News & Events

Democratic behavior – พฤติกรรมประชาธิปไตย

 

 

การปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะมั่นคงได้ คนในสังคมจำเป็นต้องมีจิตใจ มีพฤติกรรมหรือบุคลิกภาพที่เป็นประชาธิปไตยด้วย การปกครองในระบอบประชาธิปไตยจึงจะสมบูรณ์และประสบความสำเร็จได้

 

ที่ผ่านมามีผู้ศึกษาวิจัย นักรัฐศาสตร์และนักจิตวิทยาจำนวนมากได้กล่าวถึงพฤติกรรมประชาธิปไตยไว้ในแง่มุมต่าง ๆ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้ (สมนึก มังน้อย, 2539)

 

1. การรู้จักบทบาทและหน้าที่ของตน
  • เคารพและปฏิบัติตามกฎระเบียบแบบแผนของสังคม
  • ปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเต็มใจและเกิดผลดีต่อส่วนรวม
  • ปฏิบัติหน้าที่การงานสำเร็จตามกำหนดเวลาที่ได้รับมอบหมาย
  • เอาใจใส่ติดตามการปฏิบัติงานโดยไม่ทอดทิ้ง
  • ยอมรับบทบาทหน้าที่ของกันและกัน

 

2. การยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น
  • ให้โอกาสผู้อื่นแสดงความคิดเห็น
  • ไม่ดูถูกเหยียดหยามความคิดเห็นของผู้อื่น
  • สนใจฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยความเต็มใจ
  • ซักถามโดยใช้เหตุผลเมื่อไม่เข้าใจความคิดเห็นของผู้อื่น
  • ไม่ยึดถือความเห็นของตนเองว่าถูกต้องเสมอไป

 

3. การคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน
  • รู้จักเสียสละโดยพิจารณาตามเหตุผลและความเหมาะสม
  • เต็มใจที่จะทำงานร่วมกับหมู่คณะ
  • ไม่ละเลยและเพิกเฉยต่อการกระทำใด ๆ ที่จะเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมตามความสามารถและโอกาส
  • รู้จักอดทน อดกลั้น เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม
  • รู้จักละอายใจต่อความประพฤติของตนที่จะรักษาผลประโยชน์ส่วนตนโดยมิชอบ

 

4. การยอมรับและเคารพในสิทธิและหน้าที่ของบุคคล
  • ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด โดยไม่ก้าวก่ายหรือรบกวนหน้าที่ของผู้อื่น
  • รู้จักให้ความสำคัญแก่ผู้อื่น ไม่สนใจและให้ความสำคัญแต่เฉพาะตนเองเท่านั้น
  • รักความยุติธรรม
  • รู้จักเห็นอกเห็นใจและห่วงใยผู้อื่น
  • ยอมรับมติของหมู่คณะ

 

5. การใช้ปัญญาหรือเหตุผลในการตัดสินปัญหา
  • รู้จักการใช้เหตุผลในการพิจารณาตัดสินปัญหาเมื่อเกิดข้อขัดแย้ง
  • ตัดสินปัญหาโดยใช้ข้อมูลประกอบ
  • ไม่นำความเชื่อหรือโชคลางมาเป็นเครื่องตัดสินใจ
  • รู้จักวิเคราะห์และประมวลเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยใช้สติปัญญาและเหตุผลตลอดเวลา
  • แยกเรื่องส่วนตัวกับหน้าที่การงานออกจากกันในการทำงาน หรือการตัดสินปัญหาใด ๆ

 

 

ปัจจัยคัดสรรที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมประชาธิปไตย

 

ได้แก่

 

1. การอบรมเลี้ยงดู

 

ครอบครัวเป็นสถาบันที่มีความสำคัญต่อพัฒนาการของเด็ก เป็นสถาบันที่สร้างบุคลิกภาพ พฤติกรรม และสติปัญญาในอนาคตของเด็ก ซึ่งรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูที่ส่งเสริมพฤติกรรมประชาธิปไตยให้แก่เด็ก คือ การอบรมเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่ (authoritative parenting style) หมายถึง การที่พ่อแม่มีการควบคุมความประพฤติของเด็ก แต่ขณะเดียวกันก็พยายามอธิบายเหตุผลประกอบการกระทำ ด้วยการอธิบายกฎเกณฑ์ที่เด็กจะต้องประพฤติ และมีการยอมรับเด็กในระดับสูง ตอบสนองความต้องการของเด็ก เด็กได้เป็นตัวของตัวเองตามสมควร พ่อแม่ทำให้เด็กรู้สึกว่าไม่ถูกควบคุมและไม่เป็นอิสระมากจนเกินไป

 

ส่วนการอบรมเลี้ยงดูแบบเข้มงวดมากเกินไป แบบตามใจมากเกินไป และแบบปล่อยปละละเลย ไม่ช่วยให้เด็กมีความรับผิดชอบ ทำให้เด็กไม่มีวินัยในตนเอง ไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น หรือคิดถึงประโยชน์ส่วนรวม ไม่มีเหตุผลในการคิดตัดสินปัญหา

 

2. เพศ

 

แต่ละเพศให้ความสนใจกับพฤติกรรมประชาธิปไตยแตกต่างกัน ด้วยบทบาททางเพศที่ถูกกำหนดไว้จากครอบครัวและสังคมที่คาดหวังต่อผู้ชายและผู้หญิงที่ต่างกัน โดยผลการวิจัยในประเทศไทยพบว่า ผู้ชายให้ความสนใจต่อข่าวสารทางการเมือง และมีความคาดหวังต่อประโยชน์ของการปกครองท้องถิ่นหรือสุขาภิบาล และอุดมการณ์ประชาธิปไตยมากกว่าผู้หญิง

 

3. การร่วมกิจกรรมประชาธิปไตยในโรงเรียน

 

โรงเรียนเปรียบเสมือนสังคมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เด็กและวัยรุ่นมีพัฒนาการทางสังคมให้ดีขึ้น มีกิจกรรมต่าง ๆ ให้เด็กมีส่วนเพื่อนร่วมให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพในสังคม เป็นสถานที่ถ่ายทอดการเรียนรู้ทางการเมืองทั้งทางตรง โดยการอบรมให้ความรู้ทางการเมืองการปกครอง และทางอ้อม โดยการจัดกิจกรรมให้เด็กได้รู้จักการปฏิบัติตนในสังคม สร้างพฤติกรรมทางการเมืองในโรงเรียน เช่น การเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิดเห็น การยอมรับฟังเหตุผล การเลือกคณะกรรมการนักเรียน หรือการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานนักเรียน เป็นต้น

 

งานวิจัยในประเทศไทยพบว่า นิสิตนักศึกษาส่วนใหญ่ มีทัศนคติทางการเมืองแบบประชาธิปไตย มีความสำนึก และกระตือรือร้น สนใจในการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง ส่วนนักเรียนนายร้อยทหารบกและนักเรียนนายเรือ มีทัศนคติทางการเมืองทั้งแบบอำนาจนิยมและประชาธิปไตยอยู่ในคนเดียวกัน แต่มีความโน้มเอียงไปทางอำนาจนิยมมากกว่าประชาธิปไตย

 

4. การรับรู้ข่าวสาร

 

ข่าวสารเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ประกอบการตัดสินใจในกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เมื่อบุคคลต้องการข้อมูลในการตัดสินใจหรือไม่แน่ใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง บุคคลจะต้องการข่าวสารเพิ่มมากขึ้น โดยสิ่งที่ทำให้บุคคลเลือกรับสื่อต่าง ๆ ได้แก่ ทัศนคติและประสบการณ์เดิมของตน ครอบครัว สังคม วัฒนธรรม อายุ เพศ ภูมิลำเนา ตลอดจนการศึกษา

 

ทั้งนี้ อิทธิพลของสื่อมวลชนที่มีต่อประชาชนนั้นไม่ใช่อิทธิพลโดยตรง แต่เป็นอิทธิพลโดยอ้อม Klapper (1966) กล่าวว่า มีปัจจัยต่าง ๆ ที่กั้นอิทธิพลของสื่อมวลชน ได้แก่ ความมีใจโน้มเอียง/การเลือกของผู้รับสาร ผู้นำความคิดเห็นของคนในสังคม และธุรกิจด้านสื่อมวลชน (ว่ามีลักษณะเสรีหรือผูกขาดการนำเสนอข่าวสาร)

 

นอกจากนี้ อิทธิพลที่สื่อมวลชนมีต่อประชาชนเป็นเพียงผู้สนับสนุนเท่านั้น คือ สื่อจะสนับสนุนทัศนคติ ค่านิยม และแนวโน้มด้านพฤติกรรมของประชาชนให้มีความเข้มแข็งขึ้น พร้อมที่จะแสดงให้ปรากฏออกมาเมื่อมีแรงจูงใจเพียงพอหรือมีโอกาสที่เหมาะสม การทำหน้าที่เป็นผู้เปลี่ยนแปลงนั้น สื่อมวลชนจะสามารถมีอิทธิพลได้เมื่อบุคคลมีความโน้มเอียงที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว สื่อมวลชนเพียงแต่เป็นผู้เสนอหนทางในการเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมเท่านั้น และสื่อมวลชนสามารถสร้างทัศนคติและค่านิยมใหม่ให้แก่ประชาชนได้ก็ต่อเมื่อ บุคคลนั้น ๆ ไม่เคยมีความรู้หรือประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งนั้นมาก่อน และบุคคลต้องได้รับสารที่เสนอเรื่องราวในแนวเดียวกันบ่อย ๆ เพราะการสร้างทัศนคติและค่านิยมใหม่นั้นเป็นอิทธิพลในลักษณะสะสมมีให้ก่อให้เกิดผลได้ในทันทีหรือระยะเวลาอันสั้น

 

 

 


 

 

รายการอ้างอิง

 

“ปัจจัยคัดสรรที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมประชาธิปไตยของวัยรุ่นตอนปลาย” โดย พัชราวลัย ศิลป (2545) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/10416

 

ภาพจาก https://www.huffingtonpost.com/fixcapitalism/do-we-really-want-democra_b_10799776.html

เทคนิคดูแลใจ : ปลุกความภูมิใจให้ตนเอง

 

บางครั้งเราอาจจะเคยได้ยินข่าวของคนรอบตัวของเราว่าช่วงนี้ดูเหมือนเขามีความทุกข์ ความเศร้า หน้าตาบ่งบอกว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจ บางคนก็เศร้าซึม บางคนก็ถึงขั้นซึมเศร้า ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากสาเหตุนานาประการ บางคนที่เคยมีความสุขหากแต่ไม่เคยเตรียมใจ พอมีเรื่องร้ายบางอย่างเข้ามากระทบ ก็ส่งผลให้อารมณ์หวั่นไหวได้เช่นกัน โดยเฉพาะกับบางคนที่มีความภูมิใจในตนเองต่ำ อาการก็จะยิ่งหนักมากกว่าคนอื่นทั่วไป

 

สาเหตุของการมีความภูมิใจในตนเองต่ำ มีมากมายหลายประการ สะสมต่อเนื่องกันมาตลอดชีวิต ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และการหล่อหลอมของครอบครัว รวมทั้งสังคมของแต่ละคน เช่น บางคนเกิดมาแล้วไม่เคยได้รับความรัก การดูแลเอาใส่ใจ ให้กำลังใจ บางคนพบกับประสบการณ์ของการสูญเสียความรัก บางคนไม่เคยได้รับการยอมรับหรือยกย่องจากบุคคลอื่น ทำให้รับรู้ตนเองว่าขาดความสามารถเทียบเท่าผู้อื่น หรือบางคนจริง ๆ แล้วก็มีความสามารถ แต่รับรู้ตนเองจากการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นว่า ตนเองไม่มีสามารถเพียงพอทัดเทียมกับผู้อื่น หรือไม่สามารถพัฒนาตนเองไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ในขณะที่คนรอบข้างประสบความสำเร็จ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนส่งผลให้เกิดแนวโน้มที่จะทำให้เรากลายเป็นคนที่มีความภูมิใจในตนเองต่ำได้ในที่สุด

 

 

 

ความภูมิใจในตนเอง แท้จริงเป็นเรื่องของการรับรู้ การตีความประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา หรือที่ยึดติดกับมัน จนกลายเป็นความเชื่อว่าตนเองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ บุคคลที่มีความภูมิใจในตนเองต่ำหรือรู้สึกตัวเองว่าไม่มีศักดิ์ศรี สู้คนอื่นไม่ได้ บางครั้งอาจมีลักษณะของความบกพร่องในการปรับตัว (Dysfunctional coping) ไม่สามารถจะต่อสู้กับปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ ขณะที่ผู้อื่นเขาสามารถผ่านจุดนั้นไปได้ ทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเอง บางครั้งก็รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า (Worthlessness) ไม่มีความสำคัญต่อคนรอบข้างหรือแม้แต่ในครอบครัวของตนเอง บางทีก็รู้สึกเหมือนว่าตนเองไม่มีใครจะคอยสนใจช่วยเหลือ (Helplessness) เหมือนอยู่คนเดียวในโลก ความรู้สึกจะค่อย ๆ ดิ่งลงทุกที ส่งผลให้รู้สึกขาดความหวัง (Hopelessness) ขาดกำลังใจ (Empowerlessness) รู้สึกเหนื่อย ท้อ และหมดแรงที่จะลุกขึ้นมาสู้ บางสถานการณ์อาจจะมีใครสักคนเข้ามาช่วยเหลือก็อดที่จะแอบคิดมองเขาในแง่ร้ายหรืออดระแวงไม่ได้ (Paranoid) มีความรู้สึกไม่ไว้วางใจ และคิดว่าเขาก็อาจจะจะรู้สึกไม่ดีต่อเรา ในบางอารมณ์อาจจะมีความรู้สึกเหมือนเกลียดตัวเอง บางขณะก็ดูเหมือนจะพยายามจะรักษาสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอื่นให้คงอยู่ (Maintain Positive Relationship) เพื่อใช้เป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ พยายามฝืนแสดงพฤติกรรมแบบเดิม ๆ ที่ตนเองเคยกระทำทั้งที่ไม่อยากทำหรือไม่มีความสุขที่จะทำ (Act in Their own behave) เพื่อให้คนรอบข้างยอมรับ

 

การสร้างความภูมิใจในตนเอง (Self esteem) จะเป็นการพัฒนาคุณค่าศักดิ์ศรีแห่งตนให้เกิดขึ้น โดยปกติแล้วความภูมิใจในตนเองจะเริ่มก่อตัวและสะสมมาตลอดช่วงชีวิตของคน ผ่านกระบวนการการรับรู้ของตนเอง เริ่มตั้งแต่ในช่วงต้นของชีวิตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันความภูมิใจในตนเองก็สามารถที่จะสูญสิ้นได้เช่นกัน ความภูมิใจในตนเองหรือการนับถือในตนเองนั้นจะเกิดขึ้นได้จากการอบรมเลี้ยงดูของครอบครัว ผ่านการซึมซับประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิตอย่างต่อเนื่องไปจนกระทั่งสิ้นลมหายใจ วิธีการในการสร้างความภูมิใจในตนเอง สามารถเริ่มได้โดยวิธีการต่อไปนี้

 

  1. พยายามคิดกับตัวเองในแง่ดีบ่อย ๆ หาสิ่งที่ดีในตัวเองให้พบและพูดในสิ่งที่ดีกับตัวเอง เช่น เราทำได้ เราเป็นคนเก่งคนหนึ่ง เราคิดในสิ่งที่คนอื่นคิดไม่ถึง ตอนนี้เราก้าวหน้าขึ้นมากกว่าแต่ก่อนมากเลย คำพูดดี ๆ เหล่านี้แม้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่คำพูดเหล่านี้ก็สามารถทำให้เราเปลี่ยนความรู้สึกที่เราเคยรู้สึกไม่ดีกับตัวเองให้ลดน้อยลงได้อย่างน่าแปลกใจ
  2. สร้างความรู้สึกว่า เราก็คือเรา เราไม่ใช่เขา ดังนั้นไม่จำเป็นต้องไปกดดันตนเองด้วยการเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่น ๆ ให้เสียอารมณ์ แต่ถ้าเราต้องการจะเปรียบเทียบ ก็ควรเปรียบเทียบตัวเราตอนนี้กับตัวเราในอดีต หรือเปรียบเทียบการพัฒนาตนเองกับเป้าหมายที่เราตั้งไว้ เพื่อให้สามารถมองเห็นหนทางสู่ความสำเร็จจะเหมาะสมกว่า
  3. ใช้การออกกำลังกายเพื่อสร้างวินัยและเป็นการฝึกใจตนเองให้เข้มแข็ง มีแรงจูงใจที่มั่นคง วิธีการคือ การลองตั้งเป้าหมายในการออกกำลังกายอะไรก็ได้ที่เราชอบ แล้วพยายามไปให้ถึงเป้าที่ตั้งไว้ เช่น ตั้งใจจะวิ่งให้ได้ถึง 30 นาที ก็พยายามจนสามารถทำได้ ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่แก้ตัวว่าไม่พร้อม หรือแสดงความสงสารตัวเองไม่อดทนไม่สู้ หากเราสามารถฝึกตนเองให้สามารถทำได้ตามที่ตั้งใจ พฤติกรรมเหล่านี้จะทำให้เราเกิดความมั่นใจในตนเองมากขึ้น นอกจากนั้นการที่เราออกกำลังกายที่เสียเหงื่อ ยังทำให้ร่างกายหลั่งสารแอนโดรฟินหรือสารแห่งความสุขออกมา ยิ่งทำให้เรารู้สึกมีความสุขมากยิ่งขึ้น
  4. พยายามบอกกับตนเองว่า ไม่มีใครในโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบไปเสียทุกเรื่อง สิ่งที่สำคัญ คือ การยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบว่า อาจจะเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้เราเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้น หรือมองว่าในความไม่สมบูรณ์แบบอาจจะทำให้งานชิ้นนั้นมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ และเป็นสิ่งเดียวที่หาได้ยากและมีคุณค่าในตัวของมันเองก็ได้
  5. บอกกับตนเองว่า ทุกคนสามารถที่จะทำผิดพลาดได้ และความผิดพลาดนี่แหละที่จะทำให้เราเกิดการเรียนรู้และเติบโตมากขึ้น ถ้าเรารู้สาเหตุของความผิดพลาดนั้น และทำให้ความผิดพลาดครั้งนั้นเป็นครูของเรา ที่จะสอนให้เราไม่ทำผิดซ้ำ
  6. หากจะต้องมีการเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้และอีกสิ่งนั้นเราควบคุมไม่ได้ จงพยายามให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ จะดีกว่าการจะไปเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่นอกเหนือจากการควบคุมของเรา เช่น การเปลี่ยนแปลงความคิดหรือควบคุมการกระทำของตนเอง จะทำได้ง่ายกว่าการไปเปลี่ยนแปลงคนอื่นให้คิดหรือเปลี่ยนแปลงการกระทำให้เป็นไปตามที่เราต้องการ
  7. พยายามให้เวลาในการทำในสิ่งที่ทำให้ตัวเรามีความสุขในทุก ๆ วัน แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น อ่านหนังสือ ทำอาหาร หรือการฝึกทำสิ่งต่างๆที่เราชอบ การได้อยู่กับสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขเหล่านี้จะทำให้เรามีแนวโน้มที่จะเป็นคนที่คิดบวกมากยิ่งขึ้น
  8. เปิดโอกาสในการให้รางวัลหรือฉลองให้กับความสำเร็จของตนเองบ้าง แม้จะเป็นความสำเร็จเล็กๆน้อยๆ ก็ตาม การให้ความสุขกับตนเองด้วยวิธีนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในตนเองและทำให้เรามีความสุขมากยิ่งขึ้น
  9. การมีเพื่อน การได้มีโอกาสที่จะช่วยเหลือเพื่อน ๆ หรือได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ บ้าง ย่อมจะส่งผลดีต่อความรู้สึกของเรา และทำให้อารมณ์ของเราดีขึ้น มีความสุขมากยิ่งขึ้น และนับถือตนเองมากยิ่งขึ้น
  10. การเลือกคบหาสมาคมกับเพื่อน ๆ หรือคนที่คอยสนับสนุนให้เราคิดบวก จะทำให้เรามีความสุข พยายามค้นหากลุ่มคนที่จะทำให้เรารู้สึกดี และหลีกเลี่ยงในการคบหากับคนที่จะทำให้เราเกิดความรู้สึกทางลบหรือมองโลกในแง่ร้าย ชีวิตเราจะมีความสุขมากยิ่งขึ้น

 

 

 

เทคนิคต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยทำให้เราเกิดความรู้สึกที่ดีกับตนเองและเพิ่มความภูมิใจในตนเองมากยิ่งขึ้น การสร้างความภูมิใจให้เกิดขึ้นในตนเอง จะทำให้เรามีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น เกิดการรับรู้ตนเองดีขึ้น และจะส่งผลทำให้เราเป็นคนกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นมากขึ้น การฝึกสร้างความภูมิใจให้เกิดขึ้น สามารถจะทำได้โดยความสำเร็จนั้นไม่ต้องเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ หรือเปรียบเทียบกับใคร การหมั่นคิดและฝึกรู้สึกแบบนี้บ่อย ๆ จะทำให้เรามองตนเองในแง่บวก ทำให้เราเกิดความรู้สึกชื่นชมในตนเอง มาถึงตอนนี้อยากให้ท่านลองหลับตา ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากแล้วนึกถึงสิ่งที่ดีของตัวเราที่มีอยู่ ไม่ยึดตัวเองไว้กับอดีตที่ผ่านมา หรือไม่ผูกตัวเองไว้กับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ไม่เปรียบเทียบตนเองกับใคร เพราะไม่มีใครที่จะเหมือนกันในโลกนี้ ทุกคนจะมีความมหัศจรรย์ของตนเองเสมอ ไม่ทุกข์ใจกับความคาดหวัง แต่ให้นึกถึงสิ่งที่ดี หรืออุปสรรคที่เราผ่านมาได้จวบจนถึงวันนี้ เราจะรู้สึกดีกับตนเองมากยิ่งขึ้น พยายามขยายการรับรู้นี้ให้กว้างออกไป มองตนเองและบุคคลอื่นด้วยความคิดบวก มองว่าทุกคนล้วนแต่มีเรื่องที่น่าสนใจ ทุกคนล้วนต้องผ่านประสบการณ์ที่แตกต่างกัน และเราก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น เมื่อเราสร้างความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาได้ ก็จะทำให้เกิดความหวังและมีกำลังใจ และส่งผลให้เราสามารถปรับตัวกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีมากยิ่งขึ้น สามารถในการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอื่น และสามารถยืนได้อย่างสง่างามท่ามกลางคนหลายล้านคนในโลกใบนี้

 

 

 

ภาพประกอบจาก http://www.freepik.com

 


 

 

บทความวิชาการ

โดย ผู้ช่วยศาสราจารย์ชูพงศ์ ปัญจมะวัต

อาจารย์ประจำคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

สรุปสาระสำคัญจากกิจกรรมเสวนาวิชาการ Lunch Talk#2 : ครูทำร้ายเด็ก : ที่มา ทางแก้ และป้องกัน

LUNCH TALK มื้อที่ 2

วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563

เรื่อง ครูทำร้ายเด็ก : ที่มา ทางแก้ และป้องกัน

 

วิทยากร

รศ. ดร.สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต (อ.สมโภชน์)

ผศ. ดร.พรรณระพี สุทธิวรรณ (อ.น้อง)

คุณเวณิกา บวรสิน (ครูส้ม)

 

ดำเนินรายการโดย

อ. ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์ (อ.หยก)

 

 

 

 

 

สาเหตุที่การทำร้ายเด็กเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสังคมคืออะไร?


 

อ.สมโภชน์ :

 

เรื่องนี้มองได้ 2 มิติ มิติแรกเป็นเรื่องค่านิยมของไทยตั้งแต่อดีต ที่เราเชื่อว่า “รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี” เมื่อเด็กทำผิด หรือทำไม่ถูกใจเรา เราก็จะลงโทษ อีกมิติหนึ่งเป็นเรื่องของการที่ครูไม่เข้าใจวิธีการที่จะจัดการกับปัญหาของเด็ก ซึ่งเด็กสมัยนี้แอคทีฟมาก ขณะที่ครูต้องการจะควบคุมเด็ก แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร จึงใช้วิธีการรุนแรง และคิดว่าตนเองไม่ผิด

 

เรื่องค่านิยมการเลี้ยงดูนั้น ผมเชื่อว่าการที่เราใช้วิธีการเลี้ยงดูเด็กเช่นไร เป็นเพราะเราเคยมีประสบการณ์ถูกใช้วิธีการเช่นนั้นมาก่อน เป็นเรื่องของการเรียนรู้จากตัวแบบ ถึงแม้ว่าการที่เราถูกกระทำเช่นนั้นจะเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบ แต่ในเวลาที่เราเผชิญกับปัญหาและไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร บวกกับการที่รู้สึกว่าจากที่เราเคยถูกกระทำมานั้น เราก็เงียบ ก็หยุด ดังนั้น เมื่ออยากให้เขาหยุดบ้าง เราก็เลยใช้วิธีการเช่นนั้นบ้าง

 

นอกจากนี้ ยังเป็นไปได้ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เรียนครู และไม่มีความรู้เกี่ยวกับเด็ก

 

อ.น้อง :

 

เมื่อเราไม่รู้จักวิธีอื่นที่ดีกว่า เราก็จะใช้สิ่งที่เราคุ้นเคย เช่น ถ้าตอนเด็ก ๆ เราถูกผู้ใหญ่ขู่ว่าถ้าทำไม่ดีจะจับขังห้องมืด เมื่อถึงเวลาที่เราต้องดูแลเด็ก เราก็จะใช้วิธีเหล่านี้กับลูกหลานของเราหรือเด็กที่เราดูแลด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจทำไปโดยไม่ตั้งใจ แต่เป็นสิ่งที่นึกได้ในเวลานั้น และในทางจิตวิทยา คนเรามักจะคิดเข้าข้างตัวเอง คือคิดว่า เรายังเติบโตโดยผ่านสิ่งนั้นมาได้ มันก็น่าจะโอเค โดยที่เราลืมไปว่าตอนเด็ก ๆ เราก็ไม่ชอบ แต่เราทำสิ่งเดียวกันนี้กับเด็กรุ่นหลัง ซึ่งเรื่องนี้ยืนยันด้วยResearch ทั้งนี้ ต่อให้เราไม่ได้ถูกกระทำจากพ่อแม่ แต่ผู้ใหญ่คนอื่นในชีวิตเราก็มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเราได้เช่นกัน

 

ในสมัยที่ อ.น้อง โตมา เวลาเราทำการบ้านไม่ได้ หรือทำผิดทำพลาด ครูก็จะตี ตีแล้วก็จะอธิบาย แต่ในสมัยนี้เราพยายามที่จะไม่ให้มีการตี เพราะการตีมันเลยเถิดได้ การตีไม่สำคัญเท่าการอธิบาย ครูและนักจิตวิทยาเด็กจะทราบดีว่าการสอนเด็กทำได้หลายวิธี ไม่จำเป็นต้องตีหรือใช้การลงโทษรุนแรง ยิ่งในเด็กเล็ก การทำร้ายร่างกายเป็นการทำร้ายจิตใจด้วย เพราะเด็กจะกลัว

 

 

 

ทำไมครูคนอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์จึงเพิกเฉยต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น?


 

อ.สมโภชน์ :

 

เป็นไปได้ว่าเป็นความเคยชินของครูบางคนที่มองว่าเป็นเรื่องปกติของการใช้ความรุนแรงในการควบคุมเด็ก และอาจเป็นไปได้ว่าเขาเข้าไปเตือนแล้ว แต่โดนสวนกลับ จึงไม่เข้าไปยุ่งอีก

 

อ.หยก :

 

ทางจิตวิทยาสังคมสามารถอธิบายได้ว่า บุคคลในเหตุการณ์อาจมองว่าเดี๋ยวก็มีคนอื่น ๆ เข้าไปจัดการ ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเราโดยตรง แต่อย่างในกรณีที่เป็นข่าวนั้น อาจเป็นไปได้ว่าครูคนอื่นเคยเข้าไปห้าม แต่ถูกเตือนมาว่าความรุนแรงแบบนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ อย่างไรก็คงต้องไปติดตามข่าวเพื่อให้ได้ข้อมูลที่แท้จริง เพราะบางคนก็ยังพูดจริงบ้างไม่จริงบ้าง ข้อมูลยังไม่ตรงกัน

 

ครูส้ม :

 

จากประสบการณ์ของครูส้ม เคยได้ฟังจากที่ครูคนอื่นมาเล่าว่ามีครูบางคนเห็นเพื่อนครูในห้องทำโทษเด็กแบบรุนแรงแล้วเขาไม่ห้าม เพราะเขาเห็นว่าสิ่งที่ครูคนนั้นทำไปมันโอเค กรณีนี้เหมือนว่าเป็นอารมณ์ร่วมของครูในห้อง คือตนก็รู้สึกรำคาญอยู่แล้วเช่นกัน ถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งทำโทษเด็กแบบรุนแรงแล้วทำให้เด็กในห้องหยุดพฤติกรรมที่ครูไม่พอใจ และทำกิจกรรมตามที่ครูต้องการได้ ครูคนอื่นที่เหลือก็จะปล่อยให้ทำโทษเด็กในลักษณะแบบนั้นต่อไป กรณีแบบนี้ผู้บริหารหรือผู้ที่มีอำนาจมากกว่าต้องมีการตักเตือนว่าอะไรทำได้ ทำไม่ได้ การลงโทษเด็กมีวิธีอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การทำร้ายเด็ก และการที่ครูคนอื่นเห็นเหตุการณ์แล้วไม่พูดหรือเตือน ให้ถือเป็นความผิดร่วมกันทั้งหมด เพราะถือเป็นผู้สนับสนุน

 

 

สภาวะจิตใจของเด็กที่ถูกทำร้ายจะเป็นอย่างไร?


 

ครูส้ม :

 

จากกรณีที่ครูสีส้มเคยเจอ คือมีเด็กที่เล็กมาก อายุ 2 ขวบ 8 เดือน ผู้ปกครองพามาสมัครเรียนที่โรงเรียนที่ครูสีส้มสอนอยู่ แต่เพราะยังเด็กเกินไปโรงเรียนจึงไม่ได้รับไว้ ผู้ปกครองจึงพาไปเข้าเรียนอีกโรงเรียนที่รับเด็กเข้าอนุบาลหนึ่งตั้งแต่ยังไม่ถึง 3 ขวบ และมีเปิดซัมเมอร์คอร์ส ปรากฏว่าไปเรียนได้เพียง 3 วัน คุณแม่พาเด็กกลับมา โดยที่เด็กมีอาการหวาดกลัวกับคำว่าคุณครู ไปแอบหลังพ่อแม่เมื่อได้ยินคำว่าคุณครู เด็กไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟัง แต่เท่าที่ฟังเรื่องราว คาดว่าเด็กเห็นเพื่อนถูกทำร้าย ซึ่งกว่าที่เด็กคนนี้จะฟื้นฟูสภาพจิตใจได้ ยอมคุยกับครูคนอื่น ๆ ไม่ตื่นขึ้นมาร้องกรี๊ดหรือละเมอตอนนอนกลางวัน ใช้เวลา 1 ปีเต็ม จะเห็นได้ว่าเพียง 3 วันที่เด็กพบเจอความรุนแรง ต้องใช้เวลา 1 ปี ในการแก้ไขและปรับสภาพจิตใจ

คนเป็นครูควรต้องเรียนจิตวิทยาและมีความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก ต้องสามารถจัดการกับเด็กได้ เด็กยิ่งเล็ก เขายิ่งป่วน พลังเยอะ เพราะเป็นวัยของการเล่นการซน การให้เขาอยู่นิ่ง ๆ เป็นเรื่องยาก หากเขาลุกเดินหรืออะไรบ้าง ครูต้องมีวิธีให้เขากลับมานั่ง หรือให้เขาลุกเดินลุกเล่นโดยที่ไม่ทำให้ห้องวุ่นวาย ในอดีตก็พบว่ามีกรณีที่ครูลงโทษเด็กรุนแรงเกินไป เช่น เมื่อ 2-3 ปีก่อน มีข่าวกรณีฟ้องร้องว่าครูใช้ไม้ตีเด็กเกือบโดนดวงตา เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นครูที่ไม่ได้จบครู

 

 

 

แนวทางสำหรับพ่อแม่ในการสังเกตความผิดปกติของเด็กที่อาจถูกทำร้าย


 

อ.น้อง :

 

การลงโทษนักเรียนนั้น ในกรณีของเด็กโตไม่น่าเป็นห่วงมากนัก เพราะเขาสามารถสื่อสารได้ แต่สำหรับเด็กเล็ก เขาไม่ได้มีภาษาที่จะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นมากนัก พ่อแม่ต้องช่างสังเกตถึงสิ่งที่ผิดปกติ เช่น การฝันร้าย นอนละเมอ หรือการกลับมาฉี่รดที่นอน การเกาะพ่อเกาะแม่เมื่อเจอคนแปลกหน้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หรือการกลัวอะไรแปลก ๆ เช่น อย่างในกรณีที่เป็นข่าวอยู่ในตอนนี้คือเด็กกลัวห้องน้ำ

สำหรับนักจิตวิทยานั้นจะมีวิธีที่เรียกว่า Play therapy / Art therapy คือ ให้เด็กเล่นหรือทำงานศิลปะ แล้วนักจิตวิทยาจะค่อย ๆ คุยกับเด็กผ่านการเล่นการระบายสี ดูการแสดงออก การพูดของเด็กในระหว่างการเล่นนั้น

 

อีกกรณีของเด็กที่น่าสงสารมากเรื่องหนึ่งคือ การที่เด็กถูกขู่ว่าไม่รัก ซึ่งเด็กก็อยากให้ครูรักทั้งนั้น ถ้าครูขู่ว่าจะไม่รัก หรือบอกว่าที่ทำไปเพราะรักนะ แบบนี้จะปิดปากเด็กได้มาก ถ้าพ่อแม่ไม่ถามหรือต่อให้ถามเขาก็อาจจะไม่พูด ต้องสังเกตอย่างเดียว

 

อ.สมโภชน์ :

 

พฤติกรรมของเด็กที่ผิดปกติไป แม้เพียงเล็กน้อย เช่น ซึมเกินไป ไม่รับประทานอาหาร หรือมีอะไรที่ผิดปกติไปจากที่เคยเป็น ก็ต้องตรวจสอบ ต้องไปเช็คที่โรงเรียน ระดับความผิดปกติของเด็กนั้น ถ้าเพียงแค่ซึม ก็แสดงว่ามีปัญหาบ้าง แต่ถ้าเด็กแสดงออกอย่างเช่นมีอาการกลัว นอนแล้วกรี๊ดหรือละเมอ แบบนี้แสดงว่าเด็กมีอาการของ trauma นับเป็นปัญหาใหญ่

 

ครูส้ม :

 

สำหรับการเรียนรู้ของเด็ก เด็กไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรงของตนเองเพียงอย่างเดียว แต่เด็กยังเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนรอบตัวด้วย ดังเช่นที่คุณพ่อคุณแม่เคยสงสัยว่า เด็กอยู่บ้านซนจะตาย แต่ครูบอกว่าที่โรงเรียนเป็นเด็กดี ซึ่งเป็นไปได้ว่า เด็กจะเรียนรู้ว่าถ้าเล่นซนแบบที่บ้านครูจะดุ หรือไม่พอใจ เด็กจึงพยายามทำตัวเป็นเด็กดีเพื่อให้ครูรัก นั่นแสดงว่า เด็กไม่จำเป็นต้องโดนทำโทษ แค่เห็นเพื่อนโดนทำโทษ เขาก็จะเรียนรู้และเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองได้

 

เด็กเล็กเป็นวัยที่ต้องการการยอมรับจากครูค่อนข้างสูง เพราะเขาเพิ่งออกจากบ้านและก้าวเท้าเข้าสู่โรงเรียน ครูคือบุคคลภายนอกคนแรกที่เขารู้สึกว่ามีอำนาจ เขาจึงต้องการการยอมรับจากครู ไม่ว่าครูจะพูดจะสั่งอะไร เขาจะเชื่อฟัง เวลาที่เกิดปัญหาอะไรขึ้นที่โรงเรียน เด็กถึงไม่พูด เพราะอาจถูกบอกจากครูว่า ไม่ให้พูด ถ้าบอกใครครูจะไม่รัก หรือบอกว่า ที่ทำไปเพราะครูรักหนูนะ แม้พฤติกรรมจะไม่ใช่ แต่เด็กจะยอมรับเช่นนั้น ยอมรับในสิ่งที่ครูบอก เพราะเขาอยากได้การยอมรับจากครู

 

อ.น้อง :

 

การที่ผู้ใหญ่ใช้ความเป็นครูมาทำร้ายเด็กจึงเป็นเรื่องที่แย่มาก เพราะเด็กเขาไม่สู้ และเขายอมเพราะต้องการความรักจากครู ทุกคนที่ดูข่าวก็คงโกรธ แต่เราก็ต้องจัดการอารมณ์ของเราให้ได้ เพราะถ้าไม่ได้ ก็จะเป็นเช่นคนในข่าว ที่เขาทำร้ายเด็กเพราะเขาจัดการอารมณ์ตนเองไม่เป็นแล้วเอาไปลงกับเด็ก

 

 

 

 

อ.สมโภชน์ :

 

ถ้าเราสงสัยว่าลูกเราจะถูกทำร้ายที่โรงเรียน เราก็ต้องพูดคุยกับทั้งลูกและโรงเรียนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง เพราะเราคงไม่สามารถสรุปได้เองว่าเกิดอะไรขึ้น หากเราพบปัญหาว่าเด็กเกิดความกลัวจากการถูกทำร้ายที่โรงเรียน การแก้ไขจะค่อนข้างยาก เพราะเด็กยังอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ ที่โรงเรียน การเรียนรู้ของเด็กที่ควรจะเรียนรู้ในโรงเรียนจะไม่เกิดขึ้น เด็กจะอยู่ในอาการแพนิค และยิ่งถ้าต้องพบเจอปัญหาไปนาน ๆ ได้พบเจอพฤติกรรมรุนแรงจากครูไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะโดนกระทำด้วยตนเองหรือกระทำกับเพื่อน ๆ ของเขาก็ตาม ความกลัวจะยิ่งแผ่ขยายมากขึ้น และต่อให้ย้ายโรงเรียนไป เด็กก็จะคิดว่าโรงเรียนก็คือโรงเรียน เขาก็จะกลัวเหมือนเดิม

 

ดังนั้นผมเสนอว่า ถ้าสาเหตุของปัญหาเกิดจากที่โรงเรียนจริง ขอให้นำเด็กออกจากโรงเรียน เพื่อเปลี่ยนสภาพแวดล้อม โดยจะต้องมีครูที่เข้าใจเด็กจริง ๆ รู้วิธีการว่าจะปฏิบัติกับเด็กอย่างไร เช่น ให้รางวัล พูดชมหรือกอดเมื่อเขามีพฤติกรรมที่ดี และถ้าเขามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เราสามารถลงโทษได้ด้วยการวางเฉยต่อเขา และบอกเขาในสิ่งที่เขาควรทำ เพราะเด็กยังไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ขอแค่ให้ครูบอกเขา

 

ปัญหาอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากพูดถึง คือ เรื่องความคาดหวังของผู้ปกครอง ว่าเมื่อไปโรงเรียนเด็กจะต้องรู้ภาษาอังกฤษ เก่งคณิตศาสตร์ เมื่อเป็นเช่นนี้ โรงเรียนและครูต้องรับความคาดหวังแบบนี้มาจากพ่อแม่ ซึ่งการจะสอนให้เด็กเรียนรู้วิชาเหล่านี้ได้ก็ต้องบังคับให้เด็กอยู่กับที่ แล้วจะทำอย่างไรให้เด็กอยู่กับที่ ซึ่งขัดกับธรรมชาติของเด็กที่เขาจะต้องเคลื่อนไหว ซึ่งครูก็อาจจะเลือกใช้การตีเด็กหรือหยิกเด็ก ซึ่งเมื่อเด็กเจ็บเขาก็หยุด กล่าวได้ว่าปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ของกันและกัน คือไม่สามารถกล่าวโทษโรงเรียนอย่างเดียวได้

 

นอกจากนี้ การลงโทษนั้น ยิ่งครูทำรุนแรง พฤติกรรมของเด็กก็จะยิ่งถูกกดลงไป จึงเป็นเหมือนการเสริมแรงให้ครูทำรุนแรงมากขึ้น คือครูเห็นว่าการลงโทษเด็กแบบนี้สามารถหยุดเด็กได้

 

ในความเป็นจริงแล้ว การจัดกิจกรรมให้เด็กนั้นจะต้องจัดกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหว แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในข่าว อาจเป็นเพราะครูไม่เข้าใจ และปฏิบัติกันแบบเดิมตามที่เคย ๆ ทำกันมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กสมัยนี้จะมี impulsive สูง (ความหุนหันพลันแล่น) เพราะมีเทคโนโลยีสูง ทุกอย่างมันเร็ว เขาก็จะเคลื่อนไหวเร็วด้วย ซึ่งนอกจากเด็กจะมี impulsive สูงแล้ว ครูเองก็เช่นกัน ควบคุมตนเองไม่ได้ เมื่อเกิดอะไรขึ้นก็ตอบสนองทันที โดยไม่ได้คิด

 

ดังนั้นแล้ว พ่อแม่ต้องเข้าใจว่า เด็กเล็กนั้น เราไม่ควรจะต้องคาดหวังให้เขามาเรียนคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ เด็กต้องเล่นตามวัย อย่าสร้างความกดดันเป็นทอด ๆ ไปสู่โรงเรียน สำหรับเด็กนั้นเมื่อถึงเวลาเขาก็จะเรียนรู้ได้ดี ไม่จำเป็นต้องเร่งเขา

 

อ.น้อง :

 

ถ้าชวนเด็กเล่น เขาจะเล่น ถ้าชวนเด็กเรียน เขาจะไม่เอา ง่ายที่สุดคือเราควรสอนผ่านการเล่น แบบนั้นจะสนุกทั้งคนสอนและคนเรียน โดยอัตราส่วนของคนสอนต่อเด็กต้องเหมาะสม เพราะไม่มีทางที่ผู้ใหญ่หนึ่งคนจะดูแลเด็กเป็นสิบ ๆ ได้ ไม่เช่นนั้นเมื่อเขาควบคุมเด็กไม่ได้ เขาจะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ สัญชาตญาณที่ออกมาจะกลายเป็นความรุนแรง และพอใช้ปั๊บ เด็กหยุดในทันที เมื่อใช้ได้ผลเขาก็จะใช้ไปเรื่อย ๆ กรณีแบบนี้เราไม่ได้เจอแค่ในโรงเรียน พี่เลี้ยงเด็กที่บ้านก็มีแบบนี้เยอะเหมือนกัน พี่เลี้ยงที่ทารุณเด็กเมื่อพ่อแม่ไม่อยู่บ้านก็มี ปัญหานี้จึงไม่ใช่แค่ปัญหาที่โรงเรียน แต่เป็นปัญหาของพี่เลี้ยงที่ไม่ได้รับการฝึกมา และไม่มีใจที่รักเด็กจริง ๆ

 

ครูส้ม :

 

การเปลี่ยนสถานที่หรือการย้ายโรงเรียนอาจไม่ช่วยเท่าที่ควรถ้าไปเจอครูแบบเดิม นั่นคือ ถ้าเด็กถูกครูทำร้าย เด็กจะเกิดความไม่ไว้ใจครู ดังนั้น หากมีการย้ายโรงเรียนใหม่ ครูจะต้องสร้างความไว้ใจให้เด็ก จนกระทั่งเด็กรับรู้ว่าครูไว้ใจได้ อย่างเช่นกรณีเด็ก 2 ขวบที่เล่าไปนั้น ทุกเช้าครูส้มต้องไปรับมาจากคุณแม่ที่หน้าโรงเรียน และจะพาเขาเดินดูรอบโรงเรียน ครูคนอื่นก็จะทัก คุยเล่นโดยยังไม่เข้ามาแตะตัว ไม่ทำอะไรเขา ซึ่งก็ใช้เวลาพอสมควรกว่าที่เด็กจะเกิดความไว้ใจ ยอมคุยกับครูคนอื่นในห้อง และยอมให้ครูห้องอื่นแตะตัวได้ นอกจากนี้ยังต้องทำความเข้าใจกับผู้ปกครองด้วย ว่าตอนนี้เราต้องการแก้พฤติกรรมการกลัวโรงเรียนและการกลัวครูของน้องก่อน เรื่องอื่นอย่าเพิ่งคาดหวัง แต่ครูก็จะพยายามเสริมให้ ซึ่งเด็กก็อาจจะยังเรียนรู้ได้ไม่เต็มที่ ตราบใดที่ความไม่ไว้วางใจในตัวครูยังแก้ไม่หาย

 

ในกรณีที่เป็นข่าวอยู่ตอนนี้ อย่างแรกที่อยากให้ทำ คือ การเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในห้อง อย่าให้เด็กมีภาพติดตากับสิ่งที่เขาเคยเห็น ถ้าพ่อแม่ยังพาเด็กออกจากโรงเรียนไม่ได้ โรงเรียนก็ต้องช่วยด้วยการปรับสภาพแวดล้อม รวมถึงบุคลากรที่จะรับเข้ามาทำงาน ต้องเป็นคนที่เข้าใจเด็กและปัญหาที่เกิดขึ้น และต้องคุยกับพ่อแม่อย่างสม่ำเสมอ

 

 

 

 

 

บุคลากรที่เกี่ยวข้องในสถาบันการศึกษาควรมีคุณสมบัติอย่างไร?


 

อ.น้อง :

 

คนอยู่กับเด็กต้องสนุกกับการอยู่กับเด็ก รักเด็ก ไม่ขี้รำคาญ ไม่ขี้หมั่นไส้ ไม่ใจร้อน ถ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่กับเด็กเล็ก ก็อย่าฝืน เพราะจะก่อให้เกิดความเสียหายได้มาก อย่างเคสเมื่อหลายปีมาแล้ว ที่พี่เลี้ยงเด็กกระทืบเด็ก เมื่อเขาได้ทำสักครั้งแล้ว เขาจะทำแรงขึ้น ๆ

 

อ.สมโภชน์ :

 

คนที่มาเป็นครูอนุบาลต้องผ่านการอบรม ต้องเป็นคนที่เข้าใจเด็กและยอมรับเด็กได้ และควบคุมอารมณ์ตนเองได้ สำหรับคนที่มีความหุนหันพลันแล่น บางทีเขาอาจทำรุนแรงไปโดยไม่ตั้งใจ แต่เพราะเขาไม่รู้วิธีการที่ถูกต้อง และเมื่อคุมอารมณ์ไม่ได้ จึงอาจหันไปใช้ความเคยชินหรือสิ่งที่เคยเรียนรู้มาในอดีต คือใช้ความรุนแรง เพราะฉะนั้นพื้นฐานเริ่มต้นเลยคือต้องเป็นคนที่รักเด็ก และผ่านการฝึกที่จะเข้าใจและยอมรับธรรมชาติของเด็กและสิ่งที่เด็กเป็น

 

คนที่ทำความรุนแรงกับเด็กไปแล้วนั้น ถ้าครั้งต่อไปไม่ได้ผล เขาก็จะทำแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ละครั้งที่ได้ผล ก็จะเป็นการเสริมแรงเขา ว่าเขามีอำนาจเหนือเด็ก จนกระทั่งลืมตัวไปว่าเขาไม่มีสิทธิ์ทำร้ายใคร

 

การลงโทษนั้นเป็นเรื่องที่กระทำได้ แต่ต้องเข้าใจว่าจุดประสงค์ของการลงโทษคือการหยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อย่างพฤติกรรมรุนแรง เช่น การที่เด็กจิกหัวเพื่อนไปกระแทกผนัง เด็กไปกัดเพื่อน แบบนี้เราต้องลงโทษ แต่ถ้าเป็นพฤติกรรมทั่วไปของเด็ก เช่น เด็กซน เด็กวิ่ง เด็กไม่ทำตามสิ่งที่เราบอก แบบนี้ไม่ควรจะลงโทษเลย สำหรับพฤติกรรมของเด็กที่รุนแรง เราไปดึงเด็กออกมาเฉย ๆ ไม่ได้ เราควรที่จะต้องลงโทษ โดยวิธีการลงโทษนั้นต้องไม่ใช่วิธีการรุนแรง ไม่ลงโทษด้วยอารมณ์ และต้องตามมาด้วยการสร้างพฤติกรรมใหม่ให้เขาด้วย คอนเซปต์ของการลงโทษคือการหยุด หยุดเพื่อสร้าง เช่น หากเด็กกัดเพื่อน เราต้องหยุดการกัด และอาจจะสอนให้เขาลองจับมือเพื่อน กอดเพื่อน หรือสอนให้เขารู้จักการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่เหมาะสม และให้การเสริมแรงเขาด้วยการชื่นชม ทำให้เขาเรียนรู้ว่าการอยู่ร่วมกันต้องเป็นแบบนี้

 

 

 

ในปัจจุบันโรงเรียนมีการคัดกรองบุคลากรในการรับเข้ามาทำงานหรือไม่?


 

ครูส้ม :

 

ตามปกติแล้วจะต้องมีการคัดกรอง อย่างแรกเลยก็คือคนที่เป็นครูประจำชั้นจะต้องมีใบประกอบวิชาชีพ จบครูมาโดยตรง ถ้าไม่จบครูมาโดยตรงจะเป็นได้แค่พี่เลี้ยงเด็ก และในโรงเรียนที่มีมาตรฐาน พี่เลี้ยงเด็กก็ต้องผ่านการอบรม หรือมีเอกสารรับรองคุณวุฒิว่าผ่านการอบรมในโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการดูแลเด็กในวัยเดียวกับที่มาสมัครทำงานเพื่อดูแลเด็กในวัยนั้น ๆ

 

 

เราควรจะร่วมด้วยช่วยกันอย่างไรบ้างเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นอีก?


 

อ.น้อง :

 

เราทุกคนต้องเตือนตัวเองว่า เรื่องอารมณ์เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่เป็นความรับผิดชอบของเราที่จะต้องจัดการอารมณ์ของตนเองให้ได้ ไม่ใช่นำมาเป็นข้ออ้างในการทำร้ายผู้อื่น ซึ่งในทางจิตวิทยาเรียกว่า EQ นั่นคือ เราต้องรู้จักตนเอง ถ้าเราเหนื่อยมากทำงานไม่ไหว หรือถ้าอยู่ในอารมณ์แบบนี้แล้วไปทำงาน จะต้องทะเลาะกับคนอื่นแน่ ๆ ก็ไม่ต้องไป ลางานไปเลย เราต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ที่จัดการอารมณ์ตนเองได้หรือไม่ได้ และจะจัดการอย่างไร ไม่ใช่เอาอารมณ์ตนเองไปโยนใส่คนอื่นและขอให้เขาเห็นใจ เช่นนั้นเราจะเรียกตนเองไม่ได้ว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ดี

 

ถ้ามีช่วงเวลาที่เราจัดการตนเองไม่ได้จริง ๆ เราอาจต้องพึ่งมืออาชีพ ไปคุยกับนักจิตวิทยา หรือไปหาเพื่อนฝูงที่สามารถช่วยเหลือเรื่องจิตใจเราได้ ในบางครั้งเราช่วยเหลือตนเองไม่ได้แต่เราก็ต้องรู้ตัว อย่าปล่อยให้อารมณ์พาไป ข้ออ้างที่ว่าเราไม่ได้ตั้งใจมันพูดง่ายมาก ไม่มีใครหรอกที่ตั้งใจ แต่การไม่ตั้งใจนั้น อาจมาจากการที่คุณไม่รับผิดชอบต่อตนเองจนเอาความรับผิดชอบนั้นไปไม่รับผิดชอบต่อคนในสังคมด้วย

 

อ.สมโภชน์ :

 

คนที่จะเป็นครูต้องรู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบตนเอง และรู้ว่ามีสิทธิแค่ไหน ทุกคนมีอารมณ์ แต่เราไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาอารมณ์ของเราไปลงกับเด็ก เด็กควรได้รับความรัก ความเข้าใจ และนำพาเขาไปสู่สิ่งที่ควรได้รับ ในทุก ๆ วันครูอาจจะต้องฝึกกำหนดลมหายใจ นับเลข เพื่อให้ตนสงบลงเมื่อรู้สึกว่าควบคุมตนเองไม่ได้ เป็นต้น

 

ครูส้ม :

 

ผู้ปกครองเองก็ควรพูดคุยกับเด็กเป็นประจำ วันนี้ที่โรงเรียนหนูทำอะไรไปบ้าง วันนี้มีอะไรเล่าให้พ่อแม่ฟังซิ การที่พูดคุยกับลูกเป็นประจำ ถ้ามีอะไรผิดปกติเด็กจะกล้าบอก ที่สำคัญคือผู้ปกครองต้องรับฟังเด็ก ไม่ใช่ถามแล้วไม่ตั้งใจฟัง หรือลูกเล่าอะไรออกมาก็ดุเขาไว้ก่อน ลูกก็จะไม่อยากเล่า เพราะฉะนั้นให้คุยกันให้เหมือนชีวิตประจำวัน คุยกันให้เขารู้สึกเป็นเรื่องธรรมดาที่จะคุยกันว่าเขาเจออะไร ให้เขารู้สึกวางใจว่าการคุยนี้จะไม่ได้การรับการลงโทษ เช่น การดุว่า หรือการตำหนิ เมื่อทำเช่นนี้ คุณพ่อคุณแม่จะได้รับข้อมูลอีกเยอะ และจะทราบได้ว่าลูกของเรามีความผิดปกติใดหรือไม่ เช่น ทุกทีเคยคุยมา 3 ประโยค วันนี้คุยมาประโยคเดียว เท่านี้ก็พอจะทราบได้แล้วว่ามีอะไรเกิดขึ้น และเราจะตรวจจับความผิดปกติได้เร็วขึ้น

 

 

สรุป


 

บุคลากรที่เป็นครูหรือคนดูแลเด็กเล็ก จะต้องมีสติ รู้จักตนเอง รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเอง รู้จักหน้าที่และความรับผิดชอบของตนเองว่าต้องเองกำลังดูแลอนาคตของชาติ ไม่ควรเอาอารมณ์ทางลบของตนเองไปโยนให้เป็นภาระและทำร้ายผู้อื่น พ่อแม่ผู้ปกครองเองก็ต้องใส่ใจบุตรหลานของตนเอง พูดคุยสารทุกข์สุกดิบกันทุกวัน หมั่นสังเกตบุตรหลานของตนเอง เพื่อที่ว่าวันใดหากเกิดอะไรที่ไม่ดีขึ้น เขาจะได้กล้ามาบอกเรา เราจะได้รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้น และสามารถแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที

 

 

 

รับชมการเสวนาออนไลน์ย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/CUPsychBooks/videos/642641639724673/

 

 

สรุปสาระสำคัญจากกิจกรรมเสวนาวิชาการ Lunch Talk#1 : พฤติกรรมการติดการพนัน

LUNCH TALK มื้อที่ 1

วันพุธที่ 16 กันยายน 2563

 

เรื่อง พฤติกรรมการติดการพนัน

 

วิทยากร

รศ. ดร.สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต (อ.สมโภชน์)

ผศ. ดร.พรรณระพี สุทธิวรรณ (อ.น้อง)

 

ดำเนินรายการโดย

อ. ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์ (อ.หยก)

 

 

ปัจจุบันมีสถิติพบว่า ทั่วโลกมีผู้คนนับล้านคนที่ขัดสนเงินสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน มีความเครียด และมีหนี้สินที่เกิดจากการเล่นพนัน มูลค่าหนี้สินรวมกันหลายหมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยแล้วคนละหมื่นกว่าบาท ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าการเล่นพนันจะไม่ใช่พฤติกรรมปกติโดยทั่ว ๆ ไป เพราะการเล่นพนันอาจส่งผลเสียได้ทั้งต่อตัวผู้เล่นเองหรือบุคคลรอบข้าง

 

 

การพนัน คืออะไร ?


 

กิจกรรมที่มีลักษณะของการชนะ-การแพ้ และมีการได้-การเสีย (bet) ทรัพย์สินหรือเงินทอง

 

 

พฤติกรรมอย่างไร ถึงจะเรียกว่าติดการพนัน?


 

สำหรับการเล่นลอตเตอรี่ หรือการเล่นพนันเล็ก ๆ น้อย ๆ เล่นการพนันเพื่อความสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ และไม่ได้มีผลกระทบในด้านลบกับชีวิตและการใช้ชีวิตประจำวัน ยังไม่ถือเป็นการติด (addict) การพนัน แต่ถ้าเป็นในกรณีที่เล่นแล้วหยุดไม่ได้ อันนี้ก็จะเป็นปัญหา ซึ่งในการวินิจฉัยโรคทางจิตเวช (DSM-5: Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders, Fifth Edition) ระบุว่าการติดการพนันก็เหมือนกับการติดยาเสพติด และมีผลต่อการทำงานของสมอง เมื่อเราเล่นพนัน เราจะรู้สึกความสนุก ตื่นเต้น ซึ่งอาการเหล่านี้ทำให้สมองมีการสั่งการให้หลั่งสารสื่อประสาท (neurotransmitter) บางตัวออกมา เช่น โดปามีน (Dopamine) ทำให้เกิดความสุข และความตื่นเต้น และเมื่อเราเล่นการพนันจนเกิดความเคยชิน จะทำให้สมองทำงานแบบเดิมโดยอัตโนมัติ ซึ่งพอไม่ได้เล่นก็จะเกิดความหงุดหงิด เราจึงเล่นการพนันไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เกิดความสุขหรือความพึงพอใจแบบนั้นอยู่ตลอดเวลา เป็นการสร้างแรงจูงใจให้ติดการพนันโดยไม่รู้ตัว และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ เช่น การหลีกเลี่ยงจากสังคม เนื่องจากจิตใจมุ่งอยู่แต่กับเรื่องการเล่นพนัน เล่นอย่างไรให้ได้หรือชนะพนัน

 

 

สื่อและปัจจัยรอบข้างมีผลต่อการเล่นพนันมากน้อยแค่ไหน?


 

คนไทยมักมีความเชื่อเรื่องโชค เรื่องดวง เป็นพื้นฐาน และยิ่งถ้ามีคนมาพูดชักชวนให้ลอง จะยิ่งทำให้อยากลอง และหากมีคนรอบข้างมาชักชวนหรือโน้มน้าวใจ ก็สามารถเป็นแรงจูงใจให้เล่นพนันได้ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของการซื้อลอตเตอรี่ ในปัจจุบันสื่อมักจะนำเสนอข่าวการได้รับรางวัลจำนวนมาก ๆ หรือการนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับเลขเด็ดต่าง ๆ ข่าวสารเหล่านั้นอาจทำให้เรารู้สึกว่าโอกาสได้รับรางวัลเป็นเรื่องใกล้ตัวและเราก็อาจมีโอกาสถูกรางวัลได้เช่นเดียวกับในข่าว ซึ่งก็เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้กับคนทั่วไป กรณีเหล่านี้อาจจะจูงใจให้เราอยากเล่นลอตเตอรี่มากขึ้น และเกิดความรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในสังคม นอกจากนี้ การพนันในยุคนี้ยังมาในรูปแบบของการพนันออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ทำให้คนเข้าถึงการเล่นพนันได้ง่ายขึ้น แต่สำหรับผู้ที่ยึดหลักความเป็นไปได้ (Probability) ก็จะมีหยุดคิดและพิจารณาก่อนสักหน่อยก่อนจะตัดสินใจเล่นหรือไม่เล่น

 

 

เยาวชนเริ่มเล่นการพนันเร็วขึ้น – เด็กเข้ามายุ่งเกี่ยวการพนันได้อย่างไร?


 

พฤติกรรมปกติของเด็กคือ เด็กจะสังเกตพฤติกรรมของผู้ใหญ่ในบ้าน หรือคนรอบข้าง หากคนรอบข้างเหล่านี้มีการเล่นพนัน ไม่ว่าจะเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น หวย หรือลอตเตอรี่ก็ตาม สิ่งเหล่านี้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมของเด็ก อะไรที่ผู้ใหญ่ทำได้ โดยเฉพาะสิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์สนุก ทำให้เกิดความตื่นเต้น ก็จะดูเป็นสิ่งที่น่าสนุกสำหรับเด็กไปด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กอายุน้อย ๆ จะเข้าใจและมีส่วนร่วมในการเล่นพนันได้

นอกจากนี้ ในสมัยก่อน หากพูดถึงเรื่องการเล่นพนัน เราจะนึกถึงการต้องเดินทางไปบ่อน ต้องระมัดระวังและต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ จากตำรวจ ซึ่งสำหรับคนที่ไม่รู้จักแหล่งการพนันก็จะมีความยากลำบากในการเข้าถึงแหล่งการพนันเหล่านั้น แต่ในปัจจุบันนี้ การเล่นพนันไม่ได้ลำบากแบบสมัยก่อน เนื่องจากมีรูปแบบของการพนันที่เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น เช่น เกมและการพนันออนไลน์ และยิ่งในสมัยนี้ เราสามารถเข้าถึงสมาร์ทโฟน อินเทอร์เน็ต แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ และสื่อต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เข้าถึงเร็วขึ้นตั้งแต่อายุน้อย ๆ ซึ่งถ้าเด็กรู้สึกว่าการพนันไม่ได้แปลกอะไร เพราะผู้ใหญ่ในบ้าน หรือสภาพแวดล้อม ชุมชนแถวบ้านก็ทำกัน การพนันก็จะเข้าถึงตัวเด็กได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

 

พ่อแม่ทำอย่างไร ลูกก็จะทำอย่างนั้น

เด็กไม่ได้ฟังในสิ่งที่พ่อแม่พูด แต่เขาดูในสิ่งที่พ่อแม่ทำ

 

ไม่ใช่แค่พ่อแม่เท่านั้นที่จะปลูกฝังพฤติกรรมการเล่นพนันให้เด็ก ผู้ใหญ่ท่านอื่น ๆ ในบ้าน หรือญาติผู้ใหญ่ หรือเป็นบุคคลที่เด็กรู้สึกว่าน่าเชื่อถือ ก็สามารถปลูกฝังพฤติกรรมการเล่นพนันให้เด็กได้เช่นกัน ซึ่งในทางจิตวิทยาเรียกว่า Modeling หรือการเป็นตัวอย่าง หากไม่อยากให้ลูกเล่นพนันหรือติดการพนัน พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในบ้านจะต้องไม่เล่นการพนันเลย

 

 

กรณีของเด็กและเยาวชนที่ติดการพนัน พ่อแม่หรือผู้ปกครองจะมีวิธีการสังเกตอย่างไร?


 

ในเริ่มแรกถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากในการสังเกตพฤติกรรมของเด็ก เนื่องจากปกติแล้ว เด็กมักจะเล่นเกมออนไลน์ในคอมพิวเตอร์หรือในสมาร์ทโฟนอยู่แล้ว ซึ่งแยกได้ยากมากว่าเด็กกำลังหมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกมหรือติดการพนันกันแน่ เด็กในปัจจุบันนี้มีห้องนอนส่วนตัว และมักจะปกป้องสิทธิของตนเองไม่ให้พ่อแม่เข้ามาดูว่ากำลังทำอะไร หรือเรียกได้ว่ามี Privacy สูง และในครอบครัวที่ไม่ได้สนิทสนมกันหรือพูดคุยกันบ่อย ๆ ยิ่งทำให้พ่อแม่สังเกตพฤติกรรมของลูกได้ยากยิ่งขึ้น พ่อแม่จะทราบหรือสังเกตได้ก็ต่อเมื่อเกิดปัญหาเกิดขึ้น เช่น เกิดหนี้สินหรือมีการมาตามทวงหนี้

นอกจากนี้ เราทราบกันดีว่า ในเกมออนไลน์ต่าง ๆ มักจะมีโฆษณาแฝงเข้ามาด้วย และอาจจะมีโฆษณาเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ที่มีลักษณะเชิญชวนให้เด็กเข้าถึงเว็บการพนันออนไลน์ พ่อแม่จึงควรมีกิจกรรมอย่างอื่นที่สามารถดึงลูกออกจากชีวิตออนไลน์ และตัวพ่อแม่เองก็ต้องมี “เวลา” ให้กับลูกในการชวนทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันแทนที่จะเล่นโทรศัพท์มือถือกันทั้งบ้าน และถ้าเรามีเวลาได้พูดคุยกันมากขึ้น จะช่วยให้เราสังเกตเห็นได้หากว่าลูกมีพฤติกรรมอะไรที่เปลี่ยนไป และในช่วงที่ใช้เวลาพูดคุยหรือทำกิจกรรมร่วมกันนั้น จะต้องเป็นการใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณภาพ (Quality of Time)

 

หากสังเกตเห็นว่าลูกมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป พ่อแม่จะต้องมีความระมัดระวังในการใช้วิธีการที่จะพูดคุยกับลูก พ่อแม่ไม่ควรตำหนิ กล่าวโทษหรือลงโทษในสิ่งที่ลูกทำ เพราะจะทำให้เด็กไม่ยอมรับความจริงและเริ่มมีการโกหก แต่พ่อแม่ควรรับความจริงและฟังในสิ่งที่ลูกพูด และพูดคุยกับลูกในเชิงของการตั้งคำถาม เช่น ถามว่าสถานการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไรและเราจะช่วยกันแก้ปัญหาได้อย่างไร เพื่อให้ลูกใช้ความคิด สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ต้องทำให้ลูกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว และ ลูกไม่ใช่เทวดาของครอบครัว ต้องทำให้เด็กรู้สึกว่า บ้านคือ Home ไม่ใช่แค่ House คือ ไม่ใช่แค่อยู่อาศัย แต่ต้องมีความผูกพัน และมีความรับผิดชอบในกิจกรรมต่าง ๆ ของครอบครัว เช่น การรับผิดชอบงานบ้าน เพื่อนำไปสู่ความรับผิดชอบต่อสังคม

 

สำหรับกรณีที่พ่อแม่ไม่ได้สร้างความผูกพันกับลูกตั้งแต่วัยเด็ก จะพบว่าการสร้างความไว้วางใจของลูกที่มีต่อพ่อแม่เป็นเรื่องที่ยากมาก การตั้งคำถามต่าง ๆ กับลูกวัยรุ่น เช่น การถามว่าทำอะไรอยู่ ไปที่ไหน ไปกับใคร จะทำให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่ไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขา และจะเริ่มถอยหนีจากพ่อแม่ ดังนั้น สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ คือ การรับฟังในสิ่งที่เขาอยากจะบอก จะทำให้เด็กเชื่อใจและไว้ใจเรามากขึ้น การหาเวลาทำกิจกรรมร่วมกัน หรือการออกไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันบ้าง จะเป็นการช่วยสร้างความสัมพันธ์และความผูกพันในครอบครัวให้เพิ่มขึ้นได้

 

 

คนลักษณะแบบไหนที่มักจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการพนันหรือติดการพนัน?


 

มีงานวิจัยพบว่า คนที่ยุ่งเกี่ยวกับการพนันหรือติดการพนันมักจะเป็นคนที่มีบุคลิกภาพหรือนิสัยที่ชอบความเสี่ยง ชอบความตื่นเต้น ชอบความท้าทาย และเชื่อในศักยภาพของตัวเองว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ นอกจากนี้ อาจเนื่องมาจากธรรมชาติของมนุษย์ที่ชอบการแข่งขัน ตั้งแต่เด็กจนโตเราจะมีการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา การพนันก็ถือเป็นการแข่งขันอย่างหนึ่ง เป็นการแข่งขันกับอะไรหลาย ๆ อย่างที่เราไม่รู้ตัว ทั้งแข่งขันกับตัวเอง แข่งขันกับคนรอบข้าง แข่งขันกับกฎเกณฑ์ และในการเล่นพนันเรามักคิดว่าเราสามารถควบคุมได้เพราะเราเป็นคนเล่น แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจมีอะไรหลายอย่างที่เราควบคุมไม่ได้และเราอาจแพ้ตั้งแต่ต้น

 

และยังมีงานวิจัยที่พบอีกว่า การได้ลุ้นถือเป็นการเสริมแรงอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้เราติดการพนันได้ง่ายขึ้น เช่น การที่เราซื้อลอตเตอรี่แล้วไม่เคยถูกรางวัลเลย แต่บังเอิญมีครั้งหนึ่งเกิดถูกรางวัลขึ้นมา จะทำให้เรามีความคิดว่า ฉันจะต้องถูกรางวัลอีก ถือเป็นการเสริมแรงให้เราซื้อลอตเตอรี่อีก และมีงานวิจัยพบว่า การเสียเงินจากการเล่นพนันจะเป็นการเสริมแรงให้คนเล่นการพนันมากขึ้นกว่าการได้เงินจากการเล่นพนันในจำนวนที่เท่ากัน เพราะมีการลุ้นว่าเราจะต้องได้เงินคืน ถือเป็นการเสริมแรงแบบไม่ตั้งใจ และแก้ได้ยากมาก ซึ่งตามทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ได้ระบุว่า การที่เราได้รับการเสริมแรงแบบคาดเดาไม่ได้ว่าเมื่อไหร่จะได้รับการเสริมแรงหรือต้องทำอะไรเท่าไหร่ถึงจะได้รับการเสริมแรง จะทำให้คนเราเกิดความคาดหวังหรือเกิดการลุ้นมากขึ้น และจะทำพฤติกรรมนั้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ได้รับโอกาสหรือได้ในสิ่งที่ต้องการ เช่น เมื่อเราเล่นการพนัน เราจะมีความคาดหวังว่าเราจะต้องได้หรือชนะพนัน หากเล่นแล้วแพ้มา 10 ครั้ง ก็จะทำให้เกิดความคาดหวังว่าครั้งที่ 11 จะต้องเล่นได้ ทำให้ยิ่งลุ้น ยิ่งมีความคาดหวังจะได้รับโอกาสชนะมากขึ้น กลายเป็นแรงจูงใจให้เล่นพนันมากขึ้นและติดพนันในที่สุด

 

 

มีวิธีการที่จะทำให้เลิกติดการพนันได้หรือไม่?


 

ตามหลักทางจิตวิทยา เชื่อว่าหากเราต้องการที่จะเลิกติดการพนันหรือเลิกเล่นการพนันนั้นเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ แต่ต้องเกิดจากความต้องการของเจ้าตัวที่อยากจะเลิก จากการสำรวจผู้ที่เข้ารับการบำบัดการติดการพนันในสหรัฐอเมริกา พบว่ามีผู้ที่กลับมาเล่นการพนันอีกถึงร้อยละ 80 เลยทีเดียว มีเพียงประมาณร้อยละ 20 เท่านั้นที่สามารถเลิกได้ จะเห็นได้ว่าการจะเลิกติดการพนันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากแต่ก็สามารถทำได้ การเลิกติดการพนันมีแนวทางในการปรับพฤติกรรม 2 ข้อ ดังนี้

 

ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีการเล่นพนัน ก็จะลดโอกาสการเข้าไปเล่นพนันได้

ปรับเปลี่ยนความคิดของตัวเองให้เลิกคิดที่จะเล่นพนัน ซึ่งบางคนอาจจะมีการปรับเปลี่ยนได้เมื่อประสบกับสถานการณ์ที่เจ็บปวด ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนเจตคติหรือทัศนคติได้ และในปัจจุบัน มีการบำบัดที่เรียกว่าการฝึกสติ หรือ mindfulness ซึ่งจะช่วยให้เรามีสติหรือรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ หากสามารถฝึกสติได้ก็จะช่วยทำให้โอกาสที่จะกลับไปเล่นพนันอีกมีน้อยลง

 

 

มีวิธีการอย่างไรที่จะโน้มน้าวใจให้ผู้อื่นเลิกติดการพนัน?


 

วิธีการที่จะโน้มน้าวใจให้ผู้อื่นเลิกติดการพนันคือ ใช้วิธีการพูดคุยในลักษณะที่เป็นการตั้งคำถามให้เค้าได้คิดและค้นหาคำตอบ เช่น เล่นแล้วได้อะไร เล่นแล้วดีอย่างไร โอกาสแพ้-ชนะเป็นเท่าไหร่ ถ้ายังเล่นการพนันอยู่ชีวิตเค้าจะเป็นอย่างไร ให้เค้าฝึกคิดอย่างเป็นระบบอยู่ตลอดเวลา เมื่อเค้าคิดและไตร่ตรองเหตุผลต่าง ๆ แล้วคิดได้ว่าเค้าควรจะหยุด เค้าก็จะหยุดได้ด้วยตัวเอง และหากว่าคำถามที่เราตั้งขึ้นเป็นสิ่งที่เค้าเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน เค้าสามารถสัมผัสได้จริงหรือมีประสบการณ์ตรง การโน้มน้าวใจก็จะทำได้ง่ายขึ้น

 

การโน้มน้าวใจให้เด็กเลิกติดการพนันสามารถทำได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ขวบ เนื่องจากอำนาจการตัดสินใจหลาย ๆ อย่างยังอยู่ที่พ่อแม่ หากพ่อแม่มีความเข้าใจลูกและปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้ลูกก็จะสามารถช่วยให้เลิกติดการพนันได้ แต่สำหรับในผู้ใหญ่ที่ติดการพนันจะโน้มน้าวได้ยากกว่า เนื่องจากต้องให้คิดและตัดสินใจที่จะเลิกติดการพนันได้ด้วยตัวเอง

 

สำหรับกรณีที่มีผู้สูงอายุในบ้านติดการพนัน หากเป็นการเล่นพนันแบบเล็ก ๆ น้อย ที่ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนหรือเสียหายอะไรมาก และไม่ผิดกฎหมาย เช่น การซื้อหวยหรือลอตเตอรี่นิด ๆ หน่อย ๆ ก็อาจปล่อยให้ท่านเล่นได้บ้าง ถือเป็นความสุขในชีวิตของท่านอย่างหนึ่ง แต่หากข้ามเส้นเกินปกติจนเกิดปัญหา มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อาจจะต้องมีการบำบัดหรือโน้มน้าวใจให้เลิกเล่นการพนัน

 

 


 

 

รับชมการเสวนาออนไลน์ย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/CUPsychBooks/videos/1031678223943850/

 

ปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมติดการพนันของวัยรุ่นไทย

 

: กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยนี้คือ นิสิตนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาบัณฑิต ชั้นปีที่ 1-4 ในมหาวิทยาลัยที่อยู่ในกำกับของสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา เขตกรุงเทพมหานคร อายุระหว่าง 18-21 ปี โดยเป็นผู้มีพฤติกรรมติดการพนัน 250 คน (ชาย 126 คน หญิง 124 คน) และไม่มีพฤติกรรมติดการพนัน 250 คน (ชาย 125 คน หญิง 125 คน)

 

ทั้งนี้ พฤติกรรมติดการพนันหมายถึง การเล่นพนัน 1-3 ครั้งต่อสัปดาห์ จนถึงเล่นพนันทุกวัน

 

“ปัจจัยทางสังคม” ได้แก่

 

ตัวแบบพ่อแม่ – หากวัยรุ่นมีพ่อแม่เล่นการพนันทั้งคู่ หรือมีแม่เล่นการพนัน โอกาสที่วัยรุ่นจะมีพฤติกรรมติดการพนันสูงกว่าวัยรุ่นที่พ่อแม่ไม่เล่นการพนันทั้งคู่หรือพ่อเล่นการพนัน อาจเนื่องมาจากลูกมีความสนิทและใกล้ชิดกับแม่มากกว่าพ่อ

 

ตัวแบบเพื่อนสนิท – การมีเพื่อนสนิทที่เล่นการพนันทำให้เกิดโอกาสที่จะมีพฤติกรรมติดการพนันสูงขึ้น เนื่องจากเพื่อนสนิทมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเลียนแบบพฤติกรรมของวัยรุ่น โดยเฉพาะเมื่อเป็นคู่เพื่อนสนิทใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ด้วยกัน และมีประสบการณ์ชีวิตในลักษณะเดียวกัน (เช่น มีพัฒนาการทางร่างกายในระดับเดียวกัน มีสัมพันธภาพที่ไม่ดีกับพ่อแม่เหมือนกัน)

 

ผลการเรียน – หากวัยรุ่นมีผลการเรียนต่ำ โอกาสที่วัยรุ่นจะมีพฤติกรรมติดพนันสูงขึ้น ทั้งนี้เพราะการเอาใจใส่ต่อการเรียนมีแนวโน้มจะทำให้นักเรียนมีเวลาทำพฤติกรรมไม่ดีน้อยลง รวมถึงการเล่นพนันด้วย

 

“ปัจจัยทางจิตวิทยา” ได้แก่

 

แหล่งการควบคุมตน – บุคคลที่มีพฤติกรรมติดการพนันมีแนวโน้มเชื่ออำนาจภายนอกตนสูง กล่าวคือ ผู้ที่มีพฤติกรรมติดการพนันเชื่อว่าตนจะมีเงินทองมาจับจ่ายใช้สอยได้ก็ด้วยการเล่นพนัน ซึ่งต้องอาศัยโชค เคราะห์ หรือดวง แทนการพยายามหางานทำเพื่อให้ได้เงินมาจับจ่ายใช้สอย

 

การขาดการยั้งคิด – บุคคลที่มีพฤติกรรมขาดการยั้งคิดสูง (คือมักแก้ปัญหาด้วยการตอบสนองต่อสิ่งเร้าโดยไม่ได้ประเมินถึงผลลัพธ์ต่างๆ อย่างรอบคอบ ขาดความอดทน) โอกาสที่จะมีพฤติกรรมติดการพนันย่อมสูงขึ้นด้วย

 

นอกจากนี้ งานวิจัยนี้ได้ตรวจสอบอิทธิพลของ เพศ การเห็นคุณค่าในตนเอง และความรู้สึกแสวงหาสิ่งตื่นเต้นเร้าใจ อีกด้วย แต่ไม่พบว่าปัจจัยดังกล่าวมีส่วนสัมพันธ์กับพฤติกรรมติดการพนัน

 

 

ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันวัยรุ่นไทยจากการพนัน

 

  1. ควรหาทางป้องกันการเล่นพนันผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบเกมออนไลน์ และการพนันทายผลกีฬา ซึ่งการพนันประเภทนี้จะดึงดูดกลุ่มประชากรเพศชายที่มีอายุน้อย เช่น ในโรงเรียนควรสอนเรื่องทฤษฎีความน่าจะเป็น (ซึ่งเป็นเรื่องที่มีอยู่แล้วในวิชาคณิตศาสตร์ หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น) ควบคู่กับเรื่องการเล่นพนัน เพื่อชี้ให้เด็กเห็นว่าโอกาสการชนะพนันนั้นมีน้อยมาก
  2. ไม่ควรถ่ายทอดสดการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลและโฆษณาเกี่ยวกับสลากกินแบ่งรัฐบาลทางสื่อโทรทัศน์ เนื่องจากเป็นเสื่อที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากทั้งเด็กและผู้ใหญ่

 

 


 

รายการอ้างอิง

 

“ปัจจัยคัดสรรที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมติดการพนันของวัยรุ่นตอนปลาย ในกรุงเทพมหานคร”
“Selected factors related to gambling addicted behavior of late adolescents in Bangkok”

วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม.) สาขาวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2546)
โดย นางสาวภัทรพร แจ่มใส
ที่ปรึกษา รศ.ศิรางค์ ทับสายทอง
วิทยานิพนธ์ฉบับเต็ม http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/9159

 

ภาพประกอบจาก http://www.freepik.com

ปลดแอกจาก Internalised Oppression

ฉันต่อแถวอยู่หลังเพื่อนผิวขาวชาวอเมริกันและแคนาดาสี่คน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของสก็อตแลนด์ประทับตราในหนังสือเดินทางก่อนขึ้นเครื่องบินไปทริปในยุโรปด้วยกัน เพื่อนคนแรกยื่นหนังสือเดินทางอเมริกา เจ้าหน้าที่ประทับตรา คนที่สองยื่นหนังสือเดินทางแคนาดา เจ้าหน้าที่ประทับตรา ฉันเตรียมหนังสือเดินทางประเทศไทยที่มีวีซ่าสำหรับเดินทางในยุโรปพร้อมไว้ที่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง เมื่อถึงคิวขณะที่ฉันกำลังเอื้อมไปหยิบหนังสือเดินทางที่เหน็บไว้ที่กระเป๋ากางเกงด้านหลังนั้น เจ้าหน้าที่ก็พูดขึ้นว่า…

 

“You have your visa ready, right?” (คุณมีวีซ่าพร้อมแล้วใช่หรือไม่)

“Yes, of course. I have it.” (แน่นอน ฉันมีวีซ่ามาแล้ว)

 

ฉันตอบด้วยความรู้สึกเตรียมพร้อม มั่นใจเหมือนเด็กนักเรียนหน้าห้องที่รู้ว่าจะต้องถูกครูถาม จึงเตรียมทำการบ้านมาอย่างดีและตอบด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ

 

ฉันยื่นหนังสือเดินทางให้เจ้าหน้าที่ประทับตรา และเดินออกมาหาเพื่อนชาวแคนาดาที่ยืนรออยู่ข้าง ๆ เพื่อนพูดทักทันทีว่า “รู้รึเปล่าว่าเธอกำลังโดนเหยียด (ทางเชื้อชาติ) อยู่ เจ้าหน้าที่ไม่ควรถามเธอว่าเธอมีวีซ่ารึเปล่าก่อนที่จะเห็นหนังสือเดินทางของเธอ เขาไม่ควรคิดเอาเองว่าเธอมาจากประเทศที่ต้องใช้วีซ่า”

 

ความรู้สึกภาคภูมิใจ ยินดีในการเป็นเด็กดีหายไปกลายเป็นความรู้สึกโกรธและอับอายเมื่อเกิดความเข้าใจว่าเรากำลังโดนเหยียด โดนปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ ที่สะท้อนถึงการใช้ชีวิตภายใต้ระบบที่เราคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ที่เราคุ้นชิน ที่เรายอมรับเข้ามาเป็นการใช้ชีวิตประจำวันของเรา แท้จริงแล้วคือการใช้ชีวิตภายใต้ระบบแห่งความไม่เท่าเทียม ระบบแห่งการกดขี่และการเหยียดที่เราไม่เคยมองเห็นเลยจนเมื่อมีบุคคลจากกลุ่มที่มีอำนาจเหนือระบบนี้ (dominant/privileged group) ชี้ให้เราเห็น ทำให้ความต้องการเป็น “เด็กดี” ภายใต้ระบบความไม่เท่าเทียมที่ว่า “ฉันสมควรได้รับการปฏิบัติแบบนี้ เพราะนี่คือสิ่งมันควรจะเป็น” ได้รับการ ปลดแอก แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ เพราะฉันรู้แล้วว่าฉันสมควรจะได้สิ่งที่ดีกว่านี้…สิ่งที่เท่าเทียม

 


แม้ตัวอย่างที่ยกมานั้นจะเป็นตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับเชื้อชาติ แต่การรับเอาค่านิยมและวิถีการใช้ชีวิตภายใต้ระบบแห่งการกดขี่และไม่เท่าเทียมมาเป็นความเชื่อของตนภายในกลุ่มคนที่ถูกกดขี่เองนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ในทุก ๆด้านของชีวิตที่สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียม เช่น ชนชั้น เพศ การบกพร่องทางร่างกาย เป็นต้น ในทางจิตวิทยาเรียกกระบวนการนี้ว่า Internalised oppression มีความหมายตรงตัวเลยว่า คือ การรับเอาทัศนคติและมุมมองที่มาจากระบบสังคมที่มีความกดขี่และไม่เท่าเทียมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนหรือค่านิยมของตนเอง ทำให้บุคคลที่เป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกกดขี่ (oppressed group) เชื่อว่าระบบความไม่เท่าเทียมในสังคมที่ตนเองอาศัยอยู่นั้น เป็นระบบที่เป็นปกติ ทั่วไป ที่มันควรจะเป็น ซึ่งแปลว่า คนเหล่านั้นจะรู้สึกว่าตนเองสมควรที่จะอยู่ในสถานะหรือบทบาทที่สังคม (ซึ่งมาจากผู้มีอำนาจในสังคม) ให้มา ไม่รู้สึกว่าตนเองกำลังถูกเอาเปรียบหรือปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม การเรียกร้องถึงความเท่าเทียมเป็นการเรียกร้องที่มากเกินไปและอาจไม่ยุติธรรมกับผู้อื่นในสังคม แม้ว่าผู้อื่นในสังคมนี้จะหมายถึงกลุ่มคนมีอำนาจที่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบสังคมที่ไม่เท่าเทียมนี้และได้รับประโยชน์หรืออย่างน้อยไม่เสียประโยชน์จากระบบที่ไม่เท่าเทียมนี้ก็ตาม

 

หากพิจารณาตัวอย่างที่ยกมา จะทำให้เข้าใจกระบวนการภายในจิตใจของผู้ที่มี Internalised oppression ได้มากขึ้นว่า นอกจากที่ฉันมองไม่เห็นถึงการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมนั้นแล้ว ฉันยังปฏิบัติตนให้เป็น “เด็กดี” ของผู้มีอำนาจ ของกลุ่มคนที่สร้างและรักษาระบบความไม่เท่าเทียมนี้อีก เกิดเป็นความเชื่อว่า “นี่คือสิ่งที่มันควรจะเป็น” หรือ “แค่นี้ก็ดีพอแล้ว” โดยไม่ตั้งคำถาม ไม่สงสัย คัดค้านที่จะให้คุณภาพชีวิตของตนเองดีขึ้นหรือได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมมากขึ้น บางคนอาจจะสนับสนุนให้รักษาระบบความไม่เท่าเทียมนี้ด้วยซ้ำ เพราะเชื่อว่านี่คือสิ่งที่คุ้นเคย เหมาะสมและดีที่สุดสำหรับตนเองและทุกคน ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของเราเป็นไปในแนวที่สนับสนุนหรือรักษาความไม่เท่าเทียมเหล่านี้ไว้ ซึ่งอาจทำให้เราเชื่อจริง ๆ ว่า เราไม่เก่ง ไม่ดีพอ หรือไม่มีค่าพอที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมเหมือนกลุ่มคนอื่น และเชื่อว่ากลุ่มที่มีอำนาจเหนือเรานั้นสมควรที่จะได้อยู่ในสถานะหรือบทบาทที่เหนือกว่าเรา ความเชื่อเหล่านี้ก็ได้มาจากการถูกปลูกฝังผ่านระบบต่าง ๆ ทางสังคมที่ถูกสร้างขึ้นจากผู้มีอำนาจที่ต้องการจะรักษาความไม่เท่าเทียมนี้ไว้ แนวคิดทางจิตวิทยานี้เป็นส่วนหนึ่งในการอธิบายปรากฎการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นรอบตัวเราได้อย่างดี

 

อีกความรู้สึกที่อยากให้ทุกคนได้เห็นคือ ความโกรธและความอับอายที่เกิดขึ้นหลังจากเข้าใจว่าฉันกำลังโดนเหยียดหรือปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม สองความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่ควรจะเกิดขึ้นและไม่แปลกที่จะเกิดขึ้น ความแปลกจริง ๆ แล้วน่าจะเป็นว่า ที่ผ่านมาทำไมจึงไม่เกิดความรู้สึกเหล่านี้ทั้ง ๆ ที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การถูกกดขี่หรือปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมมาโดยตลอด การได้รับการเปลี่ยนมุมมองโดยเฉพาะจากบุคคลที่มาจากกลุ่มที่เหนือกว่า (dominant group) เป็นเสมือนการอนุญาตให้ฉันมองเห็นความไม่เท่าเทียมนี้ รู้สึกอายที่อยู่ในสถานะนั้นเมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่น แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้รับอนุญาตให้ความโกรธได้ออกมา เป็นความรู้สึกที่เหมาะกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การปลดแอกทางความคิดนำมาซึ่งการปลดแอกทางความรู้สึก ช่วยให้บุคคลเห็นคุณค่าและความสำคัญของตนเอง เคารพตนเองและเห็นความสำคัญของการได้รับความเคารพเทียบเท่ากับมนุษย์คนอื่น ๆ ในสังคม และหวังว่าจะเอื้อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบทางสังคมที่สร้างความเท่าเทียมให้กับคนทุกกลุ่มต่อไป

 

 

รายการอ้างอิง

 

David, E. J. R., & Derthick, A. O. (2013). What Is Internalized Oppression, and So What? In E. J. R. David (Ed.), Internalized Oppression (pp. 1–32). Springer Publishing Company. https://doi.org/10.1891/9780826199263.0001

 

Tappan, M. B. (2006). Reframing Internalized Oppression and Internalized Domination: From the Psychological to the Sociocultural. Teachers College Record, 108(10), 2115–2144. https://doi.org/10.1111/j.1467-9620.2006.00776.x

 

ภาพประกอบจาก http://www.freepik.com

 

 


 

 

บทความวิชาการ

โดย อาจารย์ ดร. พนิตา เสือวรรณศรี

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา

หัวหน้าศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

 

Moral grandstanding : การอวดอ้างตนว่าเป็นผู้มีจริยธรรม

การที่คนเราจะเข้าร่วมการถกเถียงเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ในสังคมนั้น แต่ละคนมักจะมีแรงจูงใจและมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน

 

ยกตัวอย่างเช่น

 

การที่ ‘เจน’ รณรงค์ในสื่อโซเชียลเรื่องการทำลายธรรมชาติจากการใช้หลอดพลาสติก โดยเจนบอกว่า ผู้คนควรละอายที่ใช้หลอดพลาสติกเพราะมันส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเจนยังแสดงจุดยืนที่จะบอยคอตต์ร้านค้าที่บริการหลอดพลาสติกให้แก่ลูกค้า

 

แรงจูงใจใดกันที่ทำให้เจนออกมาพูดเรื่องนี้?

 

เธออาจมีแรงจูงใจจากความเชื่อที่เธอหวังว่า การทำเช่นนี้จะช่วยเพิ่มความเข้าใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในสังคมได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม เธออาจถูกจูงใจให้แสดงความเชื่อทางจริยธรรมของเธอมากขึ้นด้วยท่าทีต่าง ๆ ของผู้คน ซึ่งเธอเชื่อว่าผู้คนจะชื่นชมในคุณธรรมจริยธรรมของเธอ ทั้งนี้ การเข้าร่วมถกเถียงในประเด็นทางจริยธรรมที่แฝงไปด้วยความปรารถนาที่จะได้รับการจดจำและได้มีตัวตน เราเรียกว่า Moral grandstanding (การอวดอ้างตนว่าเป็นผู้มีจริยธรรม)

 

 

 

Moral grandstanding ค่อนข้างจะไม่เป็นประโยชน์และยังเป็นผลเสียต่อการถกเถียงประเด็นศีลธรรมต่าง ๆ ในสังคม

 

1. Moral grandstanding ทำให้เกิดการโต้เถียงอย่างรุนแรงเพื่อที่จะยืนหยัดว่าตนเองนั้นเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งที่สุด ยกตัวอย่างจาก บทความจากนิตยสาร New York Times เมื่อไม่นานมานี้ ที่เป็นประเด็นถกเถียงอยู่ใน Social media เกี่ยวกับการใช้ภาษาของผู้เขียนเรื่องผลไม้ไทยในการอธิบายลักษณะผล รสชาติ กลิ่น ความยากลำบากในการปอก ฯลฯ ที่ทำให้ชาวเน็ตต่างชาติที่หลงไหลในผลไม้ไทยไม่ค่อยพอใจ ให้ลองนึกภาพตามว่า สำหรับคนทั่วไปที่อ่านข่าวนี้แล้วรู้สึกว่า ไม่พอใจ ก็อาจจะได้แค่คิดแล้วก็พิมพ์ใส่ Social media เล็กน้อยว่า “ทำไมเขียนได้แย่อย่างนี้” หรือ “ถ้าใจแคบกับผลไม้และวัฒนธรรมของไทยจะเขียนไปทำไม” เพื่อแสดงศีลธรรม หรือความคิดเห็นของตนเอง หลังจากโพสแล้วก็จะพบกับผู้คนจำนวนหนึ่งที่มีความคิดเห็นตรงกัน หรือรุนแรงกว่าเช่น กล่าวหาว่าคนเขียนเป็นพวกเหยียดชาติพันธุ์ (racist) หรือตำหนิทางสำนักพิมพ์ว่าทำไมถึงปล่อยให้บทความนี้ตีพิมพ์ออกมาได้ แต่ถ้าเกิดมีคนที่ต้องการเป็นที่จดจำในสังคมเกี่ยวกับความเคารพบูชาศีลธรรมอันสูงส่ง ความคิดเห็นเช่น “พวกเราไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้..” ก็จะไม่ตอบสนองความพึงพอใจทางศีลธรรมของพวกเขา พวกเขาจึงต้องปรับลักษณะแสดงความคิดเห็นไปในทางที่สุดโต่ง คุกคาม และดุดัน มากกว่าคนทั่วไป ใช้ศีลธรรมเป็นอาวุธกราดยิงสร้างความเสียหายโดยไม่สนสิ่งใด

 

2. เมื่อบุคคลพยายามหาทางที่จะสร้างความสูงส่งทางศีลธรรมหรือความบริสุทธิ์ผุดผ่องเหนือผู้อื่นให้ตนเอง เขาอาจใช้วิธีแสดงความไม่พึงพอใจ กับเรื่องที่ไม่ได้มีอะไรเหมาะสมให้วิจารณ์ สำหรับ moral grandstander การแสดงความไม่พึงพอใจในประเด็นที่คนอื่นไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาของสังคม จะสะท้อนถึงการมีศีลธรรมอันสูงส่งและมีวิสัยทัศน์ทางศีลธรรมมากกว่าผู้อื่น (Superior moral sensitivity)

 

3. ลองนึกถึงการที่บุคคลกระทำความผิดหรือแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมใด ๆ ในพื้นที่สาธารณะอย่างสื่อออนไลน์ แล้วถูกกล่าวโทษหรือใช้ถ้อยคำทำให้อับอายหรือละอายใจ ประมาณ 10 หรือ 100 คอมเมนต์ ก็จะมีผู้คนส่วนหนึ่งที่มักจะแสดงความคิดเห็นในเชิงตั้งศาลเตี้ยมาตัดสินและกดดันให้มีการลงโทษผู้ที่กระทำผิด หรือแสดงความคิดเห็นในเชิงเห็นด้วยกับความเห็นของคนอื่นที่มีลักษณะต้องให้เกิดการลงโทษเช่นกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อรวบรวมกลุ่มคนที่มีความคิดคล้ายกัน ให้กลายเป็นคนหมู่มากที่ยืนอยู่ฝั่งของความถูกต้องของการโต้แย้งทางศีลธรรมนี้ และช่วยกันแบ่งปันมุมมองทางศีลธรรมภายในกลุ่มเพื่อสนับสนุนความคิดเห็นของกลุ่มตนเอง อย่างไรก็ดี ไม่ได้หมายความว่าคนที่แสดงความเห็นวิพากษ์วิจารการกระทำผิดศีลธรรมของผู้อื่นจะเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวไปหมดทุกคน อย่างในประเทศไทย พฤติรรมของผู้คนจะได้รับอิทธิพลจากบรรทัดฐาน (Norm) ของสังคมค่อนข้างมาก การส่งเสริมให้ผู้กระทำผิดถูกลงโทษ หรืออับอาย ก็เหมือนเป็นกระบวนการสำคัญหนึ่งในการลดพฤติกรรมการละเมิดบรรทัดฐานทางสังคมของคนในสังคม

 

สรุปก็คือ Moral grandstanding จะกระตุ้นให้การวิพากษ์วิจารณ์เป็นไปอย่างสุดโต่ง และมีแนวโน้มทำให้การแสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน ขาดมุมมองที่หลากหลายและรอบด้าน หรือหากเกินเลยกว่านั้นก็จะเริ่มดูถูกถากถางความคิดเห็นของผู้อื่นที่ขัดแย้ง หรือไม่เห็นด้วยกับตนเอง เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้ง ผู้คนก็จะเริ่มรู้สึกได้ว่าคนเหล่านั้นพยายามวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของผู้อื่นเพื่อให้มีพื้นที่ในสังคม แสร้งทำเป็นมีคุณธรรมศีลธรรมสูงส่ง แต่ตนเองกลับไม่ได้ปฏิบัติตามคุณธรรมที่ตัวเองกล่าวอ้าง จากปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้สังคมมองว่า การโต้เถียงเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรม เป็นกิจกรรมของคนเสแสร้ง หรือไม่ค่อยจริงใจ

 

 

แม้ moral grandstanding จะสร้างผลเสียกับวงสนทนาโต้แย้งโดยทั่วไป แต่เราก็ยังไม่ค่อยรู้ว่า Moral grandstanding จะส่งทางบวกหรือทางลบผลต่อผู้ร่วมโต้แย้งหรือบุคคลอื่น ๆ มากน้อยอย่างไร Moral grandstander จะได้รับประโยชน์อะไรจากการกระทำของเขา หรือว่าความพยายามจะมีศีลธรรมสูงส่งของเขาจะกลับมาทำร้ายตัวเองได้อย่างไรบ้างหรือไม่ ยังไม่มีงานวิจัยใดตอบคำถามนี้อย่างชัดเจน แต่เมื่ออยู่ในวงสนทนาโต้แย้งเกี่ยวกับศีลธรรมเราก็จะพยายามประเมินว่าเราแยกแยะ Moral grandstander ได้จากปัจจัยใดบ้าง ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีหลายปัจจัยที่น่าจะช่วยให้เราประเมินได้ เช่น ในกรณีที่เราสามารถยืนยันตัวตนบุคคลนั้น (อาจจะเป็นคนรู้จัก หรือคนมีชื่อเสียง) หากเขาได้แสดงทัศนะใด ๆ เกี่ยวกับศีลธรรม แล้วเขามีการกระทำที่สอดคล้องกับศีลธรรมทีเขากล่าวอ้างเป็นประจำ เราก็ควรจะเคารพการแสดงทัศนะของเขาได้ สรุปก็คือ ความสอดคล้องของคำกล่าว และพฤติกรรมของผู้กล่าว เป็นปัจจัยหนึ่งที่ใช้ในการแยกแยะได้ว่าเป็นความคิดเห็นที่จริงใจ หรือว่าแสดงความคิดเห็นเพื่อหวังผลประโยชน์อื่น ในทางกลับกันในโลกออนไลน์ก็มักจะมีคนที่ไม่ยืนยันตัวตนหรือตรวจสอบไม่ได้ หรือมีประวัติที่ไม่น่าเชื่อถือ เมื่อไม่มีสิ่งที่สามารถยืนยันตัวตนที่ดี เราก็มักจะตัดสินจากอะไรที่มองเห็นได้ เช่น รูปโปรไฟล์ ชื่อ หรืออาจมีการดูความคิดเห็นเก่า ๆ เพื่อดูความสอดคล้องกับความเห็นปัจจุบัน แต่ถึงจะยืนยันตัวตนได้หรือไม่ได้อย่างไร เรายังมักจะเห็นดีเห็นงามกับ moral grandstanding ในกรณีที่เขาโต้แย้งสนับสนุนข้างที่เราเห็นด้วยอยู่บ่อย ๆ เช่นในปี 2019 ที่มีความเห็นค่อนข้างรุนแรงเกี่ยวกับ Begpackers หรือชาวต่างชาติที่มาเรี่ยไรขอเงินเพื่อท่องเที่ยวที่พบเห็นได้มากขึ้นในปีที่ผ่านมา ก็จะมีทั้งผู้คนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับการแสดงความคิดเห็นที่รุนแรง ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามีค่านิยมสอดคล้องกับกลุ่มไหน จำเป็นไหมที่เราจะต้องเข้าร่วมประณามกับเขา หรือคนไทยเราประณามกันรุนแรงเกินเหตุไปรึเปล่า

 

มีงานวิจัยพบว่าการ Moral grandstanding มักจะมีจุดประสงค์เพื่อสร้างชื่อเสียงยกย่องตนเอง และสร้างอำนาจเพื่อครอบงำผู้อื่น ซึ่งทั้งสองจุดประสงค์นั้นทำให้เกิดชนชั้นในสังคม แต่จะมีวิธีการและรูปแบบที่แตกต่างกันอยู่ บุคคลที่ต้องการสร้างชื่อเสียงและได้รับการเคารพยกย่องในฐานะของผู้มีศีลธรรมอันดี จะแสดงความคิดเห็นที่เป็นทิศทางบวก และเป็นประโยชน์ต่อวงสนทนาและการใช้ชีวิต ในขณะที่ทางด้านของการสร้างอำนาจ จะยกยอความคิดและจริยธรรมของตนเอง รวมไปถึงใช้การใช้วิธีว่าร้ายลดค่า กดดัน ข่มขู่ และทำให้ผู้อื่นอับอาย ซึ่งไม่นานมานี้ก็มีงานวิจัยศึกษาว่า บุคคลที่ Moral grandstanding มักจะมีความปรารถนาและพฤติกรรมที่ค่อนข้างชัดเจนว่าต้องการความเคารพยกย่อง หรือต้องการอำนาจ ผู้สนใจสามารถทำแบบทดสอบได้ที่ ลิงค์ นี้

 

 

นับเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่จะบอกได้ว่าใครกำลัง Moral grandstanding เพราะเราจะตัดสินได้ชัดเจนที่สุดจากแรงจูงใจที่ต้องการมีตัวตนหรือต้องการได้รับการเคารพนับถือของแต่ละบุคคล ซึ่งไม่มีทางที่เราจะตัดสินได้ทันทีจากการแสดงความคิดเห็นที่มีตัวหนังสือไม่กี่บรรทัด ความยากอีกอย่างหนึ่งก็คือ Moral grandstanding มักจะแสดงความคิดเห็นในทางอ้อม เพราะการที่ใครคนหนึ่งจะมายืนหยัดยกยอตนเองอย่างชัดเจนว่ามีศีลธรรมสูงส่งกว่าใครในที่นี้ ก็คงจะไม่ได้รับผลที่ดี Moral grandstander มักจะใช้วิธีการแสดงความไม่พอใจ และการวางตัวอยู่บนฝั่งของศีลธรรมอันดี สรุปได้ว่า ด้วยความที่เราไม่สามารถรู้ความคิดและแรงจูงใจของผู้คน ก็ยากที่เราจะตัดสินว่าใคร Moral grandstanding ในขณะที่การระบุว่า เขาต้องการได้รับการเคารพยกย่องไหมอาจจะสังเกตได้จากความรู้สึกผิดหวัง ไม่พึงพอใจเมื่อไม่ได้รับการยอมรับหรือจดจำจากบุคคลอื่น

 

จากที่ได้กล่าวไปแล้วจะเห็นได้ว่า การระบุพฤติกรรม grandstanding ให้ได้ชัดเจนแม่นยำเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก และการพยายามระบุว่าใครกำลัง Moral grandstanding ก็ไม่ทำให้เกิดประโยชน์เท่าไหร่ แต่จากบทความนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้คนสามารถใช้การโต้แย้งทางจริยธรรมเพื่อให้ได้รับการยอมรับอย่างเห็นแก่ตัว ซึ่งเมื่อเรารู้เช่นนี้แล้ว เราก็ควรระวัง และคิดให้รอบคอบก่อนแสดงความคิดเห็น โดยต้องคำนึงว่าความคิดเห็นของเราจะส่งผลต่อการโต้แย้งในลักษณะใด เรากำลังพยายามถ่ายทอดความเข้าใจของเรา หรือเรากำลังทำให้การโต้แย้งนี้ซับซ้อนวุ่นวายมากยิ่งขึ้น ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์เมื่อเราต้องเข้าสู่การสนทนาครั้งต่อไป ว่าควรจะปรับปรุงอะไรก่อนที่จะแสดงความคิดเห็นแต่ละครั้งนะครับ

 

 


 

บทความวิชาการ

โดย Dr. Harry Manley

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 


 

 

About the Author.

Harry Manley is a lecturer in the Faculty of Psychology at Chulalongkorn University. Twitter @harrisonmanley

Moral Grandstanding

When people engage in public discourse, they do so with different motivations and goals. For example, consider Jane protesting on social media about the harmful nature of single use plastic straws. Jane argues that other people should be ashamed if they use plastic straws because of their impact on the environment and she states her commitment to boycott any vendors that serve plastic straws. What is motivating Jane’s moral talk here? She may be motivated to state her beliefs in the hope that this enhances shared understanding and, ultimately, improves other people’s moral behaviour. However, she may also be motivated to express her moral beliefs because they signal her heightened moral credentials and she believes that others will admire her moral respectability. Moral discourse that is underpinned by the desire to gain recognition and status is called moral grandstanding.

 

 

What are the consequences of moral grandstanding for moral discourse?

 

Moral grandstanding is argued to contribute to a wide range of negative outcomes for public discourse. First, moral grandstanding contributes to excessive displays of moral outrage as people compete to express their superior moral credentials. For example, a recent NY Times article (also printed in the Bangkok Post) caused a stir among many Thai netizens who took to social media outraged at the portrayal of the country’s fruits. Let us imagine an individual who reads this article and initially thinks it was poorly written and perhaps somewhat ignorant of Thai culture. They wish to publicly share their moral opinion with others so they open social media where they encounter many other people who are taking strong stances and decrying the article as “racist”, or are “…shocked it was published”. If they now want to stand out and be recognised for our own moral respectability, it is suddenly not enough to say we didn’t agree with the article, instead we must adopt a stance that is ever more extreme and outraged (up to a limit) than others. Put simply, there can become a moral arms race that leads to the ramping up of moral outrage. Second, when people are looking for ways to appear more morally respectable and virtuous than others they may express outrage and indignation about issues that are not truly deserving of such condemnation. For the moral grandstander, being indignant about issues that others don’t recognize as a societal problem is simply a sign of their superior moral sensitivity. Third, consider an individual being publicly shamed (i.e., on social media) for a transgression. Despite tens or hundreds of comments that are already shaming the person, many people still feel compelled to pile on and add their comment of condemnation, either repeating what others have already said or agreeing with their condemnation. What purpose does this serve? One function of piling on is that it signals to others that they are aligned with the “right side” of the moral argument and they share the perspective their ingroup adopts on an issue. Again, this is not to say that every person who comments on the latest viral outrage is doing so for selfish motives. In Thai culture – where behaviour is strongly guided by prevailing social norms – shaming may also serve an important function in communicating group norms and regulating behaviour when people violate these norms.

 

In summary, moral grandstanding can encourage public discourse to become more extreme and more polarised. Further, one of the consequences of moral grandstanding is that it can ultimately lead to increased public cynicism towards moral discourse. As people more frequently suspect moral talk is being used in order to gain status, and witness cases of moral hypocrisy where people talk the moral talk but don’t walk it, everyday contributions to moral discourse are viewed as increasingly insincere.

 

 

What are the consequences of moral grandstandingfor the moral talker?

 

Despite the negative outcomes that moral grandstanding may have for moral talk in general, little is known about the interpersonal consequences of engaging in moral grandstanding.  In other words, do people ever benefit from their grandstanding behaviour or do their efforts backfire? Although there are no published studies directly addressing this question, when we are trying to evaluate others based on their moral talk, several factors are probably relevant for deciding whether we judge them positively or negatively. First, we may use cues of the individual’s authenticity; if we know (through experience) that a person only ever declares their moral views for issues they have a strong belief in and they are also a person who acts on these beliefs, then we are likely to respect their contributions to moral talk. This will help us to distinguish whether their expressions of indignation are genuine or strategic. In contrast, past experience that indicates the person is hypocritical and inauthentic will make us much more cynical about their contributions to moral talk. The part where it gets tricky is that much of moral discourse occurs online with people we don’t know (or who are anonymous) and where we lack good indicators of their authenticity. However, here we are still likely to use various heuristics and cues to infer their authenticity (e.g., we might try to judge their motives based on their profile image, or we may look at their past comments on other issues as an indicator of their consistency, etc.). In addition, we are likely to view moral grandstanding more favourably when the moral argument being presented is one we agree (as opposed to disagree) with. For example, there were several instances in 2019 where people expressed their outrage at the presence of Begpackers on Thailand’s streets. Whether you view the people making these expressions of outrage in a positive or negative light will depend to a large degree on your shared values and whether you think the behaviour they are decrying is morally acceptable or not.

 

 

Prestige and dominance-based moral grandstanding.

 

Researchers have also identified that moral grandstanding can be expressed using either prestige or dominance-based motives. This distinction between prestige and dominance-based strategies is a broader theme in explaining human behaviour in social hierarchies but applied to moral grandstanding it can account for important differences in the way moral grandstanding is displayed. Individuals may seek moral prestige and hope that others will recognise their superior moral credentials and they go about seeking this recognition by openly displaying positive moral qualities. However, another way of attaining social status through moral grandstanding is by seeking dominance over others; here, moral talk is used as a tool to silence, shame, derogate and intimidate others. In other words, individuals may strive for social status by either elevating their own moral status or bringing others down. Recent work has shown that individuals vary in their stable disposition to engage in prestige and dominance based moral grandstanding; click here, if you wish to test yourself!

 

 

How can you tell if someone else is moral grandstanding?

 

In short, it’s tricky! Because moral grandstanding depends critically on the person’s motive (i.e., whether they are using discourse to gain status), it’s not possible to be certain if someone is moral grandstanding (or not) simply from their discourse. When people engage in moral grandstanding they typically do so indirectly. Using social media to declare how you are more morally respectable than your peers would be a poor strategy for actually gaining their admiration of your moral values. Rather, moral grandstanding is typically expressed through displays of indignation and  their moral stances Thus, in the absence of insight into a person’s motivation, it’s hard to determine whether they are actually moral grandstanding, as opposed to simply stating their moral belief without wishing to gain status from it. Arguably, the only way you might be able to infer whether their moral talk is motivated by the desire for status is if you see their disappointment at the absence of any recognition!

 

Advice.

What advice can I offer to improve moral discourse? Because it’s hard to ever be certain whether someone is grandstanding or not, using the information in this article to try and identify grandstanders isn’t especially helpful or productive. Perhaps the more important thing is to realise that all of us can sometimes use moral talk for selfish, status-based motives and we should aim to reflect and think carefully about what our motives are and what effect our contribution to a discussion is having. Are we trying to improve shared understanding, or are we piling on and ramping up the moral discourse? If it’s the latter then it’s time to reflect on whether we need to add our voice to the discussion.

 

 


 

บทความโดย

Dr. Harry Manley 

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 


 

About the Author.

Harry Manley is a lecturer in the Faculty of Psychology at Chulalongkorn University. Twitter @harrisonmanley

 

 

หากไม่รักตัวเอง… แล้วจะรักคนอื่นได้อย่างไร ?

ปกติเวลาที่เราพูดถึงความรัก เราก็มักจะนึกถึงความรักที่เรามีให้กับคนอื่น ๆ หรือความรักที่เราได้รับจากคนอื่น ๆ เช่น พ่อแม่ จากญาติพี่น้อง เพื่อน คุณครู และคนรัก

 

หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “หากคุณยังรักตัวเองไม่เป็น แล้วคุณจะรักคนอื่นได้อย่างไร” หรือ “เมื่อคุณรักตัวเองเป็น คุณจึงจะรักคนอื่นเป็น” ด้วยประโยคเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักจิตวิทยาสนใจว่าความคิดและความรู้สึกที่บุคคลมีต่อตนเองนั้น จะมีผลอย่างไรบ้างกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล

 

คำว่า “รักตัวเอง” ในที่นี้ ไม่ได้หมายความถึง การเห็นแก่ตัว หรือ การตามใจตัวเอง ซึ่งเป็นการทำเพื่อให้เราได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่สิ่งที่เราได้มานั้นกลับเป็นเพียงความสุขที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น “การรักตัวเอง” ในที่นี้หมายถึง การเมตตากรุณาต่อตนเอง (Self-compassion)

 

 

การเมตตากรุณาต่อตนเองประกอบไปด้วย 3 สิ่งหลัก ๆ ด้วยกัน ได้แก่

  • การใจดีต่อตนเอง (Self-kindness)
  • การรับรู้ว่าสิ่งที่เราเจอนั้นคนอื่นก็เจอเหมือนกันกับเรา (Common humanity) และ
  • การมีสติ (Mindfulness)

 

สิ่งแรก การใจดีต่อตนเอง คือ การที่เราดูแลและเข้าใจตัวเองเมื่อเรารู้สึกแย่ ซึ่งความรู้สึกแย่นั้นอาจจะมาจากเหตุการณ์ที่เราควบคุมไม่ได้ หรือจากการไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราคาดหวัง ซึ่งตรงกันข้ามกับ การวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง (Self-criticism) คือ การที่เราตัดสินหรือต่อว่าตัวเราเองเมื่อเจอปัญหาใด ๆ โทษตัวเองว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นเพราะตัวเราเองที่ทำไม่ดี ทำพลาด

 

ต่อมา การเข้าใจว่าสิ่งที่เราเจอนั้นคนอื่นก็เจอเหมือนกันกับเรา จะทำให้เราเข้าใจได้ว่า เราแต่ละคนต่างก็มีประสบการณ์บางอย่างที่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำผิดพลาด เป็นสิ่งที่เราทุกคนพบเจอ และเป็นเรื่องปกติ เรื่องทุกเรื่องในชีวิตคนคนหนึ่งไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบเสมอไป ความเข้าใจนี้จะทำให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับคนอื่นเพิ่มมากขึ้น มากกว่าที่จะรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกจากคนอื่นเมื่อเจอกับความผิดพลาดในชีวิต

 

และสุดท้าย ารมีสติ เป็นการตระหนักรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่มีความพยายามที่จะเก็บกดความคิดหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้น หรือหมกหมุ่นครุ่นคิดถึงแต่สิ่งที่เกิดขึ้น (Rumination) อย่างไม่จบสิ้น ดังนั้นการมีสติจะทำให้เราตระหนักรู้ในประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ความสุข หรือ ความเจ็บปวด พร้อมกับเข้าใจสิ่งนั้นตามที่มันเป็น

 

 

ทำไมการรักตัวเองหรือการเมตตากรุณาต่อตนเอง จึงเกี่ยวข้องกับ การรักคนอื่น

 

เพราะเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในความรัก การที่เรามีความเมตตากรุณาต่อตนเอง จะทำให้เราดูแลตัวเองและทำความเข้าใจในความรู้สึกของตัวเอง รวมไปถึงเข้าใจว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเราและคู่รักนั้นเป็นเรื่องที่คู่อื่น ๆ ก็มีโอกาสเจอกับปัญหาเดียวกับเรา และเรายังตระหนักรู้ในความคิดและความรู้สึกของเราที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้นว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจปัญหานั้น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

 

จากกระบวนการเหล่านี้เอื้อให้เกิดการดูแล การสร้างความไว้วางใจ และทำให้มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น ในทุกความสัมพันธ์ สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือความคาดหวังที่เรามีต่อคู่รัก “เขาต้องมารับฉันทุกวัน” “เขาต้องมาง้อฉันสิ” คำว่า “เขาต้อง…” คำพูดนี้เป็นการแสดงถึงความคาดหวังที่เรามีต่อบุคคลอื่น แต่การมองเห็นในความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง เข้าใจว่าความเป็นไม่สมบูรณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนก็มีเหมือน ๆ กัน รวมถึงตระหนักรู้ถึงความคิดและความคาดหวังของตัวเอง เป็นกระบวนการที่ช่วยให้เกิดการยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบหรือการไม่เป็นไปตามความคาดหวังของอีกฝ่าย ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความไม่เข้าใจกันระหว่างคู่รักลงไปได้

 

ยิ่งเราเข้าใจตัวเอง ดูแลตัวเอง ยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองมากเท่าใด การทำความเข้าใจ การดูแล และการยอมรับจะถูกขยายไปสู่คู่รักและคนรอบข้างของเราได้มากยิ่งขึ้น

 

 

สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาได้อีกคือ ความยืดหยุ่นทางอารมณ์ (Emotional resilience) นั่นคือ เราสามารถวางอารมณ์ไม่ดี ความเครียด หรือความท้อใจที่กำลังมีอยู่ต่อปัญหาที่เกิดขึ้นลงได้ เพราะเข้าใจว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ความรู้สึกหรือความคิดเท่านั้น และกลับมาหาทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้เรามีการตอบสนองต่อคู่รักที่ดีมากขึ้น เช่น แทนที่จะหนีปัญหา ไม่คุยกัน ใช้การควบคุม หรือใช้การบังคับให้อีกฝ่ายทำตาม แต่จะมีการแสดงถึงการใส่ใจ การดูแลซึ่งกันและกัน หรือการให้อิสระกับคู่รักที่เพิ่มมากขึ้น

 

นอกจากนี้ การที่เราตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยการมีเมตตากรุณาต่อตนเองนั้น อาจกลายเป็นตัวอย่างที่อีกฝ่ายหยิบไปใช้ในรูปแบบเดียวกัน ดังนั้นการตอบสนองกลับไปกลับมาในลักษณะนี้จะยิ่งช่วยให้ไม่เกิดการกล่าวโทษซึ่งกันและกันเพื่อปกป้องตัวเอง ซึ่งทำให้เกิดการขยายปัญหาให้กลายไปเป็นเรื่องใหญ่ และสร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ต่อไปได้

 

 

รายการอ้างอิง

 

Neff, K. D. (2008). Self-compassion: Moving beyond the pitfalls of a separate self-concept. In J. Bauer & H. A. Wayment (Eds.). Transcending self-interest: Psychological explorations of the quiet ego. (p. 95-105). APA Books: Washington, DC.

 

Neff, K. D., & Beretvas, S. N. (2013). The role of self-compassion in romantic relationships. Self and Identity, 12, 78-98. https://doi.org/10.1080/15298868.2011.639548

 

 


 

 

บทความวิชาการ

โดย อาจารย์ ดร.จิรภัทร รวีภัทรกุล

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

สรุปสาระสำคัญจากกิจกรรมเสวนาวิชาการ : จิตวิทยาประยุกต์กับวิถี New Normal

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2563
โดย แขนงวิชาการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์
ดำเนินรายการโดย
คุณรัตนกร รัตนชีวร

  • Cognitive impact of COVID-19

 

อ.ดร. พจ ธรรมพีร ผู้เชี่ยวชาญด้าน Cognitive impact กล่าวว่า Cognitive load คือกระบวนการความคิด เปรียบกับคอมพิวเตอร์ที่ประกอบด้วย Processor, Ram, Storage ดังนั้น สมองของเราก็เหมือนกับ RAM ถ้าเราใช้งานหลาย ๆ ฟังก์ชั่นพร้อมกัน ก็อาจทำให้การทำงานของคอมพิวเตอร์นั้นช้า เช่นกันว่า ถ้าเราทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กัน สมองของเราก็จะเกิด Cognitive load ดังนั้น เราควรมีเวลาให้สมองพักผ่อน ผลเสียของการเกิด cognitive load คือ อาจมีอาการปวดศีรษะ ตึง รวมไปถึงอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น วิธีแก้ไขก็อาจจะพักผ่อน 10-15 นาที ระหว่างการทำงาน

 

สำหรับสถานการณ์ COVID-19 ที่หลาย ๆ บริษัทมีนโยบายให้ work from home เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา บางคนอาจเคยชินกับการทำงานที่โต๊ะทำงาน คุยกับเพื่อนร่วมงานอย่าง face to face แต่เมื่อต้องปรับตัวมาทำงานที่บ้าน หรือในห้องนอน ที่เมื่อก่อนใช้สำหรับการนอนพักผ่อนเพียงอย่างเดียว การคุยกับเพื่อร่วมงานหรือประชุมกับหัวหน้า ก็ต้องใช้ระบบ Video Conference ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ เครียด วิตกกังวล ทำให้ Cognitive load เพิ่มขึ้น นำไปสู่การ burn out ได้ด้วย

 

วิธีหนึ่งที่เราควรทำเพื่อกำจัดความเครียด ความเบื่อหน่ายนี้ คือ การนำสิ่งที่ต้องทำที่มันวนเวียนอยู่ในหัว ออกมาจัดหมวดหมู่ และลำดับความสำคัญ จะทำให้เราหาแนวทางที่จะจัดการสิ่งเหล่านี้ว่า เราควรทำสิ่งใด ก่อนหรือหลัง ไม่ให้มันล้นเกินกว่าที่จะรับมือได้


 

  • จิตวิทยากับการรับมือกับภัยพิบัติและโรคระบาด

 

อ.ดร.จุฑาทิพย์ วิวัฒนาพันธุวงศ์ ผู้มีประสบการณ์เคยไปศึกษาอยู่ที่ญี่ปุ่นทำให้รับรู้ เข้าใจ และต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของญี่ปุ่นอย่างหนึ่งก็คือ การรับมือกับปรากฏการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่มักเกิดที่ญี่ปุ่นมากที่สุด โดยประเทศญี่ปุ่นจะมีการเตรียมการ เช่น การซ้อมหนีภัยแผ่นดินไหวเพื่อให้รู้สึกว่า ประชาชนพร้อมและสามารถอยู่กับมันได้อย่างไม่ต้องหวาดกลัวจนเกินไป

 

“ความรู้สึกปลอดภัย” เป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์อยู่แล้ว แต่เมื่อต้องประสบกับปัญหาที่ควบคุมไม่ได้อย่างภัยพิบัติทางธรรมชาติ เมื่อนำมาประยุกต์กับการประสบกับโรคระบาด COVID-19 สิ่งที่เราเห็นคือ ไม่ใช่ผู้ประสบภัยจะต้องเป็นฝ่ายรอการช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขากลับออกมาช่วยกันให้ผ่านปัญหาไปด้วยกัน

 

ส่วนเรื่อง การช่วยเหลือ” ถ้าพูดถึงคนที่ไม่ประสบภัย หรือประสบภัยมากกว่า มันจะนำมาสู่การช่วยเหลือกัน การช่วยเหลือและการรับการช่วยเหลือ ค่อนข้างเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันในการศึกษาของนักวิจัย ซึ่งพบว่า ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือมากเกินไป ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นผู้ประสบภัยมาก หรือแม้กระทั่งความรู้สึกว่าตนทำอะไรไม่ได้ ช่วยเหลือผู้อื่นไม่ได้ จึงเกิดพฤติกรรม “การให้” มากขึ้น เพราะจะช่วยเยียวยาจิตใจของตนเองว่า ได้ให้ ได้ช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น แต่ในอีกทางหนึ่งก็อยากให้ทุกท่านหันมาสนใจทั้งร่างกายและจิตใจตัวเองด้วย ไม่ให้ burn out จนเกินไป

 


 

  • Telemedicine 

 

อ.ดร.สุภลัคน์ ลวดลาย “การปรับตัว ในแง่ของการคิด การจัดการอารมณ์ และพฤติกรรมต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งปกติแล้วโลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าสถานการณ์ COVID-19 เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันและค่อนข้างรุนแรง เกิดเป็น “ความท้าทาย” ในการดำรงชีวิต หลาย ๆ สิ่ง ต้องเข้าสู่กระบวนการออนไลน์ ทั้งการประชุม การทำงาน และการศึกษา รวมถึงการแพทย์ด้วย เราจะมารู้จักคำว่า “Telemedicine” หรือ “การแพทย์ทางไกล” คือ การรักษา การให้คำปรึกษา การวินิจฉัย ผ่านระบบออนไลน์ โดยที่บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วย ไม่จำเป็นต้องมาพบหน้ากันที่โรงพยาบาล เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อไวรัส ซึ่งจะใช้ได้ในขั้นตอน ติดตามอาการ ติดตามผลการรักษา มักใช้กับการรักษาทางกายภาพ เช่น การฝึกเดิน ฝึกการทรงตัว โดยใช้นวัตกรรมของอุปกรณ์การรักษา เช่น พื้นรองเท้าที่มีเซ็นเซอร์ที่สามารถบอกความสมดุล จุดศูนย์ถ่วงในการเดิน ระยะก้าว เป็นต้น

 

มาถึงตรงนี้ท่านอาจสงสัยว่า แล้วนักจิตวิทยามีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไร คำตอบก็คือ ในการที่ผู้ป่วยต้อง “ปรับตัว” มาใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ แทนการรักษาแบบเดิม ทำให้บุคคลนั้น ๆ มี “ความรู้สึก” อย่างไร ความง่ายในการใช้ วัยที่ใช้อยู่ในวัยใด ก็ต้องวิเคราะห์หน้าจอของเครื่องมือรักษาว่ามีความเหมาะสมกับวัยหรือไม่ ผู้ป่วยมีความพึงพอใจในการใช้เพียงใดและทำให้เขามี “สุขภาวะ” ที่ดีที่ควรจะเป็นหรือไม่ นักจิตวิทยาจะเข้ามาเก็บข้อมูลและช่วยในการรักษาในส่วนนี้

 


 

 

  • ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสังคมในมุมมองทางจิตวิทยา

 

รศ. ดร.อรัญญา ตุ้ยคำภีร์ นับวันศาสตร์ทางจิตวิทยาจะมีความสำคัญมากขึ้น และสามารถประยุกต์เข้ากับศาสตร์อื่น ๆ ได้หลายศาสตร์ ระบบที่ประกอบด้วยคนและสิ่งแวดล้อม เมื่อสิ่งแวดล้อมเอื้อให้กับคน คนก็ต้องดูแลสิ่งแวดล้อมให้อยู่ร่วมกันในระบบได้ด้วยเช่นกัน ทำอย่างไรการใช้ชีวิตจะตอบโจทย์ของตัวมันเอง ยกตัวอย่าง เช่น ปัญหาความอ้วน เป็นปัญหาระดับประเทศและระดับโลก ถ้ามองในระบบที่ประกอบด้วยคนและสิ่งแวดล้อม ก็จะประกอบด้วยกิจกรรมที่ควรทำ อาหารที่ควรกินคืออะไร ต้องกินช่วงไหน พฤติกรรมการออกกำลังกาย อีกอย่างหนึ่งคือ การกำหนด “norm”เพราะ norm ในแต่ละสังคมมีผลอย่างมากต่อความคิดและพฤติกรรมของคนที่จะคล้อยตาม การที่คนหนึ่งจะเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง ควรที่จะแก้ที่ตัวเอง สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สิ่งแวดล้อมที่เราอยู่ ไปจนถึงประเทศที่เราอยู่

 

เมื่อเรามองในคนหลาย ๆ วัย จะมีพฤติกรรมต่างกันเราจึงต้องมีคำถามว่า อะไรที่ลูกหลานจะทำให้ปู่ย่า ตายายชื่นใจ เช่น การบอกรัก การมาเยี่ยมเยียน มันคือความผูกพันกัน นักจิตวิทยาก็จะเก็บข้อมูลนี้มาทำเป็นสื่อออกไปว่า คนในชุมชนรู้หรือไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้สูงวัยมีสุขภาพดี และยืนยาว จิตวิทยาประยุกต์ได้มีโครงการร่วมมือกับ กทม. และชุมชน ซึ่งกำลังจะดำเนินการ ยกตัวอย่าง จิตวิทยากับสุขภาวะคนอยู่คอนโดหรืออาคารสูง ประกอบด้วยปัจจัยพื้นที่ที่จำกัด การที่เคยอยู่บ้านแบบมีพื้นที่กว้าง สนามในบ้าน กับการเปลี่ยนมาอยู่บนห้องที่มีแต่ระเบียง การจัดภูมิทัศน์โดยรอบ ส่งผลต่อ well-being ของคนอย่างไร

 

แม้ว่าศาสตร์ทางจิตวิทยาจะดูเป็นน้องใหม่ในประเทศไทย แต่ก็เข้าไปแทรกซึมอยู่ในทุกระดับ ตั้งแต่นโยบาย สังคม ชุมชน ครอบครัว จนกระทั่งบุคคล สามารถประยุกต์กับศาสตร์อื่น ๆ เกิดเป็นหลายทฤษฎีที่สามารถเข้าไปตอบโจทย์ชีวิตของคนได้มาก

 

ก่อนและเมื่อเกิดสถานการณ์ COVID-19 สังคมต้องการองค์ความรู้ที่ต่างออกไปของการดำรงชีวิตของคน ยกตัวอย่าง การที่เราต้องปรับตัวมาอยู่อาคารสูงหรือคอนโด จากที่เคยอยู่บ้าน มันอาจจะทำให้สุขภาวะของคนเราลดลง เราจะต้องมีการปรับเปลี่ยนอย่างไร กับคนที่สามารถมีความสุขกับการอยู่ในห้องขนาดพื้นที่เท่ากัน แต่มี flexibility ในการจัดสัดส่วนของห้องต่าง ๆ ทำให้สร้างความสุขได้มากขึ้น เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปรับตัว โดยการให้ลูกค้ามีส่วนในการออกแบบห้องในแบบที่ตัวลูกค้าชอบ เป็นการช่วยตอบโจทย์ในเรื่อง “better life”


 

วิทยากร

  1. รศ. ดร.อรัญญา ตุ้ยคำภีร์
  2. อ. ดร.สุภลัคน์ ลวดลาย
  3. อ. ดร.พจ ธรรมพีร
  4. อ. ดร.จุฑาทิพย์  วิวัฒนาพันธุวงศ์