนักจิตวิทยา ฟรี
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อผ่าน Line official หรือทางเพจเฟซบุ๊ก Here-to-Heal เพื่อนัดหมายเวลาพูดคุยได้เลยค่ะ

เด็กที่มีความต้องการพิเศษ – Children with special needs

 

 

เด็กที่มีความต้องการพิเศษ หรือบางคนเรียกว่า เด็กพิเศษ หมายถึง เด็กที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลช่วยเหลือเป็นพิเศษเนื่องจากความบกพร่องหรือข้อจำกัดทางด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ประสาทสัมผัส อารมณ์ และสังคม รวมถึงการได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางสภาพแวดล้อม อันเป็นเหตุให้เด็กมีข้อจำกัดหรืออุปสรรคต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิต หรือการมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ทางสังคมให้สำเร็จตามบทบาทปกติ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของความบกพร่องหรือข้อจำกัดนั้น ๆ

 

 

ประเภทของความพิการ

 

บุคคลที่มีความต้องการพิเศษแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท โดย ICF (International Classification of Functioning, Disability and Health) ซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ WHO ได้แบ่งความพิการไว้เป็น 6 ประเภท คือ

 

1. ความพิการทางการเห็น

2. ความพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย

3. ความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย

4. ความพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรมหรือออทิสติก

5. ความพิการทางสติปัญญา

6. ความพิการทางการเรียนรู้

 

ในปี 2552 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้แบ่งประเภทความพิการไว้เป็น 6 ประเภทตาม ICF และได้แยกความพิการทางออทิสติกมาเป็นประเภทที่ 7 ในปี 2555

 

 

ครอบครัวที่มีลูกเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

 

เมื่อลูกซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัวกลายเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ สมาชิกคนอื่นก็ได้รับผลกระทบไปด้วย โดยพ่อแม่เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเพราะต้องรับภาระในการดูแลลูกในทุก ๆ ด้าน ส่งผลต่อสุขภาวะทางจิตใจของพ่อแม่เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของสมาชิกทุกคนในครอบครัวที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นไปได้ด้วยดีและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้ครอบครัวผ่านพ้นปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ กระบวนการวินิจฉัยเป็นวิกฤตของครอบครัวด่านแรกที่พ่อแม่และสมาชิกในครอบครัวต้องเผชิญเมื่อลูกมีพัฒนาการหรือพฤติกรรมที่ผิดปกติไปจากเด็กทั่วไป

 

กระบวนการรับการวินิจฉัยถือเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดขั้นตอนหนึ่งสำหรับพ่อแม่ของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ครอบครัวบางครอบครัวไม่ต้องการการวินิจฉัย เพราะการวินิจฉัยสร้างความรู้สึกอับอายและเป็นตราบาปให้กับสมาชิกในครอบครัว เมื่อมีเด็กที่มีความต้องการพิเศษในครอบครัว สมาชิกมักจะประเมินตนเองในด้านลบโดยอัตโนมัติทำให้อารมณ์ทางลบเพิ่มสูงขึ้น และเกิดพฤติกรรมการเพิกถอนตนจากสังคมเพราะต้องการปกปิดความรู้สึกที่เป็นตราบาปจากผู้อื่นในสังคม ความรู้สึกอับอายในตนเองของสมาชิกครอบครัวส่งผลต่อภาระที่เพิ่มขึ้นในการดูแลเด็กและทำให้การทำหน้าที่ในครอบครัวล้มเหลว ท้ายที่สุดกระทบถึงคุณภาพชีวิตของสมาชิกทุกคนในครอบครัว โดยชาวเอเชียจะเกิดความรู้สึกนี้มากกว่าชาวยุโรปและอเมริกา เพราะค่านิยมทางประเพณี สังคม วัฒนธรรม และศาสนา ฝังลึกมากกว่า

 

 

ความต้องการของครอบครัวที่มีลูกเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

 

พ่อแม่ที่มีลูกเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษต้องการความช่วยเหลือที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรงของความพิการของลูก ซึ่งพ่อแม่จำเป็นต้องพัฒนาความรู้และทักษะในการดูแลที่เฉพาะเจาะจง รวมทั้งต้องการการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยบรรเทาความเครียด สามารถเผชิญและจัดการปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เอื้อต่อการตอบสนองความต้องการของลูกได้อย่างเหมาะสม

 

1. ความต้องการทางด้านข้อมูล

 

พ่อแม่เด็กที่มีความต้องการพิเศษรายงานว่าพวกเขาได้รับข้อมูลกว้าง ๆ เกี่ยวกับโรคที่ลูกเป็น แต่ในบางครั้งอาจไม่ได้รับข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงซึ่งพวกเขาคิดว่าจำเป็นต้องรู้ เช่น รายละเอียดด้านพัฒนาการและโรค การรับบริการต่าง ๆ เช่น การสร้างเสริมพัฒนาการระยะแรกเริ่ม กิจกรรมบำบัด กายภาพบำบัด และอรรถวจีบำบัด รวมถึงพวกเขาต้องการคำแนะนำ เครื่องมือต่าง ๆ และวิธีการจัดการกับลูกอย่างถูกวิธีเพื่อเอื้อให้พวกเขาเข้าใจลูกและเกิดประโยชน์ในการเลี้ยงดูลูกมากยิ่งขึ้น

 

2. ความต้องการทางด้านจิตใจ

 

พ่อแม่เด็กที่มีความต้องการพิเศษเผชิญกับความเครียดในสถานการณ์ต่าง ๆ ดังนั้นการช่วยเหลือทางด้านจิตใจ ทั้งการปรึกษารายบุคคล การปรึกษาแบบกลุ่ม หรือการช่วยเหลือในรูปแบบอื่น ๆ จะช่วยให้พ่อแม่คลายกังวลได้ เพราะพวกเขาได้เปิดเผยเรื่องราวของตนเองและรับรู้ได้ว่ามีผู้รับฟังอย่างดั้งใจ นอกจากนี้การปรึกษาแบบกลุ่มเอื้อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลและแบ่งปันประสบการณ์ประเภทเดียวกัน พ่อแม่จะรับรู้ว่าตนไม่ได้เผชิญปัญหาเพียงลำพัง เกิดการสร้างเครือข่าย รวมทั้งได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ซึ่งสามารถเติมพลังกายพลังใจและกลับไปดูแลลูกอย่างมีประสิทธิภาพได้ต่อไป

 

3. ความต้องการทางด้านสังคม

 

พ่อแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ ต้องอยู่กับลูกเกือบตลอดเวลา ทำให้พวกเขาไม่มีเวลาให้ตนเอง สมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัว ญาติพี่น้อง และเพื่อน รวมทั้งกิจกรรมที่พวกเขาเคยทำและมีความสุขก็ลดน้อยลง เพราะต้องทุ่มเทเวลาและพลังงานไปกับการเลี้ยงดูลูก ดังนั้นพ่อแม่ต้องการช่วงเวลาหยุดพัก ต้องการศูนย์ดูแลเด็ก และผู้ช่วยงานบ้าน เพื่อที่พวกเขาจะได้มีเวลาพักและฟื้นคืนพลังในการดูแลลูกต่อไป

 

4. ความต้องการทางด้านการเงิน

 

พ่อแม่ของเด็กที่มีความต้องการพิเศษมีค่าใช้จ่ายสูงในการเลี้ยงดูลูก พวกเขาต้องการเงินอุดหนุน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิกในครอบครัวให้ดีขึ้นและสามารถดูแลลูกที่มีความต้องการพิเศษได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

 

5. ความต้องการด้านบริการทางการแพทย์

 

พ่อแม่เด็กที่มีความต้องการพิเศษจำนวนมากรายงานว่าพวกเขาไม่ค่อยได้รับความช่วยเหลือจากบุคลากรทางการแพทย์มากนัก พวกเขาต้องการสนับสนุนด้านการดูแลเด็กเฉพาะทาง และความช่วยเหลือจากบุคลากรทางการแพทย์ให้มากขึ้นทั้งด้านข้อมูล การบริการ และกิริยามารยาทต่าง ๆ ซึ่งการได้รับการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ จากบุคลากรการแพทย์จะทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีตามศักยภาพของพวกเขา

 

6. ความต้องการทางด้านอื่น ๆ

 

เช่น ด้านความสัมพันธ์ ด้านการศึกษา และการด้านบริหารจัดการกับอนาคตของลูก

 

 


 

รายการอ้างอิง

 

“ประสบการณ์ทางจิตใจในระยะแรกของพ่อแม่หลังจากลูกได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ” โดย เพิ่มพูน สานิชวรรณกุล (2560) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/60085

 

ภาพประกอบจาก https://stock.adobe.com

Online Workshop: Multicultural Diversity Research, Practice and Training in Clinical and Counseling Psychology

The Clinical Psychology Program at Bowling Green State University is happy to offer an online workshop on multicultural diversity featuring international experts from Chulalongkorn University.

 

All interested faculty and students are welcome to attend!
Instructions for signing up for the conference are provided on the poster below.

The link for signing up for the is: https://bgsu.az1.qualtrics.com/jfe/form/SV_9Bl37fDgcgDRgW2

 

 

 

 

 

TOPICS:

 

1) Impacts of internalized racism on a trainee therapist of colour:

In multiculturalism classes, therapists usually learn to be culturally sensitive to clients from minority groups and try to understand the clients’ psychological process and power dynamics of working with white therapists.

In this talk, we are going to look at the reversed process. What is a trainee therapist of colour’s psychological process when working with white clients, especially if the therapist has internalized racism?

 

2) When Eastern philosophies are integrated into Western psychological interventions, what do we learn from the integration

Objectives:

  1. Understanding the roles of mindfulness in Buddhism
  2. The Differences between Western and Eastern Mindfulness
  3. How we could integrate Buddhist teachings into Western psychotherapy.

 

3) Self-compassion and Compassion: Their Manifestations and Applications within the Thai Cultures

Objectives:

  1. To illustrate the manifestations of self-compassion and compassion within the Thai culture
  2. To highlight sample applications of the two constructs within the Thai culture
  3. To explore potential cross-cultural investigations in the investigations of self-compassion and compassion.

 

4) Integrating Multicultural Perspectives in Occupational Clinical Health Psychology Research and Practice

Objectives:

  1. To understand different levels of culture and their role in psychology
  2. To demonstrate how culture is integrated into occupational clinic health psychology research
  3. To explain multiculturalism and its importance in the occupational clinical health psychology practice

ไปเที่ยวกับครอบครัว… มีเสียงของคุณลูกมากน้อยแค่ไหน?

เราก็อยู่กับ Covid–19 มาจะ 2 ปีแล้ว ผ่านมาทั้งช่วงที่มียอดผู้ติดเชื้อเป็นเลขสูง ๆ และเลขต่ำ ๆ วัคซีนก็น่าจะเริ่มฉีดได้มากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนก็ได้เข็ม 3-4 กันแล้ว มีใครเริ่มทนไม่ไหวออกไปเที่ยวกันมาแล้วบ้างเอ่ย? เที่ยวคนเดียว เที่ยวกับเพื่อน หรือกับครอบครัวกันครับ? แต่ถึงใครจะตอบว่าอย่างไร ก็จะเขียนเรื่องการเที่ยวกับครอบครัวอยู่แล้ว ขอโทษที่ทำให้บางท่านผิดหวังด้วยครับ…

 

ใครในบ้านที่ต้องเป็นคนวางแผนครอบครัวออกไปเที่ยว?

 

และใครได้รับบทบาทหน้าที่อะไรในการเที่ยวแต่ละครั้งบ้าง?

 

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เริ่มมีคนศึกษาเรื่องการตัดสินใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเป็นครอบครัว ซึ่งเป็นยุคสมัยที่ค่านิยมชายเป็นใหญ่ยังอยู่ แน่นอนว่าผลก็คือ สามีเป็นใหญ่ในการตัดสินใจหลายเรื่อง ซึ่งการท่องเที่ยวก็เป็นหนึ่งในนั้น ในขณะที่ปัจจุบันบางครอบครัว ภรรยาจะเป็นใหญ่ในการตัดสินใจได้เช่นกัน อย่างในครอบครัวที่สามีอาจจะทำงานหนักจนแทบไม่เห็นหน้าลูกอย่างในละคร หรือสามีที่เป็นสมาชิกสมาคมพ่อบ้านใด ๆ ภรรยาที่มีหน้าที่เลี้ยงลูกและจัดการหลาย ๆ เรื่องในบ้านก็มีแนวโน้มเป็นผู้ตัดสินใจหลักในการท่องเที่ยว หรือว่าจะเป็นลักษณะของการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเลย ก็จะกลายเป็นลักษณะของการที่ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ตัดสินใจหลัก เพราะโดนผลักภาระได้

 

ในครอบครัวยุคใหม่ ที่ทั้งสามีภรรยามีการศึกษาเท่ากัน มีภาระหน้าที่เสมอกัน ได้มีโอกาสช่วยกันดูแลลูก ก็สามารถวางแผนการท่องเที่ยวโดยตัดสินใจร่วมกัน หรือหากเป็นการท่องเที่ยวที่ใช้เงินเยอะอย่างการไปต่างประเทศ หรือการไม่สามารถตัดสินใจคนเดียวได้จากความกังวลทั้งเรื่อง ทรัพย์สิน เวลา ความสัมพันธ์ ฯลฯ ก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะวางแผนการท่องเที่ยวโดยตัดสินใจร่วมกัน ที่จะสร้างความผูกพันให้ครอบครัวได้มากกว่า แต่ถึงใครจะเป็นผู้ตัดสินใจก็ตาม เมื่อถึงเวลาออกเที่ยวจริง ๆ แล้ว แต่ละฝ่ายก็มีบทบาทเป็นของตัวเองด้วย เช่น ภรรยามักจะเป็นคนดูแลค่าใช้จ่าย ดูแลความเป็นอยู่ของลูก และคอยกระตุ้นความสัมพันธ์ในครอบครัว ส่วนสามีก็จะคอยประเมินความเสี่ยงของกิจกรรม และดูแลความปลอดภัยของการเดินทางและการท่องเที่ยว แต่หากบิดาเกิดไม่คุ้นชินกับลูกก็อาจเป็นได้แค่ผู้ติดตาม หรือผู้สนับสนุนได้

 

แล้วคุณลูกของเรามีส่วนในการตัดสินใจเที่ยวกับการเที่ยวของครอบครัวแค่ไหน ?

 

นักวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับการตัดสินใจแบบครอบครัว ค่อนข้างจะได้ผลตรงกันว่า เด็กมักมีส่วนสำคัญเกี่ยวกับการวางแผนไปเที่ยว ในกระบวนการของการสร้างไอเดียให้พ่อแม่วางแผนการท่องเที่ยว และการตัดสินใจขั้นท้ายสุด โดยทั่วไปเด็กวัยแรกเกิดที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่วุ่นวายกับการให้นมและการนอนของลูก รวมกับภูมิต้านทานของน้องที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ฯลฯ ก็จะมีผลต่อการตัดสินใจไปเที่ยวของคุณพ่อคุณแม่มาก ๆ เลยก็คือ อย่าได้ฝืนไปให้ลำบากเลย แต่เมื่อคุณลูกโตขึ้นเริ่มช่วยเหลือตัวเอง สื่อสาร และแสดงพฤติกรรมได้มากขึ้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่อยากไปเที่ยวเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว ก็จะเริ่มสังเกตพฤติกรรม หรือถามความเห็นของลูก เพื่อนำมาเป็นตัวตั้งต้นในการกำหนดสถานที่เที่ยว แต่ในช่วงวัย 2-4 เด็กจะยังไม่ได้มีความรู้ และข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่เที่ยวมากนัก และเวลาที่คุณพ่อแม่จะพูดคุยกับเด็กก็จะเป็น เวลาเล่น เวลากินข้าวและดูโทรทัศน์ หากถามว่าน้องอยากไปไหน ก็อาจจะได้คำตอบเช่น “อยากเล่นทรายเยอะ ๆ” หรือ “อยากเห็นทุ่งข้าวสาลี” และพ่อแม่ก็จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปกำหนดสถานที่เที่ยวต่อไป และหลังจากกำหนดสถานที่และวางแผน ก็จะถามลูกเป็นการยืนยันอีกคร้งว่า “อยากให้แม่พาไปดูปลาไหมคะ” “อยากไปเล่นทรายที่ทะเลไหม” เป็นต้น

 

นอกจากลูกน้อยจะส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกที่เที่ยวแล้ว ในระหว่างการท่องเที่ยว เด็ก ๆ ก็มักจะมีผลกับการใช้จ่ายของครอบครัวด้วย พาลูกมาเที่ยวขนาดนี้มีบ้านไหนจะยอมขาดขนม ของเล่น ฯลฯ มาคอยเอาใจลูกน้อย ทั้งเพื่อทำคะแนนความสัมพันธ์กับลูก และเพื่อป้องกันการขัดใจลูกจนอาละวาดระหว่างการท่องเที่ยว

 

เด็กโตและวัยรุ่นที่สื่อสารได้มากขึ้น แต่ละคนก็จะมีส่วนร่วมแตกต่างกันไป ลูกที่มีความสนใจและศึกษาเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว ก็จะมีบทบาทสำคัญหรืออาจจะมาเป็นคนวางแผนหลักแทนพ่อแม่ได้ ในขณะที่ลูกที่ไม่สนใจการเที่ยวก็จะเป็นผู้ตามที่ดี หรือถ้าประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ผ่านมามันแย่มาก ๆ วัยรุ่นก็เรียนรู้ที่จะปฏิเสธอาจจะปล่อยพ่อแม่ไปเที่ยวแล้วอยู่เฝ้าบ้านคนเดียวก็ได้

 

 

ญาติเข้ามาสร้างประสบการณ์หลากหลายให้กับการท่องเที่ยวของลูก…ทั้งแบบดีและไม่ดี

 

สำหรับประเทศไทย ญาติก็มีผลได้หลาย ๆ สถานการณ์ เช่น การมีญาติสูงอายุช่วยดูแลลูกอยู่ในครอบครัว ส่วนหนึ่งก็จะช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ในการดูแลลูก แต่อีกส่วนหนึ่ง พ่อแม่ก็จะต้องแบ่งความสนใจจากลูก มาดูแลเอาใจผู้สูงอายุที่เป็นพ่อแม่ตัวเองด้วยเช่นกัน อีกทั้งการมีผู้สูงอายุจะเพิ่มข้อจำกัดทำให้แผนการท่องเที่ยวใช้แรงกายมากไม่ได้ ทั้งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นด้วย แต่โดยรวมแล้วญาติสูงอายุที่อยู่กับคุณลูกเป็นประจำและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกก็จะสามารถสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ดีได้

 

การมีญาติอยู่ต่างจังหวัดหรือวันรวมญาติ ก็เป็นกรณีที่ทำให้ครอบครัวต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาปีละ 1 ครั้ง หรือ มากกว่านั้น เช่น ปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ ซึ่งก็มักจะเป็นกิจกรรมของพ่อแม่ ที่ลูกมักจะไม่มีส่วนในการตัดสินใจและปฏิเสธได้ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นซ้ำทุกปี ถ้าเป็นการเดินทางที่ทั้งต้องเดินทางนั่งรถยาวนาน แล้วยังไม่ได้สร้างประสบการณ์ที่ดี แน่นอนว่าจะเกิดความเบื่อหน่าย พ่อแม่มักจะอธิบายถึงเหตุผล ความสำคัญ ความเชื่อ ฯลฯ ของกิจกรรมรวมญาติ แต่ยิ่งยุคสมัยเปลี่ยนไปก็มีแนวโน้มที่คนรุ่นใหม่ยอมรับน้อยลง และตั้งคำถามมากขึ้น ต้องคอยพยายามเบี่ยงเบนความสนใจแวะหาของกิน หรือแวะเที่ยวตามทางเป็นการผ่อนคลาย

 

ในวันรวมญาตินั้น วัยของเด็กก็จะมีผลต่อวงสนทนาของญาติต่างกัน สำหรับเด็กทารกและเด็กเล็กก็จะง่ายเพราะเด็กจะเป็นที่สนใจของทุกคน เด็กก็จะสำรวจ คลาน-เดิน ไปมาให้ญาติได้ชื่นชมความน่ารัก แต่เด็กที่โตขึ้นมาแล้วในยุคสมัยก่อนหน้า การที่เด็กมารวมตัวกัน ก็อาจจะได้วิ่งเล่นใช้แรงได้เห็นพฤติกรรม อารมณ์ ของเด็ก ก็สามารถพูดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า หรือร่วมเล่นกับเด็ก สามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างญาติได้ แต่ในปัจจุบันที่มีมือถืออยู่ทำให้เด็กสามารถเพลิดเพลินได้ด้วยตัวเอง (พ่อแม่ก็เช่นกัน) แล้วก็ดูมือถืออยู่แต่กับครอบครัวตนเอง ทำให้การร่วมเล่นของกลุ่มญาติเกิดได้ยากขึ้น ในวงสนทนาพ่อแม่ต้องเอาคุณลักษณะอื่น ๆ หรือผลงานของลูกมาคุยกันคล้ายเป็นการอวด พ่อแม่และญาติอาจต้องพยายามมากขึ้นเพื่อจะทำให้ ลูก/หลาน ได้ปฏิสัมพันธ์กัน และหลีกเลี่ยงบรรยากาศของการเปรียบเทียบ

 

 

โดยสรุปแล้วก็คือ ลูกจะมีส่วนร่วมกับการตัดสินใจท่องเที่ยวของครอบครัวมากขึ้นตามวัยที่สามารถสื่อสารและแสดงความต้องการของตนเอง ความสนใจในการท่องเที่ยวของลูกที่สูง ก็จะยิ่งทำให้มีบทบาทมากขึ้น ทำให้ได้การท่องเที่ยวที่ลูกพอใจ พ่อแม่ไม่ต้องมาคิดหัวแตกว่าวางแผนเองแล้วพอลูกไปแล้วจะถูกใจไหม เหลือแต่คอยดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องคอยกำกับ แต่ว่ายังไงเที่ยวช่วงนี้ก็ยังต้องระมัดระวังโรคด้วยนะครับ ถึงแม้จะบอกว่าคุณพ่อมักจะมีบทบาทดูแลความปลอดภัย แต่โรคติดต่ออย่างงี้ คุณพ่อคนเดียวเอาไม่อยู่ ต้องช่วยกันดูแลทั้งครอบครัวนะครับ

 

 


 

รายการอ้างอิง

 

Li, M., Lin, G., & Feng, X. (2021). An Interactive Family Tourism Decision Model. Journal of Travel Research, 00472875211056682.

 

Wang, Y., & Li, M. (2021). Family Identity Bundles and Holiday Decision Making. Journal of Travel Research, 60(3), 486-502.

ภาพจาก https://www.freepik.com/

 


 

บทความวิชาการ

โดย คุณณัฐนันท์ มั่นคง

นักจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

การโทษเหยื่อในกรณีล่วงละเมิดทางเพศ

บ่อยครั้งที่มีกรณีล่วงละเมิดทางเพศ ตั้งแต่การคุกคามด้วยสายตา วาจา ไปจนถึงเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นการข่มขืนและฆาตกรรม เราจะพบข้อคิดเห็นในลักษณะที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับเหยื่อ ว่าผู้ถูกกระทำมีลักษณาการเช่นไร หรือมีการปฏิบัติตนเช่นไรก่อนและระหว่างการถูกล่วงละเมิด

 

“เหยื่อแต่งตัวโป๊”

“เหยื่อเป็นเด็กเอนฯ”

“เหยื่อเดินคนเดียวในซอยเปลี่ยว”

“เหยื่อไม่ร้องขอความช่วยเหลือ ไม่ดิ้นรนขัดขืน”

“เหยื่อสมยอมตามผู้กระทำไปที่ห้องเอง”

 

ข้อความที่มุ่งไปที่เหยื่อเหล่านี้ นอกจากถูกใช้เป็นข้อแก้ต่างของตัวผู้กระทำผิดเองแล้ว ยังเป็นข้อคิดเห็นจากบุคคลทั่วไปที่ได้รับทราบข่าวสารอีกด้วย แม้ในเหตุการณ์ที่มีความร้ายแรงมาก คือเหยื่อได้รับผลกระทบทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรงหรือเสียชีวิต การโทษเหยื่อก็ยังคงปรากฏอยู่ มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ไม่เคยหายไป บางครั้งก็สุดโต่งแม้กระทั่งว่า เมื่อได้รับข้อมูลแล้วว่าเหยื่อเป็นเหยื่อในอุดมคติ (ideal victim) หรือมีลักษณะที่อยู่ภายในกรอบที่สังคมกำหนดทุกประการ เช่น แต่งตัวมิดชิด ไม่ดื่มเหล้า ไม่พาตนไปอยู่ในสถานที่และสถานการณ์เสี่ยง เป็นผู้เยาว์หรือเป็นผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก็ยังมีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการเผชิญปัญหาภายหลังเกิดเหตุของเหยื่อ ว่าเหยื่อแจ้งความหรือไม่ บอกผู้ปกครองหรือขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นหรือไม่ ปล่อยให้เกิดเหตุซ้ำหรือไม่ และเมื่อกล่าวโทษสิ่งใดไม่ได้ ก็โทษไปยังเคราะห์กรรมในอดีตของเหยื่อ

 

 

การโทษเหยื่อ (victim blaming)

คือ การที่ผู้ถูกกระทำถูกกล่าวโทษว่าเป็นต้นเหตุหรือมีส่วนให้การกระทำผิดหรือภัยอันตรายเกิดขึ้นแก่ตน การกล่าวโทษเหยื่อนั้น นอกจากเป็นการซ้ำเติมผู้ถูกกระทำให้ได้รับความเจ็บปวด และทำให้เหยื่อหลายรายไม่กล้าที่จะเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ตนแล้ว ยังเป็นการลดทอนความร้ายแรงของการกระทำผิดและเพิ่มความชอบธรรมให้แก่ผู้ที่กระทำผิดอีกด้วย อันเป็นการส่งผลเสียต่อทั้งตัวบุคคลผู้เสียหายและต่อสังคมโดยรวม ที่จะไม่มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเหยื่อ และกระทบต่อความโน้มเอียงในการตัดสินเชิงจริยธรรมของคนในสังคม

 

การโทษเหยื่อเกิดขึ้นได้อย่างไร

การศึกษาทางจิตวิทยาพบว่า การโยนความผิดไปยังผู้ที่ตกเป็นเหยื่อหรือผู้ประสบเหตุร้ายประเภทต่าง ๆ มีส่วนสัมพันธ์กับความเชื่อที่ว่า “โลกนี้มีความยุติธรรม” (Belief in a just world) บุคคลที่มีความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรม จะเชื่อว่าโลกนี้มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่า ผู้ทำดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทำไม่ดีย่อมได้รับผลที่ไม่ดี เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับใคร สิ่งนั้นย่อมคู่ควรแก่คนนั้น ความเชื่อนี้เป็นแรงจูงใจพื้นฐานของมนุษย์ที่ต้องการเห็นความยุติธรรม คนส่วนใหญ่ก็มีความเชื่อนี้ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตและการหล่อหลอมทางสังคม ตลอดจนความเชื่อทางศาสนา และนอกเหนือจากปัจจัยทางสังคมแล้ว ความเชื่อนี้ยังเกิดจากกลไกการทำงานของจิตใจที่พัฒนามาตั้งแต่ในวัยเด็ก โดยเด็กเล็กจะยึดหลักความพึงพอใจของตน ต้องการได้รับการตอบสนองทันทีในสิ่งที่อยากได้อยากทำ แต่เมื่อโตขึ้น เด็กเรียนรู้ว่าการได้รับการตอบสนองในทันทีเป็นเรื่องยาก จึงเริ่มมีพันธะส่วนบุคคลในการละทิ้งความพึงพอใจในปัจจุบัน และอดทนรอเพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่าและคู่ควรในวันข้างหน้า การรู้จักอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เพียรพยายาม อุตสาหะ และการจัดการสิ่งแวดล้อมของตน พันธะส่วนบุคคลเหล่านี้จะถูกต้องเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อบุคคลรู้สึกว่าตนอยู่ในโลกที่มีความยุติธรรม เป็นโลกที่ทุกสิ่งที่ตนทำได้ผลลัพธ์ที่คู่ควรกันเสมอ (อย่างไรก็ดี เมื่อบุคคลเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีพัฒนาการทางการรู้คิด มีวุฒิภาวะเพิ่มขึ้นและเห็นโลกมากขึ้น ความเชื่อว่าโลกยุติธรรมจะลดลงหรือมีการเปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยยึดติดในผลกรรม หรือมองสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเครื่องชี้พฤติกรรมก่อนหน้าว่าถูกหรือผิด จะคำนึงถึงความยุติธรรมที่แท้จริงมากขึ้น มีแนวคิดที่ยืดหยุ่นมากขึ้น)

 

นักจิตวิทยาเสนอว่าความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมเป็นความลำเอียงทางปัญญา (cognitive bias) ซึ่งเป็นกลไกให้มนุษย์รับมือกับความเครียด เพราะในชีวิตประจำวันที่เราเผชิญเต็มไปด้วยความไม่ยุติธรรม กดขี่ กีดกัน ไม่เท่าเทียม คนทำดีไม่ได้ดี คนทำชั่วไม่ได้ชั่ว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุกคามให้เกิดความคับข้องใจ การรักษาความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมเอาไว้เป็นการรักษาความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างยังมั่นคง มีระบบระเบียบและสามารถควบคุมได้ 

 

แม้ความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมเป็นเครื่องมือที่คนใช้เป็นเกราะป้องกันทางจิตใจ ช่วยให้บุคคลครุ่นคิดต่อเหตุการณ์ด้านลบน้อยกว่า ยอมรับต่อเหตุการณ์ไม่ยุติธรรมที่เกิดกับตนได้มากกว่า มองโลกในแง่ดีมากกว่า เชื่อในอำนาจควบคุมภายในตนเองมากกว่า แต่เหรียญด้านที่สองของความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมคือการดูหมิ่นผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ อคติ และการกีดกันสถานภาพ เมื่อบุคคลพบกับเหตุการณ์ที่ผู้ถูกกระทำตกเป็นเหยื่อของความไม่ยุติธรรมหรือความไม่สมเหตุสมผล ผู้ที่มีความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมจะกล่าวหาว่าผู้ประสบเคราะห์ร้ายนั้นได้กระทำสิ่งที่ไม่ดีมาก่อนจึงได้รับผลเช่นนี้ เป็นความคิดที่กู้ความรู้สึกว่าทุกสิ่งยังยุติธรรมดีอยู่ ยิ่งในกรณีที่บุคคลรู้สึกหมดหนทางที่จะนำความยุติธรรมกลับคืนมาหรือชดเชยใด ๆ ให้แก่เหยื่อได้ การดูหมิ่นและโยนความผิดให้เหยื่อยิ่งจะเกิดได้มากขึ้น 

 

นอกจากปัจจัยเรื่องความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมซึ่งเป็นสาเหตุของการโทษเหยื่อ (victim blaming) โดยทั่วไปแล้ว ในเหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศ อีกปัจจัยที่กล่าวข้ามไปไม่ได้คือเรื่องการมีอคติทางเพศ หรือการเหยียดเพศ (sexism)

ความเชื่อของคนในสังคมที่มองว่าเพศชายและเพศหญิงมีความแตกต่างกัน เพศชายมีความแข็งแกร่งทางสรีระมากกว่า ได้รับบทบาททางเพศให้เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองสังคม ส่วนเพศหญิงที่อ่อนแอกว่า ได้รับบทบาททางเพศให้เป็นผู้ดูแลความสัมพันธ์และบุคคลในครอบครัว ความเชื่อในบทบาททางเพศ (gender role) จากการแบ่งแยกเพศ (gender differentiation) เช่นนี้ นอกจากกำหนดบทบาทหน้าที่และพฤติกรรมของชายและหญิงแล้ว ยังส่งผลต่อการเหมารวมด้านบุคลิกลักษณะ และความสามารถอีกด้วย กล่าวคือ สังคมมีภาพเหมารวมว่าผู้ชายต้องมีความเป็นผู้นำ เข็มแข็ง กล้าตัดสินใจ มีพลังอำนาจ เป็นอิสระ (masculine) เก่งคำนวณและทิศทาง และมีภาพเหมารวมว่าผู้หญิงต้องมีความอ่อนหวาน นุ่มนวล ขี้อาย เป็นผู้ตาม (feminine) เก่งภาษาและงานที่มีความละเอียดอ่อน ผลที่ตามมาจากการคติความเชื่อเช่นนี้คือ บุคคลที่มีลักษณะสอดคล้องกับค่านิยมทางเพศดังกล่าวจะได้รับการยกย่อง ชมชอบ ส่วนบุคคลที่มีลักษณะไม่สอดคล้องจะได้รับการตำหนิ รังเกียจเดียดฉันท์ โดยนักจิตวิทยาเรียกเจตคติต่อผู้หญิงในลักษณะแบ่งแยกเป็นกลุ่มดี-กลุ่มเลว ตามความสอดคล้อง-ขัดแย้งกับค่านิยมทางเพศเช่นนี้ว่า การเหยียดเพศแบบแยกขั้ว (ambivalent sexism)

 

การเหยียดเพศแบบแยกขั้ว ประกอบด้วย 

  1. การเหยียดเพศแบบปฏิปักษ์ (hostile sexism) และ 
  2. การเหยียดเพศแบบให้คุณ (benevolent) 

 

การเหยียดเพศแบบปฏิปักษ์ คือความรู้สึกเกลียดชัง เป็นศัตรู และเหยียดหยาม ต่อผู้หญิงที่มีบทบาทกับจารีตประเพณีหรือแสดงออกว่ามีอำนาจเหนือผู้ชาย เช่น ผู้หญิงที่มีลักษณะยั่วยวนก่อให้เกิดความปรารถนาทางเพศ ผู้หญิงที่มีความเป็นผู้นำสูง ขณะที่การเหยียดเพศแบบให้คุณนั้น คือความรู้สึกรักใคร่ นิยม ให้เกียรติ และปกป้องดูแล ต่อผู้หญิงที่มีบทบาทไปในทางเดียวกับจารีตประเพณี เช่น ผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านแม่เรือน ผู้หญิงที่อ่อนน้อมโอนอ่อนต่อผู้ชาย

 

การเหยียดเพศแบบแยกขั้วเกิดขึ้นในหลาย ๆ สังคม แม้ในสังคมที่ให้คุณค่าเรื่องความเท่าเทียมกันของมนุษย์ก็ยังมีระบบที่ส่งเสริมให้ผู้ชายมีสิทธิเหนือกว่าผู้หญิงแฝงอยู่ (เช่นในการจ้างงานและการให้สวัสดิการ) กลับมามองที่สังคมไทย การเหยียดเพศแบบแยกขั้วปรากฏอยู่อย่างชัดเจนในหลายมิติ คติของการแบ่งแยกผู้หญิงดีและผู้หญิงไม่ดีมีทั้งในการอบรมสั่งสอนจากครอบครัว การศึกษาในหลักสูตร ตลอดจนการนำเสนอข่าวและสื่อบันเทิง ดังเช่น การที่สังคมสอนให้ผู้หญิงต้องระมัดระวังตัวเองมากกว่าที่จะสอนให้ทุกคนไม่ไปละเมิดและทำร้ายผู้อื่น ดังนั้นในการโทษเหยื่อ เหยื่อที่ถูกโยนความผิดจึงมักเป็นเหยื่อที่มีลักษณะไม่ได้อยู่ในกรอบของการเป็นผู้หญิงที่ดี ทำให้การแต่งกาย อาชีพ บุคลิก การวางตัว กลายเป็นตัวแบ่งระหว่างเหยื่อที่ได้รับความเห็นใจและเหยื่อที่ถูกซ้ำเติมดูหมิ่น

การเลือกปฏิบัติจากอคติทางเพศในลักษณะนี้ไม่ได้เกิดผลร้ายเฉพาะเหยื่อเพศหญิงเท่านั้น แม้การเหยียดเพศแบบแยกขั้วเป็นคอนเซปต์ที่เน้นไปยังเพศหญิง แต่ผู้ชายเองก็ได้รับผลกระทบจากการแบ่งแยกผู้ชายที่สอดคล้องกับภาพในความคิดและไม่สอดคล้องเช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่า ผู้ชายถูกกดดันคาดหวังให้มีความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว เป็นผู้นำ ไม่แสดงความอ่อนแอ เมื่อตกเป็นผู้ถูกกระทำจึงมักถูกตั้งคำถามในเจตนา และความสามารถทางกายตลอดจนความสามารถทางปัญญา แทนที่จะได้รับความเห็นอกเห็นใจ ในกรณีที่เพศชายตกเป็นเหยื่อในเหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศ บ่อยครั้งจะถูกมองเป็นเรื่องขำขัน ความร้ายแรงของเหตุการณ์จะถูกลดทอนลงไป ความกระทบกระเทือนทางร่างกายและจิตใจของเหยื่อเพศชายมักถูกมองข้าม มาตรการทั้งในเชิงป้องกันและดูแลช่วยเหลือเหยื่อเพศชายไม่ค่อยได้รับการพูดถึง เหยื่อผู้หญิงที่กล้าแจ้งความหรือเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ตนมีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับจำนวนเหยื่อทั้งหมด เหยื่อผู้ชายที่กล้าเปิดเผยเรื่องราวที่ตนเผชิญยิ่งมีน้อยกว่า มีหลายรายที่ต้องแบกรับความเจ็บปวดเพียงลำพังเพราะไม่กล้าเสี่ยงกับความอับอายและการถูกดูหมิ่น

 

เราจะลดการกล่าวโทษเหยื่อในกรณีล่วงละเมิดทางเพศได้อย่างไร

เมื่อเราได้ทราบแล้วถึงที่มาของการกล่าวโทษเหยื่อว่ามาจากวิธีคิดและคติความเชื่อที่ไม่สมเหตุสมผลและไม่เป็นธรรม การลดการโทษเหยื่อจึงต้องช่วยกันสร้างการตระหนักรู้เท่าทันในวิธีการคิดของตน ช่วยกันเน้นย้ำว่าเหยื่อคือผู้ถูกกระทำ คือผู้ที่ได้รับความเจ็บปวด เป็นผู้ที่ต้องการการช่วยเหลือ การปกป้องจากอันตรายและการซ้ำเติมอื่น ลักษณะของเหยื่อไม่ใช่เหตุผลของการถูกทำร้ายถูกล่วงละเมิด ความยุติธรรมของโลกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นและดำรงอยู่เอง แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์ในสังคมจะร่วมกันสร้างขึ้นมา เมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้ว ความยุติธรรมจะมีอยู่ได้เมื่อเหยื่อมีพื้นที่ปลอดภัยในการต่อสู้และได้ชีวิตปกติกลับคืนมา ส่วนผู้ที่ต้องเผชิญจากการตั้งคำถามจากสังคมคือผู้ที่กระทำผิด โดยเป็นการตั้งคำถามเพื่อหาทางแก้ไขไม่ให้ความผิดเดิมเกิดขึ้นซ้ำ และป้องกันไม่ให้กรณีเดียวกันเกิดขึ้นกับใครอีก

นอกจากการตระหนักรู้ของปัจเจกบุคคลในสังคมแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม และสื่อมวลชนที่มีอิทธิพลต่อการชี้นำความคิดของคนในสังคม ต้องช่วยกันสร้างและดำเนินการอย่างเคร่งครัดในมาตรการ ข้อกฎหมาย และจรรยาบรรณ เกี่ยวกับการพิทักษ์เหยื่อ และส่งสารไปยังสังคมให้ตระหนักในความสำคัญของความเท่าเทียมและการไม่ใช้อคติในการตัดสินผู้ใด 

สังคมมนุษย์เป็นสังคมใหญ่ที่ประกอบด้วยความแตกต่างหลากหลาย การจัดกลุ่มทางสังคมเป็นเรื่องธรรมชาติของคนเรา หากแต่การประเมินคุณค่าของบุคคลด้วยภาพเหมารวมเป็นสิ่งที่สามารถสร้างความเจ็บปวดให้แก่กันและกันได้ การเคารพในความแตกต่างจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะแม้ว่ามนุษย์แต่ละคนจะมีอัตลักษณ์ที่แตกต่างกันเพียงใด แต่ความเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึก ต้องการความเข้าใจ ได้มีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย คือพื้นฐานร่วมกันของพวกเราทุกคน

 

 

รายการอ้างอิง

 

ไตรภพ จตุรพาณิชย์. (2557). อิทธิพลของความเชื่อว่าโลกมีความยุติธรรมต่อการตัดสินด้านจริยธรรม [วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. Chulalongkorn University Intellectual Repository (CUIR). http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/45922

 

ธารวิมล ดิษฐรักษ์. (2558). อิทธิพลของการเหยียดเพศแบบแยกขั้วต่อการกระทำเพื่อกลุ่มโดยมีการรับรู้ความยุติธรรมระหว่างเพศและการรับรู้ข้อได้เปรียบของการเป็นผู้หญิงเป็นตัวแปรส่งผ่าน [วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]. Chulalongkorn University Intellectual Repository (CUIR). http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/50744 

ภาพประกอบ https://www.freepik.com/

 

 


 

บทความวิชาการ

โดย คุณรวิตา ระย้านิล

นักจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย