News & Events

จิตวิทยาความรุนแรง : กรณีสามีทำร้ายภรรยา

 

ทุกสังคมมีความคิดตรงกันว่าสตรีและเด็กจัดเป็นบุคคลที่อ่อนแอ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เมื่อถูกทำร้าย ดังนั้นการก่อความรุนแรงต่อสตรีและเด็กจึงเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญคนในสังคมเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้เกี่ยวข้องพยายามค้นหาสาเหตุและวิธีการแก้ไขเพื่อขจัดปัญหาดังกล่าว อย่างไรก็ตามพฤติกรรมดังกล่าวก็ยังคงปรากฏอยู่ในทุกสังคม และนับวันจะยิ่งเพิ่มปริมาณมากขึ้น

 

พฤติกรรมการทำร้ายร่างกายภรรยาของสามี มักจะเริ่มต้นจากการผลักและการตบหน้าภรรยา แล้วเพิ่มความรุนแรงขึ้นไปจนถึงขั้นทุบตี เป็นเหตุให้ภรรยาบาดเจ็บสาหัส บางรายอาจเสียชีวิต และ/หรือดำรงชีวิตต่อไปอย่างหวาดกลัว

 

การศึกษาของ Yllo และ Straus (1981) พบว่าความรุนแรงในลักษณะดังกล่าวมักเกิดขึ้นบ่อยในคู่สามีภรรยาวัยหนุ่มสาว ซึ่งอาจจะแต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือใช้ชีวิตร่วมกันโดยไม่จดทะเบียนสมรสกันก็ได้ มีฐานะยากจน และตกงาน ส่วนงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง (O’ Leary และคณะ, 1989) ได้ระบุว่าการแสดงความรุนแรงต่อกันในระดับต่ำได้เกิดขึ้นมาก่อนแล้วตั้งแต่ทั้งสองฝ่ายเริ่มผูกสมัครรักใคร่กัน กล่าวคือ เพศหญิง 44 % และเพศชาย 31 % รายงานว่ามีการผลักหรือตบหน้าคู่สัมพันธ์มาตั้งแต่ก่อนสมรสแล้ว รวมทั้งเพศหญิง 36 % เพศชาย 27 % รายงานว่ามีการทำร้ายกันและกันในช่วง 18 เดือนแรกของชีวิตสมรส ด้วยเหตุนี้ คู่สมรสบางคู่จึงได้ทำข้อตกลงตั้งแต่เริ่มใช้ชีวิตร่วมกันว่า จะจำกัดความรุนแรงที่อาจแสดงต่อกันในรูปของความก้าวร้าวทางวาจาเท่านั้น

 

พฤติกรรมการทำร้ายร่างกายกันดังกล่าวยังพบได้บ่อยหลังการเสพสุรา หรือยาเสพติด แต่ไม่พบว่ามีความสัมพันธ์กับเชื้อชาติและสถานะทางเศรษฐกิจ

 

 

สามีที่ชอบทำร้ายร่างกายภรรยาจะมีลักษณะบุคลิกภาพแบบใด?


 

งานวิจัยชิ้นหนึ่ง (Bouza, 1990) ได้ระบุว่า สามีที่ทำร้ายภรรยามักเป็นคนโดดเดี่ยวทางสังคม มีการตระหนักถึงคุณค่าของตนเองในระดับต่ำ มีความไม่มั่นคงทางเพศ ขี้อิจฉาริษยารวมทั้งมักจะโยนความผิดให้ฝ่ายภรรยา

 

เมื่อสามีมีลักษณะอันไม่พึงประสงค์ดังกล่าวแล้ว เหตุใดภรรยาจึงไม่ตีจากไปแต่ยังคงอดทนอยู่ด้วย?

 

O’ Leary และคณะ (1989) พบว่าเศษหนึ่งส่วนสี่ของผู้หญิงที่อยู่ในสภาวะดังกล่าว มิได้คิดว่าชีวิตคู่ของตนไร้ความสุข บุคคลดังกล่าวมักไม่ยอมรับความจริงและโทษว่าสิ่งที่ก่อให้เกิดความรุนแรงดังกล่าว คือ เหล้า ความเครียด ความคับข้องใจ หรือไม่ก็แปลความหมายของพฤติกรรมดังกล่าวว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรัก หรือความเป็นชายที่แท้จริง รวมทั้งมีความเชื่ออย่างฝังใจว่าคู่ของตนมิได้มีเจตนาจะทำร้ายตน

 

ส่วนภรรยาที่มีการตระหนักในคุณค่าของตนเองต่ำ จะรู้สึกว่าตนเองสมควรจะถูกทุบตี ภรรยาที่ไม่สามารถพึ่งพิงตนเองทางเศรษฐกิจได้ จะรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถจะไปไหนได้รอดเนื่องจากไม่มีงานทำ จึงต้องกลับมาทนอยู่ในสภาพเดิม และภรรยาบางคนจำต้องทนอยู่ เนื่องจากรู้ว่าหากหนีไป สามีจะติดตามหาอย่างไม่ลดละ หากพบอาจจะทำร้ายร่างกายหนักกว่าที่เป็นอยู่ หรืออาจจะฆ่าภรรยาที่ทรยศได้

 

นอกจากนั้นแล้ว ภรรยาที่ถูกทำร้ายร่างกายยังคิดว่าตนเองไร้ที่พึ่งพิง ด้วยเหตุว่าเมื่อแจ้งความแล้ว ตำรวจมักมองว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว พยายามไกล่เกลี่ยให้เลิกแล้วต่อกัน และแทบจะไม่เคยจับสามีเข้าคุกเลย ซึ่งขัดแย้งกับผลการวิจัยของ Bouza (1990) ที่รายงานว่า สามีที่ทำร้ายภรรยาแล้วถูกจับกุมคุมขัง มีแนวโน้มจะทำร้ายภรรยาน้อยลง

 

ในปัจจุบัน สังคมได้ให้ความสนใจต่อสถานการณ์ดังกล่าวมากขึ้น โดยมีการตั้งบ้านฉุกเฉินสำหรับเด็กและสตรีที่ถูกทำทารุณกรรมขึ้น เพื่อช่วยเหลือให้ที่พักพิงแก่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการทารุณกรรม รวมทั้งให้ความช่วยเหลือในการดำเนินการด้านคดีความ นอกจากนั้นยังได้จัดโปรแกรมพิเศษเพื่อช่วยเหลือสามีที่ชอบทำร้ายภรรยาให้หยุดพฤติกรรมที่เลวร้ายดังกล่าว โดยการจัดให้มีการให้คำปรึกษาเป็นกลุ่ม มีการทำครอบครัวบำบัด (family therapy) ซึ่งจะช่วยแก้ไขพฤติกรรมของบุคคลต่าง ๆ ในครอบครัว อีกทั้งยังช่วยหยุดความรุนแรงในระดับต่ำหรือปานกลางลงก่อนที่จะลุกลามจนเกิดอันตรายขึ้นได้

 

 


 

 

ภาพประกอบจาก : http://www.freepik.com

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย รองศาสตราจารย์ศิรางค์ ทับสายทอง

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

การใฝ่หาความสนใจทำให้เรามีความสร้างสรรค์น้อยลง

 

ในบทความนี้ผู้เขียนจะเล่าถึง TED Talk ของนักแสดงชายชื่อดัง โจเซฟ กอร์ดอน เลวิท เกี่ยวกับเรื่องความรู้สึก 2 ประเภท คือ การให้ความสนใจ (paying attention) และการได้รับความสนใจ (getting attention)

 

ความรู้สึกสองอย่างนี้อาจจะพอจำแนกได้โดยง่าย แต่เพื่อให้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น ผู้เขียนขออธิบายดังนี้

 

การให้ความสนใจ หมายถึงการมีส่วนร่วมกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในปัจจุบัน ในกรณีของโจเซฟ เขาได้อธิบายถึงการทุ่มเทกับการสร้างสรรค์ในงานแสดงและการกำกับภาพยนตร์ ส่วนการได้รับความสนใจ คือความรู้สึกของการได้รับคำชื่นชมจากคนอื่น ๆ หรือการมีชื่อเสียง ในฐานะนักแสดงและผู้กำกับชื่อดัง โจเซฟมีประสบการณ์ตรงอย่างท่วมท้นกับความรู้สึกทั้งสองแบบ ซึ่งเมื่อเขาได้พิจารณาดี ๆ แล้วเขาพบว่ายิ่งให้ความสำคัญกับการได้รับความสนใจมากขึ้นเท่าใด เราก็จะสูญเสียความสุขที่มีต่อการทุ่มเทให้กับงานสร้างสรรค์ของเราไป

 

มุมมองนี้ของโจเซฟได้รับการสนับสนุนด้วยงานวิจัยและแนวคิดเรื่อง “การไหลลื่น” หรือ “Flow” คำนี้บัญญัติขึ้นโดยนักจิตวิทยาชาวฮังการี ชื่อว่า ซิกเซนมิฮาย (Csikszentmihalyi) จากการศึกษาบุคคลชั้นนำกว่า 90 คน ในวงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวงการศิลปะ ธุรกิจ ราชการ และวิทยาศาสตร์ ซิกเซนมีฮาย (1995) พบว่า ผู้ที่มีความสมบูรณ์และสร้างสรรค์มักเกิดความพึงพอใจและผูกพันในงานสูงกว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีความสมดุลระหว่างความท้าทายของงานและความสามารถของบุคคล ดังเช่น นักเรียนกับคณิตศาสตร์ ถ้าโจทย์เลขยากเกินความสามารถของนักเรียน ก็อาจเกิดความวิตกกังวลและขาดความมั่นใจในตนเอง แต่ถ้ามันง่ายเกินไป เขาก็จะเบื่อ ทั้งสองกรณีไม่อาจสร้างความพึงพอใจและความผูกพันของนักเรียนต่อคณิตศาสตร์ได้เลย

 

ซิกเซนมิฮายอธิบายว่า เมื่อความสมดุลบังเกิด เราก็จะทำสิ่งนั้นด้วยความเพลิดเพลิน จนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนติดปีก เขาเสนอว่า “ความลื่นไหล” คือสิ่งสำคัญที่มอบความสุขและการเติมเต็มให้กับเรา ช่วงเวลาที่ดีที่สุดไม่ใช่การได้อยู่เฉย ๆ หรือผ่อนคลาย แต่เป็นการที่ร่างกายและจิตใจของเราได้ขยายออกไปอย่างถึงที่สุดในการลงมือทำสิ่งที่ยากและคุ้มค่าให้สำเร็จ

 

กลับมาที่เวที TED Talk ของโจเซฟ ความเข้าใจเรื่อง “การลื่นไหล” การเติมเต็มชีวิตและความสุขที่ได้จากสภาวะนี้ คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ด้วยอิทธิพลของโซเชียลมีเดีย ไม่ง่ายเลยที่วัยรุ่นจะสามารถลำดับความสำคัญของ การได้รับความสนใจ ว่าคือปลายทาง ส่วนการทุ่มเทตนเองในงานสร้างสรรค์ ว่าคือสิ่งที่จะพาไปสู่เป้าหมายนั้น

 

ตัวอย่างเช่น มีนักเต้น 2 คน คนหนึ่งมีแรงจูงใจจากการได้รับความสนใจ เธอมีความสุขจากการโพสต์คลิปการฝึกซ้อมและมียอดเข้าชมราว ๆ 500 ครั้ง แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าวันหนึ่งมียอดเข้าชมเพียง 150 ครั้ง เราสามารถเดาได้ว่านักเต้นคนที่หนึ่งจะรู้สึกท้อและเสียใจที่คนสนใจเขาน้อยลง ส่วนนักเต้นคนที่สอง แรงจูงใจของเธอมาจากความทุ่มเทในการเต้น มีความสุขระหว่างการฝึกซ้อม นักเต้นทั้งสองคนนี้จะเป็นอย่างไรหากต้องซ้อมหนักขึ้นและนานขึ้น นักเต้นคนไหนจะสร้างเส้นทางอาชีพจากความสร้างสรรค์นี้ได้มากกว่า คำตอบนี้อาจจะไม่สามารถฟันธงได้ แต่เราก็คงจะพอเห็นภาพได้ว่านักเต้นคนใดที่จะได้รับการเติมเต็มและมีความสุขมากกว่าหลังผ่านการฝึกซ้อมเป็นเวลานาน

 

ทำไมถึงแรงจูงใจจากภายนอกเช่นความโด่งดังนั้นไม่ยังยืน ประเด็นนี้โจเซฟมองว่า การได้รับความสนใจคือการเสพติดอย่างหนึ่ง “ครั้งหนึ่งตอนที่ผมมีผู้ติดตามถึงหนึ่งล้านคน ผมเคยรู้สึกว่ามันมหัศจรรย์มาก ตอนนี้ผมมีผู้ติดตาม 4.2 ล้านคนแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมพอใจแล้ว …มันไม่เคยพอ” ตัวเลขนี้ดูจะห่างไกลจากวัยรุ่นทั่วไปมากๆ เราอาจจะสรุปเร็วเกินไปว่าแรงจูงใจจากภายนอกนั้นไม่ยั่งยืน แต่ที่แน่ ๆ แรงจูงใจจากภายในเช่นความพึงพอใจที่ได้รับจากการทุ่มเทในงานสร้างสรรค์นั้นย่อมเป็นเป้าหมายที่จะนำไปสู่ความสุขในชีวิตมากกว่าการแสวงหาความโด่งดัง

 

 

 

รายการอ้างอิง

 

Csikszentmihalyi, M. (2013). Flow: the Psychology of Happiness. London: Ebury Digital.

 

 

 


 

บทความวิชาการ

โดย อาจารย์ภูมิ โชติกะวรรณ

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ
Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

ผู้ปกครองแบบไหนที่เราอยากเป็น

 

เรื่องหนึ่งที่ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนสงสัยและเป็นกังวล คือเรื่องที่ตัวเราจะส่งผลกระทบต่อคนรุ่นต่อไปอย่างไร ทุกวันนี้ ผู้ปกครองหลายคนคงเริ่มสังเกตว่า ตนและบุตรหลานของตนขาดความเชื่อมโยงถึงกัน ซึ่งในประเด็นนี้ ผู้เขียนได้พบกับมุมมองที่น่าสนใจของนักจิตวิทยาพัฒนาการท่านหนึ่ง ชื่อว่า ริชาร์ด ไวส์บอร์ด ผู้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ของความสำเร็จ ความสุข และจริยธรรม และอยากจะยกมานำเสนอให้กับผู้อ่านได้ขบคิดในเรื่องพัฒนาการด้านสังคมและจริยธรรมดังต่อไปนี้

 

หากเราทำการสำรวจผู้ปกครองชาวไทยด้วยคำถามที่ว่า “อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราจะปลูกฝังให้กับลูกหลานของเรา” ผู้เขียนเองคาดว่าคำตอบยอดนิยมคงหนีไม่พ้นเรื่อง ความสำเร็จ ความสุข และการเป็นคนดี และถ้าให้เรียงลำดับของสิ่งเหล่านี้ ผู้เขียนเชื่อว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่น่าจะเลือกให้ “การเป็นคนดี” คือสิ่งสำคัญที่สุด รองลงมาคือ ความสุข และการประสบความสำเร็จ

 

ริชาร์ดและคณะได้ถามคำถามเช่นนี้กับผู้ปกครองชาวอเมริกัน ในการสำรวจระดับชาติเมื่อปี 2557 และนอกจากถามไปยังผู้ปกครองแล้ว ในการสำรวจนี้ยังถามความคิดเห็นของเด็กวัยรุ่นด้วย สิ่งที่น่าสนใจคือ ผลการสำรวจพบว่า เด็กวัยรุ่นเชื่อว่า ผู้ปกครองของเขานั้นให้คุณค่ากับการประสบความสำเร็จมากกว่าการเป็นคนดี และหนึ่งในคำถามของแบบสำรวจที่ว่า “ผู้ปกครองจะภูมิใจในตัวฉันมากกว่า หากฉันมีผลการเรียนที่ดี เมื่อเทียบกับการที่ฉันเป็นคนดีของสังคม” เด็กวัยรุ่นเห็นด้วยกับข้อความนี้ถึง 3 ใน 4

 

ผู้เขียนเชื่อว่าหากมีการสำรวจเช่นนี้ในประเทศไทย ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับสิ่งที่วัยรุ่นรับรู้ ก็น่าจะเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกัน แล้วอะไรคือที่มาของความสับสนนี้

 

สิ่งหนึ่งที่พอจะอธิบายได้ก็คือ การสื่อสารแบบอวัจนภาษาของผู้ใหญ่ที่มีต่อวัยรุ่น

 

ในฐานะครู ผู้เขียนเชื่อว่ามีสิ่งที่สำคัญควบคู่ไปกับการสอนเนื้อหาวิชา ครูทุกคนต่างมีอุดมการณ์และค่านิยมเดียวกันในการปลูกฝังสิ่งที่ดีให้กับผู้เรียน เช่น การคิดอย่างมีวิจารณญาณ ความใฝ่รู้ และความคิดสร้างสรรค์ อันเป็นคุณลักษณะสำคัญที่เราล้วนต้องการมอบให้แก่ผู้เรียน แต่ในเวลาเดียวกัน ครูและผู้ปกครองต่างตระหนักถึงความจำเป็นของการประเมินผล ความสำเร็จ และผลการเรียนที่ดี เราต่างเข้าใจว่า “เกรด” คือสิ่งสำคัญที่มีผลอย่างยิ่งต่อเส้นทางการศึกษาและอาชีพของเด็ก แต่ ถ้าเราไม่ระวังเราอาจปลูกฝังความเชื่อว่าเกรดนั้นสำคัญกว่าค่านิยมและคุณลักษณะอื่น ๆ ที่เราผู้ปกครองและครูต้องการให้เขาเป็น

 

ผู้เขียนเคยตอบคำถามกับนิสิตในชั้นเรียน พร้อมเอ่ยคำพูด อย่างเช่น “ไม่ต้องกังวลหรอก หัวข้อนี้มันไม่ออกสอบ” ผู้เขียนมีเจตนาที่จะแสดงความเข้าใจในตัวนักเรียน ว่าเขามีเนื้อหาวิชาที่ต้องจดจำไปสอบอย่างมากมาย และผู้เขียนอยากจะช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ได้ครบถ้วนในเวลาที่จำกัด แต่ก็เป็นไปได้ว่า ผู้เรียนจะตีความคำพูดนั้นไปว่า “ถ้าสิ่งนั้นไม่ออกสอบ ก็ไม่จำเป็นต้องอยากรู้” หรือ “ถ้าไม่ส่งผลต่อเกรด ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ” จะเห็นได้ว่า ง่ายเพียงใดที่การตอบสนองโดยไม่รู้ตัวของเราจะส่งผลกระทบทางลบได้ โดยเฉพาะถ้ามันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

ตามงานวิจัยของริชาร์ดและคณะ เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นกับผู้ปกครองเช่นกัน หากผู้ปกครองกดดันอย่างต่อเนื่องเรื่องการเรียน แต่นาน ๆ ครั้งจะพูดถึงความสำคัญของการเป็นคนดี ก็คงไม่น่าแปลกใจที่เด็กจะรู้สึกว่าความสำเร็จของตัวเองนั้นสำคัญที่สุด และไม่แปลกเลยที่เด็กจะรู้สึกว่าผู้ปกครองให้ความสำคัญเรื่องผลการเรียนของเขามากกว่าการเป็นคนดีหรือการมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

 

บทความนี้มิได้มีวัตถุประสงค์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์สิ่งใด เพียงแต่ต้องการให้ผู้ปกครองได้ตระหนักว่า การแสดงออกของเรานั้นมีผลสำคัญเพียงใดสำหรับเด็ก ๆ รุ่นต่อไป

 

 


 

 

บทความวิชาการ

โดย อาจารย์ภูมิ โชติกะวรรณ

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ
Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

เป็นเจ้านาย (มือใหม่) อย่างไรให้ลูกน้องรัก

 

ท่านผู้อ่านที่เพิ่งจะได้รับตำแหน่ง บางท่านอาจจะรู้สึกไม่แน่ใจในการเป็นหัวหน้า เพราะไม่รู้ว่าเราต้องวางตัวอย่างไร ต้องทำอะไรมากหรือน้อยแค่ไหน หรือต้องรับมือกับความคาดหวังของคนรอบข้างอย่างไร ดังนั้นการเป็นเจ้านายมือใหม่จึงเป็นเรื่องที่อาจจะทำให้เราเกิดความรู้สึกวิตกกังวลและนำไปสู่ความเครียดได้ในที่สุด

 

การเป็นหัวหน้าในสมัยก่อนนั้น มักจะต้องมาควบคู่กับอำนาจบารมี รวมไปถึงการใช้พระเดชและพระคุณ แต่ในสมัยนี้จะมีความแตกต่างกันไป เพราะคนที่จะเป็นหัวหน้านั้นจะต้องมีความรู้ในเรื่องที่รับผิดชอบ มีคุณธรรมหรือจรรยาบรรณวิชาชีพ ปฏิบัติงานอย่างโปร่งใส มีความเป็นผู้นำในเรื่องต่าง ๆ รวมไปถึงการมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลในการทำงาน เนื่องจากในปัจจุบันโลกของเราอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าเป็นสังคมแห่งข้อมูลข่าวสาร ในการทำงานด้านต่าง ๆ จึงมีการแข่งขันกันสูงมาก หากหัวหน้าหรือที่เรียกว่าเจ้านายขาดทักษะต่าง ๆ ที่กล่าวมา ย่อมจะทำให้ไม่สามารถทำงานได้สำเร็จ และในที่สุดก็จะไม่ได้รับการยอมรับนับถือจากลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงาน และท้ายที่สุดก็อาจจะต้องถูกออกจากงานได้

 

นอกจากที่กล่าวมาแล้ว สิ่งที่สำคัญมากอีกเรื่องเรื่องสำหรับเจ้านายมือใหม่ก็คือ การทำงานเป็นทีม รวมไปถึงการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดขึ้นสำหรับคนในหน่วยงาน โดยเริ่มต้นจากการมองเห็นความสำคัญของทุกคนที่อยู่ในหน่วยงานให้ได้ แม้ว่าในเบื้องต้นอาจจะมองว่าลูกน้องแต่ละคนมีปัญหาที่จะก่อให้เกิดความยุ่งยากในการบริหารบ้างก็ตาม แต่เมื่อเราก้าวเข้ามาในฐานะหัวหน้าคนใหม่แล้ว ย่อมจะทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ดีมากขึ้นได้ เราต้องมั่นใจในตัวของเราว่ามีความสามารถที่จะทำได้ แต่ถ้าพิจารณาแล้วว่าเราขาดทักษะอันใด เราก็ควรจะหาเวลาไปพัฒนาทักษะนั้นให้เกิดขึ้นในตัวเรา เพื่อที่จะใช้ในการทำงานในองค์กรต่อไป

 

ในบางครั้งเราอาจจะมองคนในหน่วยงานของเราในบางมุมเฉพาะที่เขาหันให้เราดู แต่ถ้าเราเป็นเจ้านายของเขา เราจำเป็นจะต้องรู้จักเขาในทุกแง่ทุกมุม เข้าใจจุดเด่น จุดด้อย และสิ่งพิเศษในตัวของเขา เพื่อที่จะเลือกมาใช้ในงานได้อย่างเหมาะสม เปรียบเหมือนผักตบชวาที่ลอยเป็นขยะอยู่ในแม่น้ำ แต่หากเรานำขึ้นมาจากน้ำแล้วตากแห้ง รูดให้เป็นเส้นใย เราย่อมสามารถใช้สานเป็นเครื่องใช้ที่มีราคาได้เช่นนั้น

 

สิ่งสำคัญต่อไปในการเป็นเจ้านายมือใหม่ที่มีประสิทธิภาพคือ การสร้างศรัทธาและความไว้วางใจให้กับลูกน้อง การสร้างศรัทธาสามารถทำได้โดยการวางตนเองอย่างเหมาะสม มีความน่าเชื่อถือ มีอุดมการณ์เพื่อองค์กร ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและถือปฏิบัติอย่างนั้นจริง ๆ ไม่ใช่พูดอย่างเดียวแต่ไม่เคยแสดงให้คนอื่นเห็นจุดยืนนี้ของตน ในช่วงแรกลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานอาจจะยังไม่รับทราบว่าเราเป็นอย่างนั้น แต่ก็อย่าเพิ่งเสียกำลังใจไปนะครับ เพราะการสร้างศรัทธาให้คนอื่นนับถือในตัวเรา ต้องใช้เวลาและผลงานที่เกิดขึ้นเป็นตัวตัดสิน

 

สำหรับการสร้างไว้วางใจก็เช่นกัน เราสามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ โดยการมีสติระวังตน ทั้งกาย วาจา ใจ อย่างดี เราไม่ควรพูดอะไรโดยไม่คิด และควรคิดในทุกคำก่อนที่เราจะพูดออกไป เพราะคำพูดของคนที่เป็นหัวหน้าย่อมจะมีน้ำหนักมากกว่าคำพูดของคนทั่วไป เมื่อใดก็ตามที่เราพูดออกไป เราต้องคิดเสมอว่า คำพูดของเรานั้นจะต้องมั่นคงมากกว่าพันธะสัญญาใด ๆ ที่เขียนไว้ดีที่สุดแล้ว และเราจะรับผิดชอบในทุกสิ่งที่ออกจากปากของเรา เมื่อเราทำได้ดังนี้ เราอาจจะกลายเป็นคนที่พูดน้อย แต่คำพูดของเราจะกลายเป็นคำพูดที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะสิ่งที่เราพูดนั้นเป็นเรื่องจริงเสมอ

นอกจากนั้นในการพูดหรือการแจ้งข้อมูลข่าวสารใด ๆ ก็ตาม เราจะต้องเข้าใจว่า ในบางคนเขาควรจะได้ทราบข้อมูลนั้น แต่ในขณะเดียวกันบางคนก็ยังไม่ควรทราบในเวลานั้น เพราะอาจจะทำให้เกิดความเสียหายในการบริหารได้ และบางเรื่องถ้าคิดแล้วว่าพูดไปไม่ได้ประโยชน์ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้ เพราะคำพูดที่มากเกินไปย่อมจะทำให้ถ้อยคำนั้นไร้คุณค่า

 

การเป็นเจ้านายที่ดีนั้น จำเป็นต้องคิดอยู่เสมอว่าทุกคนที่อยู่ในองค์กรนั้น ยิ่งอยู่นานยิ่งมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น จากประสบการณ์การทำงานและความรู้ที่สะสม ดังนั้นหากเราปล่อยให้คนที่มีคุณค่าเหล่านี้ ทำงานเหมือนกับตอนที่รับเขาเข้ามาทำงานใหม่ๆ ย่อมจะเป็นการใช้ทรัพยากรที่ไม่คุ้มค่า เราต้องหางานที่ท้าทายและเหมาะสมกับความสามารถของคนที่เรามีอยู่ รวมไปถึงการสร้างหนทางในการประสบความสำเร็จในวิชาชีพหรือตำแหน่งหน้าที่ของเขาเหล่านั้น มีการวางแผนในการพัฒนาความก้าวหน้าในสายงานของเขาร่วมกัน โดยการคัดเลือกเขาไปอบรมพัฒนาทักษะความรู้ต่าง ๆ ที่จำเป็นในตำแหน่งที่เขารับผิดชอบ เพื่อให้เขาเห็นโอกาสของความก้าวหน้า เห็นอนาคต ทำให้เขาก็เกิดความมั่นใจ และพร้อมที่จะก้าวหน้าไปกับองค์กร

 

โดยปกติแล้วเวลาที่เราส่งลูกน้องไปฝึกอบรมตามแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เรามักจะปล่อยเขาไปตามบุญตามกรรมเสียเป็นส่วนใหญ่ คือ หัวหน้าไม่เคยรู้ว่า เขาไปอบรมอะไรมา แล้วจะนำมาใช้ในการทำงานได้หรือไม่ ไม่มีการสร้างบรรยากาศในการให้คุณค่าและความสำคัญสำหรับคนที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปอบรม ไม่มีการสร้างบรรยากาศของการสอนงานซึ่งกันและกัน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้องค์กรของเราย่ำอยู่กับที่ ทั้งที่เรามีทรัพยากรที่ดีและพร้อมที่จะผลักดันองค์ให้อยู่ในแนวหน้า น่าเสียดายนะครับ

 

ดังนั้นตัวหัวหน้าเองต้องเป็นผู้นำในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีนี้ให้เกิดขึ้นในองค์กรของเราให้ได้ เมื่อใดก็ตามที่มีการเชิญวิทยากรมาให้ความรู้ในหน่วยงานของเรา หัวหน้าควรต้องจัดเวลาในการมาฟังบรรยายร่วมกับลูกน้องบ้าง ไม่ควรปิดตัวเอง หรือคิดว่าเรื่องนี้เรารู้อยู่แล้ว การที่มีหัวหน้าเข้าไปนั่งฟังด้วยนี้ จะทำให้ลูกน้องเกิดความรู้สึกที่ดีว่า หัวหน้ามีความตั้งใจในการพัฒนาองค์กรจริง ๆ เอาใจใส่ลูกน้อง และที่สำคัญคือ หัวหน้าจะได้ทราบว่าลูกน้องได้เรียนรู้อะไรมา เพื่อที่จะได้ใช้เขาได้อย่างเต็มศักยภาพที่เขามี ไม่เช่นนั้นแล้วหัวหน้าอาจจะกลายเป็นคนที่เด๋อด๋า ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และลูกน้องอาจจะดูถูกเอาได้ครับ คนที่เป็นหัวหน้าควรจะต้องเป็นทั้งหัวและเป็นทั้งหน้า คือมีความคิดสติปัญญา ความรู้ในเรื่องต่างๆ อย่างเพียงพอเสมือนกับเป็นหัว และเป็นตัวแทนที่ดีขององค์กรได้เสมือนกับหน้า ไม่ยากเลยนะครับถ้าเรามีความเต็มใจที่จะพัฒนาทั้งตนเองและองค์กรที่เรารัก

 

ในการทำงานในองค์กรนั้น สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นเสมอคือ ความขัดแย้ง ซึ่งอาจจะเป็นความขัดแย้งของคนสองคน หรือกลุ่มสองกลุ่ม หรือมากกว่านั้น เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น สิ่งที่เจ้านายมือใหม่มักจะคิดก็คือ ทำไมสิ่งนี้ต้องเกิดในสมัยของเราด้วย หากเราคิดอย่างนี้ยิ่งจะทำให้เรามีความรู้สึกที่แย่ลง ดังนั้นเราควรคิดใหม่อีกครั้งหนึ่งว่า ความขัดแย้งก็เหมือนถ่านไฟที่ลุกโชน มีทั้งคุณและมีทั้งโทษ ขึ้นอยู่ที่เราจะวางมันลงไป ถ้าเราวางถ่านไฟนี้ในเตา ก็ย่อมจะใช้ประโยชน์ในการหุงต้มอาหารได้ แต่ถ้าวางไว้ในตู้เสื้อผ้า ทุกอย่างคงวอดวาย

 

เจ้านายที่ฉลาดย่อมสามารถใช้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในทางสร้างสรรค์ได้ เพราะความขัดแย้งในระดับที่เหมาะสมนั้นย่อมจะทำให้องค์กรมีชีวิตชีวา มีการทำงานที่รอบคอบมากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดมุมมองใหม่ที่เราไม่เคยคิดมาก่อน และถ้าเราไม่ทำให้ความขัดแย้งนั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่พูดให้ทุกคนรู้สึกว่าความคิดที่แตกต่างของแต่ละคนนั้นมีคุณค่า ไม่ทำให้ใครต้องตกอยู่ในภาวะสุนัขจนตรอกหรือแพะรับบาป และหัวหน้าสามารถชักจูงให้ทุกคนในทีมเกิดการยอมรับและหาข้อยุติในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ องค์กรนั้นย่อมจะสามารถไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ

 

ความคิดที่ต่างกันนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากแต่ละคนอาจจะใช้วิธีการคิดที่ต่างกัน หรือมีข้อมูลที่ไม่ตรงกัน จึงส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่ต่างกัน นอกจากนั้นถ้าในองค์กรมีคนที่มีบุคลิกที่ต่างกันสุดขั้วก็ยิ่งจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นได้ง่ายยิ่งขึ้น คนที่เป็นหัวหน้าจึงต้องศึกษาเกี่ยวกับการวางระบบ การจัดทีมในการทำงานของแต่ละคนอย่างเหมาะสม เอาคนที่มีแนวโน้มจะไม่ถูกกันอยู่ห่าง ๆ กัน เอาคนที่ชอบกันให้ทำงานร่วมกัน เหมือนกับที่บ้านเราอาจจะน้ำมันที่ไวไฟ แต่ถ้าเราปิดขวดให้แน่นแล้วเก็บไว้ห่างจากเปลวไฟย่อมจะปลอดภัยแน่นอน

 

ทักษะสำคัญของการเป็นเจ้านายมือใหม่ที่ดีนั้น คือจะต้องเป็นคนช่างสังเกต เก็บข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานและคนในทีมให้มาก ต้องทำความเข้าใจในความเหมือนและความต่าง ต้องสามารถจัดวางคนและงานได้อย่างเหมาะสม และวางตนให้อยู่ตรงกลางให้ได้ มีความหนักแน่นและไม่มีอคติกับคนในหน่วยงาน ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

 

นอกจากนี้ เมื่อหน่วยงานของเราเริ่มมีการทำงาน สิ่งสำคัญที่เราจะขาดไม่ได้ก็คือ การติดตามงาน ในบางครั้งเมื่อเราเพิ่งได้เป็นเจ้านายมือใหม่ เราอาจจะเข้าใจว่าเมื่อเราสั่งงานใครไปแล้วงานนั้นย่อมจะได้เหมือนกับที่เราสั่ง แต่ในความเป็นจริงมันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้ เนื่องจากความบกพร่องในการติดต่อสื่อสาร อาจเป็นเพราะความไม่เข้าใจ หรือมีประสบการณ์ต่างกัน เลยทำให้เข้าใจกันไปคนละอย่าง ดังนั้นเมื่อเราจะสั่งงานใครก็ตาม เราควรจะมีการตรวจสอบความเข้าใจให้ตรงกันเสมอ และจะต้องแบ่งเวลาไว้ใช้ในการติดตามงานด้วย เพื่อให้งานนั้นออกมาอย่างสมบูรณ์และทันเวลา

 

หลักของการสั่งงานที่น่าสนใจสำหรับเจ้านายมือใหม่ที่จะเสนอให้ผู้อ่านได้ทดลองใช้มีดังนี้ครับ ก่อนที่จะสั่งงานใครก็ตามควรมีสติและมีขั้นตอนในการสั่งงาน ขั้นแรกเรียกว่าขั้นยิ้มรักทักทาย คือจะต้องยิ้มให้เขาและสังเกตว่าเขาอยู่ในสภาพที่พร้อมในการรับฟังเราหรือไม่ ถ้าเรายิ้มแล้วเขาไม่ยิ้มตอบ หรือแสดงให้เรารับรู้ว่าเขากำลังยุ่ง ก็อย่าได้เสียเวลาสั่งงานเขาในตอนนั้น เพราะสั่งไปเขาก็ไม่รับรู้ เช่น หัวหน้าบางคนเจอลูกน้องที่ในลิฟต์ อย่างไรเสียเขาก็หนีเราไปไหนไม่ได้ ก็เลยมอบหมายงานให้เสียเลย ซึ่งในเวลานั้นลูกน้องอาจจะกำลังคิดเรื่องอะไรค้างอยู่หรืออาจจะรีบไปทำธุระส่วนตัวที่สำคัญ เขาจึงไม่สามารถที่จะจำในสิ่งที่เรามอบหมายให้ได้ หากเราทักเขาแล้วเขายิ้มตอบ เราก็ใช้ขั้นที่สองต่อไปโดยการถามเขาว่า เขาพอมีเวลาในการรับฟังเราสักห้านาทีไหม หากเขาไม่ว่างก็ถามต่อไปว่า หากเป็นในวันนี้ พอจะมีเวลาช่วงไหนที่เราจะสามารถเข้าไปคุยได้บ้างเพื่อให้งานสามารถจะดำเนินการต่อไปได้ หากเขาพร้อมจะรับฟังแล้ว เราก็นำเข้าสู่ขั้นที่สาม คือ บอกรายละเอียดต่างๆ ของงาน เพื่อให้เขาเข้าใจ ต่อจากนั้นจึงเป็นขั้นที่สี่ซึ่งสำคัญที่สุดคือ ขั้นตรวจสอบความเข้าใจโดยใช้ความเป็นกัลยาณมิตร โดยถามเขาว่า พอจะทบทวนให้เราฟังได้ไหมว่ามีงานอะไรที่เราสั่งไปบ้าง เนื่องจากเราอยากจะตรวจสอบตัวเองว่าเราพลาดตรงไหนไปบ้างหรือไม่ คำพูดแบบนี้ในทางจิตวิทยาเรียกว่าการพูดแบบ I message จะทำให้ผู้ฟังสบายใจที่จะตอบ เพราะไม่รู้สึกว่าถูกจับผิด สุดท้ายคือขั้นที่ห้าซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายคือ ขั้นสรุปวันเวลาที่งานเสร็จเพื่อที่เราจะสามารถมารับงานได้

 

การเป็นเจ้านายมือใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่เราจะต้องรู้จักคิด รู้จักพูดและรู้จักที่จะหยุดพูด คำพูดและการกระทำของหัวหน้าจะเป็นตัวสร้างความศรัทธาและความไว้วางใจให้กับลูกน้องทุกคน

 

 


 

 

ภาพประกอบจาก https://cdn.pixabay.com/

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชูพงศ์ ปัญจมะวัต

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

ผลดีรอบด้านของการสนับสนุนอารมณ์ให้กับเด็กๆ

 

การสนับสนุนทางอารมณ์ให้กับเด็ก ๆ คือการช่วยสนับสนุนให้เด็กรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง รวมถึงการบอกวิธีในการรับมือกับอารมณ์ต่าง ๆ ดังที่กล่าวไว้ในบทความ “การสนับสนุนทางอารมณ์ให้เด็ก ๆ”

 

ไม่เพียงแค่ในสถานการณ์ที่คุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้เลี้ยงดูอยากให้เด็กๆ มีอารมณ์ที่รุนแรงน้อยลงเพื่อที่จะฟังเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ควรตอบสนองต่ออารมณ์ในแบบนั้นเท่านั้น การสนับสนุนทางอารมณ์ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากหากเราหมั่นสนับสนุนทางอารมณ์ให้กับเด็ก ๆ อย่างสม่ำเสมอ

 

ข้อดีประการแรกคือ เด็กจะเข้าใจอารมณ์ที่เกิดขึ้นของตัวเองได้ไวกว่าเด็กที่ไม่เคยได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์ แม้ว่าอารมณ์มีหลากหลายแบบอย่าง โกรธ ดีใจ เสียใจ อิจฉา พึงพอใจ และอื่นๆ อีกมาก ทำให้บางครั้งเด็กอาจจะไม่รู้จักว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเรียกว่าอะไร แต่อย่างน้อยที่สุดการที่เด็กรู้ตัวว่ากำลังอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสียก็มีประโยชน์กับตัวเด็กแล้วในการเข้าใจอารมณ์ของตนเอง ส่วนการแยกแยะนั้น อาจเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ที่จะสนับสนุนด้วยการตั้งคำถาม หรือแม้แต่การสอนให้รู้ว่าอารมณ์นั้นคืออะไรด้วยการบอก และเมื่อเด็กเข้าใจว่าอารมณ์ของตัวเองกำลังเป็นอย่างไรได้ไว แทนที่จะเด็กจะมีพฤติกรรมตอบสนองต่ออารมณ์โดยอัตโนมัติในแบบที่ไม่สมควร เช่น โมโห ก็ร้องไห้ โวยวาย ตีคนที่ตัวเองไม่พอใจ การที่มีผู้ใหญ่คอยสนับสนุนด้วยการบอกว่าหากมีอารมณ์แบบไหน ต้องทำอย่างไร เมื่อเด็กรู้แล้วว่าตนเองมีอารมณ์อะไรอยู่ เด็กจะได้นำทางเลือก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เหมาะสมกว่ามาตอบสนองแทน เช่น โกรธก็บอกกับอีกฝ่ายดีๆ ว่ากำลังโกรธ ไม่พอใจ หรือนับเลขเพื่อให้อารมณ์ของตนเองเย็นลง

 

การที่เด็กตอบสนองอย่างเหมาะสมทำให้เกิดข้อดีต่อมาคือ เด็กจะสร้างความสัมพันธ์ในสังคมได้ดีกว่า เข้าหาเพื่อนได้ง่ายกว่า เพราะการตอบสนองที่เหมาะสมทำให้บุคคลรอบตัวมีแนวโน้มที่จะพอใจกว่า และชื่นชอบเด็กคนนั้นมากกว่า เช่น ถ้าเด็กเห็นของเล่นของเพื่อน แล้วอิจฉา อยากเข้าไปเล่นมาก ๆ อยากได้เป็นของตัวเอง หากเด็กไม่รู้เท่าทันและมีพฤติกรรมตอบสนองไปทันที เช่น เข้าไปแย่งของเล่นของเด็กคนอื่นทันที หรือร้องไห้ว่าต้องการบ้าง เด็กๆ และบุคคลรอบตัวก็อาจจะรู้สึกไม่ดี แต่ถ้าเด็กรู้เท่าทันว่าตนเองกำลังมีอารมณ์อย่างไร รู้ว่าตนเองอิจฉา อยากได้ของเล่น และถ้าอยากได้อาจจะไปขอเพื่อนเล่นดี ๆ ถ้าเพื่อนไม่ให้ เด็กอาจจะโกรธ แต่เมื่อเด็กเท่าทัน เด็กก็จะไม่ตอบสนองด้วยการงอแงหรือก้าวร้าว แต่อาจจะเป็นการไปบอกคุณครูหรือพ่อแม่ว่าอยากมีของเล่นแบบนั้นบ้าง หรือไปชวนเพื่อนคนอื่นเล่นอย่างอื่นแทน สิ่งเหล่านี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับสังคมนั้นราบรื่นกว่า

 

ข้อดีประการถัดไป การที่เด็กที่เข้าใจอารมณ์ของตนเองนั้น จะเป็นพื้นฐานในการเข้าใจผู้อื่นที่อยู่ในสภาวะอารมณ์ต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน รวมถึงการมีความเห็นอกเห็นใจ และมีความร่วมรู้สึกกับคนนั้น ๆ เพราะตนเองก็เคยประสบอารมณ์ดังกล่าวมาแล้ว และรู้ว่าเป็นอย่างไร สุขหรือทุกข์ใจอย่างไร เช่น เด็กเห็นเด็กคนอื่นร้องไห้ เด็กก็จะเห็นอกเห็นใจ หรือร่วมรู้สึกว่าเด็กคนนั้นคงกำลังเสียใจ และรู้สึกไม่ดี เพราะตอนตัวเองร้องไห้ ตนเองก็รู้สึกแบบนั้น

 

เมื่อเด็กเข้าใจอารมณ์ของบุคคลอื่น เด็กอาจจะตอบสนองกับบุคคลที่อยู่ในอารมณ์ต่างๆ ได้ดีกว่า เช่น ถ้ารู้ว่าเพื่อนโกรธ พอเด็กเข้าใจอารมณ์เพื่อน เด็กอาจจะหยุดหยอกแกล้ง หรืออาจจะพยายามเอาใจ และนี่ยิ่งเป็นการทำให้เด็กสานความสัมพันธ์ รวมถึงรักษาความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ รอบตัวได้ดีกว่า

 

ข้อดีประการสุดท้ายคือข้อดีต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว จากการสอนลูก ๆ และเด็ก ๆ ให้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง ตัวคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้เลี้ยงที่เป็นคนสอนเองก็อาจจะได้ฉุกคิดเช่นกัน เวลาที่ตนเองมีอารมณ์ที่เข้มข้นรุนแรง เช่น ตอนโกรธมาก ๆ ให้รู้และเท่าทันตนเองว่าไม่ควรจะไปพูดกระแทกเสียงใส่คนอื่นๆ ในบ้าน เพราะว่าเคยสอนลูกแบบนั้น ก็ควรจะทำตามให้สอดคล้องเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก ๆ

 

นอกจากนี้ในขั้นตอนของการสนับสนุนทางอารมณ์ เด็กจะตระหนักว่าพ่อแม่เข้าใจว่าตนเองมีอารมณ์อย่างไร ทำให้เด็กรู้สึกว่าพ่อแม่ยอมรับตนไม่ว่าตนจะมีอารมณ์อย่างไรก็แล้วแต่ ในอนาคตเมื่อเด็กโตขึ้นเป็นวัยรุ่น เด็กที่ได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์มักจะเข้าหาพ่อแม่ เพื่อปรึกษาปัญหาต่าง ๆ ของชีวิต แตกต่างจากวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่มักจะเก็บเรื่องอารมณ์จากพ่อแม่ และไปปรึกษาและระบายกับเพื่อน ๆ เท่านั้น ข้อดีนี้ทำให้ครอบครัวรู้ว่าบุตรหลานของตนกำลังเครียด หรือเศร้ากับเรื่องใดหรือไม่ และจะได้ตอบสนองต่อวัยที่หุนหันพลันแล่นได้อย่างเหมาะสม หรือช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นหากไปเจอกับปัญหาใหญ่ ๆ ในชีวิต

 

การสนับสนุนทางอารมณ์จึงเป็นสิ่งที่น่านำไปใช้ เพื่อเด็กๆ และผู้เลี้ยงดู เพราะมีข้อดีในระยะยาวกับทั้งตัวเด็กและคนอื่น ๆ ในครอบครัว

 

 


 

บทความวิชาการ

โดย อาจารย์อาภาพร อุษณรัศมี

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ
Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

ทำไมพ่อแม่ (บางคน) จึงทำทารุณกรรมต่อลูก

 

พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลูกของตน แต่พ่อแม่บางคนมิได้เป็นเช่นนั้น เขาสามารถทำทารุณกรรมต่อลูกของตนเองทั้งทางร่างกายและทางเพศได้ ทารุณกรรมทางกาย หมายถึง การทำร้ายเด็กจนได้รับบาดเจ็บทางกาย ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน เช่น ตาปูด ปากแตก ส่วนทารุณกรรมทางเพศ หมายถึงการสัมพันธ์ทางเพศในรูปแบบต่าง ๆ ระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ เช่น การจับต้องลูบคลำ การข่มขืนกระทำชำเรา

 

พฤติกรรมทารุณกรรมที่พ่อแม่แสดงต่อลูกทั้งทางร่างกายและทางเพศปรากฎบ่อยในหน้าหนังสือพิมพ์ในชีวิตประจำวันของเรา ส่วนใหญ่จะเป็นการทารุณกรรมทางเพศ แล้วอะไรคือสาเหตุสำคัญ?

 

 

สาเหตุสำคัญที่ทำให้พ่อแม่ทำทารุณกรรมต่อลูก


 

การศึกษาวิจัย (Browne & Finkelhor, 1986) พบว่า 90 % ของผู้กระทำทารุณกรรมมิใช่คนที่มีความผิดปกติทางจิต รวมทั้งมิได้มีบุคลิกภาพเป็นฆาตกร แต่ส่วนมากแล้วมักจะเป็นคนโดดเดี่ยว อ้างว้าง ไร้ความสุข ซึมเศร้า โกรธง่าย มีความกดดันมาก หรืออาจมีปัญหาด้านสุขภาพที่ทำให้เกิดความซึมเศร้าได้

 

การศึกษาวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง (Wolf, 1985) รายงานว่าพ่อแม่ที่ทำทารุณกรรมต่อลูกมักได้รับประสบการณ์ที่เลวร้ายเช่นเดียวกันมาแต่ในอดีต เป็นเหตุให้มีความเชื่อว่า การกระทำของตนเป็นการแสดงถึงการมีอำนาจในตนเอง รวมทั้งช่วยให้ตนสามารถควบคุมชีวิตของตนเองได้

 

นอกจากนี้ พ่อแม่ที่ทำทารุณกรรมต่อลูก ยังไม่รู้วิธีการที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดี กล่าวคือ ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรให้ลูกหยุดร้องไห้ และเมื่อไม่สามารถทำให้ลูกหยุดได้ก็โกรธจนลืมตัวทำพฤติกรรมที่เลวร้ายลงไป เช่น เอาเตารีดนาบหลังลูก ตบตีลูกอย่างทารุณ ขาดความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการปกติของเด็ก เช่น พ่อแม่จะคาดหวังให้ลูกไม่ทำเลอะเทอะ หรือขับถ่ายเป็นที่เป็นทางก่อนถึงวัยอันควร อีกทั้งยังขาดความสามารถในการอ่านสัญญาณทางอารมณ์ของลูก ทำให้ตอบสนองต่อความต้องการผิดพลาด เช่นพยายามป้อนนมลูกเมื่อลูกร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อลูกบ้วนอาหารทิ้งก็แสดงอารมณ์รุนแรงด้วยความโกรธ

 

เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวของพ่อแม่ที่ทำทารุณกรรมต่อลูกแล้ว จะพบว่า พ่อแม่ที่มีลักษณะดังกล่าวมีแนวโน้มจะมีปัญหาในชีวิตสมรส และทะเลาะเบาะแว้งถึงขนาดลงไม้ลงมือกันมากกว่าครอบครัวอื่นๆ มีลูกมาก ภายในบ้านไร้ระเบียบวินัย นอกจากนั้น พ่อแม่ที่ทารุณลูกยังมีแนวโน้มจะไม่สัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ครอบครัวของตนหรือแม้แต่กับเพื่อน ๆ ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ เมื่อเกิดความเครียดขึ้นในครอบครัว ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งพาผู้ใด เป็นเหตุให้เรื่องที่น่าสลดใจดังกล่าวเกิดขึ้น หากบุคคลมีผู้ที่จะช่วยค้ำจุนทางจิตใจ ช่วยชี้แนวทางที่ถูกต้องในขณะที่เผชิญความเครียดแล้ว ผลจะไม่ออกมาอย่างที่เป็นอยู่แน่นอน

 

พ่อแม่อาจมิใช่เป็นเพียงองค์ประกอบเดียวที่นำไปสู่การทำทารุณกรรม ลักษณะของเด็กก็อาจจะเป็นตัวยั่วยุให้เกิดพฤติกรรมดังกล่าวโดยมิได้ตั้งใจได้ ผลการศึกษาวิจัย (J.R Reid และคณะ, 1982) พบว่าเด็กที่ถูกทารุณกรรมมักเป็นเด็กที่เรียกร้องเวลาและความเอาใจใส่จากพ่อแม่สูงกว่าเด็กอื่น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเด็กที่มีน้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่าเกณฑ์ หรือเป็นเด็กที่อยู่เฉยไม่ได้ หรือเป็นเด็กที่มีระดับสติปัญญาต่ำ หรือมีความพิการทางร่างกาย การศึกษาอีกชั้นหนึ่ง (Tsai and Wagner, 1979) พบว่าเด็กที่ถูกทารุณกรรมมักเป็นเด็กที่ร้องไห้มาก และมีพฤติกรรมในทางลบมากกว่าเด็กทั่วไป

 

สังคมและวัฒนธรรมก็มีส่วนส่งเสริมต่อการมีพฤติกรรมดังกล่าว นอกเหนือไปจากองค์ประกอบของพ่อแม่และตัวเด็กเอง การตกงาน การต้องทนทำงานที่ตนไม่พึงพอใจ รวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจในครอบครัวที่หนักหนาสาหัสมีความสัมพันธ์อย่างมากกับการทำทารุณกรรมต่อภรรยาและลูก วัฒนธรรมก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน สังคมใดที่มีวัฒนธรรมที่เน้นความรุนแรงจะวางเจตคติเกี่ยวกับการลงโทษที่รุนแรง อันอาจนำไปสู่การแสดงความรุนแรงต่อสตรีและเด็กที่ไร้หนทางสู้ได้ง่าย ซึ่งตรงกันข้ามกับสังคมที่มีวัฒนธรรมที่ไม่เน้นความรุนแรง เด็กที่กระทำผิดจะไม่ถูกตี แต่จะเน้นการแก้ไขพฤติกรรมด้วยวิธีการอื่นที่สามารถหยุดยั้งพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาได้เช่นเดียวกัน เช่น การยิ้มและชมเชยเด็กเมื่อทำพฤติกรรมที่พึงประสงค์ให้เด็กอยู่ตามลำพังเมื่อมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ใน วัฒนธรรมเช่นนี้ เด็กจะไม่ได้รับการปลูกฝังเจตคติของความรุนแรง และไม่มีความคิดว่าความรุนแรงสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้

 

นอกเหนือจากการทารุณทางกายแล้ว เด็กยังอาจถูกทำทารุณกรรมทางเพศได้อีก จากรายกรณีที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์และสื่ออื่น ๆ พบว่า ผู้ที่กระทำทารุณกรรมทางเพศต่อเด็ก มักเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดและเด็กมีความไว้วางใจ เช่น พ่อ ญาติผู้ใหญ่ในครอบครัว หรือเพื่อน ๆ ของบุคคลในครอบครัว ดังนั้นวิธีการป้องกันจึงควรจะเน้นการสอนให้เด็กระมัดระวังมิให้บุคคลแปลกหน้าหรือแม้บุคคลที่เด็กรักและไว้ใจมาสัมผัสแตะต้อง ลูบคลำ จูบกอด ถอดเสื้อผ้าออก หรือชักชวนให้ไปอยู่ในที่ลับตาผู้อื่น

 

อย่างไรก็ตามวิธีการดังกล่าวอาจจะเป็นเหมือนดาบ 2 คมได้ ด้านหนึ่งสามารถป้องกันการถูกทำทารุณกรรมทางเพศจากคนใกล้ชิด แต่อีกด้านหนึ่งอาจทำให้เด็กตกใจกลัว และขัดขวางต่อการมีความรักความผูกพันธ์กับบุคคลใกล้ชิดได้ อีกวิธีการหนึ่งคือการที่พ่อแม่กระตุ้นให้เด็กเล่ากิจกรรมต่าง ๆ ที่เด็กทำในแต่ละวัน โดยไม่มีการตำหนิติเตียนหรือลงโทษเด็กหากเด็กทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพื่อปลูกฝังความคิดว่าเด็กสามารถเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้พ่อแม่ฟังได้โดยไม่ถูกลงโทษ และพ่อแม่สามารถช่วยเหลือลูกได้ทุกเรื่อง เป็นที่เชื่อว่าวิธีการดังกล่าวจะช่วยทำให้พ่อแม่ได้รับรู้เรื่องต่าง ๆ ของลูก และตัดไฟเสียแต่ต้นลมได้

 

 

พ่อแม่ที่ทำทารุณกรรมต่อลูก รู้สึกผิดในใจและเกลียดตนเองในสิ่งที่ทำลงไปหรือไม่?


 

Wolfe (1985) พบว่าพ่อแม่ที่กระทำพฤติกรรมดังกล่าว รู้สึกเกลียดตนเองและละอายใจในสิ่งที่ทำลงไป แต่รู้สึกว่าตนเองขาดอำนาจที่จะหยุดยั้งมัน

 

 

ผลกระทบจากการที่เด็กถูกทารุณกรรมทางกายหรือทางเพศ


 

แน่นอนที่สุด การที่เด็กถูกทารุณกรรมทางกายหรือทางเพศก็ตาม ย่อมมีผลร้ายแรงที่ตามมา เด็กที่ถูกทารุณทางกายจะมีผลการเรียนต่ำ ชอบแยกตัวจากเพื่อนฝูง ก้าวร้าว ไม่ร่วมมือกับผู้อื่น ผลที่ตามมาก็คือ การเข้ากับกลุ่มเพื่อนไม่ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การมีพฤติกรรมต่อต้านสังคมตามมาได้ ส่วนเด็กที่ถูกทำทารุณกรรมทางเพศมีแนวโน้มจะเกิดความหวาดกลัวต่อเพศตรงข้าม มีความรู้สึกว่าตนเองด้อยคุณค่า มีปัญหาพฤติกรรม ผลการเรียนต่ำ หมกมุ่นกับเรื่องเพศ ซึมเศร้า ไม่ไว้วางใจบุคคลอื่น รวมทั้งมีปัญหาการปรับตัวทางเพศ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวจะติดตัวเด็กไปแม้เข้าสู่วัยรุ่นใหญ่แล้วก็ตาม

 

การศึกษาวิจัยของ Kaufman & Zigler (1987) พบว่าเด็กที่ถูกทำทารุณกรรมทางเพศจะมีลักษณะเหมือน “ระเบิดเวลา” ที่พร้อมจะระเบิดความรุนแรงต่อลูกๆของตน อย่างไรก็ตาม การศึกษาวิจัยอีกชั้นหนึ่ง (Zgeland & Sroufe,1981) ได้รายงานว่าหากเด็กที่ถุกทารุณกรรมทางเพศได้รับการค้ำจุนทางจิตใจจากผู้ใกล้ชิด ได้รับการกระตุ้นให้เด็กระบายความโกรธแค้น และเกลียดชังออกมาได้อย่างเปิดเผย รวมทั้งสามารถพูดถึงประสบการณ์ที่เลวร้ายของตนออกมาโดยไม่ต้องเก็บกดแล้ว โอกาสที่เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่จะมีความรักและชีวิตครอบครัวที่มีความสุขก็มีทางจะเป็นไปได้มาก

 

 


 

 

ภาพประกอบจาก : https://www.pxfuel.com/en/free-photo-xjpbc

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย รองศาสตราจารย์ศิรางค์ ทับสายทอง

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

จิตวิทยาเกี่ยวข้องกับการทำงานในองค์การอย่างไร

 

เมื่อเอ่ยชื่อวิชา “จิตวิทยา” คนส่วนมาก็คงนึกถึงนักจิตวิทยาที่นั่งฟังผู้ป่วยเล่าปัญหาของตัวเอง หรือไม่ก็นึกถึงคนที่ใช้จิตวิทยาหลอกล่อให้คนอื่น ๆ หลงเชื่อ

 

โดยทั่วไปแล้ว หลายคนยังเข้าใจจิตวิทยาผิดไปจากความเป็นจริงอยู่มาก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะ ภาพที่ปรากฏออกไปสู่สังคมมักแสดงถึงนักจิตวิทยาในฐานะผู้บำบัดหรือผู้รักษา จึงเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะศาสตร์จิตวิทยานั้นกว้างขวางและครอบคลุมกว่าแค่การบำบัดรักษาอาการป่วยทางจิตเท่านั้น

 

จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมและจิตใจของมนุษย์โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และครอบคลุมไปถึงเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของเราด้วย เราจะพบว่าจิตวิทยานั้นแทรกซึมอยู่ในเกือบทุกเรื่องในชีวิตของเรา และด้านหนึ่งที่สำคัญก็คือ การทำงาน โดยส่วนมากเรามักจะไม่รู้กันว่าจิตวิทยาสามารถประยุกต์เข้ากับชีวิตการทำงานได้ทั้งในการเข้าใจและพัฒนาตนเอง ทั้งในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน ลูกน้อง หรือลูกค้า หรือแม้แต่องค์การเองก็สามารถนำจิตวิทยาไปใช้เพื่อบริหารทรัพยากรมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพ

 

คนที่จะกำลังหางานทำหรือพนักงานที่ทำงานอยู่แล้ว สามารถใช้จิตวิทยาเพื่อค้นหาความสามารถ ความถนัด บุคลิก ลักษณะต่าง ๆ ของตนเอง เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกงานที่เหมาะสมกับตน หรือมองหาเส้นทางอาชีพที่ตนจะดำเนินต่อไปในอนาคต แนวคิดหลักอย่างหนึ่งของจิตวิทยาคือ คนเราแต่ละคนแตกต่างกัน ทั้งในด้านบุคลิกภาพ ความเชื่อ ทัศนคติแรงจูงใจ หรือความสามารถ ความแตกต่างเหล่านี้ก็ส่งผลให้คนแต่ละคนทำงานได้แตกต่างกัน คนบางคนอาจจะทำงานเป็นพนักงานขายที่เก่งกาจ สามารถสร้างเครือข่ายลูกค้าได้กว้างขวาง แต่คนคนนี้อาจจะไม่เก่งในด้านการบริหารงาน หรือไม่ได้เป็นผู้นำที่ดี จิตวิทยาจะช่วยให้บุคคลรู้ว่าตนเองมีลักษณะต่าง ๆ อย่างไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรารู้ว่าตัวเองมีบุคลิกภาพแบบชอบเปิดตัว ชอบเข้าสังคม เราก็จะสามารถเลือกงานที่เหมาะสมกับบุคลิกของเราได้ หรือ ถ้าเรามีความสนใจในการออกแบบสร้างสิ่งใหม่ ๆ หรือมีความถนัดด้านความคิดสร้างสรรค์ เราก็จะเลือกอาชีพที่เกี่ยวข้อง เช่น งานโฆษณา หรืองานออกแบบ จากตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า จิตวิทยาช่วยให้บุคคลรู้จักตนเองมากขึ้น เมื่อบุคคลรู้จักตนเองมากขึ้นก็จะสามารถเลือกและทำงานได้อย่างเต็มความสามารถ รวมไปถึงได้ทำงานที่ตนเองสนใจหรือรัก นอกจากนี้จิตวิทยายังช่วยในการจัดการความเครียด การเข้าใจตนเอง การพัฒนาตนเองให้ใช้ความสามารถได้อย่างเต็มที่ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราทำงานและใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณค่า

 

นอกจากจิตวิทยาจะช่วยให้พนักงานเข้าใจตนเองและพัฒนาตนเองได้แล้ว วิชาจิตวิทยายังช่วยให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางบวกกับเพื่อนร่วมงาน วิธีการในการจูงใจลูกน้อง หรือการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพกับเจ้านาย

 

สำหรับองค์การ ความรู้ทางจิตวิทยาจะช่วยให้องค์การสามารถบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถคัดเลือกบุคลากรที่มีความสามารถและลักษณะตรงตามที่ต้องการ ช่วยในการสร้างขวัญกำลังใจให้พนักงานมุนานะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ช่วยให้พนักงานตระหนักในขีดความสามารถของตนและนำมาใช้หรือพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

 

ด้วยเหตุนี้องค์การจึงควรให้ใส่ใจกับพนักงานของตนให้มาก สาขาวิชาที่ว่าด้วยการบริหารทรัพยากรมนุษย์จึงเกิดขึ้น จิตวิทยาเองก็มีส่วนช่วยในการบริหารทรัพยากรมนุษย์อยู่ไม่น้อยทีเดียว ทั้งตัวองค์ความรู้และทฤษฎีที่จะช่วยให้องค์การสามารถตัดสินใจเลือกบุคลากรได้ตรงกับความต้องการ ทั้งแบบวัดทางจิตวิทยาที่จะช่วยให้องค์การรู้ว่าพนักงานแต่ละคนมีลักษณะในด้านต่าง ๆ อย่างไรบ้าง ความรู้ดังกล่าวช่วยให้องค์การสามารถเลือกคนได้เหมาะสมกับงาน พัฒนาพนักงานให้มีความสามารถเพิ่มขึ้นทันท่วงทีต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก สามารถให้รางวัลแก่พนักงานที่ทำงานดีและลงโทษพนักงานที่ประพฤติเสียหายได้อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม

 

ระบบบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมยังช่วยส่งเสริมบรรยากาศการทำงานที่ดี ช่วยให้พนักงานทำงานได้เต็มความสามารถ ซึ่งนั่นก็หมายถึงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นและการบรรลุเป้าหมายขององค์การ เมื่อองค์การบรรลุเป้าหมาย นั่นก็หมายถึงความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตการทำงานที่ดีขึ้นของพนักงาน ทั้งองค์การและพนักงานต่างก็ได้รับประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย

 

ประเด็นเรื่องมนุษย์เป็นเรื่องที่สำคัญ และในปัจจุบันหลาย ๆ องค์การก็เริ่มตระหนักถึงประเด็นนี้ เมื่อจิตวิทยาได้ใช้อย่างจริงจังในองค์การทั้งโดยตัวพนักงานและตัวองค์การเอง เราก็คงจะได้เห็นบรรยากาศของการทำงานที่มีความสุขและมีประสิทธิภาพ

 

 


 

 

ภาพประกอบจาก : http://www.freepik.com

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย อาจารย์ ดร.กฤษณ์ อริยะพุทธิพงศ์

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

การสนับสนุนทางอารมณ์ให้เด็ก ๆ

 

คุณพ่อ คุณแม่ หรือท่านที่ต้องเลี้ยงเด็ก คงต้องเคยเจอกับสถานการณ์ที่ลูกหรือเด็กร้องไห้ งอแง อาละวาด อย่างตอนที่เด็กอยากได้ของเล่นหรือขนม แล้วพ่อแม่ไม่ให้ หรืออยากไปเล่นกับเพื่อน แล้วเกิดเรื่องทะเลาะกัน พอเด็กร้องไห้งอแงขึ้นมา ทางผู้ใหญ่หากยังใจเย็นพอ ก็พยายามพูดดี ๆ กับเด็ก พยายามคุยกันอย่างมีเหตุผล เช่น “อย่าร้องไห้สิลูก หนูเพิ่งกินขนมไปเมื่อวานเอง กินทุกวันไม่ได้นะลูก” หรือ “เพื่อนเขาไม่ได้ตั้งใจนะ เจ็บนิดเดียวเอง เดี๋ยวก็หาย” แต่หลาย ๆ ครั้งผู้ใหญ่จะพบว่าการพยายามคุยกับเด็กด้วยเหตุผลนั้นกลับไม่ทำให้เด็กหยุดร้องไห้งอแง หรือลดความเข้มข้นของอารมณ์เด็กในตอนนั้นได้เลย เหมือนเด็กไม่ฟังอะไรทั้งนั้น

 

จริง ๆ แล้วในจังหวะที่เด็กกำลังมีอารมณ์เข้มข้น อย่างเช่น อารมณ์โกรธ และเสียใจนั้น ผู้ใหญ่จะพยายามพูดใช้เหตุผลเท่าไหร่ อย่างไรก็ยากที่จะได้ผล สาเหตุหนึ่งเพราะพัฒนาการของสมองที่ประมวลเหตุผลของเด็กนั้นยังไม่ดีเหมือนของผู้ใหญ่ แต่สมองในส่วนของอารมณ์นั้นจะพัฒนาเร็วกว่า อิทธิพลของอารมณ์จึงมีเหนือเหตุผลได้ง่าย ๆ แต่ถึงเด็กจะแสดงอารมณ์ได้อย่างเชี่ยวชาญ จากที่เราเห็นว่าเด็กหัวเราะหรือร้องไห้อย่างชัดเจน แต่เด็กยังไม่ใช่วัยที่รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง แถมยังควบคุมอารมณ์ไม่ได้ดีนัก ผลที่ตามมาคือเด็กปล่อยให้อารมณ์ครอบงำจนไม่สามารถรับฟังเหตุผลเพื่อไปจัดการกับพฤติกรรมของตัวเอง

 

คำถามต่อมาคือแล้วเราควรจะจัดการอย่างไรเวลาเด็กมีอารมณ์เข้มข้นจนตัวเด็กควบคุมไม่ได้ มีวิธีแก้ปัญหาวิธีหนึ่งที่น่าสนใจที่เรียกว่า “การสนับสนุนทางอารมณ์” (emotional support)

 

การสนับสนุนทางอารมณ์ คือ การที่ผู้ใหญ่เข้าไปช่วยให้เด็กรับรู้อารมณ์ของตนว่าตนกำลังมีอารมณ์อะไรอยู่ และทำให้เด็กเท่าทันอารมณ์ ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น และจะทำให้เด็กเริ่มรับฟังเหตุผลมากขึ้นตามลำดับ

 

ก่อนที่เด็กจะจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ เด็กต้องรู้ก่อนว่า ในตอนนั้นตัวเองมีอารมณ์อะไร อารมณ์นั้นมักจะสร้างการตอบสนองทางพฤติกรรมที่รวดเร็ว เช่น ร้องไห้ หัวเราะ และในหลายๆ ครั้ง เด็กยังไม่รู้ว่าตัวเองมีอารมณ์อย่างไรกันแน่ ดีใจ เสียใจ โกรธ พอใจ หรืออะไร ดังนั้นผู้ใหญ่จึงเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนในส่วนนี้ได้ อาจจะเป็นการพูดคุยเพื่อถามเด็ก ให้เด็กตระหนักก่อนว่าตัวเองกำลังมีอารมณ์อย่างไรอยู่ เช่น ถามว่า “หนูโมโหใช่ไหมที่เพื่อนแย่งขนมไป” หรือ “เสียใจใช่ไหมที่ไม่ได้ของเล่น” เมื่อเด็กได้ฟังคำถาม เด็กจะคิดหาคำตอบ และเป็นการทบทวนอารมณ์ตัวเองไปในตัวว่า “ฉันกำลังโมโหหรือเปล่า” “ฉันกำลังเสียใจหรือเปล่า” เพื่อที่จะตอบผู้ใหญ่ เช่น “เปล่า หนูไม่ได้โกรธ” “หนูไม่ได้เสียใจ” หรือในหลาย ๆ ครั้ง ผู้ใหญ่เองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กมีอารมณ์อย่างไร พอได้ถามตอบกัน ก็จะทำให้ทั้งตัวเด็กเข้าใจอารมณ์ตนเองในขณะนั้น และรับรู้ว่าผู้ใหญ่เข้าใจได้ตรงกันด้วย

 

เมื่อเด็กรู้ถึงอารมณ์ของตัวเอง และรู้ว่าผู้ใหญ่ก็เข้าใจว่าตัวเด็กกำลังมีอารมณ์อย่างไร อารมณ์ของเด็กจะค่อยๆ สงบลง และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เด็กเริ่มฟังสิ่งอื่น ๆ มากขึ้น เปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่เริ่มใช้เหตุผลกับเด็ก ๆ ได้มากขึ้น

 

การสนับสนุนทางอารมณ์ ยังไม่ใช่แค่การทำให้เด็กเข้าใจอารมณ์ของตนเอง แต่ผู้ใหญ่ยังสนับสนุนวิธีการจัดการกับอารมณ์ให้เด็กๆ ได้ด้วย เมื่อผู้ใหญ่รู้แล้วว่าเด็กกำลังมีอารมณ์อย่างไร ก็อาจจะสอนว่า “ถ้าหนูโกรธ เรามาลองนับ 1 ถึง 10 กัน” หรือ “หายใจเข้าลึกๆ แล้วหายใจออก” ทำให้เด็กมีวิธีรับมือกับอารมณ์ที่เข้มข้นของตัวเอง และทำให้อารมณ์นั้นสงบได้ง่ายขึ้น

 

ไม่เพียงแค่อารมณ์ทางลบเท่านั้น แต่บางครั้งเด็กก็ตอบสนองต่ออารมณ์ทางบวกที่เข้มข้นอย่างไม่ควร เช่น การกระโดดโลดเต้น ตะโกนชอบใจเสียงดังจนหยุดไม่อยู่ การพูดคุยให้เด็กรู้ว่ากำลังมีอารมณ์อะไรอยู่ และจะทำอย่างไรกับอารมณ์เหล่านั้นก็นำมาใช้ได้เช่นกัน เช่น “หนูดีใจมากเลยใช่ไหม ที่ได้ของเล่น แต่ตอนนี้ยังเล่นไม่ได้นะ รออีกหน่อย แล้วไปเล่นกันที่บ้านดีกว่า”

 

สิ่งที่ควรระวังขณะที่ผู้ใหญ่สนับสนุนทางอารมณ์ คือไม่ควรตีตราว่าอารมณ์ไหนคือสิ่งที่ไม่ดี อย่างเช่น ไม่ควรพูดว่า “หนูกำลังอิจฉาน้องหรือ ไม่ดีเลยนะ” “หนูอย่าโกรธสิ คนอื่นเขาไม่ชอบ” เพราะอารมณ์เป็นสิ่งที่ตอบสนองตามธรรมชาติ เป็นเรื่องปกติที่จะมีอารมณ์ทางลบ การตีตราว่าอารมณ์ใดไม่ดี จะทำให้เด็กรู้สึกว่าผู้ใหญ่ไม่ยอมรับอารมณ์ของตนในขณะนั้น สิ่งสำคัญของการสนับสนุนทางอารมณ์คือการให้เด็กรับรู้อารมณ์อย่างเป็นกลาง และรู้ว่าอารมณ์นั้นมาจากไหน เช่น ถามเด็กว่า “หนูกำลังอิจฉาเพราะพ่อซื้อขนมให้น้องเยอะกว่าหรือเปล่า” “หนูกำลังโกรธเพราะเพื่อนทำหนูเจ็บหรือเปล่า” และคอยสนับสนุนวิธีการจัดการกับอารมณ์ทางลบนั้น เช่น สอนเด็กว่า “ถ้ารู้สึกอิจฉา ก็มาคุยกับพ่อหรือแม่ได้นะ” “ถ้าหนูโกรธเพื่อน ก็อย่าเพิ่งไปทำอะไรเพื่อน มานับเลขกันก่อนดีกว่า มาทำใจให้เย็นกัน”

 

อีกสิ่งที่ควรระวังคืออย่าคาดหวังว่าเราสอนเด็กแล้วเด็กจะเข้าใจและทำตามได้ทันทีในสองสามครั้ง เด็กบางคนเข้าใจอารมณ์ตัวเองแล้ว แต่ยังหยุดอารมณ์ตัวเองไม่ทัน รู้อารมณ์ของตัวเองแล้วแต่ใจไม่เย็นลงสักที ลองคิดเปรียบเทียบว่าการสนับสนุนทางอารมณ์เหมือนกับการปลูกต้นไม้ที่ต้องใช้เวลา การให้เด็กเข้าใจอารมณ์และตอบสนองอย่างถูกต้องเอง ก็ต้องค่อย ๆ ฝึกกันไป อย่าเร่งรัดจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวแย่ลงแทน ค่อย ๆ สนับสนุนแล้วเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงของเด็ก และวันหนึ่งการสนับสนุนของเราย่อมเห็นผลแน่นอน

 

 


 

 

ภาพประกอบจาก https://eresmama.com/

 

บทความวิชาการ

โดย อาจารย์อาภาพร อุษณรัศมี

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ
Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

Counterproductive work behavior – พฤติกรรมการทำงานแบบถ่วงความก้าวหน้า

 

 

พฤติกรรมการทำงานแบบถ่วงความก้าวหน้า หมายถึง พฤติกรรมที่ปฏิบัติโดยบุคลากร โดยมีเจตนาทำความเสียหายและเป็นภัยต่อองค์การหรือสมาชิกในองค์การ ดังนั้น การกระทำโดยเหตุบังเอิญหรือการกระทำโดยบุคคลภายนอกองค์การไม่จัดเป็นพฤติกรรมการทำงานแบบถ่วงความก้าวหน้า

 

ปัจจุบันงานวิจัยส่วนใหญ่แบ่งพฤติกรรมการทำงานแบบถ่วงความก้าวหน้าออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่

  • พฤติกรรมการทำงานแบบถ่วงความก้าวหน้าขององค์การ
  • พฤติกรรมการทำงานแบบถ่วงความก้าวหน้าของเพื่อนร่วมงาน

 

พฤติกรรมการทำงานแบบถ่วงความก้าวหน้าขององค์การ จำแนกเป็น 5 องค์ประกอบย่อยดังนี้

  • การถอนตัว เช่น การขาดงาน มาสาย และพักนานกว่ากำหนด
  • การละเมิด เช่น เล่าถึงสิ่งแย่ ๆ เกี่ยวกับที่ทำงานให้คนนอกฟัง
  • การลักขโมย เช่น นำของใช้จากที่ทำงานกลับบ้าน
  • ความเบี่ยงเบนในการปฏิบัติงาน เช่น ทำงานผิดเพื่อประชด และไม่ทำตามคำสั่ง
  • การสร้างความเสียหาย เช่น ใช้วัสดุและอุปกรณ์ของบริษัทมากกว่าความจำเป็น

 

พฤติกรรมการทำงานแบบถ่วงความก้าวหน้าของเพื่อนร่วมงาน จำแนกเป็น 4 องค์ประกอบย่อยดังนี้

  • การละเมิด เช่น ล้อเลียนเพื่อนร่วมงาน เมินเฉยต่อบางคนในที่ทำงาน คุกคามเพื่อนร่วมงาน ปล่อยข่าวลือในเรื่องไม่ดีในที่ทำงานเมื่อรู้สึกไม่พอใจ
  • การลักขโมย เช่น หยิบของของเพื่อนร่วมงานติดมือกลับบ้าน
  • ความเบี่ยงเบนในการปฏิบัติงาน เช่น ปฏิเสธที่จะช่วยบางคนในที่ทำงาน ปิดบังข้อมูลที่สำคัญไม่ให้บางคนในที่ทำงานรู้ และรบกวนเพื่อนร่วมงานขณะที่เขากำลังทำงานอยู่
  • การสร้างความเสียหาย เช่น ทำลายทรัพย์สินของเพื่อนร่วมงาน

 

นอกจากนี้ พฤติกรรมการทำงานแบบถ่วงความก้าวหน้ายังสามารถจำแนกลักษณะของการกระทำออกเป็น 2 แบบ คือ

  • การกระทำแบบแสดงออก ได้แก่ ความก้าวร้าว การทำลาย การขู่เข็น การวางเพลิงและการลักขโมย
  • การกระทำแบบไม่แสดงออกโดยตรง ได้แก่ การจงใจว่าตนไม่สามารถทำตามคำสั่ง การจงใจทำงานผิด การมาทำงานสาย การใช้วัสดุอุปกรณ์ในที่ทำงานสิ้นเปลือง การเพิกเฉยต่อบางคนในที่ทำงาน การทำร้ายผู้อื่นในที่ทำงานด้วยวาขา และการนำของใช้ในที่ทำงานไปใช้ส่วนตัวที่บ้าน

 

 

ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการทำงานแบบถ่วงความก้าวหน้า


 

งานวิจัยทางจิตวิทยาพบว่า ความคับข้องใจที่เกิดจากการเผชิญสิ่งเร้าความเครียดในที่ทำงาน ได้แก่ “ความขัดแย้งกับหัวหน้า” “ความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน” และ “ความจำกัดขององค์การ” ส่งผลให้บุคคลมีพฤติกรรมการทำงานแบบถ่วงความก้าวหน้าได้

 

(ความจำกัดขององค์การ หมายถึง สถานการณ์ในที่ทำงานที่ขัดขวางไม่ให้บุคคลใช้ความสามารถและแรงจูงใจที่จะทำผลงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยปัญหาที่ทำให้รู้สึกไม่ดีกับงานที่ทำงาน ได้แก่ อุปกรณ์หรือวัสดุคุณภาพต่ำ กฎเกณฑ์หรือกระบวนการดำเนินงานขององค์การ งบประมาณการทำงานไม่เพียงพอ สิ่งแวดล้อมในที่ทำงานไม่ดี มีเสียงดังรบกวนขณะทำงาน เป็นต้น)

 

นอกจากนี้ยังพบประเด็นที่น่าสนใจเรื่องอายุและประสบการณ์การทำงาน กล่าวคือ การวิจัยในต่างประเทศพบว่ายิ่งบุคคลมีอายุมากขึ้นและประสบการณ์การทำงานมากขึ้น ยิ่งมีแนวโน้มทำพฤติกรรมการทำงานแบบถ่วงความก้าวหน้าลดลง เนื่องจากบุคคลมีความซื่อสัตย์ต่อองค์การและมีแนวโน้มที่จะไม่ทำพฤติกรรมที่เป็นผลเสียต่อองค์การ แต่ในการวิจัยในประเทศไทยพบผลที่ตรงกันข้าม คือ ยิ่งบุคคลมีอายุมากขึ้นและมีประสบการณ์มากขึ้นยิ่งมีแนวโน้มทำพฤติกรรมการทำงานแบบถ่วงความก้าวหน้ามากขึ้น จึงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมหรือค่านิยมของแต่ละองค์การในประเทศไทย

 

ส่วนปัจจัยด้านบุคลิกภาพที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการทำงานแบบถ่วงความก้าวหน้า ได้แก่ การมีบุคลิกภาพแบบหลงตนเองสูง ความฉลาดทางอารมณ์ต่ำ การเห็นคุณค่าในตนเองต่ำ และการมีอัตลักษณ์ทางจริยธรรมต่ำ (ความต้องการในการดำรงความสอดคล้องและคงเส้นคงวาระหว่างหลักจริยธรรมที่ตนยึดถือและการแสดงออกต่อสังคมภายนอก) เป็นต้น

 

 

 

รายการอ้างอิง

 

“การทำนายพฤติกรรมการทำงานแบบถ่วงความก้าวหน้าขององค์การและเพื่อนร่วมงานจากบุคลิกภาพแบบหลงตนเอง ลักษณะนิสัยด้านความโกรธ และสิ่งเร้าความเครียดในการทำงาน” โดย ประพิมพา จรัลรัตนกุล (2550) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/44139

 

“อัตลักษณ์ทางจริยธรรม และคติรวมหมู่ทางจิตในฐานะตัวแปรกำกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพแบบหลงตนเอง และพฤติกรรมการทำงานแบบถ่วงความก้าวหน้า” โดย ชิตพล สุวรรณนที (2560) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/58262

 

ภาพประกอบจาก https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Social_Loafing.jpg

Emotional eating – การรับประทานด้วยอารมณ์

 

 

 

 

การรับประทานด้วยอารมณ์ หมายถึง การรับประทานอาหารเพิ่มขึ้นมากกว่าระดับปกติเมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ทางลบ อาทิ ความเสียใจ ความกังวล ความโกรธ หรืออารมณ์ทางบวก

 

ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่แล้วอารมณ์ที่กระตุ้นให้เกิดการรับประทานอาหารในลักษณะนี้นั้นจะเป็นอารมณ์ทางลบ โดยการรับประทานอาหารมักเกิดขึ้นเมื่อบุคคลอยู่คนเดียว หลังเวลาเย็นหรือระหว่างรับประทานของว่าง และมักเกิดขึ้นเมื่อบุคคลรับประทานอาหารที่บ้านของตนเองมากกว่าการรับประทานอาหารข้างนอก

 

การรับประทานด้วยอารมณ์ไม่ได้เป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของร่างกาย คือ อาการหิว หรือไม่ได้ทำไปสู่เจตนาเพิ่มพลังงานเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน หากแต่เป็นไปเพื่อเยียวยาอารมณ์ทางลบ หรือส่งเสริมอารมณ์ทางบวกของบุคคล

 

ซึ่งอาหารที่บุคคลเลือกรับประทานด้วยอารมณ์นั้นมักมีแคลอรี่สูง หรือคาร์บโบไฮเดรตสูง ซึ่งปริมาณแคลอรี่ที่สูงขึ้นนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บุคคลน้ำหนักขึ้นและอยู่ในภาวะอ้วน

 

 

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการรับประทานอาหารด้วยอารมณ์


 

ลักษณะอารมณ์ (Mood)

การรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มเติมอารมณ์ทางบวกและลดอารมณ์ทางลบ และการรับประทานอาหารยังถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์ลบ เช่น เบื่อหน่าย เศร้า โกรธ กลัว กังวล และเหงา

 

สถานการณ์ที่ต้องเผชิญ (Situational Characteristic)

เหตุการณ์ในชีวิตเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ต่าง ๆ โดย Macht, Haupt และ Ellgring พบว่านักเรียนที่ใกล้จะสอบมีความเครียดมากกว่าและมีแนวโน้มที่จะรับประทานอาหารเพื่อจัดการความเครียด

 

การจำกัดอาหาร (Eating Restraint)

อาจส่งผลให้บุคคลที่ควบคุมน้ำหนักยังเป็นผู้หมกมุ่น เข้มงวดอยู่กับการรับประทานอาหารแบบเข้มงวด ทำให้เสี่ยงต่อการรับประทานอาหารด้วยอารมณ์ เช่น เมื่อบุคคลต้องใช้ความคิดในระดับที่มาก มีแนวโน้มที่จะบริโภคอาหารในปริมาณมากขึ้นด้วย

 

ภาวะอ้วน (Obesity)

ทฤษฎี Psychosomatic (Bruch, 1973) เสนอว่าความเชื่อมโยงระหว่างภาวะอ้วนและการรับประทานอาหารเกิดจากการเรียนรู้ของบุคคลผ่านการจัดการอารมณ์ทางลบ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่สะสมมาตั้งแต่วัยเด็ก โดย Braet และ Van Strein (1997) ได้รายงานว่าเด็กอายุต่ำกว่า 9 ปีที่มีภาวะอ้วนมีความเกี่ยวโยงกับการรับประทานอาหารด้วยอารมณ์มากกว่าเด็กที่มีน้ำหนักปกติ

 

ชาติพันธุ์ (Ethnic Background)

การศึกษาของ Jingxiong และคณะ (2007) พบว่าผู้ปกครองในประเทศจีนใช้อาหารเป็นการแสดงความรัก ความห่วงใย รวมถึงการฝึกลูกหลานของตนเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่นเดียวกับงานวิจัยของ Steinegger, Dorn, Goody, Khoury และ Daniels (2005) ที่พบว่าสตรีแอฟริกันอเมริกันมีความเสี่ยงที่จะรับประทานอาหารด้วยอารมณ์เป็นพิเศษในช่วงวัยรุ่นตอนต้น

 

อิทธิพลของครอบครัว (Familial Influence)

เด็กอาจเรียนรู้การรับประทานอาหารด้วยอารมณ์ ผ่านการสังเกตและเลียนแบบของพ่อแม่ นอกจากนี้ Snoek และคณะ (2007) เสนอว่า ลูกในวัยรุ่นที่มีรายงานว่าได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์น้อย มักมีความเสี่ยงในการรับประทานอาหารด้วยอารมณ์มากกว่าวัยรุ่นที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ปกครอง

 

ลักษณะบุคลิกภาพ (Dispositional Characteristic)

การศึกษาของ Benjamin และ Wulfert (2002) พบว่าลักษณะร่วมของผู้ที่รับประทานอาหารด้วยอารมณ์และการติดแอลกอฮอล์มีบุคลิกภาพหุนหันพลันแล่นและคล้อยตามสังคมได้ง่าย

 

 


 

รายการอ้างอิง

 

“ผลของกลุ่มการปรึกษาเชิงจิตวิทยาแนวปัญญาพฤติกรรมนิยมต่อการรับประทานอาหารด้วยอารมณ์และการรับรู้ความสามารถของตนในการลดน้ำหนักของนิสิตนักษึกษาหญิง” โดย ภาสุร จึงแย้มปิ่น (2554) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/55391

 

ภาพจาก https://www.fitfoundme.com/kick-emotional-eating-curb/