News & Events

ล้มแล้วลุกได้…หากเรามีทุนทางจิตวิทยา (ตอนที่ 1)

ล้มแล้วลุกได้…หากเรามีทุนทางจิตวิทยา

“Resilience” ทุนทางจิตวิทยา ตอนที่ 1

 

 

จากสถานการณ์ของโรคระบาด COVID-19 ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงและยังคงส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ผลกระทบโดยตรงที่เกิดขึ้นต่อบุคคล ในการประกอบอาชีพ คือ ปัญหาการว่างงาน การถูกลดเงินเดือน หรือการถูกให้ออกจากงานกลางคัน ข้อมูลรายงานภาวะสังคมไทยประจำไตรมาสหนึ่ง ปี 2564 ของสำนักสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สรุปว่า อัตราการว่างงานมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และการว่างงานของแรงงานในระบบยังอยู่ในระดับสูง มีผู้ว่างงานจำนวน 0.76 ล้านคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน ร้อยละ 1.96 สูงขึ้นอีกครั้ง หลังจากปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ข้อมูลดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจาก COVID-19 ที่ยังคงมีอยู่ และมีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานมากขึ้น หากการแพร่ระบาดยังคงรุนแรงและต่อเนื่องยาวนาน

 

ท่ามกลางวิกฤตที่เกิดขึ้นในการเผชิญปัญหาและชะตากรรมที่เลวร้ายนี้ ในหน้าข่าวหนังสือพิมพ์และบนโลกโซเชียล พบโศกนาฏกรรมของคนพ่ายแพ้ชีวิตเพราะปัญหาการตกงาน ขาดรายได้ กิจการไปต่อไม่ไหว แบกรับหนี้สินจำนวนมาก ก่อให้เกิดปัญหาการฆ่าตัวตายตามมา จนกลายเป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจรายวัน แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังคงสู้ชีวิต ลุกขึ้นมาในยามที่ล้ม และก้าวเดินไปด้วยหัวใจนักสู้ ในเส้นทางชีวิตใหม่ ข่าวดาราขับรถส่งอาหาร หรือ กัปตันเครื่องบินเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่ผันตัวเองไปเป็นแม่ค้าขายทุเรียน แม้แต่พนักงานเงินเดือนน้อยที่ตกงานแต่กลับประสบความสำเร็จในการขายของออนไลน์ จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจว่า คนเหล่านี้มีมุมมองชีวิตที่ต้องรับมือกับปัญหาและอุปสรรคอย่างไร สิ่งใดเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาลุกขึ้นสู้ มองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แม้ในยามมืดมิด

 

ในปี 2002 ศาสตราจารย์ทางจิตวิทยา Fred Luthans ได้นำเสนอตัวแปรทางด้านจิตวิทยาเชิงบวก ที่เรียกว่า Psychological Capital หรือ ทุนทางจิตวิทยา ซึ่งเป็นคุณลักษณะและทรัพยากรทางจิตวิทยาที่มีอยู่ในตัวของแต่ละบุคคลที่สามารถวัดได้ พัฒนาได้และนำไปบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์ได้ เช่น การเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของพนักงานในองค์กร ส่งผลให้องค์กรมีผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้น พนักงานมีสุขภาวะที่ดีมากขึ้น ทุนทางจิตวิทยาจึงเสมือนหนึ่งภูมิคุ้มกันที่ยอดเยี่ยมในการดำรงไว้ซึ่งสมรรถนะและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของคนเรา

 

Luthans (2002) ได้กล่าวว่า ทุนทางจิตวิทยามี 4 องค์ประกอบ ได้แก่

 

  1. การรับรู้ความสามารถของตนเอง (Self-efficacy)
  2. การมองโลกในแง่ดี (Optimism)
  3. ความหวัง (Hope)
  4. ความสามารถในการฟื้นพลัง (Resilience)

 

ในปัจจุบันได้มีการขนานนามของทุนทางจิตวิทยาขึ้นมาใหม่ โดยการนำเอาตัวอักษรตัวแรกของแต่ละองค์ประกอบมาจัดเรียงต่อกันจนกลายเป็นคำว่า HERO หรือ ยอดมนุษย์ ซึ่ง H หมายถึง Hope E หมายถึง Efficacy R หมายถึง Resilience และ O หมายถึง Optimism ชื่อใหม่ในความหมายเดิมของทุนทางจิตวิทยา ยิ่งทำให้ตัวแปรทางจิตวิทยาเชิงบวกนี้ดูมีพลังพิเศษและจดจำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

 

สำหรับบทความตอนนี้ ผู้เขียนจะขอนำเสนอเพียง 1 ใน 4 องค์ประกอบของทุนทางจิตวิทยา นั่นคือ Resilience ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ถูกกล่าวขานมากในสถานการณ์ของโลกที่กำลังประสบอยู่ในขณะนี้ ทั้งวิกฤติจากโรคระบาด ความผันผวนทางเศรษฐกิจ สถานการณ์ของภัยธรรมชาติ และ ความร้อนแรงทางการเมืองทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ แม้ว่า Resilience เป็นคำที่ยังไม่มีคำบัญญัติที่ชัดเจนในคำเดียว แต่เรายังอาจพบคำที่แทนความหมายของ Resilience ที่หลากหลายได้ในภาษาไทย เช่น ความสามารถในการกลับคืนสู่ปรกติ พลังแห่งการฟื้นตัว ความยืดหยุ่นทางจิตใจ การล้มแล้วลุกเร็ว หรือแม้แต่ ปัญญาล้มลุก เป็นต้น แต่ในบทความนี้ขอเลือกใช้คำว่า ความสามารถในการฟื้นพลัง เพื่อแทนความหมายของ Resilience

 

รากศัพท์ของคำว่า Resilience มาจากภาษาละตินซึ่งมีความหมายว่า ดีดตัวกลับมา หรือ สะท้อนกลับ ในช่วงต้นของทศวรรษที่ 20 นั้น คำว่า Resilience ถูกใช้ในแวดวงของงานด้านวิศวกรรมเพื่อให้เข้าใจถึงความผิดปรกติเกี่ยวกับรูปทรงของวัสดุ (Deformation) ในช่วงปี 1970 คำว่า Resilience นี้ได้ก้าวออกมาจากวงการวิศวกรรมไปสู่แวดวงด้านจิตวิทยาและใช้อธิบายถึงการปรับตัวในทางที่ดีขึ้นต่อความเครียดหรือความชอกช้ำใจ (Garmezy, 1973) คำว่า Resilience ยังถูกนำมาใช้ในงานด้านนิเวศน์วิทยา เพื่อใช้ในการอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในระบบนิเวศน์ ที่ใช้การฟื้นคืนในการปรับตัวเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือการก้าวไปสู่สภาวะใหม่ในระบบนิเวศน์ (Holling, 1973)

 

Luthans (2002) กล่าวว่า ความสามารถในการฟื้นพลังนี้จะช่วยให้บุคคลมองว่าความพ่ายแพ้ ความล้มเหลว การถูกคุมคาม เป็นการลงทุนทั้งทางด้านเวลา พลังงานชีวิต และทรัพยากรในตนเอง การปรับเปลี่ยนมุมมองและให้คุณค่าทางบวกกับความพ่ายแพ้ ความล้มเหลวและอุปสรรคที่เคยผ่านมาในชีวิต จะช่วยให้บุคคลเรียนรู้ที่จะผ่านพ้นความยากลำบากต่าง ๆ และกลับคืนมาสู่ภาวะปรกติได้ (Sutcliffe & Vogus, 2003; Youssef & Luthans, 2005)

 

ความสามารถในการฟื้นพลังนั้นจึงเป็นทักษะอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้เองในทันที หากต้องผ่านการบ่มเพาะจากประสบการณ์ตั้งแต่วัยเยาว์ที่ได้ก้าวข้ามผ่านความพ่ายแพ้ ล้มเหลว ความไม่สมหวัง และสภาวะทางอารมณ์ที่เคยท้อแท้และหมดกำลังใจมาก่อน หากทุกคนเคย ขี่จักรยานล้ม สอบตก อกหักจากความรักครั้งแรก พลาดหวังจากการสอบคัดเลือกเข้าคณะหรือมหาวิทยาลัยที่ตั้งใจไว้ หรือ ล้มเหลวจากความคาดหวังและแม้แต่สูญสียบุคคลอันเป็นที่รัก ช่วงเวลาของประสบการณ์เหล่านี้ จะเป็นบทเรียนที่มีความหมาย ช่วยให้แง่คิดและสร้างมุมมองในการเรียนรู้ที่ต่างออกไปและช่วยประคับประคองให้สามารถลุกขึ้นเดินต่อได้ในหนทางของชีวิต การไม่จมอยู่กับอดีตและยอมทิ้งความฝันเดิมที่กลายเป็นความล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า และมุ่งคว้าความฝันใหม่ที่สามารถทำสำเร็จได้อย่างสวยงามด้วยสองมือของตนเองในที่สุด สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นรากฐานสำคัญของความเชื่อมั่นและศรัทธาในตนเอง ช่วยพัฒนามุมมองของการ “ล้มได้ก็ลุกได้” ให้กลายเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมีพลังที่ไม่มีวันสิ้นสุด แม้จะต้องล้มลุกคลุกคลานอีกซักกี่ครั้งก็ตาม

 

Charles Darwin ผู้เสนอทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตโดยกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ เคยกล่าวไว้ว่า “สิ่งมีชีวิตที่จะอยู่รอดได้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงที่สุดหรือฉลาดที่สุดแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้มากที่สุด” ดังนั้นการเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้มีชีวิตรอดท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นได้โดยที่เราไม่อาจรู้ล่วงหน้า เช่น ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ภัยพิบัติ หรือแม้กระทั่งโรคระบาด จึงเป็นกุญแจสำคัญในการไขไปสู่ความลับที่ว่า ทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้นย่อมก่อให้เกิดผลกระทบที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้เสมอ

 

ในช่วงที่เกิดโรคระบาด COVID-19 Bozdag และ Ergun (2020) ศึกษาถึงความสามารถในการฟื้นพลังในกลุ่มของผู้ประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์ในประเทศตุรกี พบว่า การให้บริการสุขภาพอย่างต่อเนื่องในช่วงของการระบาดส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์เกิดความเครียดทั้งจากความกังวลใจที่อาจจะติดเชื้อโควิดจากผู้ป่วยและความเหนื่อยล้าในการปฏิบัติงาน ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานในช่วงการระบาดของ COVID-19 มีความสามารถในการฟื้นพลังเพิ่มมากขึ้นได้แก่ คุณภาพการนอนหลับ (Quality of sleep) อารมณ์ในเชิงบวก (Positive emotions) และความพึงพอใจในชีวิต (Life satisfaction)

 

นอกจากนั้น การศึกษาของ Walsh (2020) พบว่า ความสามารถในการฟื้นพลังหลังจากเหตุการณ์การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักในครอบครัวเนื่องจากโรคระบาด COVID-19 นั้นประกอบไปด้วยปัจจัย 3 ประการได้แก่

 

1) กระบวนการสร้างความหมาย (Meaning making processes)

หมายถึง กระบวนการตีความและทำความเข้าใจกับสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นั้นในทิศทางบวกหรือลบ เช่น การตีความว่าเหคุการณ์ร้ายนั้นว่าจะกลายเป็นบทเรียนที่ทรงคุณค่าต่อตนเอง หรือ จะมองว่าเหตุการณ์ร้ายนั้นยังคงเป็นบาดแผลในชีวิตตลอดไป

 

2) ทัศนคติเชิงบวก (Positive outlook)

หมายถึง การดำรงชีวิตของตนเองต่อไปอย่างคนที่มีความหวังและพลังภายในตนเองที่พร้อมมุ่งสู่เป้าหมายในอนาคตด้วยความกระตือรือร้น อันได้แก่ ความกล้าหาญ ความเห็นอกเห็นใจและเอื้ออาทรเกื้อกูลกันระหว่างญาติมิตร

 

3) ค่านิยมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อที่อยู่เหนือธรรมชาติ (Transcendent values and Spiritual moorings)

หมายถึง ความศรัทธาทางจิตวิญญาณหรือความเชื่อทางศาสนา สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ เป็นแรงกระตุ้นให้บุคคลเกิดพลังในการหยัดยืนและลุกขึ้นมาดำเนินชีวิตต่อไปเพื่อสมาชิกในครอบครัวที่ยังคงเหลืออยู่

 

ความสามารถในการฟื้นพลังจึงเป็นคุณลักษณะทางจิตวิทยาที่สำคัญประการหนึ่งที่ทำให้บุคคลสามารถเผชิญกับปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลทางการวิจัยพบผลสอดคล้องกันจำนวนมากและเชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านคงพอจะเห็นแนวทางการสร้างเสริมความสามารถที่จะล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ได้ด้วยวิธีการง่ายๆ คือ การเปลี่ยนวิธีคิดหรือเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับเราในทิศทางที่เป็นบวก นอกจากนี้งานวิจัยยังพบว่า องค์ประกอบทั้ง 4 ด้านของทุนทางจิตวิทยา หรือ HERO ( H หมายถึง Hope E หมายถึง Efficacy R หมายถึง Resilience และ O หมายถึง Optimism) มีความตรงเชิงอำนาจจำแนก (Discriminant validity) คือ แต่ละองค์ประกอบมีโครงสร้างที่แยกขาดออกจากกันอย่างชัดเจน (Luthans, et al., 2007) และแต่ละองค์ประกอบต่างส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางบวกต่อคุณภาพชีวิตของบุคคลและองค์กรที่บุคคลเป็นสมาชิกอยู่ งานวิจัยยังพบอีกว่า การเสริมสร้างให้บุคคลมีคุณลักษณะครบทั้ง 4 ด้านของ HERO จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นคุณประโยชน์อย่างยิ่งต่อบุคคลและองค์กรนั้น (Luthans et al., 2005) โปรดติดตามอ่านเรื่องราวของ HERO ในองค์ประกอบย่อยที่เหลือได้ในตอนต่อไป

 

 


 

 

รายการอ้างอิง

 

Bozdağ, F., & Ergün, N. (2020). Psychological resilience of healthcare professionals during COVID-19 pandemic. Psychological Reports, 1–20.

 

Garmezy, N. (1973). Competence and adaptation in adult schizophrenic patients and children at risk. In S. R. Dean (Ed.), Schizophrenia: The first ten Dean Award Lectures (pp. 163–204). New York, NY: MSS Information Corp.

 

Holling, C. S. (1973). Resilience and stability of ecological systems. Annual Review of Ecology and Systematics, 4, 1–23.

 

Luthans, F. (2002) The need for and meaning of positive organizational behavior. Journal of Organizational Behavior, 23, 695–706.

 

Luthans, F., Avolio B. J., Walumbwa F., & Li W. (2005) The psychological capital of Chinese workers: Exploring the relationship with performance. Management and Organization Review, 1, 247–269.

 

Luthans, F., Avolio, B. J., Avey, J. B., & Norman, S.M. (2007). Positive psychological capital: Measurement and relationship with performance and satisfaction. Personnel psychology, 60(3), 541-572.

 

Sutcliffe, K. M., & Vogus, T. J. (2003). Organizing for resilience. In K. Cameron, J. E. Dutton, & R. E. Quinn (Eds.), Positive organizational scholarship (pp. 94-110). San Francisco, CA: Berrett-Koehler.

 

Walsh, F. (2020). Loss and resilience in the time of COVID-19: Meaning making, hope, and transcendence. Family Process, 59, 898–911.

 

Youssef, C. M., & Luthans, F. (2005). Resiliency development of organizations, leaders and employees: Multi-level theory building for sustained performance. In W. Gardner, B. Avolio, & F. Walumbwa (Eds.), Monographs in leadership and management (Vol. 3, pp. 303-343). Oxford: Elsevier.

 

เอกสารนำเสนอประกอบการแถลงข่าว ภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่งปี 2564 วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 521 อาคาร 5 ชั้น 2 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

 

ภาพประกอบ https://www.wallpaperup.com/

 

 


 

บทความวิชาการ

 

โดย คุณพัลพงศ์ สุวรรณวาทิน

นิสิตดุษฎีบัณฑิต แขนงการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร เรวดี วัฒฑกโกศล

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เรียนแล้วเครียด! จัดการกับความเครียดอย่างไรดี?

 

ในสังคมปัจจุบันที่ทุกอย่างเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี การศึกษา วัฒนธรรม และสังคม ความคาดหวังที่สังคมมีต่อวัยรุ่นก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน และด้วยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้เอง ส่งผลให้ความคาดหวังของสังคมที่วัยรุ่นรับรู้นั้นมีลักษณะไม่ชัดเจน ไม่คงที่ และที่สำคัญคือ บางครั้งอาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ความคาดหวังเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความเครียดได้

 

เรื่องหนึ่งที่สร้างความเครียดให้กับวัยรุ่นในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมากคือ ความเครียดจากการเรียน

 

ความเครียดจากการเรียน (Academic stress) เกิดขึ้นได้จากความวิตกกังวลที่มีต่อเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียน ไม่ว่าจะเป็น การสอบ งานต่างๆ ที่จะต้องส่งในแต่ละวิชา ระบบการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน รวมไปถึง การวางแผนการเรียนเพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการ

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหาหรือความเครียดจากการเรียนที่เกิดขึ้น กระบวนการหนึ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ การจัดการกับความเครียด (Coping) ซึ่งเป็นกระบวนการที่บุคคลใช้ความคิดและลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อจัดการกับสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด ไม่ว่าสาเหตุนั้นจะเป็นสาเหตุที่เกิดจากภายนอกตัวบุคคลหรือภายในตัวบุคคลก็ตาม

 

โดยทั่วไป การจัดการกับความเครียดสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบคือ การจัดการแบบเผชิญหน้ากับปัญหา (Approach coping) และ การจัดการแบบหลีกเลี่ยงปัญหา (Avoidance coping)

 

การจัดการแบบเผชิญหน้ากับปัญหา คือ บุคคลพยายามที่จะวิเคราะห์ถึงสาเหตุและผลของปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อที่จะเตรียมตัวรับมือกับผลที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา หรือแม้แต่พยายามที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อปัญหาเพื่อให้มองเห็นถึงมุมมองทางบวกจากปัญหาที่เกิดขึ้น รวมไปถึงพยายามที่จะหาข้อมูลเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์ที่จะช่วยให้แก้ไขปัญหาได้

 

ตัวอย่างเช่น เมื่อทำข้อสอบไม่ได้ หากใช้การจัดการแบบเผชิญหน้ากับปัญหา สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ มีความพยายามวิเคราะห์ว่า เพราะอะไรถึงทำข้อสอบไม่ได้ ผลสอบที่ได้น่าจะเป็นอย่างไร (การวิเคราะห์ปัญหา) การทำข้อสอบไม่ได้ครั้งนี้ทำให้ได้เรียนรู้อะไรบ้าง (การเปลี่ยนมุมมอง) การสอบครั้งหน้าควรจะเตรียมตัวอย่างไร (การหาข้อมูลเพิ่มเติม)

 

ในขณะที่ การจัดการแบบหลีกเลี่ยงปัญหา มีลักษณะของการมุ่งเน้นที่อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากความเครียด โดยหลีกเลี่ยงที่จะคิดถึงปัญหา ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุของปัญหาหรือแม้แต่ผลที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาจากปัญหานั้น ๆ หรืออาจจะยอมรับว่ามีปัญหาเกิดขึ้นโดยไม่ได้พยายามที่จะแก้ไขปัญหานั้น ๆ รวมไปถึงพยายามที่จะทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเอง บางครั้งอาจมีการแสดงออกถึงอารมณ์ทางลบเพื่อลดความเครียด เช่น บ่น ร้องไห้

 

ในเหตุการณ์ ‘ทำข้อสอบไม่ได้’ เหมือนกัน หากใช้การจัดการแบบหลีกเลี่ยงปัญหา สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ อาจจะไม่พูดถึงผลการสอบเลย (การหลีกเลี่ยง) หรืออาจจะมีคำพูด เช่น “อืม…ครั้งนี้ก็ทำไม่ได้แล้วนี่ เดี๋ยวครั้งหน้าก็อาจจะทำได้ก็ได้” (การยอมรับ) “ช่างมัน ไปเล่นเกมกันเถอะ” (การทำกิจกรรมอื่นๆ) “อาจารย์ออกข้อสอบอะไรก็ไม่รู้ ยากมาก ทำไม่ทันเลย เราว่ามันยากเกินไป…” (การแสดงออก)

 

ทั้ง 2 รูปแบบของการจัดการกับความเครียดนั้น ส่งผลต่อวัยรุ่นแตกต่างกันออกไป

 

การใช้การจัดการแบบเผชิญหน้ากับปัญหาช่วยลดปัญหาทางอารมณ์ เช่น ความวิตกกังวล ความซึมเศร้า รวมไปถึงปัญหาทางด้านพฤติกรรมของวัยรุ่น เช่น ความก้าวร้าว ได้

 

ในขณะที่ การใช้การจัดการแบบหลีกเลี่ยงปัญหา ส่งผลให้วัยรุ่นมีปัญหาในการกำกับอารมณ์ทางลบของตนเอง เพิ่มโอกาสในการเกิดปัญหาการติดแอลกอฮอล์ หรือแม้แต่ความคิดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย และยังส่งผลทางลบอย่างต่อเนื่องกับปัญหาทางด้านการเรียนด้วย

 

จะเห็นได้ว่า การจัดการแบบเผชิญหน้ากับปัญหา นอกจากจะช่วยให้วัยรุ่นมีการเตรียมตัวต่อปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตแล้ว ยังช่วยลดโอกาสที่จะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามมาได้ด้วย

 

 

ทำอย่างไรที่จะช่วยให้วัยรุ่นเลือกที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา

 

นอกจากการชี้ให้วัยรุ่นเห็นถึงประโยชน์ของการเผชิญหน้ากับปัญหาแล้วนั้น สิ่งที่จะสร้างให้กับวัยรุ่นเพิ่มเติมได้คือ การเพิ่มทักษะต่าง ๆ ที่จะช่วยในการแก้ปัญหา เช่น ทักษะการวิเคราะห์เหตุและผลที่จะช่วยให้เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น ทักษะการมองในหลากหลายมุมมองที่จะช่วยให้มองเห็นข้อดีของเรื่องราวต่างๆ ทักษะการมีสติ (Mindfulness) ที่จะช่วยให้เกิดการตระหนักรู้ในปัญหาและอารมณ์ที่เกิดขึ้น รวมไปถึงการที่มีคนรอบข้างเป็นแหล่งสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านข้อมูลที่จะช่วยให้วัยรุ่นเข้าใจและแก้ปัญหาได้ หรือแม้แต่ทางด้านอารมณ์ เช่น การรับฟัง การให้กำลัง ที่จะช่วยลดความเครียดหรืออารมณ์ทางลบต่าง ๆ ได้

 

วิธีการที่วัยรุ่นเรียนรู้ที่จะใช้จัดการกับปัญหาและความเครียดที่เกิดขึ้นนั้น จะส่งผลไปยังความคาดหวังต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่า เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปนั้นควรจะรู้สึกอย่างไร ควรจะคิดอย่างไร ควรจะจัดการอย่างไร ซึ่งสุดท้ายแล้ววิธีการที่วัยรุ่นเลือกที่จะใช้จัดการกับปัญหาก็จะส่งผลกลับมายังความคิดและอารมณ์ของวัยรุ่นเอง

 

 

รายการอ้างอิง

 

Arsenio, W. F., & Loria, S. (2014). Coping with negative emotions: Connections with adolescents’ academic performance and stress. The Journal of Genetic Psychology, 175(1), 76-90. https://doi.org/10.1080/00221325.2013.506293

 

Ramli, N. H. H., Alavi, M., Mehrinezhad, S. A., & Ahmadi, A. (2018). Academic stress and self-regulation among university students in Malaysia: Mediator role of mindfulness. Behavioral Sciences, 8(12). http://doi.org/10.3390/bs8010012

 

ภาพประกอบจาก https://pixabay.com/

 

 

 


 

บทความวิชาการ

 

โดย อาจารย์ ดร.จิรภัทร รวีภัทรกุล

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ
Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

Empathy ในโลกออนไลน์…ไมตรีที่หยิบยื่นให้กันได้

 

ในโลกยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยแอพลิเคชั่นและเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้คนได้ติดต่อสื่อสารกันผ่านเครือข่ายโลกออนไลน์หรือที่เรียกว่า Social Network นั้น สร้างความสะดวกสบายในการติดต่อสื่อสารและทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ ๆ มากมาย ฟังดูแล้วอาจเป็นความสะดวกสบายในการสร้างสังคมและความสัมพันธ์ใหม่ อย่างไรก็ตามข่าวสารของการใช้เครือข่ายออนไลน์ในทางที่ผิดต่างก็มีให้พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง และหนึ่งในปัญหาที่พบเจอได้มากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Cyberbullying หรือการกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ ทั้งในรูปแบบของความคิดเห็นที่ใช้ถ้อยคำรุนแรงและหยาบคาย การคุกคามทางเพศและความเป็นส่วนตัว หรือวิธีการอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก ทั้งในด้านความมั่นใจในตนเอง การเห็นคุณค่าในตนเอง สุขภาวะทางจิตหรือเลวร้ายที่สุดคือการก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิต

 

สาเหตุสำคัญของการกลั่นแกล้งรังแกในโลกออนไลน์คือการขาดความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ต่อกัน เพราะการพัฒนาทางเทคโนโลยีแม้จะเชื่อมต่อผู้คนเข้าหากันแต่ก็ไม่สามารถทำให้คนเหล่านั้นรับรู้ถึงความเจ็บปวดของผู้ถูกกระทำได้ การรู้สึกว่าตนเองอยู่ห่างไกลจากความทุกข์และสถานการณ์เหล่านั้น หรือการที่ไม่สามารถจินตนาการถึงความรู้สึกของผู้ถูกกระทำได้นั้นส่งผลให้ฝ่ายกระทำไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนกับสิ่งที่ได้ทำลงไป

เพราะไม่เห็นจึงไม่รับรู้ และเพราะไม่เข้าใจจึงไม่รู้สึก…

 

 

แล้ว Empathy คืออะไร? ทำไมถึงเป็นสิ่งที่ควรมีเพื่อช่วยลดการกลั่นแกล้งรังแกในโลกออนไลน์ ?

 

ความหมายของความเห็นใจหรือ Empathy นั้นสามารถแปลได้อย่างตรงตัวคือ เห็นในสิ่งที่อยู่ในใจ หรือเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนเห็นหรือรู้สึกด้วยตนเอง เป็นการเอาทัศนคติของผู้อื่นมาใส่ในใจเราเพื่อทำความเข้าใจถึงสาเหตุของความคิดและความเป็นจริงโดยไม่ตัดสินความผิดถูกชั่วดี เพราะการตัดสินนั้นเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการกลั่นแกล้งรังแกทางโลกออนไลน์อันเนื่องมาจากความคิดเห็นที่ว่า “คนคนนั้นสมควรได้รับ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวบน Social Network ที่ได้เห็นผ่านตาเพียงแค่ตัวอักษร

 

 

การสร้าง Empathy…เริ่มต้นไม่ง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเกินกว่าจะทำ…

 

ในการเสริมสร้างความเข้าอกเข้าใจกันอย่างร่วมรู้สึกนั้นมีข้อแนะนำ 3 ประการที่ได้รับจาก Dr.Roman Krznaric ผู้ศึกษาเกี่ยวกับทักษะนี้คือ

 

1. การลดอัตตาและการเหมารวมว่าเราเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี

เพราะเราตัดสินว่าคนนี้เป็นแบบนั้น หรือคนนั้นเป็นแบบนี้ ด้วยความคิดเห็นและมุมมองของเราเพียงผู้เดียว ใช้ประสบการณ์ของตนเองในการเป็นแม่พิมพ์ของเหตุการณ์ที่ผู้อื่นเผชิญและคิดเอาเองว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไร กับดักของความคิดเหล่านี้คือ “ฉันก็เคยเจอเหตุการณ์เหล่านี้ฉันยังผ่านมันมาได้” หรือ “เรื่องเล็กเพียงเท่านี้ขนาดฉันเองยังไม่เป็นไร” หากปรับเปลี่ยนแนวคิดเหล่านี้ได้ ลดการตัดสินผู้อื่นลง ทำความเข้าใจว่าในทุกสถานการณ์ของแต่ละคนมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ก็สามารถเริ่มต้นการเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้

 

2. สงบนิ่งเพื่อ “ฟัง” อย่างตั้งใจ

 

รับฟังในเหตุผลและความรู้สึก ไม่ขัดจังหวะและไม่สอดแทรกความคิดเห็นส่วนตัวของตนเข้าไป ไม่เพียรพยายามหาส่วนดีที่หลงเหลือในความเจ็บปวดของใคร เช่น หากมีคนทุกข์ใจเพราะสามีนอกใจ ก็ไม่ควรปลอบใจว่าอย่างน้อยที่สุดก็ยังมีโอกาสได้แต่งงาน ในสถานการณ์เช่นนี้หากลองนึกดูแล้วผู้ฟังอาจยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้

 

3. เพิ่มประสบการณ์ และใช้เวลากับกลุ่มคนที่หลากหลายมากขึ้น

 

เพื่อทำความเข้าใจถึงมุมมองและทัศนคติที่แตกต่างจากตนเอง เปิดโลกทัศน์ให้กว้างไกลมากยิ่งขึ้นว่าบนโลกใบนี้ยังมีคนอีกมากมาย มีความคิดอีกนับล้านที่ไม่ได้ตรงกับสิ่งที่เรากำลังคิด มีสถานการณ์อีกหลากหลายที่มีเงื่อนไขแตกต่างกัน เมื่อเรารับรู้มากขึ้น เข้าใจมากขึ้น เราย่อมตัดสินผู้อื่นน้อยลงและมองเห็นความเป็นจริงได้มากยิ่งขึ้น

 

 

เมื่อเห็นใจกันจึงทำร้ายกันน้อยลง…และเมื่อเข้าใจกันจึงไม่ยากที่จะมอบไมตรีให้แก่กันไม่ว่าจะในโลกออนไลน์หรือคนรอบข้างก็ตาม

 

 


 

 

รายการอ้างอิง 

ภาพประกอบจาก https://www.freepik.com

 

 

 

บทความวิชาการ

โดย คุณบุณยาพร อนะมาน

นักจิตวิทยา ศูนย์ประเมินทางจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Favoritism – การเลือกที่รักมักที่ชัง

 

 

การเลือกที่รักมักที่ชัง หมายถึง การเลือกปฏิบัติต่อบุคคลบางคนหรือบางกลุ่ม ในทางที่โปรดปรานเหนือบุคคลอื่นหรือกลุ่มอื่นภายใต้บริบทเดียวกัน อันเนื่องมาจากการมีอคติจากการใช้ปัจจัยอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับบริบท เช่น เป้าหมายมีหน้าตาดึงดูดใจ มีเชื้อชาติเดียวกัน หรือตัวบุคคลมีการชื่นชอบเป้าหมายเป็นการส่วนตัว ซึ่งเป็นลักษณะอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานที่บุคคลนั้นทำ ถือเป็นรูปแบบของพฤติกรรมที่ไม่มีความยุติธรรม

 

ในแง่มุมมองของวิวัฒนาการ พฤติกรรมการเลือกที่รักมักที่ชังอาจเป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการอยู่รอด (survivability) เช่น การประจบสอพลอ และเห็นด้วยกับผู้มีอำนาจ ทำให้มีโอกาสอยู่รอดสูงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น การเลือกที่รักมักที่ชังภายในกลุ่มมีอิทธิพลอย่างมากและสามารถเกิดขึ้นได้แม้กระทั่งสมาชิกภายในกลุ่มไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันมาก่อนก็ตาม

 

นักจิตวิทยาพบว่าการเลือกที่รักมักที่ชังไม่เพียงเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ง่าย ยังเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงอีกด้วย การเลือกที่รักมักที่ชังภายในกลุ่มสามารถพบเห็นได้ทั่วไป ตั้งแต่สภาพแวดล้อมธรรมชาติซึ่งใช้ลักษณะของกลุ่มที่มีอยู่แล้ว เช่น เพศ เชื้อชาติ ไปจนสภาพแวดล้อมที่จัดกระทำอย่างเข้มข้น ทั้งนี้ พบถึงผลของปรากฏการณ์นี้ในการวัดหลายแบบ เช่น การให้คะแนน การประเมินคุณลักษณะ ความชื่นชอบ การอนุมานการตัดสินใจ ตลอดจนการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน การเลื่อนตำแหน่ง รวมถึงการให้รางวัล

 

 

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเลือกที่รักมักที่ชัง

 

ปัจจัยภายในบุคคล

 

บุคลิกภาพแมคคิเวลเลียน ผู้มีบุคลิกภาพแมคคิเวลเลียนสูงมีแนวโน้มสูงที่จะใช้พฤติกรรมแข่งขันเพื่อผลประโยชน์ของตนและของกลุ่ม เอาเปรียบผู้อื่นหรือกลุ่มอื่น พร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตนโดยไม่คำนึงถึงความยุติธรรม อีกทั้งไม่สนับสนุนหรือรับคำแนะนำจากผู้ที่ตนมีอคติทางลบด้วย

 

บุคลิกภาพแบบหลงตนเอง ผู้มีบุคลิกภาพแบบหลงตนเองสูงมักเห็นแก่ภาพลักษณ์ของกลุ่มตนเป็นหลัก เพราะภาพลักษณ์ของกลุ่มนั้นเกี่ยวโยงต่อการเห็นคุณค่าในตนเอง จึงมักรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของกลุ่มไว้ โดยเอื้อผลประโยชน์ให้กลุ่มตนมากกว่า และมักมีอคติต่อกลุ่มอื่นๆ และรับรู้แรงคุกคามจากกลุ่มอื่นได้รวดเร็ว พร้อมที่จะตอบสนองกลับด้วยความก้าวร้าว

 

– บุคคลที่ได้รับการเห็นคุณค่าในตนเอง (self-esteem) และภาพลักษณ์แห่งตน (self-image) ทางบวก จากจากกลุ่มที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่ บุคคลมีแรงจูงใจที่จะรักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์ทางบวกของกลุ่มตนเอง จึงนำไปสู่การเกิดอคติในการโปรดปรานกลุ่มตน

 

ปัจจัยด้านสังคม

 

การเรียนรู้พฤติกรรมจากตัวแบบ กล่าวคือ การได้พบเห็นพฤติกรรมจากสังคมและสื่อต่างๆ แล้วพบว่าผู้กระทำไม่ได้รับโทษ แต่ได้รับผลประโยชน์เป็นสิ่งสอบแทน เช่น การใช้เส้นสายฝากบุคคลเข้าเรียน เข้าทำงาน การเติบโตจากการเป็นที่โปรดปรานของผู้มีอำนาจ สิ่งเหล่านี้อาจทำให้บุคคลเกิดการเรียนรู้และมีแนวโน้มยอมรับพฤติกรรมดังกล่าวมากขึ้น

 

 

อ้างอิง

 

“ความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพแมคคิเวลเลียน บุคลิกภาพหลงตนเอง และการเลือกที่รักมักที่ชัง” โดย นิเซ็ง นิเงาะ ประกาศิต ถาวรศิริ และ พิเชฐพัชร ประทีปะวณิช (2564) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/47864

ภาวะผู้นำร่วมจำเป็นอย่างไรในช่วงวิกฤติโควิด 19

 

การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบันเป็นวิกฤติทางสาธารณสุข เศรษฐกิจ และการทำงานทั่วโลกที่เกิดขึ้นอย่างคาดการณ์ได้ยาก แม้ว่าในช่วงก่อน หลาย ๆ บริษัทต่างเริ่มเปิดทำการและอนุญาตให้พนักงานกลับไปทำงานที่ออฟฟิศได้ แต่เมื่อมีการระบาดระลอกใหม่เกิดขึ้นก็ส่งผลให้ที่ทำงานส่วนใหญ่ปรับกลับไปใช้นโยบายทำงานจากที่บ้านอย่างเต็มรูปโดยที่ไม่มีกำหนดแน่นอนว่าจะเริ่มกลับไปพบปะกันในที่ทำงานตามปกติได้เมื่อใด

 

การติดต่อประสานงานกันผ่านออนไลน์จึงเป็นช่องทางที่ช่วยให้องค์การหลายแห่งสามารถทำงานได้ตามปกติและยังคงรักษาความสัมพันธ์กับผู้ที่เกี่ยวข้องหรือลูกค้าต่อไปได้

 

อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้การแก้ไขปัญหาอาจต้องอาศัยการระดมสมอง การแบ่งปันความคิดเห็น และการแลกเปลี่ยนมุมมอง มากกว่าการรอคำสั่งหรือการตัดสินใจจากผู้บริหารเบื้องบน เพื่อให้สนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างทันถ่วงที

 

ภาวะผู้นำร่วม เป็นกระบวนการที่สมาชิกแต่ละคนต่างมีอิทธิพลต่อกันละกัน โดยอาจจะผลัดกันนำทีมเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน กระบวนการดังกล่าวสมาชิกในทีมอาจร่วมกันตัดสินใจและส่งเสริมซึ่งกันและกัน ทำให้ยิ่งมีแรงจูงใจในการทำงานและร่วมกันรับผิดชอบผลลัพธ์ต่าง ๆ ร่วมกัน

เหตุผลที่ภาวะผู้นำร่วมเป็นกลยุทธ์ที่จะนำพาองค์การให้สามารถปรับตัวในวิกฤติการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นเป็นเพราะ ภาวะผู้นำร่วมส่งเสริมกระบวนการทำงานเป็นทีม 2 ด้าน ทั้งด้านกระบวนการคิด (เช่น การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และคุณภาพการสื่อสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงขององค์การต่าง ๆ) และ ด้านอารมณ์ (เช่น ความไว้วางใจระหว่างกัน ความกลมเกลียว และสุขภาวะที่ดีในการทำงาน)

 

ในลำดับแรก หากพูดถึงผลลัพธ์ที่ดีของภาวะผู้นำร่วมในแง่การเกิดกระบวนการคิดที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นฉับพลัน หลาย ๆ ธุรกิจต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็นแบบออนไลน์เต็มรูป ส่งผลให้รูปแบบการสื่อสารและติดต่อประสานงานต่าง ๆ ต้องปรับตัวกันขนานใหญ่ การอาศัยการตัดสินใจจากผู้บริหารหรือหัวหน้าเป็นหลักเพียงอย่างเดียว อาจไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหา หรือสถานการณ์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที การแบ่งบันภาวะผู้นำให้ใคร ๆ ในทีมทำงานก็สามารถนำทิศทาง หรือมีส่วนในการริเริ่มแผนปฏิบัติการต่าง ๆ จะส่งผลให้มีคุณภาพการสื่อสารระหว่างบุคคลที่ดี มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลสำคัญ ๆ ซึ่งอาจนำไปสู่นวัตกรรม แนวคิด และแนวปฏิบัติใหม่ ๆ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน มากกว่าการทำงานงานแบบวิถีเดิมที่สมาชิกในกลุ่มทำงานเพียงแค่รอคำสั่งจากหัวหน้างานเท่านั้น

 

ส่วนผลลัพธ์ที่ดีในด้านอารมณ์นั้น การร่วมกันรับผิดชอบงานต่าง ๆ และการที่สมาชิกในทีมต่างมีความเชื่อมั่นว่าคนในทีมสามารถผลัดกันขึ้นมานำทีมตามทักษะ หรือความถนัดตามแต่ละสถานการณ์ ก็ยิ่งส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน เกิดความไว้วางใจระหว่างบุคคลภายในทีม บรรยายกาศการทำงานทางบวกก็จะยิ่งส่งผลให้สมาชิกในทีมมีสุขภาวะทางจิตที่ดี มีพลังฟื้นคืนจากความเครียด หรือความล้มเหลวต่าง ๆ ทำให้สมาชิกในทีมพร้อมที่จะผูกใจมั่น ทุ่มเททำงานให้ดียิ่งขึ้น

 

ผลลัพธ์ทางบวกของภาวะผู้นำร่วมทั้งด้านกระบวนการคิดและอารมณ์ ต่างทำให้บรรยากาศในการทำงานน่าอยู่ รื่นรมย์ เป็นที่ทำงานที่เน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การเติบโตในด้านการทำงาน และการร่วมใจกันบรรลุเป้าหมายของทีมหรือองค์การร่วมกัน

 

จากสำรวจการทำงานของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นพนักงานไทยในองค์การด้านการบริการ จำนวน 219 คน ในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งเก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถามออนไลน์ พบว่า พนักงานที่รับรู้ว่าทีมทำงานของตนมีภาวะผู้นำร่วม (เช่น มีการตัดสินใจร่วมกัน สนับสนุนช่วยเหลือกันภายในทีม ร่วมกันสร้างแรงจูงใจในการทำงาน และรับผิดชอบต่อผลลัพธ์จากการทำงานร่วมกัน) จะมีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างสมาชิกในทีม มีคุณภาพการสื่อสารระหว่างกันที่ดี และนำไปสู่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในทีมทำงานที่ต้องทำงานในรูปแบบออนไลน์ ภาวะผู้นำร่วมยิ่งมีความสำคัญ

 

ในยุคที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง ผู้บริหารคงต้องปรับบทบาทเช่นกัน การนำแนวคิดภาวะผู้นำร่วมไปใช้ในองค์การนั้น ผู้บริหาร หัวหน้าฝ่ายต่าง ๆ ยังมีบทบาทในการบริหาร ประสาน และคอยให้การสนับสนุนอยู่ตามปกติ เพียงแต่ปรับบทบาทจากเดิมที่อาจคอยสั่งงาน ตัดสินใจในทุก ๆ เรื่องส่วนใหญ่แทนพนักงาน ไปเป็นคนที่คอยสนับสนุนและส่งเสริมให้สมาชิกในทีมสามารถบริหารงานได้ด้วยตนเอง ร่วมกันรับผิดชอบผลลัพธ์ในการทำงานต่าง ๆ และริเริ่มแนวทางการทำงานใหม่ ๆ ที่เหมาะสมกับเป้าหมายองค์การที่นับวันจะยิ่งมีความซับซ้อนและต้องอาศัยการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา

 

ภาวะผู้นำร่วมจึงกลายเป็นแนวปฏิบัติที่ดี สำหรับหลาย ๆ องค์การที่เน้นการสร้างนวัตกรรมและการปรับตัวให้ทันยุคสมัย

 

 

 

ภาพประกอบจาก : https://www.vectorstock.com

 


 

 

บทความวิชาการ

 

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประพิมพา จรัลรัตนกุล

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

 

ความสะอาดของร่างกาย จริยธรรม และพฤติกรรมการช่วยเหลือ

 

ท่านผู้อ่านเคยนึกถึงหรือไม่ว่า ความสะอาดของร่างกายของเรานั้น ส่งผลต่อความนึกคิดด้านจริยธรรมในใจเราอย่างไร หากท่านเป็นแฟนตัวยงของวรรณกรรมเรื่อง โศกนาฎกรรมของแมคแบธ (The Tragedy of Macbeth) วรรณกรรมสุดคลาสสิกของ วิลเลียม เชคสเปียร์ (ค.ศ. 1606-1607) คำพูดของตัวละครเอก เลดี้แมคเบธ “Out, damned spot! Out” เป็นคำพูดที่พระนางเปล่งออกมาพร้อมกับล้างมืออย่างบ้าคลั่งหลังจากที่ได้โน้มน้าวให้สามีก่อการกบฏได้สำเร็จ สะท้อนความเชื่อที่ว่าเมื่อเกิดความรู้สึกผิดอย่างลึกซึ้ง บุคคลจะรับรู้ว่าร่างกายเกิดความสกปรก นำไปสู่การชำระล้าง เพื่อลดทอนความรู้สึกผิดบาปในจิตใจ

 

Chen-Bo Zhong ศาสตราจารย์ด้านพฤติกรรมองค์กรและการบริหารทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยToronto ร่วมกับ Katie A. Liljenquist จากมหาวิทยาลัย Brigham Young University ได้ทำการทดลองทั้งหมด 4 ครั้งเพื่อทดสอบและได้ข้อสรุปว่า “ความรู้สึกผิดในใจมีความเชื่อมโยงเข้ากับการเรียกร้องหาความสะอาดของร่างกายได้” และได้ตั้งชื่อปรากฎการณ์นี้ว่า “ปรากฎการณ์แมคแบธ (Macbeth)” การค้นพบนี้ได้ถูกตีพิมพ์ในบทความชื่อ “Washing Away Your Sins: Threatened Morality and Physical Cleansing” ปี ค.ศ. 2006 วารสาร “Science” ที่เป็นวารสารที่ทรงอิทธิพลสูงที่สุด 1 ใน 3 ของวงการวิทยาศาสตร์ บทความนี้ยังถูกอ้างอิงในบทความวิชาการอื่น ๆ เป็นจำนวน 1,318 ครั้ง (ข้อมูลจากฐาน Google Scholar ณ วันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 2021)

 

การทดลองหนึ่งในนั้น ผู้วิจัยให้ผู้เข้าร่วมการทดลองย้อนระลึกถึงความผิดที่ได้ทำลงไปแล้วในอดีตก่อนเล่นเกมเติมคำลงในช่องว่าง โดยคำที่ใช้จะสามารถเติมได้ทั้งคำที่มีความหมายสื่อถึงความสะอาด และความหมายอื่นๆ อย่างเช่น “W_ _ H” (WASH/WISH), “S H _ _ E R” (SHOWER/SHEKER) และ “S _ _ P”(SOAP/SLIP) ผลการทดลองพบว่า ผู้เข้าร่วมการทดลองที่ถูกขอให้ย้อนระลึกถึงความผิดในอดีต เติมคำด้วยคำศัพท์ที่สื่อความหมายด้านความสะอาดมากกว่าคำศัพท์ที่มีความหมายอื่นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งสัดส่วนการเลือกคำตอบที่สื่อถึงความสะอาดในพวกเขายังมากกว่ากลุ่มควบคุมที่มิได้ถูกขอให้ย้อนระลึกถึงความผิดในอดีตด้วยเช่นกัน

 

ความสะอาดบริสุทธิ์เปรียบเสมือนดั่งจริยธรรมขั้นพื้นฐาน (Moral foundation) ที่เอาไว้ใช้แบ่งแยกความดีความชั่วของมนุษย์ (Haidt, 2012) เมื่อภาพลักษณ์แห่งศีลธรรมของตน (Moral self-image ยกตัวอย่างเช่นความคิดที่ว่า ฉันไม่ใช่คนโกหก) กับการรับรู้ตัวตนที่แท้จริง (Moral self-perception เช่น ฉันไม่น่าพูดโกหกไปเลย) เกิดช่องว่างทางจริยธรรมขึ้นระหว่างตัวตนทั้งสองแบบ จึงทำให้เกิดการเรียกร้องเพื่อกู้คืนตัวตนที่ยึดมั่นในหลักคุณธรรม (Moral integrity) นำไปสู่การเรียกร้องหาการชำระล้างนั่นเอง

 

พิธีศีลล้างบาปในศาสนาคริสต์ (Baptism) การล้างบาปแบบพุทธชินโต (Tsukubai) ในประเทศญี่ปุ่น การชำระล้างก่อนวันล้างบาปของศาสนายูดาห์ (Mikven) หรือแม้แต่การสรงน้ำทางศาสนาอิสลาม (Wudu) เหล่านี้ล้วนเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic) ของการชำระล้าง และความสะอาดบริสุทธิ์ (Purity) ยังเป็นสัญชาตญาณขั้นพื้นฐาน มาจากความต้องการที่จะปกป้องตนเองจากสิ่งอันตราย (Haidt & Joseph, 2007) และจะร้องเตือนหากมีการกระทำใดที่ขัดต่อจริยธรรม (Moral intuition) เกิดขึ้น

 

ถึงตรงนี้หากท่านผู้อ่านเกิดคำถามว่า การชำระล้างร่างกายนั้นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใดทางจริยธรรมและพฤติกรรมหลังจากนั้นหรือไม่ Xu, Bègue และ Bushman (2014) ได้ประเมินความรู้สึกผิดของผู้เข้าร่วมการทดลองก่อนและหลังการล้างมือด้วยตนเอง หรือดูวิดีโอสาธิตวิธีการล้างมือ และพบว่าผู้เข้าร่วมการทดลองที่มีความรู้สึกผิดจากการระลึกถึงการกระทำที่ผิดในอดีต มีการประเมินความรู้สึกผิดที่ลดลง หลังการล้างมือด้วยตนเอง หรือดูวิดีโอสาธิตวิธีการล้างมือ หลังเสร็จสิ้นการทดลองนี้ ผู้วิจัยได้ทำการทดลองถัดไปทันที โดยให้ผู้ช่วยวิจัยที่ไม่เปิดเผยตัวตน เข้ามาขอความร่วมมือจากผู้เข้าร่วมการทดลองให้เข้าร่วมการวิจัยอีกหนึ่งชิ้นโดยไม่มีค่าตอบแทน ผลปรากฏว่าผู้เข้าร่วมการทดลองที่ผ่านการล้างมือหรือดูวิดีโอสาธิตวิธีการล้างมือแล้วมีแนวโน้มที่จะไม่ช่วยเหลือบุคคลอื่นเมื่อเทียบกับผู้เข้าร่วมการทดลองที่ไม่ได้ผ่านการชำระล้างดังกล่าว

 

เพราะฉะนั้นหากย้อนไปตอนต้นของบทความแล้วถาม Lady Macbeth ว่าหลังจากการล้างมือเสร็จแล้วความรู้สึกผิดที่อัดอั้นอยู่ภายในจิตใจของเธอได้ลดน้อยลงไปหรือไม่ จากการศึกษาค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์คงให้คำตอบได้แล้วว่าพฤติกรรมการล้างมือของเธอนั้นช่วยบรรเทาความรู้สึกผิดลงไปได้ไม่มากก็น้อย แต่ปรากฎการณ์นี้จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในสังคมไทยได้หรือไม่คงต้องหาคำตอบกันต่อไป เนื่องจากการศึกษาวิจัยและอิทธิพลของความเชื่อนั้นมาจากทางฝั่งประเทศตะวันตกเสียเป็นส่วนมาก

 

 

รายการอ้างอิง

 

Cui, Y., Errmann, A., Kim, J., Seo, Y., Xu, Y., & Zhao, F. (2020). Moral effects of physical cleansing and pro-environmental hotel choices. Journal of Travel Research, 59(6), 1105-1118. https://doi.org/10.1177/0047287519872821

 

Haidt, J., & Joseph, C. (2007). The moral mind: How five sets of innate intuitions guide the development of many culture-specific virtues, and perhaps even modules. The innate mind, 3, 367-391. http://dx.doi.org/10.1093/acprof:oso/9780195332834.003.0019

 

Haidt, J. (2012). The righteous mind: Why good people are divided by politics and religion. Vintage.

 

Xu, H., Bègue, L., & Bushman, B. (2014). Washing the guilt away: effects of personal versus vicarious cleansing on guilty feelings and prosocial behavior. Frontiers in human neuroscience, 8, 97. https://doi.org/10.3389/fnhum.2014.00097

 

Zhong, C. B., & Liljenquist, K. (2006). Washing away your sins: Threatened morality and physical cleansing. Science, 313(5792), 1451-1452. https://doi.org/10.1126/science.aaa2510

 

 


 

 

บทความโดย

 

คุณชญานิษย์ ตระกูลพิพัฒน์

นิสิตดุษฎีบัณฑิต แขนงการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

และ อาจารย์ ดร. จุฑาทิพย์ วิวัฒนาพันธุวงศ์

อาจารย์ประจำแขนงการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ทางลัดในความคิดกับการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน

 

ในชีวิตของเรามีเรื่องต้องตัดสินใจมากมาย ไม่ว่าเรื่องเล็ก ๆ เช่น การเลือกว่ากลางวันนี้จะทานอะไร หรือเวลาไปร้านขายของเราจะเลือกซื้อยาสีฟันยี่ห้อไหนดี ไปถึงเรื่องสำคัญที่มีผลกระทบต่อชีวิตในระยะยาว เช่น การเลือกคู่ครอง หรือการเลือกซื้อรถยนต์สักคัน

 

การตัดสินใจ คือ การเลือกระหว่างตัวเลือกต่าง ๆ ที่มีข้อดีข้อเสียต่างกัน ประเด็นคำถามที่น่าสนใจเกี่ยวกับกระบวนการคิดของมนุษย์ คือ คนเราใช้เหตุผลมากน้อยแค่ไหนเมื่อเราต้องตัดสินใจระหว่างหลายตัวเลือก ?

 

“การคิดแบบมีเหตุผล” หมายถึง การเลือกตัวเลือกที่จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เลือก นักปรัชญาและนักเศรษฐศาสตร์ได้กล่าวว่ามนุษย์เราจะใช้เหตุผลและหลักสถิติในการตัดสินใจ โดยเราจะประเมินคุณค่าของแต่ละทางเลือก และเลือกสิ่งที่ให้คุณค่ามากที่สุด โดยคนเราสามารถใช้มาตรวัดคุณค่าที่ต่างกัน เช่น การให้ความสำคัญต่อประโยชน์ทางการเงินในระยะยาว หรือคุณค่าด้านอื่น ๆ เช่น ความสุขหรือความพอใจ หรือการประหยัดเวลา

 

แต่นักจิตวิทยากล่าวว่ามนุษย์เราอาจไม่ได้คิดแบบมีเหตุมีผลเสมอไป เพราะวิธีการคิดของเราอาจถูกบิดเบือนโดยทางลัดในการคิด (cognitive heuristics) วิธีการคิดแบบนี้เป็นการประหยัดเวลาเมื่อเราจำเป็นต้องตัดสินใจภายในเวลาจำกัด หรือเมื่อเราต้องตัดสินเหตุการณ์ที่มีความไม่แน่นอน วิธีคิดแบบทางลัดจะนำไปสู่การเลือกที่รวดเร็ว แต่สิ่งที่เราเลือกอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุดหรือเกิดประโยชน์สูงสุดเสมอไป

 

เรามาดู 4 ตัวอย่างของทางลัดในความคิดที่มีผลต่อการตัดสินใจของเรากันค่ะ

 

  1. Regret avoidanceเมื่อตัดสินใจไปแล้ว เรามักรู้สึกยึดติดกับสิ่งที่เราได้เลือกไป และเรามักกลัวการรู้สึกเสียดายถ้าเราเกิดเปลี่ยนใจ
    มีนักข่าวกลุ่มหนึ่งในสหรัฐฯ ได้สัมภาษณ์ผู้คนที่เพิ่งซื้อล๊อตเตอรี่ นักข่าวถามว่า “ดิฉันขอซื้อสลากของคุณได้ไหมคะ ดิฉันยินดีจ่ายสองเท่าเลยนะ” คนส่วนใหญ่ตอบกลับมาว่า “ไม่อยากขาย ถ้าสลากนี้เกิดถูกรางวัลขึ้นมาฉันคงรู้สึกเสียดายแย่เลย” ถ้ามีคนถามคุณแบบนี้ คุณควรตอบว่าอย่างไร ตัวเลือกที่มีเหตุผลที่สุดคือการขายสลากไปค่ะ เพราะคุณสุ่มเลือกซื้อสลากนี้มา ถ้าคุณยอมขายคุณจะมีเงินซื้อสลากเพิ่มอีกสองใบ ทำให้คุณมีโอกาสถูกรางวัลมากขึ้น แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่อยากขายเพราะกลัวเสียดายทีหลัง ในบางสถานการณ์คนเราจึงมักตัดสินใจโดยใช้ความรู้สึกมากกว่าการใช้เหตุผลและข้อมูลทางสถิติ
  2. Availability heuristicถ้าเราสามารถนึกถึงตัวอย่างได้มากมาย เรามักจะตัดสินว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นบ่อยกว่า
    ถ้ามีคนถามว่า “คุณคิดว่าการเดินทางแบบไหนปลอดภัยกว่า ระหว่างการนั่งเครื่องบินหรือการขับรถ” คนส่วนใหญ่มักตอบว่า “ขับรถน่าจะปลอดภัยกว่า ดูสิมีข่าวเครื่องบินตกออกมาบ่อยนะช่วงนี้” แต่จริง ๆ แล้วตัวเลขสถิติได้ชี้ว่า การเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้นเกิดขึ้นบ่อยกว่าการเสียชีวิตจากเครื่องบินตกอย่างมาก แต่เครื่องบินตกเป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจและมักจะปรากฏเป็นข่าวใหญ่ เราจึงอาจคิดว่าเหตุการณ์นี้มีความเสี่ยงมากกว่า แม้ว่าตามจริงแล้วอุบัติเหตุรถยนต์เกิดขึ้นบ่อยกว่ามาก จนเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนมากนัก เพราะฉะนั้นการนึกถึงตัวอย่างได้มากจึงไม่ได้หมายความว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอย่างที่เราจำมาจากข่าวที่ถูกนำเสนอ
  3. Gambler’s fallacyถ้าผลลัพธ์หนึ่งไม่ได้เกิดขึ้นมาสักพักแล้ว นั่นหมายความว่าผลลัพธ์นั้นจะต้องเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้สิ
    สมมุติว่าคุณกำลังเล่นเกมโยนลูกเต๋า ในห้าตาที่ผ่านมาคุณได้แต่ตัวเล็กต่ำ เช่น 1, 1, 2, 1, 2 คุณอาจคิดว่า “ฉันได้แต่เลขต่ำ ๆ แสดงว่าฉันจะต้องได้เลขสูงเร็ว ๆ นี้แน่เลย” แต่ตามหลักคณิตศาสตร์คุณมีโอกาสได้เลข 1, 2, 3, 4, 5, 6 เท่ากันในทุก ๆ ครั้งที่โยนลูกเต๋า และความน่าจะเป็นนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะทุกครั้งที่โยนคือการสุ่มโยน มิใช่การเรียงลำดับของโอกาสแต่อย่างใด ทางลัดในการคิดทำนองนี้สามารถอธิบายความดึงดูดของการเล่นพนันได้ เพราะผู้เล่นการพนันมักคิดว่า “ฉันแพ้มาตั้งหลายตาแล้ว แสดงว่าตาต่อไปฉันจะต้องชนะแน่เลย” แม้แต่นักเรียนนักศึกษาก็อาจตกหลุมพรางในแนวคิดแบบนี้ นักเรียนอาจกำลังทำข้อสอบที่ต้องเลือกคำตอบ (ก, ข, ค, ง) และนึกเอาเองว่า “ข้อนี้ฉันไม่รู้คำตอบ ฉันไม่ได้เลือกตอบข้อ ก มาหลายข้อแล้ว งั้นฉันตอบข้อ ก ดีกว่า” หรือคนทั่วไปอาจมีความเชื่อว่า “ปีนี้มีแต่เรื่องโชคร้ายเกิดขึ้นกับฉัน แสดงว่าปีหน้าจะต้องมีเรื่องโชคดีเกิดขึ้นแน่เลย” โดยไม่ได้นึกว่าเหตุการณ์หรือตัวเลือกเหล่านั้นล้วนแต่ไม่สามารถคาดเดาได้ และผลลัพธ์ใด ๆ ก็จะมีโอกาสเกิดขึ้นเท่าๆกัน แต่เรามักจะไม่ใช้เหตุผลเท่าที่ควรในเวลาที่เราตัดสินใจในสถานการณ์แบบนี้
  4. Framing biasวิธีการนำเสนอมีผลต่อการตัดสินใจอย่างมาก
    แม้ว่าตัวเลือกต่างก็มีผลลัพธ์ทางคณิตศาสตร์เท่ากัน สมมุติว่าคุณต้องตัดสินใจว่าจะรับการผ่าตัดหรือไม่ โดยมีหมอคนหนึ่งบอกคุณว่า “การผ่าตัดนี้ปลอดภัยค่ะ เพียงแต่มีโอกาส 5% ที่คุณอาจจะไม่รอดชีวิต คุณจะรับการผ่าตัดไหมคะ” คนส่วนใหญ่มักตอบว่า “ขอคิดดูก่อนดีกว่า ฉันไม่อยากเสี่ยงชีวิตเลย” ในทางกลับกันหากมีคุณหมออีกท่านบอกคุณว่า “การผ่าตัดนี้ปลอดภัยค่ะ 95% ของผู้รับการผ่าตัดนี้รอดชีวิตและฟื้นตัวดีค่ะ” คุณและคนส่วนใหญ่คงจะตอบว่า “ตกลงรับการผ่าตัด ดูเหมือนจะปลอดภัยดีนะ” สองสถานการณ์นี้มีผลลัพธ์ทางคณิตศาสตร์เท่ากัน เพราะโอกาสเสียชีวิต 5% นั้นเท่ากับโอกาสรอดชีวิต 95% สิ่งที่แตกต่าง คือ การนำเสนอที่เน้นข้อดีหรือข้อเสีย ถ้าคนเราใช้เหตุผลในการตัดสินใจ เราควรเลือกตอบเหมือนกันในทั้งสองสถานการณ์ เพราะมีผลลัพธ์เหมือนกัน แต่วิธีการนำเสนอหรือการใช้ถ้อยคำนั้นกลับมีผลอย่างมากต่อสิ่งที่เราเลือก

 

แต่กระนั้นก็ตาม ก็ขอบอกด้วยค่ะว่าการใช้ความรู้สึกหรือการคิดแบบทางลัดของเราไม่ได้ไร้เหตุผลเสมอไป ถ้าเรามีเวลาเพียงพอและมีข้อมูลมากพอ เราสามารถเลือกคำตอบที่เหมาะสมที่สุดหรือถูกต้องได้ หากแต่ในชีวิตจริงเรามักต้องตัดสินใจโดยมีเวลาและข้อมูลที่จำกัด จึงทำให้เรามีโอกาสตกหลุมพรางทางลัดในความคิดเหล่านี้ และนำไปสู่ตัวเลือกที่ไม่ได้นึกคิดโดยรอบคอบและไม่ถูกต้องที่สุดตามหลักสถิติ

 

ทั้งนี้ เราทุกคนล้วนมีความสามารถที่จะคิดแบบมีเหตุมีผลได้ เพียงแต่ต้องรู้เท่าทันด้วยว่าเมื่อเราต้องตัดสินเหตุการณ์ที่มีความไม่แน่นอนและในเวลาที่จำกัด เรามักใช้ทางลัดในการคิดเพื่อหาคำตอบที่รวดเร็วที่นึกได้ในขณะนั้น ๆ เท่านั้นเอง โดยมีกระบวนการทางจิตวิทยาที่ซับซ้อนเกี่ยวกับความรู้สึก การทึกทัก การจดจำ และประสบการณ์สั่งสม ที่ทำให้เรานึกคิดตัดสินใจไปอย่างนั้น และเราควรระวังที่จะไม่คิดแบบลัดในการตัดสินใจในเรื่องที่มีความสำคัญค่ะ

 

 

รายการอ้างอิง

 

https://www.businessinsider.com/powerball-tickets-winning-numbers-regret-avoidance-behavioral-economics-2017-8

 

Bell, D. E. (1982). Regret in decision making under uncertainty. Operations Research, 30(5), 961-981.

 

Tversky, A., & Kahneman, D. (1971). Belief in the law of small numbers. Psychological Bulletin, 76(2), 105.

 

Tversky, A., & Kahneman, D. (1973). Availability: A heuristic for judging frequency and probability. Cognitive Psychology, 5(2), 207-232.

 

Tversky, A., & Kahneman, D. (1981). The framing of decisions and the psychology of choice. Science, 211(4481), 453-458.

 

 


 

 

บทความวิชาการ

 

โดย อาจารย์สุภสิรี จันทวรินทร์

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาปริชาน
Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

ต้อนรับปีใหม่ (จีน) ด้วยใจที่สงบ

 

ใกล้ถึงตรุษจีนแล้ว คงเป็นเวลาที่หลายคนอยากทบทวนเตรียมความพร้อมเพื่อต้อนรับปีใหม่ที่ใกล้จะมาถึง ยิ่งช่วงเวลาที่ผ่านมาดูน่าห่วง COVID-19 ระลอกสองกลับมาเยือนอีกครั้ง อาจทำให้หลายคนไม่สบายใจ ชีวิตสับสนวุ่นวาย กลายเป็นความวิตกกังวลขึ้น

 

ความสงบในใจ หรือ Serenity น่าที่จะเป็นตัวแปรทางจิตวิทยาหนึ่งที่ช่วยเราได้ในช่วงเวลานี้ ความสงบนี้สะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกทางบวกที่เราเรียนรู้พัฒนาขึ้น สามารถใช้เป็นหลักเกาะเมื่อชีวิตไม่เป็นมิตรนัก การศึกษาวิจัยพบว่าผู้ที่มีความสงบในใจจะสามารถรักษาไว้ซึ่งความสุขความพึงพอใจในชีวิต แม้เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ตึงเครียดต่อเนื่องเป็นเวลานาน

 

การศึกษาวิจัยระบุว่าความสงบในใจมีที่มาหลัก ๆ จากการที่เราเปิดใจรับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีร้ายตรงใจเราหรือไม่ก็ตาม การยอมรับไม่ได้หมายความว่าเราแน่นิ่ง ปล่อยชีวิตให้วิ่งไปตามยถากรรม หากแต่เป็นการที่เราเองรับรู้และยอมรับถึงขอบเขตพื้นที่ในชีวิตที่เราควบคุมดูแลได้ ไม่กดดันให้ตัวเองจัดการอะไร ๆ เกินกว่าพื้นที่ที่มี พร้อมกันนี้ ก็ไม่ปล่อยใจให้หวั่นไหวไปกับสถานการณ์กดดัน จนละเลยแก่นสำคัญในชีวิต

 

ในกรณีของ COVID-19 ก็คงเป็นการรับรู้ยอมรับความท้าทายจากการติดเชื้อระลอกใหม่ หาทางจัดการป้องปรามความเสี่ยงในส่วนที่ตัวเองทำได้ โดยไม่หวั่นไหวสั่นคลอนหรือพะวงอยู่กับความท้าทายนี้ จนลืมที่จะดูแลให้ชีวิตดำเนินไปตามทิศทางที่ตัวเองให้คุณค่านะคะ

 

อาจมีองค์ประกอบของความสงบในใจที่เราแต่ละคนต้องใช้เวลาบ่มเพาะพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดรู้ขอบเขตพื้นที่ที่เรามีอำนาจควบคุม การเปิดใจรับสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง หรือการมีทิศทางในชีวิต หากมีส่วนไหนที่การพูดคุยปรึกษาทางจิตวิทยาจะเป็นประโยชน์ได้ นักจิตวิทยายินดีให้การสนับสนุนเต็มที่ เพื่อให้คุณพร้อมสำหรับปีใหม่ (จีน) ปีนี้นะคะ

 

 


 

 

บทความโดย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กุลยา พิสิษฐ์สังฆการ

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

ลักษณะบุคคลที่อยู่ด้วยยากและวิธีการรับมือ

ตามปกติมนุษย์เราต้องการอยู่ใกล้ชิดบุคคลที่เป็นมิตร บุคคลที่มีความสุข มีความอบอุ่นปลอดภัยที่จะอยู่ใกล้ บุคคลที่มีความรักและความปรารถนาดีให้กับเรา อย่างไรก็ตามในชีวิตประจำวันของเรา เราต้องพบเจอกับบุคคลที่มีบุคลิกภาพต่าง ๆ กัน ในบางครั้งเราก็ไม่สามารถเลือกได้ว่า เราจะพบคนประเภทหรือแบบใด

 

ก่อนอื่นเรามาดูความหมายของบุคคลที่อยู่ด้วยยากหรือยากที่จะอยู่ด้วย ภาษาอังกฤษใช้คำว่า toxic people หรือ toxic personality โดยในทางจิตวิทยาบุคลิกภาพเรียกว่าผู้มีบุคลิกภาพด้านมืดสามประการ (dark triad personality)

 

  1. พวกหลงตนเอง (narcissism) บุคคลประเภทนี้ จะต้องการการให้เกียรติอย่างมาก ต้องการได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากคนอื่น คิดว่าตนเองมีความสำคัญ มีอำนาจ มีความงาม มีสติปัญญามากกว่าคนอื่น มองว่าตนเองมีเอกลักษณ์เหนือกว่าคนอื่น หรือมักยึดโยงกับบุคคลที่มีอำนาจหรือมีตำแหน่ง ต้องการการชื่นชมจากผู้อื่น ต้องการให้บุคคลอื่นเชื่อฟังตน หรือใช้ประโยชน์ผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตนเอง
  2. พวกแมคไควิลเลียน บุคลิกภาพประเภทนี้มาจากนักการทูตชาวอิตาลีเมื่อหลายร้อยปีก่อน ชื่อ Niccolò Machiavelli ที่เป็นผู้สังเกตว่า นักการทูตรอบตัวเขาหลายคนมีบุคลิกภาพแบบนี้ โดยบุคคลที่มีบุคลิกภาพแบบแมคไควิลเลียนจะมีลักษณะที่มักทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อผลประโยชน์ของตนเองโดยใช้ประโยชน์จากผู้อื่น เช่น อาจประจบเอาใจผู้มีอำนาจจนเกินงาม ไม่จริงใจ ทำผิดแต่ไม่รับผิดและพยายามเอาตัวรอด มีเล่ห์เหลี่ยม ถ้าสังคมหรือองค์การที่มีธรรมาภิบาล บุคคลประเภทนี้จะอยู่ยาก
  3. พวกไซโคพาธ (psychopath) บุคคลประเภทนี้จะไม่รู้สึกผิดเมื่อทำไม่ดีกับผู้อื่น ไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น อาจดูมีเสน่ห์ในเบื้องต้นแต่เมื่อคบไปนาน ๆ จะทำให้เกิดความเจ็บปวดหรือปัญหาตามมาได้ มักพบบุคลิกภาพแบบนี้ในฆาตกรต่อเนื่อง (serial killer)

จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าบุคลิกภาพด้านมืดทั้งสามประเภทจะทำให้บุคคลแวดล้อมไม่มีความสุข นอกจากนี้ยังมีลักษณะนิสัยอื่น ๆ อีกที่ยากต่อการที่บุคคลทั่วไปจะมีปฏิสัมพันธ์ด้วย เช่น คนที่เห็นแก่ตัว คนที่มักครอบงำผู้อื่นไม่ให้ผู้อื่นเป็นตัวของตัวเอง คนที่มักตำหนิบุคคลอื่น คนขี้เหวี่ยงขี้วีน ขี้โมโห อารมณ์ไม่ดี คนที่ไม่ทำตามที่พูด คนที่มักโกหกและมีข้อแก้ตัวตลอดเวลา คนที่ไม่ให้เกียรติบุคคลอื่น คนที่มักนินทาและแทงข้างหลัง คนที่หยิ่งทะนงหรือหยิ่งยโสไม่ฟังความคิดบุคคลอื่น ซึ่งเราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เราทุกคนก็อาจมีลักษณะนิสัยที่กล่าวมาไม่มากก็น้อย บางครั้งเราก็แสดงออกไปโดยที่เราไม่รู้ตัว อย่างน้อยบทความนี้ก็อาจทำให้เราตระหนักว่า ใคร ๆ ก็อยากอยู่ใกล้บุคคลที่มีความจริงใจและเป็นกัลยาณมิตร

 

ลักษณะนิสัยที่กล่าวมาทำให้บุคคลที่อยู่ใกล้หงุดหงิด ไม่มีความสุข และอาจทำให้มีการนับถือตนเองที่ต่ำลง ดังนั้นเรามาดูวิธีการอยู่กับบุคคลเหล่านี้ให้มีความสุขกันค่ะ นักจิตวิทยาแนะนำว่า เราควรมีขอบเขตหรือช่องว่างหรือระยะห่างเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลที่มีลักษณะนิสัยที่กล่าวมา หรือที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “set boundary” กล่าวคือ เมื่อต้องมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลเหล่านี้ก็พยายามปฏิสัมพันธ์ให้น้อย มีการวางตัวของเราที่เหมาะสม เมื่อเราคำนึงสิทธิของเขา เขาก็ต้องรู้จักคำนึงสิทธิของเรา ไม่ใช่ว่าเราต้องโอนอ่อนเข้าหาเขาฝ่ายเดียว

 

ทั้งนี้ การวางตัวหรือพฤติกรรมการตอบสนองดังกล่าว เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติ และเป็นทั้งศาสตร์และศิลปะในการดำเนินชีวิต หรือถ้ามีระยะห่างระหว่างกันแล้วยังไม่ดีขึ้นก็ต้องเลิกติดต่อกันหรือติดต่อกันให้น้อยที่สุด

 

 


 

 

บทความวิชาการ

 

โดย ผู้ช่วยศาสราจารย์ ดร.อภิชญา ไชยวุฒิกรณ์วานิช

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคมพื้นฐานและการประยุกต์

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

การจัดการความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับลูกวัยรุ่น

Dr.John Ng ผู้เชี่ยวชาญในด้านการจัดการความขัดแย้ง ของ Eagles Mediation and Counseling Center ประเทศสิงคโปร์  ได้เขียนไว้ในหนังสือของท่าน และได้ให้มุมมองเกี่ยวกับธรรมชาติของความขัดแย้งไว้ 4 ประเด็น ดังนี้

 

ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต

 

เนื่องด้วยคนเรามีความแตกต่างกัน เช่น มีบุคลิกภาพต่างกัน มีความคิดเห็นต่างกัน มีค่านิยมต่างกัน และมีความต้องการต่างกัน เราจึงมีความขัดแย้งกัน ดังนั้นตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็สามารถมีความขัดแย้งกับผู้อื่นได้ การมีความขัดแย้งไม่ได้ก่อให้เกิดความแตกหักในความสัมพันธ์ แต่วิธีจัดการกับความขัดแย้งต่างหากที่มีผลต่อความสัมพันธ์

ความขัดแย้งมีค่าเป็นกลาง

 

คนส่วนมากกลัวความขัดแย้ง เพราะคิดว่าความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ไม่ดี เรามักจะเชื่อมโยงความขัดแย้งกับคำที่มีความหมายในทางลบ เช่น ความโกรธ ความก้าวร้าว การต่อสู้ การโต้เถียง ความคับข้องใจ ความขมขื่น และความเกลียดชัง อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งก็มีข้อดีได้ เพราะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น เกิดความคิดใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น เกิดการยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน และมีมุมมองชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิม

ครอบครัวที่ไม่มีความขัดแย้งไม่จำเป็นต้องเป็นครอบครัวที่มีความสุขเสมอไป

 

พ่อแม่ที่คิดว่าครอบครัวของตนไม่มีความขัดแย้งอาจจะไม่รู้ตัวว่าได้สร้างบรรยากาศของความหวาดกลัวแก่ลูก ๆ จนไม่มีใครกล้าพูดถึงความต้องการที่แท้จริงของตนออกมา พ่อแม่ที่เข้มงวดเกินไป ไม่เปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นเท่ากับได้กวาดความขัดแย้งไปซ่อนไว้ใต้พรมซึ่งรอเวลาที่จะระเบิดออกมา แต่ครอบครัวที่มีความเป็นประชาธิปไตย แม้มีความขัดแย้งก็สามารถจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับวัยรุ่นเป็นเรื่องที่ไม่มีวันจบ

 

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมักจะเป็นเรื่องเดิม ๆ ที่มีการโต้เถียงกันซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่น เรื่องผลการเรียน ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของห้องนอน การเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ การนอนตื่นสาย การพูดโทรศัพท์นานเกินไป และการออกไปเที่ยวเตร่นอกบ้านกับเพื่อน เป็นต้น ทั้งนี้ พ่อแม่ต้องยอมรับว่าจะต้องมีความขัดแย้งในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าลูกจะเติบโตผ่านช่วงวัยรุ่นนี้ไป ดังนั้นแทนที่จะหลีกหนีหรือเก็บซ่อนความขัดแย้งไว้ สิ่งที่ควรทำก็คือ การหาวิธีจัดการกับความขัดแย้งเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

 

นอกจากนี้ ดร.จอนห์น อึ้ง ได้กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับลูกวัยรุ่นไว้ดังนี้

 

  1. การมีค่านิยมที่แตกต่างและขัดแย้งกัน ค่านิยมของวัยรุ่นมักแตกต่างจากพ่อแม่ ในขณะที่วัยรุ่นให้คุณค่าแก่เสรีภาพ การมีเพื่อน และความสนุกสนาน พ่อแม่จะให้คุณค่าแก่ความขยันหมั่นเพียร ความซื่อสัตย์สุจริต และการมีเกียรติยศชื่อเสียง เมื่อ 2ฝ่ายมีค่านิยมที่แตกต่างกัน ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้น
  2. การมีอุปนิสัยที่ไม่ถูกใจพ่อแม่ สิ่งที่พ่อแม่มักจะบ่นเกี่ยวกับอุปนิสัยของวัยรุ่นก็คือ ความไม่เป็นระเบียบ การขาดความรับผิดชอบ และการไม่เอาใจใส่ต่อการเรียนและการสอบ ในขณะที่วัยรุ่นจะมองพ่อแม่ว่าควบคุมชีวิตของเขามากเกินไป เจ้าระเบียบเกินไป และจ้องจับผิดมากเกินไป
  3. การมีความคาดหวังที่ซ่อนเร้นและไม่เป็นจริง พ่อแม่อาจมีความคาดหวังที่สูงเกินไป เช่น คิดว่าลูกยังเรียนได้ไม่ดีเท่าที่ควร ห้องนอนยังไม่สะอาดเรียบร้อยเท่าที่ควร และใช้เวลากับเพื่อนมากเกินไป พ่อแม่บางคนคาดหวังให้ลูกทำบางสิ่งบางอย่างให้แต่ไม่เคยบอกลูกตรงๆ ในขณะที่ลูกก็มีความคาดหวังต่อพ่อแม่ที่ซ่อนเร้นอยู่ เช่น อยากให้พ่ออยู่กับครอบครัวมากขึ้น เพราะพ่อเดินทางบ่อยเกินไป แต่ลูกไม่เคยบอกให้พ่อรู้
  4. การมีรูปแบบการสื่อสารในด้านลบและไม่มีประสิทธิภาพ การใช้ถ้อยคำที่รุนแรงหรือการกระทำที่ก้าวร้าวทำให้เกิดความโกรธ ทั้งในพ่อแม่และวัยรุ่น พ่อแม่ที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้อาจดุด่าว่ากล่าวลูกต่อหน้าคนอื่น ทำให้เด็กรู้สึกอับอาย และเมื่อวัยรุ่นตอบโต้ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงบ้าง การสื่อสารของทั้ง 2 ฝ่ายจะกลายเป็นการตะโกนใส่กัน แต่จะไม่สามารถจัดการกับความขัดแย้งได้
  5. การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน มนุษย์ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวในระดับหนึ่ง บางครั้งพ่อแม่ก็เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าจะคิดถึงวัยรุ่น เช่น พ่อแม่อยากจะดูดีในสายตาของคนอื่น และรู้สึกอับอายเมื่อลูกเรียนไม่ดี หรือสอบเข้าเรียนในสาขาวิชาที่ต้องการไม่ได้  จึงพยายามกดดันให้ลูกเรียนดีเพื่อพ่อแม่จะได้มีหน้ามีตา วัยรุ่นเองก็เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเช่นกัน เขามักจะไม่สนใจเป้าหมายระยะยาว  หรือผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำในปัจจุบันที่มีต่ออนาคต วัยรุ่นมักทำอะไรตามใจตนเอง และบางครั้งก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ส่งผลเสียต่อชีวิตของตน เช่น การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน การใช้ยาเสพติด เป็นต้น
  6. การมีความสนใจที่ต่างกันและขัดแย้งกัน วัยรุ่นกับพ่อแม่มักมีความสนใจต่างกัน เช่น วัยรุ่นชอบฟังดนตรีประเภทร็อก หรือเร็คเก ในขณะที่พ่อแม่รู้สึกว่าเสียงดังเกินไปและดนตรีแนวนี้มีอิทธิพลในด้านลบต่อเด็ก นอกจากนี้วัยรุ่นยังชอบไปงานปาร์ตี้และเที่ยวกลางคืน ในขณะที่พ่อแม่คิดว่าสถานที่เหล่านี้จะทำให้ลูกถูกชักจูงไปในทางที่เสื่อมเสียได้ง่ายวัยรุ่นบางคนคิดว่า เกมส์คอมพิวเตอร์สนุกสนานและตื่นเต้น แต่พ่อแม่รู้สึกว่าลูกติดเกมส์มากเกินไป
  7. การมีอคติในทางลบที่นำไปสู่การติเตียน มนุษย์มีความลำเอียง และเราควรจะตระหนักว่าเราลำเอียงในด้านใดบ้าง เราสามารถแบ่งความลำเอียงออกเป็น 3 แบบ คือ
    • เรามีแนวโน้มที่จะอนุมานสาเหตุของพฤติกรรมแบบเข้าข้างตนเอง กล่าวคือ ถ้าเราทำผิด เรามักจะโทษสถานการณ์แต่ถ้าคนอื่นทำผิด เราจะโทษว่ามาจากลักษณะนิสัยหรือความตั้งใจที่ไม่ดีของเขา เช่น ถ้าเรามาสายเราจะโทษว่ารถติด แต่ถ้าลูกของเรามาสาย เราจะกล่าวหาว่าเขาเป็นคนเกียจคร้านหรือไม่รับผิดชอบ
    • เรามีแนวโน้มที่จะยึดตนเองเป็นมาตรฐาน กล่าวคือ เราเชื่อว่าวิถีชีวิต เจตคติ และพฤติกรรมของเราเป็นเรื่องปกติ และคนอื่นก็จะเป็นเหมือนเรา ถ้าเราเป็นคนที่มีระเบียบ เราก็คิดว่าลูกของเราก็จะเป็นเหมือนเราด้วย และถ้าลูกของเราแตกต่างจากเรา เราจะยอมรับไม่ได้ ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เรายังคิดว่าเราเป็นพวกที่ปกติ และถ้าคนไหนไม่เหมือนเรา เขาก็เป็นคนที่ผิดปกติ
    • เรามีแนวโน้มที่จะเน้นลักษณะทางลบของคนอื่นมากกว่าลักษณะทางบวกของเขาและจะใช้ลักษณะทางลบนั้นตัดสินพฤติกรรมที่ตามมา เช่น ถ้ามีใครมาถามถึงลูกวัยรุ่นของเรา เราก็มีแนวโน้มที่จะพูดถึงอุปนิสัยที่ไม่ดีของลูกมากกว่า ทั้งที่ลูกก็มีส่วนที่ดีหลายอย่าง เช่น เราอาจจะพูดว่า “ลูกสาวฉันพูดโทรศัพท์ตลอดเวลา” แต่กลับไม่พูดถึงความขยันและความตั้งใจเรียนของลูก วัยรุ่นก็เช่นกัน เขามักจะบ่นว่า “พ่อแม่ผมเป็นคนขี้บ่น และไม่เข้าใจผม” แต่จะมีวัยรุ่นน้อยคนที่จะบอกว่า “พ่อแม่ผมทำงานหนักเพื่อส่งผมเรียน” นักจิตวิทยาเชื่อกันว่าหากเราเน้นที่คุณลักษณะด้านลบของคนมากเกินไป คนนั้นก็มีแนวโน้มที่จะเป็นไปตามคำทำนายของเราโดยกลายเป็นคนที่มีลักษณะที่ไม่พึงปรารถนานั้นในที่สุด
  8. การมีอารมณ์ที่อ่อนไหว ควบคุมไม่ได้วัยรุ่นหลายคนมีอารมณ์ที่อ่อนไหวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างวัยเด็กกับวัยรุ่น บางคนโกรธง่าย และไม่สบายใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ  บางครั้งก็ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรงเมื่อได้รับการกระตุ้นเพียงเล็กน้อย บางคนก็หงุดหงิด เจ้าคิดเจ้าแค้นเมื่อมีใครมาทำให้ไม่พอใจ เด็กเหล่านี้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตน และมักต้องได้รับการปลอบให้ใจเย็นลง ตลอดเวลา พ่อแม่ก็สามารถระเบิดอารมณ์ใส่ลูกๆ ได้เช่นกัน เมื่อรู้สึกว่าอำนาจของตนกำลังถูกท้าทาย
  9. การมีชีวิตภายใต้ความกดดันและข้อเรียกร้องที่มากเกินไป ทั้งพ่อแม่และวัยรุ่นอยู่ภายใต้ความกดดันที่จะต้องประสบความสำเร็จ พ่อแม่มีแรงกดดันจากที่ทำงาน และเมื่ออยู่ที่บ้านก็ถูกคาดหวังว่าจะต้องเป็นพ่อแม่ที่ดีและเข้าใจลูก ส่วนวัยรุ่นเองก็มีแรงกดดันจากข้อเรียกร้องของพ่อแม่ในเรื่องการเรียน ครูก็เรียกร้องให้เขาเป็นนักเรียนที่ดี และเพื่อนๆ ก็เรียกร้องให้เขาเป็นคนที่ให้ความร่วมมือ แรงกดดันเหล่านี้ทำให้พ่อแม่และวัยรุ่นหงุดหงิดง่ายและมักจะขาดการควบคุมอารมณ์เมื่ออยู่ที่บ้าน
  10. ประสิทธิภาพของการเป็นพ่อแม่ที่ดี พ่อแม่หลายคนเป็นพ่อแม่ด้วยวิธีลองผิดลองถูก บางคนก็ยังมีปัญหากับคู่สมรสและมีปัญหาในที่ทำงานด้วย วัยรุ่นเองก็ไม่รู้ว่าจะเป็นวัยรุ่นที่ดีได้อย่างไร เขาอาจจะเรียนหนังสือไม่เก่ง และไม่รู้วิธีที่จะสื่อสารกับพ่อแม่และเพื่อน งานวิจัยด้านสมองแสดงให้เห็นว่า วัยรุ่นบางคนวางแผนไม่เป็น  ไม่รู้จักจัดลำดับความสำคัญ ไม่สามารถควบคุมความต้องการและไม่สามารถคิดถึงผลที่ตามมาจากการกระทำของตน

 

 

 

จากปัจจัยทั้งหมดที่ได้กล่าวมาทั้ง 10 ข้อนี้ทำให้เราเห็นว่าทั้งพ่อแม่และวัยรุ่นอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ดังนั้นการมีความขัดแย้งจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจ

 

Dr.John Ng ได้เสนอแนะแนวคิดกว้าง ๆ เกี่ยวกับการจัดการความขัดแย้งไว้ 3 ข้อด้วยกันคือ

 

  1. การเห็นคุณค่าของกันและกัน พ่อแม่และวัยรุ่นต้องเห็นคุณค่าของกันและกันและมีความยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน พ่อแม่ต้องยอมรับความแตกต่างที่ไม่เหมือนใครของวัยรุ่น และไม่ควรคิดว่าวัยรุ่นเป็นส่วนหนึ่งในการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของตน
  2. พ่อแม่และวัยรุ่นควรใช้เวลาอยู่ด้วยกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางบวก เช่น ไปท่องเที่ยวเพื่อความสนุกสนานร่วมกัน เฉลิมฉลองโอกาสแห่งความสำเร็จร่วมกัน ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือและการสนับสนุนทางอารมณ์ซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ทางบวกเหล่านี้จะช่วยลบล้างผลที่เกิดจากความสัมพันธ์ทางลบที่อาจจะเกิดขึ้นจากความขัดแย้ง พ่อแม่ควรจะใช้เวลาในการสร้างความสัมพันธ์ทางบวกอย่างน้อยห้าเท่าของเวลาที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับวัยรุ่น
  3. พ่อแม่และวัยรุ่นควรเรียนรู้จากความขัดแย้งพ่อแม่อาจจะต้องยอมให้ลูกล้มเหลวหรือทำผิดเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ แล้วเราจะได้หายจากความขัดแย้ง มิฉะนั้นทั้งพ่อแม่ละวัยรุ่นก็จะเก็บความไม่พอใจและความขมขื่นไว้ซึ่งจะมีผลเสียต่อความสัมพันธ์ในอนาคต

 

นอกจากนั้น Dr.John Ng ยังได้ให้กฎ 8 ข้อ ในการจัดการกับความขัดแย้งไว้ดังนี้

 

  1. เมื่อมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน อย่าโจมตีในเรื่องส่วนตัวของกันและกันและไม่ควรตำหนิหรือกล่าวหาลูกด้วยถ้อยคำที่รุนแรง
  2. พ่อแม่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้ทำลงไป ถ้าทำผิดต่อลูกต้องรู้จักขอโทษ ไม่ใช่แก้ตัว หรือโทษผู้อื่น
  3. เมื่อเกิดความขัดแย้งให้ตั้งใจรับฟังคำพูดของลูก ด้วยการถามคำถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจ หรืออาจจะพูดทวนสิ่งที่ลูกพูดเพื่อตรวจสอบว่าเราเข้าใจลูกถูกต้องหรือไม่ และเปิดโอกาสให้ลูกให้ข้อมูลป้อนกลับเกี่ยวกับการกระทำของเรา
  4. การควบคุมอารมณ์ด้านลบไม่ให้มาบดบังประเด็นของความขัดแย้ง การมีอารมณ์ในด้านลบมักเกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกโกรธหรือคับข้องใจ  ทำให้การสื่อสารขาดประสิทธิภาพ
  5. การพิจารณาความสำคัญของประเด็นความขัดแย้ง เรื่องบางเรื่องไม่สำคัญมากพอที่จะมาโต้เถียงกัน ดังนั้น การหลีกเลี่ยงหรือยอมตามอีกฝ่ายหนึ่งอาจคุ้มค่ากว่า
  6. แก้ไขความขัดแย้งทีละประเด็น อย่านำปัญหาเก่า ๆ ที่เกิดขึ้นนานแล้วมาปะปนกับปัญหาปัจจุบัน ทำให้เกิดความสับสนและแก้ปัญหาได้ยากขึ้น
  7. เลือกโอกาสในการพูดคุยให้เหมาะสมดูอารมณ์ของตนเองและของลูก ถ้าอยู่ในอารมณ์โกรธ ควรรอให้อารมณ์เย็นลงก่อนแล้วจึงค่อยพูดคุยกัน
  8. เชื่อมโยงประเด็นปัจจุบันกับเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้น หรือเป้าหมายระยะยาว แทนที่จะเห็นแต่ความสนใจหรือผลประโยชน์ปัจจุบัน การมองปัญหาในมุมกว้างจะช่วยให้การแก้ไขความขัดแย้งง่ายขึ้น เพราะทั้งพ่อแม่และวัยรุ่นต่างก็มีเป้าหมายอันเดียวกัน คือความสุขและความสัมพันธ์ที่ดีของครอบครัว

 

 


 

 

ภาพประกอบจาก : http://www.freepik.com

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย รองศาสตราจารย์ ดร. เพ็ญพิไล ฤทธาคณานนท์

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University