News & Events

จิตวิทยาการปรึกษา

“จิตวิทยาการปรึกษา” หรือในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Counseling Psychology นั้น เป็นศาสตร์หนึ่งด้านจิตวิทยา ที่มุ่งเน้นในการให้บริการแก่บุคคลทั่วไป เพื่อให้บุคคลสามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างเต็มศักยภาพในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านชีวิตส่วนตัว และด้านการทำงาน โดยเราจะเรียกบุคคลที่ประกอบวิชาชีพในด้านจิตวิทยาการปรึกษาว่า “นักจิตวิทยาการปรึกษา”

 

การทำงานของนักจิตวิทยาการปรึกษา เป็นกระบวนการที่นักจิตวิทยาการปรึกษาทำหน้าที่ในฐานะผู้เอื้ออำนวยให้บุคคลที่มารับบริการ ได้เข้าใจปัญหาของตนเองได้อย่างชัดเจน ผ่านกระบวนการสำรวจภายในตนเอง จนสามารถตระหนักรู้ในตนเองตลอดจนปัญหาต่าง ๆ ที่ตนมี และนำไปสู่การพัฒนาแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคคล

 

จากความหมายดังกล่าวจะสรุปได้ว่าศาสตร์ด้านจิตวิทยาการปรึกษาเป็นศาสตร์เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านจิตใจและเอื้ออำนวยบุคคลให้พัฒนาตนอย่างเต็มศักยภาพ

 

ชมรมจิตวิทยาการปรึกษา (Society of Counseling Psychology) สังกัดสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (American Psychological Association) ได้สรุปข้อมูลเกี่ยวกับความเฉพาะทางของจิตวิทยาการปรึกษาในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้

 

  1. มุมมองต่อผู้มารับบริการ บุคคลในวิชาชีพจิตวิทยาการปรึกษามีการมองผู้มารับบริการอย่างให้คุณค่าและความสำคัญในความเป็นมนุษย์ อันจะสะท้อนต่อมาที่แนวทางในการทำงานร่วมกับผู้มารับบริการของนักจิตวิทยาการปรึกษา จะมุ่งเน้นในการพัฒนาความเข้มแข็งของบุคคล นอกจากนี้นักจิตวิทยาการปรึกษาจะทำความเข้าใจปัญหาของผู้มารับบริการผ่านมุมมองด้านการพัฒนาการ
  2. เป้าหมายของการทำงานในด้านจิตวิทยาการปรึกษานั้น สามารถทำงานทั้งในลักษณะการมุ่งป้องกันการเกิดขึ้นของปัญหาในอนาคต โดยส่งเสริมให้มีผู้มารับบริการมีความเข้มแข็งทางจิตใจ มีสุขภาวะ หรือที่เรียกกันว่างานในลักษณะการป้องกันและส่งเสริม และการให้การช่วยเหลือเพื่อเยียวยาปัญหาต่าง ๆ ในจิตใจ หรือที่เรียกกันว่างานในลักษณะการบำบัดเยียวยา

 

Psychology, therapy, psychiatry, mental health and counseling concept. candid shot of nervous self conscious young male in glasses telling middle aged female counselor about his problems at work

 

 

เมื่อนึกถึงคำว่านักจิตวิทยา คนทั่วไปอาจมีภาพในใจว่า การปรึกษาเชิงจิตวิทยามีลักษณะเดียวกับภาพที่เราเคยเห็นในภาพยนตร์ ที่มีตัวละครนอนบนโซฟายาว แล้วเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ตัวละครที่นั่งอยู่ด้านหลังฟัง ซึ่งภาพในใจจากฉากในภาพยนตร์ที่เราเห็นเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งในการให้บริการปรึกษาเชิงจิตวิทยา ที่ได้รับอิทธิพลจากแนวทางของซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ซึ่งเป็นจิตแพทย์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง โดยในปัจจุบันอาจยังมีนักจิตวิทยาการปรึกษาบางท่านใช้รูปแบบเช่นในภาพยนตร์อยู่ หรืออาจใช้รูปแบบอื่น ๆ ในการพูดคุยกับผู้มารับบริการ โดยรูปแบบการปรึกษาเชิงจิตวิทยา จะเป็นการนั่งพูดคุยกันระหว่างนักจิตวิทยาการปรึกษาและผู้รับบริการ และจะแตกต่างกันออกไปตามกรอบความคิดทางทฤษฏีการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัดที่นักจิตวิทยาการปรึกษาเข้าใจและยึดถือ ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้มีการพัฒนาออกไปอย่างมากมาย

 

การปรึกษาเชิงจิตวิทยาเป็นกระบวนการของสัมพันธภาพที่พิเศษที่มุ่งให้ผู้ที่มีปัญหาได้มีโอกาสหยุดกระบวนการคิดที่ไม่เหมาะสม และได้มีโอกาสเพ่งพิจารณาและทำความเข้าใจปัญหาของตน ด้วยสติปัญญาชัดเจน จนมองเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาของตนด้วยตนเอง กระบวนการปรึกษาเชิงจิตวิทยาเป็นการเอื้อให้บุคคลได้พัฒนาตนให้เต็มศักยภาพ โดยมีนักจิตวิทยาการปรึกษาเป็นผู้เอื้ออำนวยในกระบวนการ นักจิตวิทยาการปรึกษาไม่ใช่ผู้แก้ปัญหา และจะไม่เข้าไปบงการแนะนำ หรือ แทรกแซงผู้รับบริการ แต่จะเป็นผู้ที่ใช้ความชำนาญที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษในการช่วยให้ผู้รับบริการสามารถจัดการกับปัญหาได้ด้วยตนเอง

 

 

ความเหมือนและแตกต่างระหว่างนักจิตวิทยาการปรึกษาและผู้ที่ทำงานให้บริการด้านสุขภาพจิตในวิชาชีพต่าง ๆ

 

 

นักจิตวิทยาการปรึกษา VS จิตแพทย์

 

นักจิตวิทยาการปรึกษาไม่ใช่จิตแพทย์ แม้จะมีการทำงานอยู่ในเส้นทางเดียวกันในการดูแลสุขภาพจิตของบุคคล ให้การบำบัดรักษาปัญหาจิตใจ หรือมีเรื่องที่กระทบกระเทือนทางจิตใจ อันส่งผลต่อการดำเนินชีวิต แต่ความแตกต่างกันคือ จิตแพทย์ซึ่งเรียนทางด้านการแพทย์ เน้นการให้บริการกับผู้ที่มีความเจ็บป่วยทางจิต และสามารถใช้ยาประกอบในการบำบัดรักษาผู้ป่วยได้ ในขณะที่นักจิตวิทยาการปรึกษาจะใช้การบำบัดรักษาทางจิต หรือการปรึกษาเชิงจิตวิทยา เป็นเครื่องมือหลักในการทำงาน และให้บริการส่วนใหญ่กับผู้ที่มีปัญหากระทบกระเทือนทางจิตใจ และการพัฒนาส่งเสริมให้เกิดความงอกงามเข้มแข็งทางจิตใจ

 

นักจิตวิทยาการปรึกษา VS นักจิตวิทยาคลินิก

 

ชมรมจิตวิทยาการปรึกษา สังกัดสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน ได้กล่าวเกี่ยวกับความเหมือนและความแตกต่างระหว่างจิตวิทยาการปรึกษาและจิตวิทยาคลินิคไว้ว่า ในบรรดาศาสตร์ด้านจิตวิทยาทั้งหมด งานด้านจิตวิทยาการปรึกษาและจิตวิทยาคลินิคเป็นงานที่มีความใกล้เคียงกันมากที่สุด แต่รากฐานในการเริ่มต้นของงานทั้งสองด้านมีความแตกต่างกัน โดยจิตวิทยาคลินิคเริ่มต้นจากการศึกษาความผิดปกติทางจิต หากจิตวิทยาการปรึกษามีจุดเริ่มต้นมาจากการให้คำแนะนำด้านอาชีพ โดยจิตวิทยาการปรึกษายังคงมุ่งเน้นในการให้บริการตลอดทุกช่วงวัยให้มีการปรับตัวได้อย่างเหมาะสมและมุ่งเน้นในการทำงานกับกลุ่มคนทั่วไปในสังคม เพื่อให้บุคคลสามารถพัฒนาตนเองเสริมสร้างความเข้มแข็งและปรับตัวได้อย่างเหมาะสมในทุกช่วงชีวิต แม้จะมีนักจิตวิทยาการปรึกษาที่ให้ความสนใจในการศึกษาเรื่องความผิดปกติทางจิตอยู่บ้าง ดังจะเห็นได้จากผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการต่าง ๆ

 

 

การมารับบริการจากนักจิตวิทยาการปรึกษาจะก่อให้เกิดประโยชน์กับตัวผู้มารับบริการได้อย่างไร?

 

การเข้ารับบริการจากนักจิตวิทยาการปรึกษาจะเกิดประโยชน์ต่อผู้มารับบริการในด้านการจัดการกับปัญหา คลายความไม่สบายใจ และมีแนวทางในการพัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพ โดยเกิดความเข้าใจในตนเอง ซึ่งความเข้าใจในตนเองนี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ในปัจจุบันและปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และสามารถวางแนวทางการดำเนินชีวิตของตนได้อย่างเหมาะสม โดยผู้มารับบริการจะสามารถเผชิญกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างมั่นคง และสามารถจัดการปัญหาของตนได้อย่างสอดคล้อง และเหมาะสมกับความเป็นจริง ผู้มารับบริการจะสามารถค้นพบศักยภาพของตนเองและใช้ศักยภาพนั้นได้อย่างเต็มที่ ในการพัฒนาตนเองไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ และขยายทัศนะในการมองโลก และชีวิตก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตนเองในทางที่ดี

 

ผู้ที่จะมารับบริการจากนักจิตวิทยาการปรึกษาคงจะไม่จำกัดแค่เพียงผู้ที่มีความผิดปกติทางจิตเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วคนทั่ว ๆ ไปสามารถมารับบริการการปรึกษาเชิงจิตวิทยาได้เมื่อเขามีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจและส่งผลต่อการดำเนินชีวิต หรือไม่ได้มีปัญหาอะไรก็สามารถพบนักจิตวิทยาการปรึกษาเพื่อให้ตนมีชีวิตส่วนตัว ครอบครัว และประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น การปรึกษาเชิงจิตวิทยา ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแต่เฉพาะผู้ที่มีปัญหาในชีวิตเท่านั้น เพราะนอกเหนือจากช่วยเหลือคนเหล่านี้แล้ว การปรึกษาเชิงจิตวิทยายังเน้นการส่งเสริมให้บุคคลทั่วไปพัฒนาศักยภาพของตนในด้านต่าง ๆ และช่วยให้คนเหล่านั้นเข้าใจตนเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจกันและกันมากยิ่งขึ้น

 

 

รูปแบบในการบริการปรึกษาเชิงจิตวิทยา

 

การบริการปรึกษารายบุคคล (Individual Counseling)

 

จะเป็นรูปแบบในการบริการที่นักจิตวิทยาการปรึกษาและผู้มารับบริการมาพบกันเป็นรายบุคคล โดยผู้มารับบริการ 1 ท่านจะพบกับนักจิตวิทยาการปรึกษา 1 ท่านอย่างเป็นส่วนตัวเพื่อบอกเล่าถึงปัญหา หรือเรื่องราวที่อยากพัฒนาให้นักจิตวิทยาการปรึกษารับฟังและร่วมกันหาหนทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยรูปแบบในการบริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาแบบรายบุคคล โดยส่วนใหญ่แล้วผู้มารับบริการและนักจิตวิทยาการปรึกษาจะพบกันเป็นรายสัปดาห์ สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ครั้งละประมาณหนึ่งชั่วโมง

 

การปรึกษาเชิงจิตวิทยาแบบกลุ่ม (Group Counseling)

 

จะมีรูปแบบในการบริการที่ผู้มารับบริการประมาณ 6-12 คน หรือในกรณีที่เป็นกลุ่มจิตศึกษา (Psychoeducation group) อาจมีสมาชิกมากกว่านี้ได้ ทั้งนี้สมาชิกที่เข้ามาร่วมกลุ่มต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ที่มีการกำหนดเฉพาะในแต่ละกลุ่ม ซึ่งวัตถุประสงค์ของกลุ่มจะสอดคล้องกับความต้องการของผู้มารับบริการที่เป็นสมาชิกกลุ่ม เช่น กลุ่มการปรึกษาเชิงจิตวิทยาเพื่อการพัฒนาการเห็นคุณค่าในตนเอง กลุ่มการปรึกษาเชิงจิตวิทยาสำหรับเด็กที่มาจากครอบครัวหย่าร้าง โดยการดำเนินกลุ่มจะมีนักจิตวิทยาการปรึกษาที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำกลุ่ม 1 – 2 ท่าน ทั้งนี้บทบาทของนักจิตวิทยาการปรึกษาในฐานะผู้นำกลุ่มจะเป็นผู้เอื้อให้บรรยากาศของกลุ่มเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และเอื้ออำนวยของการพัฒนาตนอย่างเต็มศักยภาพของสมาชิกกลุ่มแต่ละคน ทั้งนี้รูปแบบในการบริการกลุ่มการปรึกษาเชิงจิตวิทยาจะมีทั้งรูปแบบการนัดเป็นรายสัปดาห์ หรือการนัดเป็นช่วงยาวต่อเนื่อง

 

People conversing at a group therapy session

 

นอกจากการบริการในรูปแบบหลัก ๆ 2 รูปแบบดังกล่าวแล้ว ยังมีการบริการปรึกษาเชิงจิตวิทยารูปแบบอื่น ๆ อีก เช่น ครอบครัวบำบัด คู่สมรสบำบัด และยังมีรูปแบบในการบริการที่เป็นไปเพื่อการเข้าถึงผู้มารับบริการให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการบริการผ่านสายด่วนเยียวยาจิตใจ การบริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาออนไลน์ เป็นต้น

 

 


 

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์
Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

ภาพประกอบ https://www.freepik.com

 

จิตวิทยาสังคม

“จิตวิทยาสังคม” หรือ “Social Psychology” เป็นจิตวิทยาสาขาหนึ่งในหลากหลายสาขาทางจิตวิทยา โดยจุดเน้นของจิตวิทยาสังคมคือ การศึกษาพฤติกรรม ความคิด ความรู้สึกของคนเรา ที่ได้รับอิทธิพลจากคนอื่น ๆ รอบตัวเรา เพราะคนเราอยู่ร่วมกันเป็นสังคมและเกี่ยวข้องกับคนอื่น ๆ อยู่เสมอ ตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัว ครูอาจารย์ เพื่อนที่โรงเรียน เพื่อนที่ทำงานและเจ้านาย หรือกระทั่งพนักงานขายอาหาร และคนแปลกหน้าที่เราพบเจอ หรือคนที่เราไปติดต่อธุระด้วยในแต่ละวัน

 

จิตวิทยาสังคมเป็นศาสตร์ที่ศึกษาว่า รูปร่างท่าทาง การกระทำต่าง ๆ การแสดงออกของคนเหล่านั้น ส่งผลต่อการตอบสนองของเราอย่างไรบ้าง และในทางกลับกัน ท่าทีและการกระทำของเราส่งผลอย่างไรต่อคนรอบข้างเรา

 

ยกตัวอย่างเช่น การที่เราแต่งตัวปอน ๆ เดินเข้าไปในร้านอาหาร อาจจะทำให้พนักงานบริการเราไม่ดี เทียบกับเมื่อเราแต่งตัวภูมิฐานเข้าไปใช้บริการ และการที่บริกรพูดกับเราไม่ดี ก็อาจจะทำให้เราตอบโต้ด้วยท่าทางไม่เป็นมิตร กลายเป็นวัฎจักรของการส่งอิทธิพลต่อกันและกันได้

 

นักจิตวิทยาสังคมจึงมีหัวข้อให้ศึกษามากมาย ตั้งแต่เรื่องการตีความและตัดสินบุคคลอื่น เช่น ในการสัมภาษณ์งานเราควรจะแต่งกายและนำเสนอตัวเองอย่างไร จึงจะสร้างความประทับใจได้ ความคิดความรู้สึกที่เรามีต่อตัวเอง ส่งผลต่อการไปเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอย่างไร เช่น คนที่เห็นคุณค่าในตัวเองต่ำอาจจะพยายามโพสต์แต่สิ่งดี ๆ เกี่ยวกับตัวเองให้คนอื่นเห็นในเฟซบุ๊ก ไปจนถึงเรื่องการโน้มน้าวใจผู้อื่น การคล้อยตาม และเทคนิคการขอร้องให้ได้ผล การตัดสินใจเกี่ยวกับผู้อื่น ความชอบ / ไม่ชอบสิ่งต่าง ๆ การช่วยเหลือกัน การทำร้ายกันหรือการแสดงความก้าวร้าว ความขัดแย้งและการจัดการความขัดแย้ง พฤติกรรมในกลุ่ม ความรักและความชอบพอดึงดูดใจ การเป็นผู้นำหรือหัวหน้า เป็นต้น

 

จิตวิทยาสังคมมักจะแบ่งออกเป็น 3 หัวข้อใหญ่ ๆ คือ

  1. การนึกคิดเกี่ยวกับผู้อื่น
  2. การมีอิทธิพลต่อผู้อื่น
  3. ความสัมพันธ์กับผู้อื่น

 

หัวข้อแรกคือ การนึกคิดเกี่ยวกับผู้อื่นนั้น เป็นการศึกษาว่าคนเราตัดสินผู้อื่นและเรื่องต่าง ๆ อย่างไร ดูจากตรงไหน เราสรุปได้อย่างไรว่าคน ๆ หนึ่งน่าจะใจดีหรือไม่น่าไว้ใจ ข้อค้นพบที่น่าสนใจก็เช่น คนเราได้รับอิทธิพลจากเรื่องลบ ๆ หรือลักษณะที่ไม่ดีของอีกฝ่ายหนึ่งมากกว่าลักษณะดี ๆ ของเขา คนเรายังตัดสินคนจากประสบการณ์ในครั้งแรก ๆ หรือช่วงแรก ๆ ที่พบกัน หรือที่เรียกว่าความประทับใจแรกพบนั่นเอง แถมเรายังมีความลำเอียงในการตัดสินคนอื่น ๆ อีกหลายประการ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้โดยตรงในการสัมภาษณ์งานเพื่อคัดเลือกบุคคลหรือการประเมินบุคคลในสถานการณ์ต่าง ๆ

 

การนึกคิดเกี่ยวกับผู้อื่นยังหมายถึง การที่เราตัดสินเหตุผลในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ของผู้อื่นและตัวเราเองด้วย เช่น เราสอบตก ตกเพราะอะไร ตกเพราะเราไม่เก่งหรือเพราะเราอ่านหนังสือไม่มากพอ การอธิบายเหตุการณ์สมหวังและผิดหวังนี้ อาจส่งผลถึงสุขภาพจิตของเราได้ การนึกคิดเกี่ยวกับผู้อื่นยังรวมถึงเวลาที่เราตัดสินว่าอะไรดีไม่ดี สิ่งใดหรือสินค้าใดเข้าท่าน่าซื้อหรือไม่อีกด้วย เรียกว่าการศึกษาเจตคติ ซึ่งสามารถประยุกต์ไปใช้ในเรื่องการสร้างความชอบต่อสินค้าหรือโฆษณาในแวดวงการตลาด หรือแม้แต่การชอบพรรคการเมืองหรือนักการเมืองได้

 

 

การมีอิทธิพลต่อผู้อื่น ในหัวข้อนี้นักจิตวิทยาสังคมจะเน้นศึกษาว่า คนเราสามารถทำให้อีกคนหนึ่งเปลี่ยนใจ เปลี่ยนความเชื่อ หรือเปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างไร และมีเทคนิคอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการโน้มน้าวใจว่ามีทฤษฎีหรือขั้นตอนวิธีการให้ประสบความสำเร็จอย่างไรบ้าง การขอร้องให้คนอื่นทำอะไรให้เรา ควรจะพูดอย่างไรให้ประสบผลสำเร็จ เมื่อไรควรจะใช้พรีเซนเตอร์หรือผู้เชี่ยวชาญมาโฆษณาสินค้าของเรา ดังนั้น หัวข้อทางด้านการโน้มน้าวใจจึงเป็นที่นิยมและสามารถประยุกต์ใช้ได้ ทั้งในด้านการตลาด การสื่อสารเพื่อสร้างภาพลักษณ์ และในทางธุรกิจ นอกจากนี้ยังสามารถประยุกต์ใช้ได้กว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์ให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น หันมาออกกำลังกายมากขึ้น เลิกสูบบุหรี่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด หรือหันมาประหยัดพลังงาน อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้นก็ได้ การมีอิทธิพลต่อผู้อื่นยังรวมถึงเรื่องการคล้อยตามแรงกดดันของคนในกลุ่ม หรือผู้มีอำนาจ เพื่อศึกษาว่าคนเราจะยอมทำตามคำสั่งของผู้มีอำนาจเหนือกว่าหรือไม่ เมื่อใดเราจึงมักจะคล้อยตามผู้อื่น และยังศึกษาถึงการกระทำของคนเมื่ออยู่ในกลุ่ม เช่น เมื่อเราทำงานร่วมกับผู้อื่นคนเรามักจะอู้งาน นักจิตวิทยาสังคมจะศึกษาว่าทำไมคนเราอู้งาน และจะป้องกันการอู้งานได้อย่างไร ในการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มยังอาจจะมีหัวหน้า นักจิตวิทยาสังคมก็จะศึกษาเรื่องการเป็นผู้นำ คืออะไร ผู้นำที่ดีเป็นอย่างไร เป็นต้น

 

จะเห็นได้ว่าหัวข้อเหล่านี้ สามารถประยุกต์ไปใช้ประโยชน์ในบริบทต่าง ๆ ได้มาก โดยเฉพาะการทำงานเป็นกลุ่มหรือเป็นทีม การมีหัวหน้างานที่เป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการออกแบบแคมเปญรณรงค์ให้คนไทยหันมาทำสิ่งดี ๆ เช่น งดเหล้าเข้าพรรษา หรือโตไปไม่โกง เป็นต้นค่ะ นี่คือหนทางหนึ่งที่นักจิตวิทยาสังคมสามารถช่วยสังคมแก้ปัญหาพฤติกรรมต่าง ๆ ได้

 

Millennial group of young businesspeople asia businessman and businesswoman celebrate giving five after dealing feeling happy and signing contract or agreement at meeting room in small modern office.

 

 

ความสัมพันธ์กับผู้อื่น แน่นอนว่าเราสามารถมีความรัก เกลียด ช่วยเหลือเกื้อกูล และทำร้ายผู้อื่นได้ นักจิตวิทยาสังคมศึกษาสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพราะเป็นเรื่องที่ว่าด้วยความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันระหว่างคนกับคน นักจิตวิทยาสังคมศึกษาเรื่องความรักและความสัมพันธ์ ตั้งแต่ความรักคืออะไร มีปัจจัยใดบ้างที่ทำให้คนเราชอบพอกัน การรักษาความสัมพันธ์ของคู่รักทำได้อย่างไร การแก้ไขปัญหาในความสัมพันธ์ทำได้อย่างไรบ้าง รักแล้วก็มีเกลียด นักจิตวิทยาสังคมศึกษาเรื่องการรังเกียจกลุ่ม ซึ่งหมายถึงการไม่ชอบใครสักคนหรือกลุ่มคนสักกลุ่มเพียงเพราะเขามาจากกลุ่ม ๆ นี้อันเป็นการเหมารวมที่ไม่ยุติธรรม เช่น การดูถูกเพศหญิง อาจทำให้ผู้หญิงถูกกีดกันไม่ให้ขึ้นเป็นหัวหน้าในหน่วยงาน การดูถูกคนจากประเทศที่เรามองว่าด้อยความเจริญ เป็นต้น และแน่นอนว่านักจิตวิทยาสังคมศึกษาเทคนิควิธีที่จะเอาชนะการรังเกียจกลุ่ม ที่ช่วยให้คนเราลดอคติ และอยู่ร่วมกันได้แม้จะแตกต่างกัน

 

นักจิตวิทยาสังคมยังวิจัยว่าทำไมคนเราจึงช่วยเหลือกัน อะไรเป็นปัจจัยทำให้เราทำเพื่อผู้อื่น เช่น บริจาคเงิน ออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท หรือเสี่ยงอันตรายช่วยเหลือคนอื่นในสถานการณ์ฉุกเฉิน และสุดท้ายจิตวิทยาสังคมยังทำความเข้าใจ การจงใจทำร้ายผู้อื่นหรือการแสดงความก้าวร้าว ว่าทำไมคนเราจึงทำร้ายกัน เช่น ตกลงว่าการเล่นวีดีโอเกม ที่มีเนื้อหารุนแรงเช่นการต่อสู้และการฆ่ากันนั้น ส่งผลให้ผู้เล่นออกมาทำร้ายผู้อื่นโลกความจริง อันมักจะเป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ นั้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า จะเห็นได้ว่าเนื้อหาของจิตวิทยาสังคมนั้นกว้างขวาง เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

 

Upset couple sitting back to back and ignoring each other. couple sitting on couch.

 

 

นักจิตวิทยาสังคมสามารถเลือกศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของคู่รัก การทำงานร่วมกันในกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพ เทคนิคการโน้มน้าวใจที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในแวดวงโฆษณาและการตลาดได้ ไปจนถึงการศึกษาเรื่องความขัดแย้งและการสร้างความปรองดองระหว่างกลุ่มคนต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำไปกำหนดแนวนโยบายระดับสังคมได้

 

วิธีที่นักจิตวิทยาสังคมใช้ทำวิจัยพฤติกรรมต่าง ๆ มีลักษณะเน้นการทดลอง และใช้การศึกษาวิจัยที่เป็นวิทยาศาสตร์ รอบคอบและเป็นระบบ นักจิตวิทยาสังคมจึงมีทักษะทางด้านการวิจัยและสถิติอีกด้วย โดยทักษะเหล่านี้จะทำให้นักจิตวิทยาสังคม สามารถทำงานได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นนักวิจัยหรือนักวิชาการในสถานศึกษาหรือมหาวิทยาลัย ผู้ออกแบบแคมเปญทางด้านการตลาดและนักวิจัยทางด้านพฤติกรรมผู้บริโภค ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและการสร้างมาตรวัด ในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน ผู้อบรมและพัฒนาทักษะด้านการโน้มน้าวใจและการเจรจาต่อรอง อีกทั้งยังสามารถเป็นที่ปรึกษาหรือผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามบริษัทต่าง ๆ เช่น การพัฒนาความเป็นผู้นำแก่หัวหน้าหน่วยงาน เป็นต้น นอกจากนี้ นักจิตวิทยาสังคมยังสามารถทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในด้านอื่น ๆ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม เช่น การสอบปากคำผู้ต้องหา การชี้ตัวผู้ต้องหา การวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรม เป็นต้น

 

 


 

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัชราภรณ์ บุญญศิริวัฒน์
Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

ภาพประกอบ https://www.freepik.com/

น้อมนำทำตามพระบรมราโชวาท “บทเรียนจากการฟัง”

 

พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๒๕ นั้น มีเนื้อความตอนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของการฟัง ดังเนื้อความที่ว่า

 

“การศึกษาเพิ่มเติมที่แต่ละคนพึงกระทำนั้น กล่าวได้ว่ามีอยู่สองทาง ทางหนึ่งคือศึกษาค้นคว้าจากตำรับตำรา และวิเคราะห์วิจัยตามระบบและวิธีการ ที่ปฏิบัติกันในมหาวิทยาลัย อีกทางหนึ่งคือสดับตรับฟัง สังเกต จดจำจากการกระทำคำพูดของบุคคล รวมทั้งเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้ประสบผ่าน แม้แต่อุปสรรคความผิด พลาดของตนเอง ก็อาจนำมาคิดพิจารณาให้เป็นบทเรียนที่ทำให้เกิดความรู้ ความคิด ความฉลาด ได้ทั้งสิ้น”

 

ดังที่ปรากฏในพระบรมราโชวาท การฟังเป็นกระบวนการส่วนหนึ่งที่เอื้ออำนวยให้คนเราได้พัฒนาตนเอง เกิดการรู้คิดและสติปัญญา เนื่องจากชีวิตประจำวันของเรานั้นมีการฟังเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตลอด การทบทวนถึงแนวทางที่จะใช้ข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับจากการฟัง ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการเรียนรู้จึงมีความสำคัญ แนวทางเหล่านี้อาศัย “การเปิด” ในหลาย ๆ ด้าน ดังตัวอย่าง “การเปิด” สามด้านต่อไปนี้ค่ะ

 

 

“เปิดโอกาสในการเรียนรู้”

 

การไม่เป็นน้ำเต็มแก้ว แล้วเปิดพื้นที่ให้ตัวเองได้เรียนรู้พัฒนาในด้านต่างๆ นับเป็นจุดเริ่มต้นในการใช้ประโยชน์จากการฟัง บางครั้งบางหน หลายคนอาจลังเลที่จะใช้ประโยชน์นี้ในการเปลี่ยนแปลงตนเอง เพราะรู้สึกราวกับว่าตนเองดีพอ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน ส่งผลให้เกิดการปิดกั้น ไม่รับฟัง พลอยทำให้ขาดโอกาสในการใช้ฟังให้เกิดประโยชน์สุดสูง

 

“เปิดใจให้ลดอคติ”

 

ภายหลังจากการเปิดโอกาสที่จะได้เรียนรู้จากการฟัง การเปิดใจรับข้อมูลใหม่โดยไม่นำเอาอคติหรืออารมณ์ความรู้สึกเข้ามามีผลต่อการประเมินข้อมูลก็มีความสำคัญมากๆ ค่ะ เพราะอคติ ทั้งทางบวกหรือลบ ไม่ว่าจะเป็นความลุ่มหลงศรัทธาหรือความชิงชังไม่ไว้เนื้อเชื่อใจผู้พูด หรืออารมณ์ความรู้สึกต่าง เช่น ความกลัวเกรงใจหรือความรู้สึกหงุดหงิดขัดใจกับข้อมูลที่แตกต่างไปจากความคิดของตนเอง จะเข้ามามีผลแทรกแซงทำให้คนเราไม่ได้มีโอกาสคิดใคร่ครวญถึงความสมเหตุสมผลของข้อมูลที่ได้รับ ดังที่จะกล่าวถึงในลำดับต่อไปค่ะ

 

“เปิดการคิดไตร่ตรอง”

 

การเปิดสุดท้ายที่ขาดไปเสียไม่ได้คือการเปิดโอกาสทำการคิดไตร่ตรองถึงข้อมูลที่ได้รับ โดยเฉพาะในแง่ของความสมเหตุสมผลว่าสมควรหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด ที่จะเก็บไว้ในคลังการเรียนรู้ของเราเองดังที่กล่าวไปในข้างต้น การที่จะคิดไตร่ตรองใช้วิจารณญาณนี้ได้เต็มที่ต้องอาศัยการเปิดใจไม่ใช้อคติในการฟังค่ะ

 

 

จากการเปิดทั้งสามด้านข้างต้น เราแต่ละคนน่าที่จะพร้อมในการใช้ประโยชน์จากการฟังได้มากขึ้น เพื่อที่จะมาซึ่งการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงพัฒนาตนเอง เสริมสร้างการรู้คิดและสติปัญญาดังพระบรมราโชวาทที่อัญเชิญมาค่ะ

 

 

 


 

 

บทความโดย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กุลยา พิสิษฐ์สังฆการ

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

รักครั้งแรกไม่ยั่งยืนจริงหรือ?

 

คุณยังจำความรักครั้งแรกกันได้หรือไม่?

 

เด็กสาวตากลมโตที่เรียนอยู่ห้องข้าง ๆ ผู้มียิ้มแสนน่ารัก เวลาเดินสวนกัน เราจะต้องแกล้งหันมองไปทางอื่น แต่พอเดินผ่านแล้ว เราก็ต้องเหลียวหลังกลับมาแอบมอง หรือ ชายหนุ่มรุ่นพี่มาดคมเข้ม ที่เราแอบปลื้ม ฝันว่าสักวันเขาจะมาสนใจเรา ความรักครั้งแรกสำหรับบางคนก็อาจเป็นการแอบชอบอยู่ฝ่ายเดียว แต่สำหรับบางคนเมล็ดพันธุ์ความรักนี้ก็ผลิดอกออกผล

 

อย่างไรก็ดีความรักครั้งแรกมักถูกมองว่า ไม่จีรังยั่งยืน เกิดขึ้นเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เป็นความรักของเด็ก ๆ ขาดเหตุผล ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อสมัยเรายังเด็ก ผู้ใหญ่มักจะสอนให้เราระมัดระวังตัว อย่าจริงจังทุ่มเทกับความรักจนมากเกินไป ระวังจะน้ำตาเช็ดหัวเข่า แม้กระนั้นเราก็ยังคงได้ยินได้ฟังเรื่องราวของคู่รักที่พบรักกันครั้งแรกและประคับประคอง ดูแลรักษาความรักนั้นจนได้แต่งงานอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

 

เหตุใดความรักครั้งแรกของบางคนจึงร้างลา ในขณะที่บางคนสามารถรักษาความรักครั้งแรกนั้นไว้ได้ แท้จริงแล้วความรักครั้งแรกไม่ยั่งยืนจริงหรือ? เพื่อตอบคำถามนี้เราต้องทำความรู้จักความรักกันก่อน

 

 

ความรักคืออะไร?


 

เมื่อเราถามว่าความรักคืออะไร เรามักได้ยินคำนิยามหลากหลายแบบ นักจิตวิทยาได้พยายามวิเคราะห์ว่าความรักนั้นคืออะไร แม้จะยังไม่มีคำนิยามที่แน่ชัด แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันว่าความรักนั้นเป็นมากกว่าความเป็นเพื่อนและมากกว่าความพิศวาสหรือความดึงดูดใจระหว่างเพศ นักจิตวิทยาจึงเสนอว่าความรักนั้นเป็นการผสมผสานระหว่างอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์แบบใกล้ชิด เนื่องจากความรักเกิดจากการผสมผสานของอารมณ์ ความคิดและพฤติกรรม ความรักจึงมีได้หลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับส่วนผสมของความรักนั้น ๆ

 

รูปแบบความรักที่มักกล่าวถึงกันมีสองรูปแบบใหญ่ แบบแรกคือความรักแบบเสน่หา เป็นความรักที่ประกอบไปด้วยอารมณ์ที่เข้มข้น รุนแรง ความรักแบบเสน่หานี้มักเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว การหลงรักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นความรู้สึกที่เอ่อล้นขึ้นมา และรุนแรงจนควบคุมความรู้สึกนั้นไม่อยู่ ความรักแบบนี้มีอารมณ์เป็นส่วนผสมหลัก โลกทั้งใบจึงกลายเป็นสีชมพู เหมือนตัวเราจะล่องลอยไปในความรัก ทุกสิ่งดูสดใสและมีชีวิตชีวา แต่ในขณะเดียวกันอารมณ์ที่เป็นใหญ่ก็มักทำให้มองสิ่งต่าง ๆ ไม่ตรงตามความเป็นจริง ใช้เหตุผลตัดสินใจน้อยลง และมักไม่เชื่อว่าความรักนี้จะสิ้นสุดลง เมื่อผิดหวัง อารมณ์เสียใจที่รุนแรงจึงตามมา อย่างไรก็ตามความเสน่หานี้ก็เป็นสิ่งที่เหมือนตัวชูรสให้ความรักสดใสอยู่เสมอ

 

แบบที่สองคือความรักแบบมิตรภาพผูกพัน ความรักแบบนี้แตกต่างออกไปจากความรักแบบเสน่หา ความรักแบบมิตรภาพผูกพันเกิดจากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันอย่างลึกซึ้งระหว่างคนสองคน คู่รักแบบมิตรภาพผูกพันมีสิ่งที่คล้ายคลึงกันหลายอย่าง คอยดูแลใส่ใจอีกฝ่ายหนึ่ง และแสดงออกถึงความชอบและการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ความรักแบบนี้จึงไม่หวือหวา รุนแรง แตกต่างจากความรักที่เรามักพบเห็นตามภาพยนตร์ หรือนิยายรักหวานซึ้ง ในขณะที่ ความรักในแบบเสน่หานั้นชวนให้หลงใหลอยู่ในภวังค์ ความรักแบบมิตรภาพผูกพันนั้นเกิดจากสายใยมิตรภาพและความเข้าใจที่ลึกซึ้ง ไม่จำเป็นต้องหวานซึ้งเหมือนในละคร แต่คือความรักที่มองตาก็รู้ใจ คือความเป็นเพื่อนที่ลึกซึ้งที่กว่าเพื่อนใด ๆ

 

 

ความรักแบบไหนที่น่าจะยืนยาวกว่ากัน?


 

นักจิตวิทยาเชื่อว่าความรักแบบมิตรภาพผูกพันจะเป็นความรักที่ยั่งยืนกว่า เพราะเป็นความรักที่มีส่วนประกอบของการคิด การใช้เหตุผลมากกว่าความรักแบบเสน่หา เรามักพบเห็นอยู่เสมอว่าความรักครั้งแรกเป็นความรักแบบเสน่หา ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล มักเกิดขึ้นจากความพึงตาต้องใจและความใกล้ชิดมากกว่าความสนิทสนมและเข้ากันได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเราจะสรุปได้เลยหรือไม่ว่าความรักครั้งแรกนั้นไม่ยั่งยืน ก่อนจะตอบคำถามนี้เราคงต้องทำความเข้าใจธรรมชาติของวัยรุ่น วัยที่เริ่มมีความรักกันก่อนดีกว่า

 

วัยรุ่นเป็นวัยที่ร่างกายและจิตใจพร้อมและเริ่มสนใจผู้อื่นในเชิงโรแมนติก ความรักครั้งแรกก็จึงมักเริ่มผลิดอกออกผลในช่วงวัยนี้ เมื่อสรีระและจิตใจก้าวเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ความใกล้ชิดและความดึงดูดใจทางเพศก็ทำให้คนสองคนเริ่มอยากทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ประกอบกับประสบการณ์ที่ได้ยินได้ฟังเรื่องความรักผ่านสื่อ ผ่านเรื่องเล่า ผ่านบทเพลง วัยรุ่นจึงเริ่มสนใจความรักและความสัมพันธ์มากขึ้น เมื่อประสบพบกับโอกาสอันเหมาะสม ความใกล้ชิดก็จะนำมาให้คนสองคนมารู้จักกัน เริ่มศึกษาซึ่งกันและกัน ดึงดูดใจซึ่งกันและกัน และพัฒนาความสัมพันธ์

 

วัยรุ่นเป็นวัยที่เริ่มสนใจเรื่องความรัก ความรักครั้งแรกก็มักเกิดขึ้นในวัยนี้ และที่สำคัญความรักที่เกิดขึ้นในวัยนี้ก็มักถูกมองว่าไม่จีรังยั่งยืน ยังขาดเหตุผล เพ้อฝันและเปราะบางยิ่งนัก

 

เมื่อวัยรุ่นได้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน ความคุ้นเคยก็ย่อมเกิดขึ้น การสร้างความสัมพันธ์จึงตามมา ในช่วงแรกความสัมพันธ์อาจเริ่มจากการกล่าวทักทายตามมารยาท แต่เมื่อคนสองคนได้พบปะกันบ่อยขึ้น ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน และมีประสบการณ์ดี ๆ ร่วมกัน เช่น ไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ทานอาหารด้วยกัน ติวหนังสือสอบให้กัน คนสองคนก็ยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น ต่างฝ่ายต่างก็มองหาสิ่งที่เหมือนกันในตัวของอีกฝ่าย ความชอบพอที่มีให้แก่กันก็เพิ่มพูน ก่อให้เกิดเป็นความรักขึ้นได้ การพัฒนาความสัมพันธ์จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหรือเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่สำหรับวัยรุ่นนั้นกระบวนการนี้มักจะรวดเร็ว และถ้าอีกฝ่ายมีลักษณะน่าดึงดูดใจ เช่น สวย น่ารัก หล่อ เท่ ใจดี อบอุ่น ชอบช่วยเหลือ การตกหลุมรักก็ยิ่งรวดเร็วขึ้นอีก

 

 

คนสองคนตัดสินใจมีความรักครั้งแรกอย่างไร?


 

เหตุที่วัยรุ่นมักตกหลุมรักได้อย่างรวดเร็วนั้นเป็นเพราะปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน ปัจจัยแรก คือ วัยรุ่นแม้เป็นวัยที่เริ่มใช้เหตุผลได้มากขึ้น แต่ก็เป็นวัยที่มีอารมณ์รุนแรง และมักชอบค้นหาท้าทายสิ่งต่าง ๆ อารมณ์ที่วัยรุ่นประสบนั้นจึงเข้มข้นอย่างมาก ความรักแบบเสน่หาจะเกิดขึ้นได้ง่าย ด้วยเหตุที่วัยรุ่นมีโอกาสประสบกับอารมณ์ที่รุนแรงได้ง่าย จึงมีแนวโน้มที่จะตีความอารมณ์เหล่านั้นผิดไป บางครั้งการที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เราสนใจ สร้างความตื่นเต้น ทำให้หัวใจเต้นแรง กลิ่นหอม ๆ จากเส้นผมของอีกฝ่ายทำให้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่ความรู้สึกเหล่านี้อาจเป็นเพียงความตื่นตัวจากการที่คนสองคนได้อยู่ใกล้ชิดกัน บางครั้งการที่เราได้พบเจอใครสักคนในเวลาที่เรากำลังอารมณ์ดีหรือประสบกับเรื่องดี ๆ ทำให้เราเชื่อมโยงอารมณ์ดีกับคนที่เราพบ แล้วเราก็ตีความผิดว่าความตื่นเต้นหรืออารมณ์ดีที่เกิดขึ้นนั้นคือ “ความรัก”

 

ปัจจัยที่สองมาจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ประสบการณ์ทางอ้อมจากภาพยนตร์ หนังสือ บทเพลง เนื้อหาในสื่อเหล่านี้มักเกี่ยวกับความรักแบบเสน่หา ความรักแรกพบ วัยรุ่นได้ซึมซับประสบการณ์เหล่านั้นและอยากจะประสบกับความรักเช่นนั้นบ้าง ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจถ้าวัยรุ่นจะมีความฝันจะได้พบกับความรักสักครั้ง และเมื่อมีโอกาส จึงยอมให้ความรักเข้ามาจับจองพื้นที่ในหัวใจ

 

ปัจจัยที่สามเป็นปัจจัยส่วนบุคคล คนแต่ละคนมีแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์แตกต่างกันไป ใครที่ชอบปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิด ชอบได้รับการเอาใจใส่จากผู้อื่น ชอบมีเพื่อนฝูงมากมาย ก็มีโอกาสจะเริ่มต้นความรักได้ง่ายกว่าคนที่ชอบอยู่คนเดียว ไม่ชอบสุงสิงกับใคร

 

ในความรักครั้งแรก โดยเฉพาะเมื่อเป็นความรักแบบเสน่หา คู่รักย่อมรู้สึกว่าอีกฝ่ายคือ “คนที่ใช่” ความรักที่ท่วมท้นอยู่ในใจจะทำให้คู่รักทุ่มเทให้กันและกัน โดยเชื่อว่าความรักนี้จะยั่งยืน เราทั้งสองคนจะได้อยู่เป็นคู่กันไปตลอด ความรู้สึกดังกล่าวอาจฟังดูเหมือนความรักในนิยายหวานซึ้ง ที่พระเอกนางเอกฝ่าฝันความรักไปด้วยกัน แต่ความรู้สึกดังกล่าวเปรียนเสมือนดาบสองคม เมื่อความรักแบบเสน่หาเข้มข้นมาก คู่รักมักเชื่อเกินจริงว่าความรักของตัวเองจะยั่งยืน มั่นคง และไม่พิจารณากันและกันให้ถี่ถ้วน คู่รักมักจะคิดว่าตนและคู่ของตนมีอะไรที่คล้ายกันหลายอย่าง มองเห็นเฉพาะข้อดีของอีกฝ่าย และละเลยที่จะพิจารณาข้อเสียของกันและกัน

 

 

แล้วความรักนั้นจะยั่งยืนหรือไม่?


 

เป็นธรรมดาของโลกที่ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่และก็ดับไป อารมณ์ความรักแบบเสน่หานั้นก็มีวันเสื่อมคลาย จากความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบหน้า เริ่มเปลี่ยนเป็นความคุ้นเคย จากอารมณ์วาบหวามเร้าใจที่ได้เมื่ออยู่ชิดใกล้ กลายเป็นความอบอุ่นสบายใจ และในขณะเดียวกันคู่รักก็เริ่มปรับระดับความใกล้ชิดให้เหมาะสมเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวและบทบาทอื่น ๆ ด้วย ในจุดนี้เองที่คู่รักจะเริ่มใช้สติ ใช้ความคิดมากขึ้นกับความรัก

 

สิ่งที่เกิดขึ้นมากในความรักครั้งแรกคือ คู่รักใช้อารมณ์ในความรักมากเกิดไปจนมองข้ามเรื่องสำคัญไปหลายประการ เช่น เราทั้งสองคนชอบอะไรเหมือนกันหรือไม่ มีเส้นทางชีวิตแบบเดียวกันหรือไม่ สามารถยอมรับข้อเสียของอีกฝ่ายได้ตลอดไปจริงหรือ นิสัยขี้ออดอ้อนที่เรามองดูว่าน่ารักจะกลายเป็นน่ารำคาญในเวลาต่อมา นอกจากนี้ความรักแบบเสน่หาจะเรียกร้องให้คนสองคนใช้เวลาด้วยกันอย่างมาก แต่วัยรุ่นที่กำลังเริ่มต้นชีวิตมีภาระหน้าที่และความฝันอีกหลากหลายรอคอยอยู่ เมื่อถึงจุดนี้แล้วความขัดแย้งก็เริ่มแสดงตัวชัดเจนขึ้น เรื่องที่เคยยอมให้กันในวันที่ความรักความเสน่หาบังตา อาจกลายเป็นเรื่องสุดแสนจะเหลือทนเมื่อสติกลับคืนมา

 

เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งจากนิสัยที่เข้ากันไม่ได้ ความฝันที่ไม่ตรงกัน ภาระหน้าที่ที่ต้องกระทำ หรือความจืดจางของความเสน่หา สิ่งที่คู่รักมือใหม่ต้องประสบก็คือ การทะเลาะเบาะแว้ง การประชดประชัน การค่อนแขวะ การง้องอน โดยเชื่อว่าการกระทำเหล่านี้จะช่วยแก้ปัญหาได้ แต่แท้จริงแล้ว ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ดีเลย ความไร้ประสบการณ์ในความรักและการแก้ปัญหาจึงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ความรักครั้งแรกไปไม่ถึงฝั่งฝัน อย่างไรก็ดี ยังมีคู่รักอีกหลายคู่ที่สามารถประคับประคองความรักไปจนตลอดรอดฝั่ง

 

 

ทำอย่างไรจึงรักษาความรักครั้งแรกไว้ได้?


 

ความรักครั้งแรกมักเป็นความทรงจำอันหอมหวาน ชุ่มชื่นหัวใจ ทำให้โลกดูสดใส แต่เราพบว่าความด้อยประสบการณ์และการใช้อารมณ์มากเกินไปในความรัก ทำให้ความสัมพันธ์นั้นไม่ยั่งยืนตามที่วาดฝันไว้ ในความรักครั้งแรก หลายคู่ต้องประสบกับความขัดแย้ง บางคู่พบว่าอีกฝ่ายมีลักษณะนิสัยที่เข้ากันไม่ได้หลายอย่าง บางคู่มีความรักไปตามอารมณ์นำพา พอรักจืดจางจึงปันไปใจหาความตื่นเต้นกับคนรักใหม่เมื่อความรักดำเนินมาใกล้ถึงจุดแตกหัก คู่รักมือใหม่มักไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างเหมาะสม แทนที่จะร่วมกันหาทางออกอย่างสร้างสรรค์ กลับใช้อารมณ์แก้ปัญหา ต้องการจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายชนะในการโต้เถียง คู่รักจึงทำลายความสัมพันธ์นั้นไปด้วยตัวเอง ความรักที่จบลงในลักษณะนี้จะขาดความเข้าใจ การยอมรับ และให้เกียรติซึ่งกันและกัน ความรักที่ไม่ได้มีพื้นฐานมาจากความใกล้ชิดสนิทสนม ความเข้าใจ และความเหมือนซึ่งกันและกัน มักไม่สามารถผ่านพ้นอุปสรรคไปได้

 

แม้กระนั้น คู่รักหลายคู่ก็สามารถประคับประคองความรักให้ผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าวไปได้ ถ้าหากความรักครั้งแรกที่เกิดขึ้นเป็นความรักแบบมิตรภาพผูกพัน ก็จะประกอบไปด้วยความคล้ายคลึงระหว่างคนรัก เช่น ชอบสิ่งใดเหมือน ๆ กัน มีค่านิยม แนวคิดคล้าย ๆ กัน ใช้ชีวิตคล้าย ๆ กัน ความรักจึงเกิดขึ้นจากการค่อย ๆ พิจารณาไตร่ตรองซึ่งกันและกัน จนพบว่าอีกฝ่ายสามารถเป็นคู่ของตนได้ ความรักจึงเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่ใช่อารมณ์เพียงชั่วแล่น

 

สำหรับคู่ที่ความรักแบบเสน่หา เมื่ออำนาจของอารมณ์ลดทอนลง ต่างฝ่ายต่างก็พิจารณาซึ่งกันและกันมากขึ้น เรื่องใดที่ทำให้อีกฝ่ายขัดเคืองใจก็ลดละเลิกไปเสีย ค่อย ๆ เริ่มปรับตัวเข้าหากัน พื้นฐานที่สำคัญคือคู่รักจะต้องมีความมั่นคงทางอารมณ์ในระดับหนึ่ง และต้องมีความผูกพันซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องนำพาไปสู่การหาทางออกเพื่อรักษาความสัมพันธ์ไว้

 

นักจิตวิทยาได้เสนอไว้ว่า สิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนั้นคือ

 

  1. ต้องหาทางออกที่เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย
  2. แสดงความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน
  3. เปิดเผยต่อกัน กล้าเผชิญปัญหา และ
  4. หลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำหรือการกระทำให้อีกฝ่ายเจ็บช้ำ

 

แม้ความรักแบบมิตรภาพผูกพันจะเป็นความรักที่ยืนยาว แต่นานวันเข้าความรักก็อาจจืดจางลงไปได้ เคล็ดลับหนึ่งในการรักษาความรักให้ไม่จืดจาง คือ การสร้างความแปลกใหม่และอารมณ์ทางบวกให้กับชีวิตคู่ ในความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนย่อมต้องมีสุขมีทุกข์ปนกันไป แต่เมื่อคนสองคนมาอยู่ด้วยกันแล้วก็ควรนำแต่สิ่งดีๆมามอบให้แก่กัน คอยสร้างบรรยากาศแห่งความสุขให้กับทุกวัน ลองหากิจกรรมใหม่ ๆ ทำร่วมกัน ลองไปเที่ยวในที่ที่ไม่เคยไป ลองเปลี่ยนร้านอาหาร หรือช่วยกันจัดบ้านใหม่ สร้างบรรยากาศแห่งความสุขอยู่สม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นรักแรกหรือรักครั้งไหนจะได้หวานชื่นอยู่เสมอ

 

 


 

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย อาจารย์ ดร.กฤษณ์ อริยะพุทธิพงศ์

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช: The King RAMA-IX, The Great man from Jungian Perspective of Archetypes

 

นับจากวันนี้อีกเพียงไม่กี่วัน จะเป็นวาระสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตของคนไทย เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ซึ่งเราต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

 

เหตุการณ์ในครั้งนี้ นำมาซึ่งความโศกเศร้าอาดูรอย่างแสนสาหัสให้กับคนไทยทั้งชาติ หากแต่ท่ามกลางความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่นี้ หากเราได้มีโอกาสพิจารณาแล้ว จะเห็นได้ว่าพระจริยวัตรหรือบุคลิกลักษณะของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผ่านพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ตลอดช่วงระยะเวลาที่พระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น เป็นแบบอย่างแห่งความเป็นมหาบุรุษอย่างแท้จริง สะท้อนถึงความเป็นสุภาพบุรุษหรือมหาบุรุษตามแนวคิดภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำ (Archetypes) ของ Carl Jung จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดังจะขออธิบายในบทความนี้

 

กลุ่มนักจิตวิทยาผู้ศึกษาและสืบสานต่อแนวคิดบุคลิกภาพของ Carl Jung ได้อธิบายว่า ภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำ (Archetypes) เป็นโครงสร้างทางจิตใจที่มีในทุกคน โดยภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำนี้จะส่งผลต่อบุคลิกภาพของบุคคล โดยนักจิตวิทยากลุ่ม Jungian พยายามอธิบายภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำของบุคคลที่สมควรยกย่องแห่งการเป็นสุภาพบุรุษไว้ดังนี้

 

กลุ่มนักจิตวิทยาผู้ศึกษาและสืบสานต่อแนวคิดบุคลิกภาพของ Carl Jung เชื่อว่าทุกคนมีภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำ (Archetypes) ที่สำคัญ 4 แบบได้แก่

 

  1. ภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำแห่งกษัตริย์ (King)
  2. ภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำแห่งนักรบ (Warrior)
  3. ภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำแห่งนักมายากล-นักปราชญ์ (Magician-Philosopher)
  4. ภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำแห่งผู้เข้าถึงสุนทรียะ (Lover)

 

โดยนักจิตวิทยากลุ่ม Jungian เชื่อว่า หากบุคคลมีภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำทั้ง 4 สมบูรณ์และสมดุล บุคคลจะพัฒนาบุคลิกภาพแห่งการเป็นมหาบุรุษ

 

 

ภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำกษัตริย์ (King)

 

ภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำแห่งกษัตริย์ (King) เป็นภาพสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงการดูแล อุปถัมภ์ ค้ำชูและเกื้อกูลให้บุคคลในอาณาจักรของตนนั้นดำเนินชีวิตด้วยความผาสุก เมื่อภาพสัญลักษณ์แห่งกษัตริย์ถ่ายทอดสู่บุคคล บุคคลที่มีภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำแห่งกษัตริย์ (King) ที่สมบูรณ์จะกระทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อผู้อื่น เช่น บุคคลจะดูแลคนในครอบครัว คนรอบข้าง ด้วยความรักและความเมตตา โดยมีเป้าหมายให้บุคคลรอบข้างมีความสุข หากบุคคลเป็นหัวหน้าองค์กร บุคคลก็จะดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยการใช้อำนาจผ่านเมตตาธรรม ไม่ใช้อำนาจแห่งตนทำร้ายผู้อื่น ไม่ละเลยที่จะดูผู้คนรอบข้าง

 

หากจะพิจารณาพระจริยวัตรและพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา-ภูมิพลอดุลยตลอดช่วงระยะเวลาการครองราชย์ ๗๐ ปีนั้น สะท้อนให้เห็นภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำแห่งกษัตริย์ของพระองค์นั้น สมบูรณ์อย่างแท้จริงด้วยโครงการตามแนวพระราชดำริน้อยใหญ่ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการให้พสกนิกรชาวไทยของพระองค์ได้ดำรงชีวิตอย่างผาสุก รวมถึงการปกครองประเทศไทย ด้วยหลักธรรมในการทรงงานอย่างหลักทศพิธราชธรรม เพื่อประโยชน์สุขของเหล่าอาณาประชาราษฎร ตลอดจนการดูแลพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ด้วยความรักเมตตา ทั้งหมดสะท้อนถึงการที่พระองค์ มีภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำแห่งกษัตริย์ที่สมบูรณ์

 

 

ภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำแห่งนักรบ (Warrior)

 

ภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำแห่งนักรบ (Warrior) เป็นภาพสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ การมีวินัยในการฝึกฝนความแข็งแกร่งแห่งตนทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ การยึดมั่นในคุณธรรม การอดทนต่อสิ่งยั่วยุที่เกิดจากสิ่งรอบตัว ไม่รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า บุคคลที่มีภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำแห่งนักรบที่สมบูรณ์จะแสดงออกถึงการฝึกฝนพัฒนาตนเองทั้งร่างกายและจิตใจให้เข็มแข็ง การยืนหยัดในการกระทำแห่งตนตามอุดมการณ์และความถูกต้องเพื่อความยุติธรรม

 

หากพิจารณาพระจริยวัตรและการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงให้ความสำคัญกับการดูแลพระวรกายรอบด้านทั้งภายนอกและภายใน ตั้งแต่การออกกำลังพระวรกาย ไปถึงทรงฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอ ผลแห่งการฝึกฝนตนเองให้เข้มแข็งทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ส่งผลทำให้พระองค์สามารถตั้งอยู่ในความเพียร การมีวิริยะอุตสาหะด้วยพระราชหฤทัยอันแน่วแน่ที่จะเผยแพร่หลักการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงอย่างไม่ย่อท้อ

 

ที่กล่าวมานี้เป็นพียงตัวอย่างที่สะท้อนภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำแห่งนักรบที่สมบูรณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

 

 

ภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำแห่งนักมายากล – นักปราชญ์ (Magician-Philosopher)

 

ภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำแห่งนักมายากล-นักปราชญ์ (Magician-Philosopher) เป็นภาพสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงปัญญาและแสงสว่างแห่งปัญญา-ความรู้ จนเกิดความเข้าใจธรรมชาติและสิ่งรอบตัว เมื่อภาพสัญลักษณ์แห่งนักมายากล-นักปราชญ์ ถ่ายทอดสู่บุคคลอย่างเหมาะสม บุคคลจะแสดงออกถึงลักษณะการใฝ่หาความรู้ การศึกษาสิ่งต่าง ๆ จนแตกฉาน การมีจิตใจที่เปิดกว้างกับองค์ความรู้ที่มีอยู่รอบตัวอย่างไม่จำกัดเสมอ ๆ พร้อมนำปัญญา-ความรู้นั้นมาสร้างสรรค์เพื่อผู้อื่นและไม่ใช้ความรู้ของตนนั้นบิดเบือนผู้อื่นหรือหาประโยชน์เข้าตน

 

ที่ผ่านมาสังคมไทยและสังคมโลกได้เห็นถึงพระอัจริยภาพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา-ภูมิพลอดุลยเดช ในฐานะปราชญ์ของโลก โครงการตามแนวพระราชดำริทุกโครงการ พระองค์ทรงมีพระราชวินิจฉัยในการเก็บข้อมูลอย่างละเอียดและชาญฉลาดด้วยหลักการทางวิชาการชั้นสูง ตกผลึกองค์ความรู้-ปัญญาแห่งปราชญ์ของพระองค์ จนเป็นโครงการตามแนวพระราชดำริต่าง ๆ เช่น โครงการพระราชดำริฝนหลวง โครงการพระราชดำริแกล้งดิน และโครงการพระราชดำริไบโอดีเซลและแก๊สโซฮอล์จากพืชของไทย เป็นต้น โครงการพระราชดำริทั้งหมดล้วนเป็นไปเพื่อคนไทยเป็นที่ตั้ง ซึ่งพระอัจริยภาพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นที่ประจักษ์แก่สังคมโลกนี้ สะท้อนถึงบุคคลที่มีภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำแห่งนักมายากล-นักปราชญ์ที่สมบูรณ์แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

 

ภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำแห่งแห่งผู้เข้าถึงสุนทรียะ (Lover)

 

เป็นภาพสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความสามารถของบุคคลที่เข้าถึงความงามตามธรรมชาติและสุนทรียศาสตร์อย่างสมดุล บุคคลที่มีภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำแห่งผู้เข้าถึงสุนทรียะ (Lover) จะเข้าถึงความงามที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และน้อมนอบต่อธรรมชาติ เนื่องด้วยตนไม่สามารถสร้างสรรค์ขึ้นเองได้ บุคคลจะมีความสุขที่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และดื่มด่ำความสุขจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้อย่างเหมาะสม

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชสมัญญา “อัครศิลปิน” พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีความเป็นเลิศทางด้านงานศิลปะในหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านดนตรี ด้านการถ่ายภาพ ด้านจิตรกรรม ด้านวรรณกรรม และหัตถกรรม ทรงได้รับการถวายการยกย่องสดุดีพระเกียรติคุณ ในฐานะ “อัครศิลปิน” จนเป็นที่ประจักษ์แก่พสกนิกรและศิลปินทั่วโลกในพระปรีชาสามารถ และสะท้อนถึงความละเอียดอ่อนแห่งพระองค์ที่เข้าถึงสุนทรียศาสตร์อย่างสมดุล อันสะท้อนถึงภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำแห่งผู้เข้าถึงสุนทรียะที่สมบูรณ์

 

 

กลุ่มนักจิตวิทยาผู้ศึกษาและสืบสานต่อแนวคิดบุคลิกภาพของ Carl Jung เชื่อว่าหากบุคคลสามารถบูรณาการภาพต้นแบบทางความคิด-ความรู้สึก-การกระทำ (Archetypes) ทั้ง 4 ได้อย่างสมบูรณ์ บุคลิกภาพของบุคคลจะมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ จากที่กล่าวมานี้ แสดงให้เห็นว่า

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีคุณลักษณะแห่งมหาบุรุษครบทุกประการตามแนวคิดบุคลิกภาพของ Carl Jung อย่างแท้จริง

 

นับจากวันที่ 26 ตุลาคม 2560 นี้ไป พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพก็คงเสร็จสิ้น หากสิ่งที่ประจักษ์ในใจพสกนิกรชาวไทยคงเป็นภาพจริยวัตรอันงดงาม หลักการทรงงานและโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริน้อยใหญ่ เปรียบเสมือนรอยทางแห่งการเป็นมหาบุรุษที่ให้ไว้กับปวงชนชาวไทยได้เรียนรู้และน้อมนำคำสอนมาเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตเพื่อความสุขที่ยิ่งยืนต่อไป

 

 

รายการอ้างอิง

 

Tallman, B. (2003). The organization leader as king, warrior, magician and lover: How Jungian archetypes affect the way men lead organizations. Organization Development Journal, 21(3), 19-30.

 

 

 


 

 

บทความวิชาการ โดย

อาจารย์ ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี และ นางสาววรกัญ รัตนพันธ์

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

จิตวิทยาพัฒนาการ

“จิตวิทยาพัฒนาการ” คือ ศาสตร์แห่งการเข้าใจมนุษย์ โดยใช้องค์ความรู้เรื่องพัฒนาการมนุษย์มาช่วยอธิบาย

 

นักจิตวิทยาพัฒนาการมองว่า พัฒนาการมนุษย์นี้ เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วินาทีแรกที่ชีวิตเกิดขึ้น ก็คือตั้งแต่เมื่อเซลล์จากทางพ่อ และรังไข่จากทางแม่ผสมกันสำเร็จเป็นเซลล์แรกของชีวิตใหม่ ดังนั้น พัฒนาการของชีวิตหนึ่งชีวิต จะเริ่มดูกันตั้งแต่ภายในครรภ์มารดาเลยว่า มีความสมบูรณ์ในระดับโครโมโซมหรือไม่ ระดับฮอร์โมนเพศอย่างไรที่ทำให้เป็นเพศหญิงหรือเพศชาย มลภาวะ หรือสารพิษ อะไรบ้างที่ไม่เป็นผลดีต่อเด็กในครรภ์ เป็นต้น เพื่อให้เข้าใจพัฒนาการในช่วงนี้ ต้องอาศัยศาสตร์ทางชีววิทยาเข้ามาช่วยอธิบาย ประกอบกับดูปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมร่วมด้วย จากนั้นเมื่อทารกเกิด นักวิจัยทางจิตวิทยาพัฒนาการจะทำการศึกษาวิจัยเพื่อทำความเข้าใจ และอธิบายพัฒนาการทารก ในช่วง 0 – 2 ปี เช่นว่าบุคลิกภาพที่ติดตัวมากับทารกแรกเกิดแต่ละคน มีทั้งแบบที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ง่าย บางคนก็ปรับตัวได้ปานกลาง บางคนก็ปรับตัวได้ยาก พ่อแม่บางคนจึงอาจรู้สึกท้อใจว่าบุคลิกภาพนี้จะติดตัวเด็กคนหนึ่งไปตลอดชีวิต

 

จากผลการวิจัยที่ติดตามพัฒนาการระยะยาวของทารกไปจนถึงวัยรุ่น พบว่า เด็กทารกจะเติบโตมาเป็นอย่างไรนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพแรกเกิดเท่าใดนัก เพราะการเลี้ยงดูและประสบการณ์ที่พ่อแม่สร้างกับลูก ก็มีส่วนช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กได้เช่นกัน จึงไม่จำเป็นว่าเด็กทารกที่เลี้ยงยาก จะเติบโตมาเป็นเด็กที่มีพัฒนาการไม่ดีเสมอไป หากทารกได้รับความรัก ความใส่ใจ และการตอบสนองที่เหมาะสม ก็จะเติบโตขึ้นเป็นกำลังสร้างสรรค์สังคมได้ นอกจากนี้ นักจิตวิทยาพัฒนาการยังสนใจว่าทารกมีความสามารถในการรับรู้และตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมอย่างไร เช่น ผลจากการศึกษาที่พบว่า ทารกสามารถแยกแยะเสียงของแม่กับเสียงของคนแปลกหน้าได้ หรือการศึกษาที่พบว่าทารกชอบมองภาพที่มีลายเส้น มากกว่าภาพพื้น ๆ เป็นต้น

 

Baby doing his first steps

 

นักจิตวิทยาพัฒนาการยังศึกษากระบวนการที่แม่มีปฎิสัมพันธ์กับลูกทารกเพื่อช่วยส่งเสริมความรู้สึกผูกพันของแม่และลูก และให้ลูกทารกรู้สึกปลอดภัย ซึ่งความรู้สึกอุ่นใจจากการที่มีคนดูแลนี้ ถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญขั้นแรกของทารก ดังนั้น เด็กจะมีพัฒนาการใน 2 ขวบปีแรกได้ดีเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับความรัก ความเอาใจใส่ที่คนในครอบครัวมอบให้ลูกน้อย

 

จะเห็นได้ว่า จิตวิทยาพัฒนาการเป็นศาสตร์ที่พยายามทำความเข้าใจ และอธิบายพัฒนาการมนุษย์ ผลที่ได้การศึกษาและวิจัยในศาสตร์นี้ จะช่วยให้เรารู้ว่า พัฒนาการเช่นไรที่ถือว่าเป็นปกติ และอย่างไรที่ถือว่าผิดปกติ การที่เรารู้ว่าพัฒนาการที่ปกติเป็นเช่นไร จะช่วยเป็นแนวทางให้เราเลี้ยงดูลูกหลานและปฏิบัติต่อมนุษย์ด้วยกันอย่างเป็นปกติสุข และการที่เรารู้ว่าพัฒนาการที่ไม่ปกติเป็นเช่นไร จะช่วยไม่ให้เราไปเลี้ยงดูลูกหรือแนะนำคนอื่น ๆ แบบผิด ๆ หรือหากผิดพลาดไปแล้ว ก็จะต้องศึกษารายละเอียดของความผิดปกตินั้น เพื่อแก้ไขปัญหานั้นต่อไป

 

มีการศึกษามากมาย ที่ช่วยอธิบายว่าทารก 0 – 2 ปีแรก ควรมีพัฒนาการเป็นอย่างไร เพื่อเป็นแนวทางให้พ่อแม่และผู้เลี้ยงดูได้เข้าใจว่า เด็กวัยทารกนี้ทำอะไรได้บ้าง มีความสามารถทางกาย ทางการเรียนรู้ และทางอารมณ์สังคมเป็นเช่นไร และในช่วงนี้เราจะทำอย่างไรที่จะส่งเสริมให้ทารกมีพัฒนาการไปในทางที่ดี นักจิตวิทยาพัฒนาการจึงมักศึกษาพัฒนาการที่เป็นปกติ ที่สามารถใช้อธิบายประชากรส่วนใหญ่ได้ เช่น พัฒนาการทางร่างกาย นักจิตวิทยาพัฒนาการ ก็จะศึกษารวบรวมข้อมูลพัฒนาการจนสรุปออกมาเป็นตารางได้ว่า เด็กโดยทั่วไปจะลุกนั่งทรงตัวหลังตรงโดยไม่ต้องมีพนักพิงได้ตอนช่วงอายุกี่เดือน ตั้งไข่ได้ตอนช่วงอายุกี่เดือน เป็นต้น โดยช่วงอายุที่แสดงก็จะเป็นช่วงกว้าง ๆ เพราะเด็กแต่ละคนอาจเริ่มมีพัฒนาการเร็วช้าต่างกัน แต่ตราบใดที่เด็กมีพัฒนาการในช่วงนี้ ก็ยังถือว่ามีพัฒนาการที่เป็นปกติ

 

ประเด็นวิจัยที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับพัฒนาการเด็กก็คือ การศึกษาว่าสินค้าและโปรแกรมกระตุ้นพัฒนาการต่าง ๆ ที่บอกว่า ช่วยทำให้เด็กมีพัฒนาการเร็วกว่าเด็กคนอื่น ๆ ที่อายุเท่ากันได้นั้น สามารถช่วยเสริมสร้างพัฒนาการได้เร็วขึ้นจริงตามที่โฆษณาไว้หรือไม่? …เพื่อตอบประเด็นนี้ นักจิตวิทยาพัฒนาการก็จะทำการศึกษาเชิงทดลอง เปรียบเทียบกลุ่มเด็กที่ได้ใช้สินค้าหรือที่ได้รับโปรแกรมกระตุ้นพัฒนาการ กับเด็กวัยเดียวกันที่ไม่ได้ใช้สินค้าหรือโปรแกรมใด ๆ ผลจากการทดลองรูปแบบนี้ก็จะช่วยทำไขข้อข้องใจให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้ โดยรวมแล้ว สินค้าหรือโปรแกรมกระตุ้นพัฒนาการสำหรับเด็กบางอย่าง ก็ช่วยส่งเสริมความสามารถของเด็กได้จริง แต่บางอย่างก็เป็นอวดอ้างที่เกินจริง

 

นักจิตวิทยาพัฒนาการบางกลุ่มตั้งคำถามว่า จำเป็นหรือไม่ที่เราจะต้องกระตุ้นพัฒนาการให้เด็กคนหนึ่งพูดได้เร็ว ท่องคำศัพท์ หรือบวกลบคูณหารได้ก่อนใคร ๆ ทั้ง ๆ ที่ถ้าเราให้เวลาเล่นหรือทำกิจกรรมกับเด็ก ให้ความรักความอบอุ่น เด็กก็จะเติบโตมาได้ มีพัฒนาการเป็นปกติตามธรรมชาติอยู่แล้ว บางทีความสุขของเด็ก อาจไม่ได้อยู่ที่ทำสิ่งใดได้เร็วกว่าเด็กวัยเดียวกัน แต่เป็นที่การได้เล่นกับพ่อแม่และคนในครอบครัวก็เป็นได้ แต่ถ้าประเมินดูแล้วว่าเด็กมีพัฒนาการล่าช้า อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องนึง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ต้องไปขอคำปรึกษาจากนักกระตุ้นพัฒนาการ

“นักกระตุ้นพัฒนาการ” ก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งของนักจิตวิทยาพัฒนาการเช่นกัน นักพัฒนาการกลุ่มนี้ไม่เน้นการทำวิจัย หรือเน้นการเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย แต่เน้นในทางปฏิบัติ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาทางพัฒนาการให้แก่เด็ก และช่วยแนะนำการดูแลลูกให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองได้

นอกจากนี้ผู้ที่เรียนจบทางจิตวิทยาพัฒนาการหลายคน ก็ได้เอาความรู้ ไปประยุกต์ในสถาบันส่งเสริมพัฒนาการเด็กของตน หรือสร้างหลักสูตรการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่ช่วยให้เด็กมีกิจกรรมวันหยุด และได้ประสบการณ์ความรู้ใหม่ ๆ ไปด้วย

 

 

การส่งเสริมหรือกระตุ้นพัฒนาการให้เด็กมีทักษะหรือความสามารถเร็วกว่าคนอื่นนั้นจำเป็นหรือไม่?

 

คำตอบก็คือ ถ้าเป็นความสามารถที่เด็กจะเรียนรู้ และทำได้อยู่แล้ว เมื่อถึงเวลาที่สมควร เช่น การพูด การเดิน การวิ่งก็อาจจะไม่ต้องไปกระตุ้นพัฒนาการอะไรมาก แต่ถ้าเด็กมีภาวะที่ผิดปกติ เป็นปัญหาที่กระทบต่อชีวิตประจำวันของเด็ก เช่น อายุ 3 ขวบกว่าแล้วแต่ยังพูดเพียงไม่กี่คำ เป็นต้น ก็จะต้องพาเด็กไปพบกับผู้เชี่ยวชาญทางการกระตุ้นพัฒนาการ เพื่อประเมินพัฒนาการทางการพูดของเด็ก และวางแผนช่วยกระตุ้นพัฒนาการ

 

 

พัฒนาการของเด็กวัยเรียน

 

พัฒนาการของเด็กวัยเรียนที่สำคัญประการหนึ่งคือ การปรับตัวให้เข้ากับสังคมนอกบ้าน การพิสูจน์ตนเองให้พ่อแม่เห็นว่าตนสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง และการพยายามทำความรู้จักกับตนเอง ว่าตนเองถนัดอะไร ทำอะไรได้ดีหรือแย่กว่าเพื่อนในชั้นเรียนบ้าง เด็กจะเริ่มมีสังคมเพื่อน เริ่มมีความสนใจกิจกรรมนอกชั้นเรียนต่าง ๆ เช่น ดนตรี ศิลปะ หรือกีฬาเป็นต้น

 

จากการวิจัยเรื่องการเลี้ยงดูและการปรับตัวของเด็กวัยเรียน ก็จะแนะให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ทำหน้าที่คอยสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็ก เพื่อช่วยให้เด็กรู้จักตนเอง ยิ่งเด็กโตมากขึ้น ก็จะเริ่มรับรู้ตนเองในทางที่เป็นจริงมากขึ้น เช่น รู้ว่าตนเก่งภาษาอังกฤษ แต่อ่อนวิชาเลข ชอบวิชาพละ แต่ไม่ค่อยถนัดวิชาศิลปะ เป็นต้น เด็กโตจะมีการรู้คุณค่าในตนเองแบบแยกเป็นเรื่อง ๆ ได้ เด็กจะเริ่มเรียนรู้ว่า แม้ว่าตนจะทำได้ไม่ดีในทุกเรื่อง แต่ก็มีบางเรื่องที่ทำได้ดี ซึ่งถ้าเด็กคิดได้เช่นนี้ ก็จะมีความภาคภูมิใจในตนเอง สามารถรู้จุดเด่น เอาจุดเด่นมาเป็นคุณค่าในตนเองได้ และมีความสุขกับสิ่งที่ตนชอบทำ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องไปกดดันลูกให้เก่งและดีในทุกเรื่องก็ได้ ให้เค้าทำอะไรได้ดีซักวิชานึง แล้วสอนให้เค้าพยายามให้เต็มที่กับวิชาที่ไม่ถนัด ค่อย ๆ สอนเค้าให้เห็นคุณค่าของทุกวิชาที่เรียน ว่ามีประโยชน์ต่อชีวิตของเค้า บอกให้เค้าลองตั้งใจเรียนวิชาที่ไม่ชอบให้ถึงที่สุดก่อน เด็กบางคนไม่ชอบเรียนเลข แต่ฝันอยากเป็นวิศวกร เราก็ต้องช่วยอธิบายว่าวิชาเลขเกี่ยวข้องกับการเป็นวิศวกรอย่างไร เด็กหลาย ๆ คน พอได้ลองตั้งใจกับวิชาที่ไม่ชอบแล้ว กลับทำได้ดี กลายเป็นอีกวิชาหนึ่งที่ชื่นชอบก็ได้ ต้องอย่าลืมว่า เด็กแต่ละคนทำความเข้าใจต่อเรื่องต่าง ๆ ช้าเร็วไม่เท่ากัน เด็กที่เข้าใจความรู้บางเรื่องช้า ไม่ได้แปลว่าไม่เก่ง แต่เพราะยังไม่พร้อม หากได้รับการสนับสนุนและความเข้าใจจากพ่อแม่และครู เด็กคนนั้นก็จะพัฒนาตนเองได้ เด็กวัยนี้โตพอที่จะเข้าใจหลักการของเหตุผล พ่อแม่สามารถส่งเสริมพัฒนาการของลูกได้ด้วยเหตุผล ขอเพียงเราดูแลเขาด้วยความเข้าใจ และให้ความรัก ก็ถือว่ายอดเยี่ยมที่สุดแล้ว

 

มนุษย์เราทุกคนล้วนมีพัฒนาการ เกิด เรียนรู้ ปรับตัว เติบโต พัฒนาการจึงเป็นเรื่องใกล้ตัวเรา และอยู่กับเราตั้งแต่เด็กจนโต ดังนั้นถ้าเราเข้าใจพัฒนาการมนุษย์ เราก็จะเข้าใจตนอง และเข้าใจคนอื่น และสามารถนำความรู้ไปช่วยคนอื่น ๆ และเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้

หลายคนเข้าใจว่าจิตวิทยาพัฒนาการเน้นที่พัฒนาการเด็ก และสอนเรื่องการเลี้ยงลูกเป็นหลัก แต่แท้จริงแล้ว ยังมีนักจิตวิทยาพัฒนาการอีกมากมายที่ไม่ได้สนใจพัฒนาการเด็ก แต่สนใจพัฒนาการวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ หรือผู้สูงวัยก็มี

 

 

พัฒนาการของวัยรุ่น

 

สำหรับวัยรุ่นแล้ว การมีกลุ่มเพื่อน และได้รับการยอมรับจากเพื่อนนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากเป็นอันดับต้น ๆ วัยรุ่นจะใช้เวลาอยู่กับเพื่อนมากกว่าพ่อแม่เสียอีก แม้เมื่อกลับบ้านแล้ว ก็ยังแชทคุยกับเพื่อนอยู่ตลอด

 

พ่อแม่ของลูกวัยรุ่นต้องเข้าใจธรรมชาตินี้ให้มาก ๆ พยายามคอยดูอยู่ห่าง ๆ ให้สิทธิลูกวัยรุ่นในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่สำคัญเราต้องทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัยที่จะคุยกับเราในเวลาที่เขามีปัญหา คนวัยนี้ ถ้าเราไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้เขาได้ เขาอาจจะไปได้รับคำแนะนำที่ผิด ๆ จากคนอื่นนอกครอบครัว

 

นอกจากเรื่องเพื่อน ก็อาจจะมีเรื่องความสัมพันธ์ด้วย วัยรุ่นเป็นวัยที่เริ่มคิดเรื่องการมีแฟน หรือการดูแลให้ตัวเองดูดีเพื่อให้เป็นที่สนใจต่อคนรอบข้าง วัยรุ่นมักมีความเชื่อว่าตนเองเป็นจุดสนใจของผู้อื่น เช่น ถ้ามีสิว หรือผมยุ่ง หรือใส่เสื้อตัวที่เคยใส่มาก่อน คนจะจำได้

 

ถ้าอยากให้ลูกวัยรุ่นไว้ใจเรา คุยกับเรา ในฐานะพ่อแม่เราก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของวัยรุ่น หากลูกแต่งตัวหรือทำตัวไม่เหมาะสม เราก็สามารถตักเตือนได้ด้วยความรักความหวังดี แต่ไม่ควรไปต่อว่าให้ลูกรู้สึกอาย หรือไม่เป็นตัวของตัวเอง วัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังค้นหาความชอบความสนใจของตนเอง เพียงเราคอยดูอยู่ห่าง ๆ ให้เขาได้ลองทำ ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง โดยที่ยังอยู่ในกรอบที่เราวางไว้ ขอเพียงเราสื่อให้ลูกวัยรุ่นรู้ว่า เขามีเราเป็นที่พึ่งคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ เมื่อมีปัญหาเขาก็จะเข้ามาหาเรา มาเล่าให้เราฟังเอง จะเห็นว่าการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกวัยรุ่นนี้เป็นเรื่องสำคัญ คิดเสียว่า ลูกวัยรุ่นกำลังฝึกการเตรียมตัวเป็นผู้ใหญ่ และเรามีหน้าที่เป็นครูผู้ฝึกชั้นดี มีอะไรที่เราเคยเรียนรู้ เคยผ่านมาก่อน ก็เอามาเล่ามาเตือนให้ลูกฟังได้

 

พ่อแม่บางคนมองว่าลูกของเรา ต่อให้โตยังไงอายุเท่าไหร่ เราก็ยังเห็นเขาเป็นเด็กอยู่เรื่อยไป แต่ถ้าอยากให้ลูกไว้ใจ และสนิทกับเราไปนาน ๆ เราก็ต้องค่อย ๆ ปรับบทบาทให้เข้ากับวัยของลูกที่เพิ่มขึ้นด้วย เพราะอีกไม่นาน เขาก็จะต้องโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ที่ต้องดูแลตนเอง และรับผิดชอบตนเองอย่างเต็มตัว

 

 

พัฒนาการวัยผู้ใหญ่

 

นักจิตวิทยาพัฒนาการแบ่งพัฒนาการช่วงวัยผู้ใหญ่ออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ ๆ คือ ผู้ใหญ่ตอนต้น ผู้ใหญ่ตอนกลาง และผู้ใหญ่ตอนปลาย

 

Medium shot happy people together

 

เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว เราต่างคนก็จะมีทางชีวิตที่แตกต่างกันไป บางคนมีสถานการณ์ในชีวิต เช่น ต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว หรือมีลูกเร็ว ตั้งแต่อายุ 18 ก็จะทำให้คนผู้นั้นได้ชื่อว่ามีความเป็นผู้ใหญ่เร็วกว่าคนอื่น ๆ ในช่วงอายุเดียวกัน ในขณะที่บางคน ฐานะทางบ้านดี ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในครอบครัว พ่อแม่สามารถส่งเสียค่าเล่าเรียนได้สูงที่สุดเท่าที่คนคนนั้นจะทำได้ คนบางคนในกลุ่มนี้ บางทีอายุ 30 กว่าแล้ว แต่ยังไม่มีอาชีพแน่นอน ยังเรียนต่อไปเรื่อย ๆ เพราะยังหาความสนใจของตนเองไม่เจอ จะเห็นได้ว่าอายุ ไม่ใช่เป็นเพียงปัจจัยเดียวที่จะบ่งชี้ความเป็นผู้ใหญ่ แต่ละคนจะมีช่วงเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นมาสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้นสั้นยาวไม่เท่ากัน

 

ช่วงผู้ใหญ่ตอนต้น ถือเป็นก้าวแรกของเราในการมีหน้าที่รับผิดชอบของตนเอง มีรายได้เป็นของตนเอง มีหน้าที่การงานหรืออาชีพที่แน่นอน หรือเริ่มใช้ชีวิตคู่ มีครอบครัวมีลูก ช่วงวัยนี้ก็จะเน้นสร้างความก้าวหน้าในงานที่ตนทำ พยายามพิสูจน์ความสามารถของตนเองให้เจ้านายและเพื่อนร่วมงานยอมรับ ในขณะเดียวกันก็สร้างฐานะ เพื่อความมั่นคงในชีวิตของตนเองและครอบครัว

 

พอมาถึงวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง ก็จะเริ่มมีลูกโตขึ้น เรียนมัธยมหรือเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ส่วนหน้าที่การงานก็จะเริ่มมั่นคงอยู่ตัว ได้เป็นหัวหน้างานที่มีความรับผิดชอบสูงขึ้น ส่วนใหญ่มีหน้าที่เป็นผู้ตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ ในองค์กร หรือหน่วยงานที่ทำอยู่ ถือเป็นรุ่นพี่ ที่ต้องทำหน้าที่สอนงานให้รุ่นน้อง ผู้ใหญ่วัยกลางคนในที่ทำงานมักเริ่มรู้สึกว่าอีกไม่กี่ปี ตนก็ต้องเกษียณอายุออกไป ดังนั้นเพื่อให้รู้สึกว่าตนได้ทิ้งอะไรที่เป็นประโยชน์ก่อนไป ก็มักจะแชร์ประสบการณ์ในงานให้คนรุ่นหลัง

 

ผู้ใหญ่ตอนกลางถือเป็นวัยแห่งการให้ เพราะถือว่าต้องดูแลใส่ใจความเป็นอยู่ของคนในครอบครัวอีกถึง 2 รุ่นด้วยกัน คือลูกวัยรุ่น และพ่อแม่ผู้สูงวัยของตน เป็นวัยที่พอตนประสบความสำเร็จด้านการเงินการงานในระดับหนึ่งแล้ว ก็จะเริ่มคิดถึงการสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น เช่นงานอาสา งานบุญ การช่วยเหลือสังคม เป็นต้น

 

มาถึงวัยหลังเกษียณที่มักจะกำหนดด้วยอายุ 60 ปี ก็จะถือว่าเป็นวัยผู้ใหญ่ตอนปลาย เป็นวัยที่หลาย ๆ คน มักเชื่อมโยงคนวัยนี้เข้ากับความเชื่องช้า ความเสื่อมถอย แต่แท้จริงแล้ว มีงานวิจัยที่พบว่า ผู้สูงวัยแต่ละคน มีระดับความเสื่อมถอยช้าเร็วแตกต่างกันอย่างมาก ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาสุขภาพและการออกกำลังกายที่สะสมมาตั้งแต่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น การออกกำลังกายเป็นประจำ ก็จะคล้ายกับการสะสมบุญ เพราะหากเราเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ ก็จะไปมีผลส่งให้เราเป็นผู้สูงวัยที่แข็งแรงในวันข้างหน้า

 

นอกจากนี้ เนื่องจากแนวโน้มการดูแลสุขภาพของคนเราในยุคปัจจุบัน เรามีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนยาวมากขึ้น และยังคงความสามารถในการเรียนรู้ และการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไป เราคงจะตัดสินคนจากแค่อายุ ไม่ได้อีกแล้ว คุณค่าของคน ไม่ควรอยู่ที่ว่าเขามีอายุเท่าไหร่ แต่สามารถทำอะไรให้กับสังคมได้บ้าง

 

 


 

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย อาจารย์ ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

ภาพประกอบ https://www.freepik.com/

จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ

…ทำไมคุณถึงทำงาน?…

 

หลายท่านคงรีบตอบอย่างไม่ลังเลว่า ก็ทำงานเพื่อเงินน่ะสิ ซึ่งก็อาจไม่จริงเสมอไป แต่ละคนอาจมองหางานที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไป เช่น บางท่านอาจจะบอกว่าต้องการทำงานที่ให้อิสระในการควบคุมและกำหนดสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ในขณะที่บางท่านอาจจะบอกว่าชอบงานที่ทำให้เรามีอิทธิพลต่อผู้อื่น มีอำนาจ

 

จากผลการสำรวจ National Research Council survey (1999) พบว่า ร้อยละ 70 ของคนอเมริกันตอบว่ายังคงทำงานต่อไป แม้ว่าจะถูกล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่ จนสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้สบาย ๆ โดยไม่ต้องทำงาน นั่นก็สะท้อนว่าคนเราทำงานเพื่อสิ่งอื่น ๆ ไม่ใช่เพียงแค่เงิน ซึ่งสิ่งที่นักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การสนใจศึกษาก็คือ อะไรที่ทำให้คนเราทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีสุขภาวะที่ดีในการทำงาน

 

“จิตวิทยาอุตสหกรรมและองค์การ” หรือ I/O Psychology จัดเป็นสาขาวิชาหนึ่งของศาสตร์จิตวิทยา จิตวิทยาเป็นการศึกษาพฤติกรรมและกระบวนการทางจิตของมนุษย์อย่างเป็นระบบด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ อาจจะทำโดยการสำรวจโดยใช้แบบสอบถาม การสังเกตพฤติกรรม หรือปรากฎการณ์ตามสภาพแวดล้อมจริง เพื่อทำความเข้าใจ ทำนาย หรือจัดกระทำปรากฎการณ์ต่าง ๆ จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การเป็นการประยุกต์แนวคิดและทฤษฎีทางจิตวิทยา มาอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ในบริบทการทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ส่งเสริมสุขภาวะขององค์การและคนในองค์การ

 

 

นักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ ไม่เพียงแต่สนใจแค่ว่าจะทำอย่างไรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและสร้างความพึงพอใจในการทำงานเท่านั้น นักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การยังคงสนใจปัจจัยภายนอกที่ทำงาน ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการทำงานของพนักงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยด้านครอบครัว บุคลิกภาพ และสถานการณ์ทางสังคมอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น หากคุณมีลูกเล็ก แล้ววันนี้ก่อนที่คุณจะออกจากบ้านไปทำงาน ลูกของคุณร้องไห้โยเยเพราะ ไข้ขึ้น ไม่สบาย สิ่งเหล่านี้อาจจะส่งผลต่อพฤติกรรมการทำงานของคุณก็ได้ ส่วนปัจจัยทางบุคลิกภาพนั้นก็ส่งผลต่อพฤติกรรมการทำงานเช่นเดียวกัน เช่น คนที่มีบุคลิกภาพแบบเปิดตัว (extroverted person) กับคนที่มีบุคลิกภาพปิดตัว (introverted person) มีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมการทำงานที่แตกต่างกัน คนที่มีบุคลิกภาพแบบเปิดตัวมักชอบสังคมและแสดงความคิดเห็น ก็มักชอบทำงานเป็นทีม พรีเซนต์งาน หรือออกสื่อ มากกว่าคนที่บุคลิกภาพแบบปิดตัว นอกจากนี้ คนที่บุคลิกภาพแบบเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ สูง มักมีอารมณ์ทางบวกมากกว่าคนที่บุคลิกภาพแบบเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ ต่ำ

 

นอกจากนี้นักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การยังสนใจปัจจัยด้านสถานการณ์อีกด้วย เช่น อุทกภัยน้ำท่วม การชุมนุมประท้วงทางการเมือง เป็นต้น ล้วนส่งผลต่อความรู้สึกและพฤติกรรมของคนจำนวนมาก ในหลาย ๆ องค์การ ในการที่ต้องพยายามบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลขององค์การ และทำให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุข นักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การต่างต้องคำนึงถึงปัจจัยมากมายดังกล่าว ที่อาจส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการการทำงานของคนในองค์การ

 

ในขณะเดียวกัน นักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การยังสนใจว่า งานจะส่งผลอย่างไรต่อพฤติกรรมอื่นที่นอกเหนือจากการทำงาน (nonwork behaviors) อีกด้วย หลาย ๆ คนคงเคยรู้สึกเครียดหากหัวหน้าขอให้เอางานกลับไปทำต่อที่บ้าน แน่นอนเรามักรู้สึกหงุดหงิดและวิตกกังวล จนส่งผลต่อความสัมพันธ์กับคนที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นแฟน พี่น้อง หรือลูก ๆ อีกทั้งงานยังมีอิทธิพลต่อสุขภายกาย และสุขภาพจิตใจของเราอย่างไม่ต้องสงสัย หลาย ๆ ครั้งที่เรามักรู้สึกเครียดกับงานจนล้มป่วย หรือรู้สึกอารมณ์ขุ่นมัว หากบางคนติดอยู่กับอารมณ์ลบ ๆ นาน ๆ มีการคิดวนเวียนกับความเครียดคงค้างเดิม ๆ จากงาน เช่น ทะเลาะกับหัวหน้า หัวหน้าไม่เคยรับฟังความคิดเห็น แล้วยังให้งานล้นอีก บางรายถึงขั้นเครียดจากงานจนเป็นโรคซึมเศร้า หรือมีอาการทางจิตอื่น ๆ เช่น นอนไม่หลับ

 

จะเห็นได้ว่านักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การสนใจทั้งอิทธิพลของชีวิตต่องาน และอิทธิพลของงานต่อชีวิตของพนักงาน เนื่องจากงานและชีวิตนอกเหนือจากงานต่างก็มีอิทธิพลซึ่งกันและกัน

 

ดังนั้นการที่เราจะพยายามเข้าใจสาเหตุของพฤติกรรมการทำงาน เพื่อที่จะจูงใจคนให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน หรือรักษาระดับความพึงพอใจในการทำงานนั้น เราจำเป็นต้องเข้าใจปัจจัยภายนอกงานของพนักงานและควรตระหนักถึงผลกระทบของงานต่อสุขภาวะของพนักงานอีกด้วย การส่งเสริมการพัฒนาโปรแกรมการจัดการกับความเครียด และส่งเสริมสุขภาวะที่ดีของพนักงาน จัดเป็นงานที่สำคัญของนักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ

 

 

Millennial group of young businesspeople asia businessman and businesswoman celebrate giving five after dealing feeling happy and signing contract or agreement at meeting room in small modern office.

 

 

 

สาขาย่อยของจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ

 

1. จิตวิทยาอุตสาหกรรม (Industrial psychology) หรือด้าน “I”

 

บางครั้งก็เรียกว่า จิตวิทยาบุคลากร (Personnel Psychology) สาขานี้จะมุ่งเน้นกิจกรรมของฝ่ายทรัพยากรบุคคล (Human Resource) ตั้งแต่การสรรหา คัดเลือกบุคลากร การประเมินผลการปฏิบัติงาน ไปจนถึงการเลื่อนขั้นพนักงาน การจัดอบรมพนักงาน และการยุติการว่าจ้าง โดยรวมแล้ว ด้าน I หรือจิตวิทยาอุตสาหกรรมมุ่งสนใจเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล พนักงานแต่ละคนแตกต่างกันอย่างไร แล้วความแตกต่างนั้นทำนายหรืออธิบายพฤติกรรมการทำงานอย่างไร ความแตกต่างระหว่างบุคคลในที่นี้อาจจะหมายถึงความฉลาดทางปัญญา ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับความสามารถในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งการที่สามารถจำแนกความแตกต่างระหว่างบุคคลได้นั้น จะเป็นประโยชน์ในการคัดเลือกพนักงานให้เหมาะสมกับตำแหน่ง เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

 

หลาย ๆ คนอาจสงสัยว่า นักจิตวิทยาบุคลากรนั้นแตกต่างอย่างไรกับคนที่เรียนด้าน Human resource management (HRM) นักจิตวิทยาบุคลากรนั้นจะเป็นการประยุกต์งานวิจัย แนวคิดทางจิตวิทยาไปใช้กับการบริหารทรัพยากรบุคคลในองค์การ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความพึงพอใจในการทำงาน ซึ่งเรื่องที่สนใจจะมีความคาบเกี่ยวกับ HRM แต่นักจิตวิทยาบุคลากรนั้นจะไม่เน้นเรื่อง กฎหมายแรงงาน การบริหารเงินชดเชย (compensation) ต่าง ๆ นักจิตวิทยาบุคลากรจะเน้นการวิเคราะห์งาน เพื่อกำหนดว่างานแต่ละตำแหน่งหรือประเภทควรจะมีหน้าที่อะไรบ้าง และคนที่จะมาทำงานนั้น ต้องมีความสามารถ ทักษะ และสมรรถนะอะไรบ้าง หากพนักงานมีความสามารถไม่เหมาะสมกับงานนั้น ๆ ต้องจัดอบรมทักษะ หรือความสามารถด้านใด โดยใช้ความรู้ทางจิตวิทยาและการวิจัยอย่างเป็นระบบ

 

 

2. จิตวิทยาองค์การ (Organization Psychology) หรือ ด้าน “O”

 

นักจิตวิทยาองค์การนั้นจะสนใจด้านอารมณ์และการจูงใจในการทำงาน เช่น จะทำอย่างไรเพื่อจูงใจพนักงานให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีปัจจัยอะไรบ้าง ที่ส่งผลต่อเจตคติในการทำงานของพนักงาน เจตคติในการทำงานในที่นี้ เช่น ความพึงพอใจในการทำงาน ความผูกพันกับองค์การ อยากอยู่ต่อกับองค์การไปนาน ๆ เป็นต้น นอกจากนี้นักจิตวิทยาองค์การยังสนใจเรื่องภาวะผู้นำ ผู้นำแบบใดจึงจะเหมาะกับสถานการณ์แต่ละอย่าง เช่น ในสถานการณ์ที่มีความคลุมเครือ พนักงานไม่รู้ว่าจะทำงานให้ลุล่วงได้อย่างไร อาจต้องอาศัยผู้นำที่มาคอยกำกับชี้แจงโครงสร้างของงานให้ชัดเจน ในขณะที่บางสถานการณ์ที่วิกฤต บริษัทกำลังจะเจ๊ง ยอดขายตกจนพนักงานเสียขวัญ อาจต้องการผู้นำแบบมีวิสัยทัศน์และมีทักษะในการพูด มาสร้างแรงบันดาลใจให้แก่พนักงาน และชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายที่สำคัญขององค์การ พร้อมกลยุกต์ในการไปให้ถึงเป้าหมายนั้น ๆ

 

ในปัจจุบันทุกคนคงไม่ปฏิเสธว่า พนักงานในหลาย ๆ องค์การ ต่างเผชิญกับระดับความเครียดที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากข้อเรียกร้องจากงานค่อนข้างสูงเพื่อตอบสนองต่อสภาวะการแข่งขันที่สูง นักจิตวิทยาองค์การต่างให้ความสำคัญเรื่องการลดความเครียดของพนักงาน ว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่อาจส่งผลให้พนักงานเกิดความเครียด เช่น โครงสร้างงานไม่ชัดเจน บทบาทการทำงานกำกวม ความขัดแย้งระหว่างบุคคลในที่ทำงาน ปัญหาครอบครัว หรือมีบุคลิกภาพที่หวั่นไหวหรือไวต่อสิ่งเร้าง่าย นอกจากนี้ นักจิตวิทยาองค์การยังสนใจเรื่องกระบวนการกลุ่ม คนเราจะทำงานกับคนอื่นเป็นทีมต้องทำอย่างไร มีปัจจัยอะไรต้องคำนึงถึงบ้าง และการพัฒนาองค์การ

 

Group of asia young creative people in smart casual wear discussing business celebrate giving five after dealing feeling happy and signing contract or agreement in office. coworker teamwork concept.

 

โดยสรุปจะเห็นได้ว่าหน้าที่หลัก ๆ ของนักจิตวิทยา I/O นั้นคือ การพยายามที่จะสร้างการงานที่ดีแก่พนักงาน ว่าจะทำอย่างไรให้พนักงานนั้นรู้สึกมีความสุขในการทำงาน ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะด้วยจับคู่คนให้เหมาะกับงาน การสร้างแรงจูงใจในการทำงาน การลดความกำกวมและความขัดแย้งในบทบาทการทำงาน ทั้งนี้ ทำได้ด้วยการวิเคราะห์งานอย่างเป็นระบบ และอาศัยงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่ออธิบายพฤติกรรมการทำงาน

 

 


 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประพิมพา จรัลรัตนกุล

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

ภาพประกอบ https://www.freepik.com/

Empathy – การรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่น

 

 

การรู้สึกถึงความรู้สึกของผู้อื่น หรือ Empathy ได้รับการศึกษามานานนับร้อยปีตลอดช่วงคริสตศตวรรษที่ 20 แต่การให้คำจำกัดความยังเต็มไปด้วยความสับสน เนื่องจากนักจิตวิทยาแต่ละคนได้ให้คำนิยามแตกต่างกันไปตามแนวคิดของตน

 

ส่วนหนึ่งให้คำนิยามในเชิง “ความสามารถทางปัญญา” และอีกส่วนหนึ่งพูดถึงว่าเป็น “การตอบสนองทางอารมณ์”

 

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางมุมมองที่แตกต่างกันนี้ก็มีจุดร่วมในใจความสำคัญของการรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่นว่าเป็นคุณลักษณะที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเอื้อสังคม และเป็นคุณสมบัติที่สำคัญในตัวมนุษย์

 

Goleman นักจิตวิทยาและนักสื่อสารมวลชน ยกย่องการรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่นเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์ นักจิตวิทยาพัฒนาการเห็นว่าการรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่นเป็นส่วนหนึ่งในแรงจูงใจทางจริยธรรม นักจิตวิทยาการปรึกษาก็ระบุว่าการรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่นเป็นคุณลักษณะที่นักจิตวิทยาการปรึกษาพึงมี

 

เมื่อแรกเริ่ม Empathy ได้รับคำนิยามว่าเป็น “ความเข้าใจในความคิดและความรู้สึกของผู้อื่น” เคียงคู่กับ “ความเห็นอกเห็นใจ” หรือ Sympathy ซึ่งหมายถึง การตระหนักถึงความรู้สึกความทุกข์ทนของผู้อื่นอย่างรุนแรง จนเกิดแรงจูงใจที่จะเข้าใจช่วยบรรเทาความทุกข์ทนนั้น

ในขณะที่การศึกษาเรื่องการรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่นเติบโตขึ้น การศึกษาเรื่องความเห็นอกเห็นใจกลับลดลง และดูเหมือนว่า การรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่นได้มีนิยามครอบคลุมถึงความเห็นอกเห็นใจด้วย จากการให้ความหมายในการศึกษาของนักวิจัยที่มุ่งเน้นถึงมุมมองด้านอารมณ์ความรู้สึก

 

 

คำจำกัดความในมุมมองทางปัญญา

 

นักวิจัยในมุมมองนี้ระบุว่าการรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่นเกี่ยวข้องกับ “การเข้าใจมุมมอง” หรือความเข้าใจในตัวผู้อื่น ด้วยการใช้ความคิดและเหตุผล หรือด้วยจินตนาการถึงเงื่อนไขหรือสภาพจิตใจของผู้อื่น โดยไม่จำเป็นต้องประสพกับความรู้สึกเหล่านั้นเองจริงๆ (Hogan, 1969)
คำจำกัดความในมุมมองทางปัญญาได้เน้นย้ำถึงการเปลี่ยนบทบาทหรือมุมมองจากแง่มุมของตนเอง ไปสนใจหรือใส่ใจในแง่มุมของคนอื่น Piaget (1932) นักจิตวิทยาพัฒนาการ เรียกว่าเป็นการตอบสนองแบบ “ไม่รับรู้เพียงด้านเดียว” หรือ “ไม่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง” และในยุคหนึ่ง การรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่นถูกจัดเป็นความเฉลียวฉลาดทางสังคม

 

 

คำจำกัดความในมุมมองทางอารมณ์ความรู้สึก

 

มุมมองนี้อธิบายว่าการรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่นเกี่ยวข้องถึงความตื่นตัวทางอารมณ์ หรือการตอบสนองในเชิงเห็นอกเห็นใจต่อความรู้สึกหรือสิ่งที่ผู้อื่นพบ ไม่ว่าจะเป็น

  1. รู้สึกตรงกันกับความรู้สึกของผู้อื่น เช่น รู้สึกหวาดกลัวเมื่อเห็นผู้อื่นกำลังกลัว
  2. รู้สึกอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับความรู้สึกของผู้อื่น เช่น รู้สึกสงสารเมื่อเห็นผู้อื่นกำลังเศร้า หรือ
  3. รู้สึกเป็นกังวลหรือเกิดความเมตตาต่อความทุกข์ของผู้อื่น (Baron-Cohen & Wheelright, 2004)

 

ทั้งนี้ การรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่นต้องเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นผลจากอารมณ์ของผู้อื่นเท่านั้น เช่น หากเราได้ยินข่าวการเสียชีวิตของเพื่อนภายหลังทุกข์ทรมานจากโรคร้าย ความเจ็บป่วยถึงตายนั้นอาจสร้างความรู้สึกผ่อนคลายที่ความทรมานได้จบสิ้นลง หรือความเศร้าที่เสียดายในอายุขัยอันสั้น ความรู้สึกสองแบบนี้เรียกได้ว่าเป็นการรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่น แต่ทว่า ความรู้สึกเศร้าเสียใจจากการที่เราสูญเสียเพื่อนไป ความรู้สึกนี้ไม่นับเป็นการรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่นเพราะเป็นความรู้สึกของเราเอง แม้จะเป็นความรู้สึกที่เหมาะควรก็ตาม

 

คำนิยามที่ผสานมโนทัศน์ทางปัญญาและอารมณ์

 

Davis (1980) ได้ให้คำนิยามการรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่น ว่าเป็นการนำตนเองเข้าไปในสถานการณ์ที่ผู้อื่นประสพ (หยั่งรู้ในสิ่งที่ผู้อื่นรู้สึก) ด้วยความสอดคล้องทางอารมณ์ (รู้สึกในสิ่งที่ผู้อื่นรู้สึก) และการตระหนักถึงอย่างเห็นอกเห็นใจ (เอาใจใส่และตอบสนองต่อสิ่งที่ผู้อื่นรู้สึก)

 

Davis เชื่อว่าเป็นการดีที่สุดหากพิจารณาว่าการรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่นเป็นการตอบสนองทั้งด้านปัญญาและอารมณ์ ซึ่งสามารถจำแนกออกจากกันได้ชัดเจน ขณะที่ Baron-Cohen และ Wheelright (2004) ซึ่งเห็นด้วยกับคำนิยามนี้แต่ระบุว่าเป็นการยากและไม่มีความจำเป็นต้องแยกส่วนประกอบทั้งสองออกจากกัน

 

ทั้งนี้ งานวิจัยในประเทศไทยที่ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างการรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่น กับบุคลิกภาพด้านอื่นๆ และพฤติกรรมทางบวกและทางลบ พบว่า บุคคลที่มีลักษณะรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่นสูง มีแนวโน้มให้อภัยสูงกว่า มีลักษณะแสดงอำนาจเหนือผู้อื่นน้อยกว่า มีพฤติกรรมช่วยเหลือมากกว่า ก้าวร้าวน้อยกว่า และแสดงการเหยียดเพศแบบปฏิปักษ์น้อยกว่าอีกด้วย

 

 

 


 

 

รายการอ้างอิง

 

“อิทธิพลของรูปแบบความผูกพันต่อลักษณะนิสัยการให้อภัย : ทวิโมเดลแข่งขันโดยมีตัวแปรการรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่นและการหมกมุ่นครุ่นคิดเป็นตัวแปรส่งผ่าน” รวิตา ระย้านิล (2553) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/30697

 

“อิทธิพลตัวแปรส่งผ่านของการรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่น และอิทธิพลตัวแปรกำกับของเพศต่ออิทธิพลการสนับสนุนจากครอบครัวและสภาพการแข่งขันทางการเรียนต่อความก้าวร้าวและการช่วยเหลือ” สรียา โชติธรรม (2553) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/20706

 

“อิทธิพลของบุคลิกภาพแบบแสดงอำนาจเหนือผู้อื่น และบุคลิกภาพแบบใช้อำนาจฝ่ายขวาต่อการเหยียดเพศโดยมีการรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่น และความรู้สึกแปลกแยกจากสังคมเป็นตัวแปรส่งผ่าน” นัทธมน อินทร, ประภาศรี กระจ่างวุฒิชัย และ อารียา การุณกร (2556) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/44147

 

ภาพจาก https://www.rewireme.com/happiness/empathy-need/

การสร้างความสุขให้ผู้สูงวัย

 

เมื่อพูดถึงความสุข ไม่ว่าใครก็อยากมีความสุข ในชีวิตกันทั้งนั้น เพราะความสุขเป็นพลังงานทางบวก ช่วยขับเคลื่อนให้เรามีกำลังใจในการดำเนินชีวิต และ เมื่อต้องพบเจอกับอุปสรรค ผู้ที่มีความสุขในชีวิตก็จะ สามารถรับมือกับปัญญาได้อย่างใจเย็น ที่สำคัญเวลาเรามีความสุข คลื่นความสุขภายใน ตัวเรายังสามารถแผ่กระจายไปสู่คนรอบข้าง เหมือนที่เวลาเรายิ้มกว้าง ผู้คนรอบข้างก็พลอยรู้สึกดีไปด้วย ดังนั้นจะดีแค่ไหน ที่เราร่วมกันสร้างความสุขให้ผู้สูงวัยในบ้านหรือในสังคมของเรา เพราะเมื่อท่านมีความสุข ยิ้มได้ เราลูกหลานก็พลอยสบายใจไปด้วย

 

 

 

เราจะสร้างความสุขให้ผู้สูงวัยได้อย่างไรกันบ้าง ?


 

สิ่งที่สำคัญสิ่งแรกที่ควรคำนึงถึง คือ การทำให้ท่านรู้สึกว่ามีคุณค่าและมีความสามารถ หลายคนมักคิดว่าผู้สูงวัยเป็นผู้ไร้ความสามารถ บางคนจึงปฏิบัติต่อผู้สูงวัยราวกับว่าท่านเป็นเด็กเล็ก ๆ เช่น พูดช้า ๆ ยืด ๆ หรือพูดเสียงดัง เพราะคิดว่าท่านจะฟังไม่ได้ยิน การเลือกปฏิบัติต่อผู้สูงวัยเช่นนี้ ทำให้ท่านเสียความรู้สึกพอสมควร โดยท่านจะรู้สึกดีกว่าหากเราปฏิบัติต่อท่านเหมือนที่เราทำกับคนอื่น ๆ ทั่วไป ลองคิดในมุมของผู้สูงวัย คงไม่มีใครชอบใจที่ทุกวันมีคนปฏิบัติต่อเราแบบที่เตือนให้เรารู้สึกว่า เราเป็นคนแก่ หรือคนด้อยความสามารถ

 

อีกสถานการณ์หนึ่งที่การกระทำของเราอาจไปบั่นทอนพลังในการดำเนินชีวิตของผู้สูงวัย คือ การที่ท่านกำลังเดินตามปกติ แล้วมีคนเข้าไปประคองหรืออุ้มท่าน เพื่อให้ท่านไปถึงที่หมายเร็วขึ้น เราผู้ซึ่งเข้าไปอุ้มหรือประคองผู้สูงวัยนั้น อาจรู้สึกว่าตนกำลังทำหน้าที่พลเมืองดีหรือลูกหลานที่ดี แต่การกระทำแบบนั้นอาจทำให้ท่านรู้สึกเหมือนว่าตนเป็นคนไร้สมรรถภาพก็เป็นได้ อย่าลืมว่า คนเราทุกคนมีบุคลิกภาพเฉพาะตัวที่ค่อนข้างคงทนถาวรไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะมีอายุที่มากขึ้น เช่น ความหยิ่งในศักดิ์ศรี การชอบทำอะไรด้วยตนเอง เป็นต้น ถ้าเราเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยแบบนี้เช่นกัน คงเข้าใจดีว่าการทำอะไรได้ด้วยตนเองนั้นเป็นความภาคภูมิใจ ทำให้รู้สึกว่าชีวิตตนมีคุณค่า ดังนั้นผู้สูงวัยที่ชอบพึ่งพาตนเอง ก็คงไม่ชอบใจนักหากมีใครเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของท่านโดยไม่จำเป็น

 

ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ต่อไปนี้เวลาเห็นผู้สูงวัยเดินอยู่แล้วให้อยู่เฉย ๆ ไม่เข้าไปยุ่ง เราสามารถเดินข้าง ๆ ร่วมไปกับท่านได้ หากเห็นท่านมีอาการเหนื่อยหอบเหมือนต้องการความช่วยเหลือ ก็ถามท่านไปตรง ๆ ว่ามีอะไรให้เราช่วยหรือไม่ ผู้สูงวัยบางท่านอาจจะให้เราช่วยถือของให้ หรือบางท่านอาจให้เราเป็นราวเกาะพาท่านเดิน อย่างนี้ผู้สูงวัยก็รู้สึกดีว่ามีคนห่วงใยท่าน โดยไม่เป็นการล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของท่านจนเกินไป ส่วนตัวเราเองก็ภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ลูกหลานหรือพลเมืองที่ดี

 

 

ผู้สูงวัยส่วนใหญ่ไม่ชอบรู้สึกว่าตนเป็นภาระต่อลูกหลาน หรือเป็นภาระต่อสังคม การเลือกปฏิบัติต่อผู้สูงวัยที่เป็นพิเศษหรือแตกต่างจากผู้อื่น ไม่ได้ทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้น แต่อาจทำให้ท่านรู้สึกไม่ดีกับความสูงวัยของตนเอง อาจทำให้ท่านรู้สึกทุกข์มากกว่าสุข ดังนั้นเราลูกหลานต้องนึกถึงใจท่านให้มาก ๆ

 

หัวใจสำคัญของการปฏิบัติตัวที่ถนอมความรู้สึกของผู้สูงวัยก็คือ การนึกถึงใจเขาใจเรา นึกถึงว่าอะไรที่ ผู้อื่นทำกับเราแล้วเราไม่ชอบ เช่น การใช้คำพูด การแสดงกิริยาท่าทางที่ทำให้เรารู้สึกด้อยคุณค่า รู้สึกเหมือนไร้ความสามารถ หรือการแสดงความเวทนาสงสาร การกระทำเหล่านี้ไม่มีใครชอบ ผู้สูงวัยก็เช่นกัน

 

สำหรับการสร้างความสุขใจให้แก่ผู้สูงอายุ ได้แก่ การได้รับการสนับสนุนทางสังคม โดยมีสถาบันครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นคู่สมรส ลูก หลาน ญาติพี่น้อง เป็นแหล่งสนับสนุนที่สำคัญ หน้าที่ของเราลูกหลานก็คือแสดงให้ผู้สูงวัยรับรู้ ว่าท่านได้รับการสนับนุนทางสังคม ไม่ทำตัวห่างเหิน พูดคุยกับท่าน ถามไถ่ทุกข์สุขของท่าน หลายคนมีผู้สูงวัยอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน แต่กลับอยู่กันคนละห้อง รับประทานอาหารกันคนละที่ คนละเวลา ยังไม่สายเกินไป ที่เราจะปรับเปลี่ยนวิถี ชีวิตในครอบครัวเสียใหม่ เพื่อให้เราได้ใกล้กับผู้สูงวัยในบ้านมากขึ้น หากหน้าที่การเรียนการงานไม่เอื้อที่จะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทุกวัน อย่างน้อยแต่ละสัปดาห์ ให้มีสักหนึ่งวันที่ได้พูดคุยทำกิจกรรมร่วมกัน ก็จะทำให้ผู้สูงวัยในบ้านมีความสุขไม่น้อยเลย

 

ผู้สูงวัยหลายท่านรู้สึกว่าตนเป็นภาระ เพราะเวลาที่ท่านเจ็บป่วยต้องไปโรงพยาบาลทีไร ก็ต้องขอให้ลูกหลานพาไป เพื่อให้ท่านรู้สึกสบายใจ เราก็ไม่ควรไปแสดงท่าทางว่าไปเพราะจำเป็นต้องไปหรือเป็นการเสียเวลา หากมองในแง่ดีก็คือ การได้พาท่านไปไหนมาไหนนั้น เป็นการที่เราได้ใช้เวลาร่วมกับท่าน ทำให้ท่านไม่รู้สึกเหงาหรือถูกทอดทิ้ง ให้ท่านรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจว่ามีลูกหลานคอยดูแล

 

แหล่งสนับสนุนทางสังคมที่สำคัญต่อผู้สูงวัยอีกแหล่งหนึ่งคือ เพื่อน กลุ่มเพื่อนที่ผู้สูงวัยคบหา อาจเป็นในรูปแบบของชมรมหรือสมาคม ผู้ซึ่งแชร์ความสนใจ ร่วมกัน หรือมีกิจกรรมที่สนใจทำร่วมกัน เช่น การไปวัด ทำบุญ การปลูกผักปลูกต้นไม้ การทำงานฝีมือ หรือการ นัดพบปะพูดคุย รับประทานอาหารร่วมกันฉันเพื่อน จะเห็นได้ว่าผู้สูงวัยก็มีความต้องการมีความสัมพันธ์ทางสังคมไม่ต่างจากคนวัยหนุ่มสาว ต่างกันตรงที่ว่าผู้สูงวัยเน้นรักษาความสัมพันธ์ที่มีอยู่ให้มั่นคง แน่นแฟ้นยิ่ง ๆ ขึ้นไป ในขณะที่คนหนุ่มสาวมักมองหาเพื่อนหรือกลุ่มสังคมใหม่ ๆ ขยายกลุ่มสังคม เพื่อเพิ่ม โอกาสทางการทำงานหรือทางธุรกิจ

 

ทุกวันนี้เราใช้เทคโนโลยีในการติดต่อสื่อสาร ระหว่างกัน หากผู้สูงวัยต้องการติดต่อพูดคุยกับเพื่อนหรือกลุ่มเพื่อนผ่านทางไลน์ หรือเฟซบุค ซึ่งต้องพึ่งพาอุปกรณ์สื่อสารอย่างโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต ผู้เป็นลูกหลานก็มีหน้าที่สนับสนุนท่าน โดยการสอนการใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีเหล่านี้ให้ท่าน ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าท่านอาจจะเรียนรู้ได้ไม่รวดเร็วทันใจ เพราะท่านไม่ได้เติบโตมากับเทคโนโลยีเหล่านี้ แต่ถ้าสอนท่านอย่างใจเย็น ท่านก็จะสามารถเรียนรู้ ได้ไม่ยาก

 

ผู้สูงวัยไม่อยากเป็นภาระของลูกหลานหรือของสังคม ในทางกลับกันท่านอยากรู้สึกว่า แม้จะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังมีคุณค่ามีประโยชน์ต่อลูกหลานและสังคม ความสุขของท่านจะเกิดขึ้นได้ ก็เมื่อลูกหลาน หรือคนในสังคมเห็นคุณค่าของท่าน

 

สิ่งหนึ่งที่มาพร้อมอายุที่เพิ่มขึ้น ก็คือ ประสบการณ์ชีวิตที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน นอกจากนี้ ความสูงวัยไม่ทำให้ทักษะหรือความเชี่ยวชาญหายไป โดยเฉพาะกับผู้สูงวัยที่ยังมีสุขภาพในเกณฑ์ที่ดี ดังนั้นผู้สูงวัยจึงเป็นแหล่งความรู้ชั้นเลิศใน ครอบครัว ลูกหลานบางคนลืมในจุดนี้ไป เพราะคิดเพียงว่าความชราวัยทำให้คนเสื่อมลง แย่ลง หากเป็นเรื่องการคิดคำนวณ เรื่องการเรียนรู้ เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ท่านไม่เคยรู้จักมาก่อน ผู้สูงวัยคงคิดได้และเรียนรู้ได้ช้ากว่าคนวัยหนุ่มสาว แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ท่านมีความรู้ มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ความรู้ความสามารถของท่านอาจช่วยเราได้มาก

 

 

ผู้สูงวัยมักสุขใจที่ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ให้ หากวันใดที่เรามีปัญหาในชีวิต รู้สึกเครียด ตีบตัน หาทางออกไม่เจอ ลองเข้าไปคุยกับผู้สูงวัยดู บางทีเราอาจจะได้ข้อคิดอะไรดี ๆ กลับไปปรับใช้และช่วยแก้ปัญหาให้เราได้ ผู้สูงวัยใช้ชีวิตมานาน ผ่านประสบการณ์ทุกข์สุขมามากมาย ท่านจึงมักเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจัดการกับปัญหาที่ทำให้เรื่องเครียดกลายเป็นเรื่องง่ายได้ บางทีเวลาที่เราเผชิญกับปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว การงาน การเงิน หรือความรัก เรามักรู้สึกว่าเราเผชิญกับปัญหาเรื่องนี้คนเดียว ไม่มีใครเข้าใจ และคงไม่มีใครเคยเจอเรื่องแบบนี้ แท้จริงแล้ว ผู้สูงวัยท่านเคยผ่านเรื่องเหล่านี้ มาแล้ว บางทีท่านเจอปัญหาที่หนักหนายิ่งกว่าเราเสียด้วยซ้ำ หากเรานึกไปถึงยุคที่ผู้สูงวัยเติบโตมา ซึ่งเป็นยุคฟื้นฟูภายหลังจากสงคราม เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง และเทคโนโลยี เครื่องทุ่นแรงและเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ยังไม่มีถึงพร้อมเท่าในยุคปัจจุบันนี้ ผู้สูงวัยส่วนใหญ่ เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวมาจากศูนย์ ผ่านความลำบากมามากกว่าเรากว่าจะมาถึงวันนี้ ดังนั้น ปัญหาที่เราเจออาจเทียบไม่ได้เลยกับที่ผู้สูงวัยได้เคยประสบมา ผู้สูงวัยจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้มีภูมิปัญญา เป็นปราชญ์ประจำท้องถิ่น ไม่ใช่เพียงแต่เรื่องปัญหาชีวิตเท่านั้นที่ผู้สูงวัยอาจช่วยเราได้ แต่ผู้สูงวัยยังมีความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวของท่านที่เราไม่ควรละเลยที่จะขอความรู้ และคำแนะนำจากท่าน

 

อาหารบางอย่างที่ผู้สูงวัยในบ้านของเราทำให้รับประทาน บางทีเป็นสูตรพิเศษที่หาที่ไหนไม่ได้ เราลูกหลานควรเข้าไปช่วยท่านในครัวบ้าง จะได้มีเคล็ดลับในครัวติดตัวไปใช้ ผู้สูงวัยบางท่าน ปลูกผักปลูกต้นไม้อะไรก็ให้ดอกผลงดงาม เรื่องความรู้เช่นนี้ หากเราไม่ไปขอเรียนรู้จากท่าน ต่อไปเราอาจจะนึกเสียดายภายหลัง หากท่านมีอายุมากจนไม่อาจสอนเราได้

 

จะเห็นได้ว่าความสุขของผู้สูงวัย เริ่มมาจากการที่ท่านได้ทำหน้าที่เป็นผู้ให้ ได้รับรู้ว่าท่านมีคุณประโยชน์ต่อลูกหลาน หรือต่อชุมชนและสังคม ท่านมีความรู้มีประสบการณ์ และภูมิปัญญาที่พร้อมจะมอบให้ ขอเพียงเราเข้าไปพูดคุยกับท่านให้มาก ๆ

 

 

อิริคสัน นักจิตวิทยาพัฒนาการชื่อดัง ได้กล่าวไว้ว่ามนุษย์เราในวัยกลางคน ซึ่งเป็นวัยที่มีหน้าที่การงานในระดับหัวหน้างาน มีลูกในวัยเรียน หรือลูกในวัยที่เพิ่งเรียนจบใหม่ ๆ มักจะเริ่มมีความคิดที่จะถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ที่ตนมีให้แก่คนรุ่นหลัง ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องที่ทำงาน หรือลูกหลานในครอบครัว เพราะการถ่ายทอดความรู้ ถือเป็นการฝากรอยประทับประจำตนไว้ให้กับสังคม เหมือนว่าเรามีเคล็ดลับอะไรที่ดี ๆ ก็ไม่อยากเก็บไว้คนเดียว ต้องบอกต่อ

 

อายุที่เพิ่มขึ้น เป็นเหมือนนาฬิกาที่คอยเตือนคนวัยกลางคนและผู้สูงวัยว่า เวลาในชีวิตของเรานั้นเหลืออีกไม่มาก หากมีสิ่งใดที่จะฝากไว้ให้เป็นประโยชน์แด่คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้ก็ควรทำ เพราะตามแนวคิดของอิริคสัน เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้นจนถึงจุดที่เป็นบั้นปลายของชีวิต คนเรามักจะทบทวนและประเมินชีวิตโดยภาพรวมของตนเอง หากเราได้เคยฝากรอยประทับดี ๆ ไว้ให้กับครอบครัว ผู้ร่วมงานและสังคมแล้ว เราก็จะรู้สึกอิ่มใจที่ชีวิตนี้ได้ทำประโยชน์ และได้ส่งต่อความรู้และประสบการณ์ของตนให้แก่คนรุ่นต่อไป หากต้องลาโลกนี้ไปก็คงไม่เสียดายอะไร การได้ถ่ายทอดความรู้ ได้สั่งสอน ได้ให้คำแนะนำแก่ลูกน้อง ลูกหลาน จึงเป็นแหล่งความสุขของผู้สูงวัย เราเองผู้ที่เป็นลูกหลานหรือเป็นคนในสังคม ควรน้อมรับคำสั่งสอน คำตักเตือน และการถ่ายทอดความรู้ ด้วยความเข้าใจและเต็มใจ แน่นอนว่า บางครั้งเราอาจจะคิดว่าคำสอนของ ผู้สูงวัยนั้น เชยและล้าสมัย และคำพูดของผู้สูงวัยบางเรื่องไม่ตรงกับความคิดของเรา แต่เพื่อให้การสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่น และเป็นการถนอมน้ำใจของผู้สูงวัย ขอให้คิดเสมอว่าท่านสั่งสอนเราด้วยความหวังดี รับฟังผู้ใหญ่เอาไว้ก็ไม่เสียหาย และในบางเรื่องที่เราคิดค้านคำสอนของผู้สูงวัย แต่พอนานไปก็กลับพบว่า ที่ท่านตักเตือนไว้ก็มักเป็นจริง ผู้สูงวัยเป็นผู้มีประสบการณ์ชีวิตมากกว่าเรา จึงมักจะมองเห็นภาพที่กว้างกว่า และเกินกว่าที่เราเองจะคาดคิดได้ ดังนั้น เพื่อความสุขของผู้สูงวัย ขอให้คุณผู้ฟังเปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่ในบ้านได้ถ่ายทอดความรู้ คำสั่งสอน หรือคำตักเตือน และเปิดใจรับฟังท่าน

 

 

การกระทำที่หลายคนอาจไม่ทันคาดคิดว่า ความหวังดีของลูกหลาน ที่มีต่อผู้สูงวัยในบ้าน จะกลับกลายเป็นทำให้ท่านรู้สึกเสียใจไปได้ ยกตัวอย่างเช่น คุณยายท่านหนึ่งอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว แต่ยังเดินไปไหนมาไหนได้อย่างคล่องแคล่ว คุณยายอาศัยอยู่ ในบ้านหลังนี้ ที่ตนเองกับสามีที่เสียชีวิตไปแล้วได้ ร่วมกันทำงานหาเงิน เก็บเงินซื้อบ้านหลังนี้ ลูก ๆ ของคุณยายทุกคนเติบโตที่บ้านหลังนี้ บ้านหลังนี้จึงไม่ใช่เป็นแค่บ้านหลังหนึ่งของคุณยาย แต่เป็นที่พักพิงทางใจ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำในชีวิตของคุณยายและครอบครัว

 

เมื่อลูก ๆ เป็นผู้ใหญ่ ก็ต่างแยกย้ายกันออกไป แต่งงานมีครอบครัวเป็นของตนเอง และด้วยหน้าที่การงานที่อยู่ไกลออกไปจากบ้านหลังนี้ จึงทำให้ลูก ๆ ไม่สามารถอยู่บ้านหลังนี้ได้ จึงไป ๆ มา ๆ ไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่ร่วมกับคุณยายมากนัก ด้วยความเป็นห่วง ไม่อยากให้คุณยายอยู่บ้าน คนเดียวลูกสาวคนโตจึงคุยกับน้องชายว่า จะร่วมกันลงขันให้คุณยายย้ายไปอยู่ในหมู่บ้านสำหรับผู้สูงวัย ที่มีทีมแพทย์และพยาบาลคอยดูแลหากมีเหตุฉุกเฉิน หมู่บ้านแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัยระดับเกรดเอ ราคาค่าที่พักต่อเดือนก็เป็นจำนวนเงิน หลายหมื่นบาท แต่ลูกชายและลูกสาวเห็นว่าเพื่อแม่ จึงยินดีจ่ายเพื่อสิ่งที่ดีสุดสำหรับคุณแม่ของตน และอีกอย่างหมู่บ้านนี้ก็อยู่ในแหล่งที่ลูก ๆ สามารถ เดินทางไปหาแม่ได้โดยง่าย

 

จากเหตุการณ์สมมตินี้ ก็ดูเหมือนน่าจะดี ลูกไม่อยากให้แม่อยู่คนเดียว ก็พาแม่ไปอยู่หมู่บ้านใหม่ จะได้มีเพื่อนรุ่นเดียวกันเยอะ ๆ แต่จริง ๆ แล้วจะเห็นว่ามีข้อผิดพลาดอยู่ข้อเดียว คือ ลูก ๆ เลือกทางเลือกที่เชื่อว่าดีที่สุดให้แม่ แต่ไม่เคยถามแม่ซักคำว่าท่านต้องการอะไร ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ที่เราลูกหลานอาจละเลยและคาดไม่ถึง

 

ผู้สูงวัยบางท่านเห็นดีด้วย และเต็มใจที่จะย้าย เพราะเห็นว่ามีสังคมเพื่อน ก็ดีกว่าอยู่คนเดียว แถมอยู่ ใกล้หมออีกด้วย ผู้สูงวัยบางท่านยอมจำใจย้ายออกไป เพราะเห็นแก่ลูก ทั้ง ๆ ที่ตนเองรู้ว่าจะมีความสุขมากกว่า หากได้อยู่บ้านหลังเดิมของตน ผู้สูงวัยบางท่านย้ายไปแล้วสุขภาพแข็งแรงมี ความสุขดี บางท่านย้ายไปแล้วสุขภาพทรุดโทรมกว่าตอนที่อยู่บ้านหลังเดิมของตน

 

ไม่ว่าท่านจะต้องการใช้ชีวิตบั้นปลายของท่านอย่างไร ขอให้ท่านได้เลือกด้วยตัวท่านเอง เหล่าลูกหลานมีหน้าที่เป็นกำลังสนับสนุน แต่ไม่ใช่ผู้ชี้นำชีวิตท่าน

 

วิธีที่ดีที่สุด และเรียบง่ายที่สุด ก็คือการเข้าไปถามท่าน คุยกับท่านตรง ๆ ว่าเรามีความห่วงใย ไม่อยากให้ท่านอยู่บ้านคนเดียว และนำทางเลือกหลาย ๆ ทางไปนำเสนอให้ท่านลองเลือกดู หากท่านเลือกที่จะอยู่บ้านท่าน เราก็ต้อง ยอมรับการตัดสินใจของท่าน แล้วก็ค่อยมาคิดกันต่อว่าจะดูแลท่านอย่างไรต่อไป

 

หลักสำคัญก็คือไม่ควรทึกทักว่า เราได้เลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับผู้สูงวัยในบ้าน หากท่านเป็นผู้สูงวัยที่ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ให้ท่านเลือกเองจึงจะดีที่สุด เพราะชีวิตเรา เราก็คงอยากกำหนดเองเช่นกัน

 

 


 

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย อาจารย์ ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

ความสุขคืออะไร?

 

นักจิตวิทยาชื่อ วีนโฮเฟ่น (1997) ให้นิยาม “ความสุข” ว่าหมายถึงการประเมินของแต่ละคนว่าชื่นชอบชีวิตโดยรวมของตนเองมากแค่ไหน การที่เราบอกว่าเรามีความสุข จึงหมายถึงเรารู้สึกชอบหรือพึงพอใจกับชีวิตเรานั่นเอง คนที่มีความสุขนั้น เป็นคนที่แทบจะไม่รู้สึกวิตกกังวลกับชีวิตนเอง ชอบสนุกสนานอยู่กับเพื่อนฝูง และชอบประสบการณ์ใหม่ ๆ มีอารมณ์มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงขึ้นลงง่าย และมักจะหวังว่าตนจะพบเจอสิ่งดี ๆ ในอนาคต ส่วนคนที่ไม่มีความสุขนั้น มักจะรู้สึกว่าชีวิตตัวเองย่ำแย่ ไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น หรือถึงขนาดคิดฆ่าตัวตายก็มี เพราะฉะนั้นความสุขจึงเหมือนสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตเรา

 

เมื่อรู้แล้วว่าความสุขคืออะไร คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับความสุขต่อมา ก็คือ “เงินซื้อความสุขได้หรือไม่” หลายคนเชื่อว่า ความรวยและการอยู่ดีกินดีทำให้เรามีความสุขได้ จึงทำงานหนักเก็บเงินสร้างฐานะ แต่นักจิตวิทยาได้ศึกษาพบว่า เมื่อเรามีสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตแล้ว ความร่ำรวยหรือเงินเดือนที่สูงเกินจำเป็น ไม่ได้ทำให้คนเรามีความสุขมากตามไปด้วย ถึงแม้ว่าคุณจะรวยติดอันดับมหาเศรษฐีร้อยคนแรกของอเมริกา การศึกษาก็พบว่าคนเหล่านี้มีความสุขมากกว่าคนทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หรือในคนที่ได้ขึ้นเงินเดือน เทียบกับคนที่ไม่ได้ขึ้นเงินเดือนเลย คน 2 กลุ่มนี้ก็มีความสุขไม่ต่างกัน ดังนั้น ความร่ำรวยก็เหมือนการมีสุขภาพดี นั่นคือถ้าบกพร่องหรือยากจนแล้ว จะทำให้เราเกิดทุกข์ได้ แต่การรวยมากหรือสุขภาพดีมาก ก็ไม่ได้รับประกันว่าเราจะมีความสุขมากเสมอไป

 

 

แล้วอะไรบ้างถึงจะทำให้เรามีความสุขได้ และถ้าอยากจะทำตัวให้มีความสุขมากขึ้นจะต้องทำอย่างไร?

 

บุคลิกลักษณะแรกของคนที่มีความสุข คือ เป็นคนที่นับถือตนเองสูง ซึ่งหมายถึงว่าเป็นคนที่ชอบตัวเอง มองตัวเองในแง่บวก เช่น มองว่าตัวเองมีเสน่ห์ ฉลาดกว่าคนอื่น เข้ากับผู้อื่นได้ดี สุขภาพร่างกายแข็งแรงกว่าคนอื่น ๆ ซึ่งบางครั้งเป็นการคิดเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียว

 

ลักษณะสำคัญลักษณะที่ 2 ของคนที่มีความสุข คือ การรู้สึกว่าตัวเองควบคุมชีวิตของตัวเอง เป็นคนที่เชื่อว่าชีวิตเป็นของเรา จะดีจะร้ายจะประสบความสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่ตัวเราเอง ไม่รอโชคชะตา เชื่อว่าเราควบคุมสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตเราเองได้ นักจิตวิทยาพบว่า คนที่เชื่อแบบนี้จะเรียนได้ดี ทำงานก็ประสบความสำเร็จ และแก้ปัญหาความเครียดของตัวเองได้ดีกว่า จึงเป็นคนที่มีความสุข

 

ลักษณะที่ 3 ของคนที่มีความสุข คือ การเป็นคนมองโลกในแง่ดี ไม่ว่าจะทำอะไรก็มองหาแง่มุมที่ทำให้ตนเองมีกำลังใจ ทำงานสำเร็จก็มองว่าเป็นเพราะตัวเองเก่ง ไม่ใช่เพราะโชคช่วย ถ้าต้องเจอกับงานใหม่ ที่เรียนใหม่ ก็มองว่าตัวเองจะทำได้ดี จะไปได้สวยแน่ ๆ เพียงแค่คิดในแง่ดีเช่นนี้ คุณก็มีโอกาสประสบความสำเร็จ มีสุขภาพดี และมีความสุขกว่าคนอื่น ๆ

 

ลักษณะที่ 4 ของบุคลิกภาพของคนที่มีความสุข คือ การเป็นคนเปิดเผย ชอบแสดงออกทางความรู้สึก เช่น ยิ้มหน้าบานเมื่อรู้สึกดีใจ เป็นคนชอบเข้าสังคมสังสรรค์เฮฮา มีเพื่อนฝูงมากมายให้พูดคุย ไม่ใช่คนเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียว

 

ลักษณะเหล่านี้ก็ฝึกฝนเพิ่มพูนกันได้ เพราะฉะนั้น ลองมาเริ่มนับถือตนเอง มองโลกในแง่ดี เปิดเผยตัวเอง และควบคุมชีวิตของเราเอง แล้วคุณก็จะพบว่าความสุขอยู่ไม่ไกลเราเลย

 

เคล็ดลับที่จะทำให้เรามีความสุขอย่างหนึ่งก็คือการหัวเราะ นักวิจัยทั้งทางด้านจิตวิทยาและด้านการแพทย์ ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าการหัวเราะมีประโยชน์ต่อทุก ๆ คนหลายอย่าง การหัวเราะทำให้ร่างกายหลั่งสารที่ช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ และรักษาความเจ็บป่วยบางอย่างได้ และที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด คือเมื่อหัวเราะ เราจะรู้สึกดี ไม่ว่าจะเป็นการหัวเราะคิกคักหรือหัวเราะอย่างเต็มที่ก็ตาม แต่หลายคนอาจเกิดคำถามว่า จะทำอย่างไรให้หัวเราะ? ในเมื่อเราจะหัวเราะก็เฉพาะเมื่อมีเรื่องตลกขบขัน เราไม่สามารถบังคับตัวเองให้หัวเราะเวลาที่เราไม่รู้สึกขำได้ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นความจริง แต่แค่บางส่วนเท่านั้น เพราะเราสามารถจี้เส้นตัวเองได้หลายวิธี และตักตวงประโยชน์ที่จะได้รับจากการหัวเราะ อารมณ์ขันไม่ได้สงวนไว้เฉพาะเรื่องขำขัน ภาพยนตร์หรือดาวตลกเท่านั้น แต่ให้เรามองอารมณ์ขันว่าเป็นเรื่องของทัศนคติ การเปิดใจกับเรื่องไม่เป็นสาระ ไม่เพียงแค่ป้อนเรื่องขำ ๆ ให้กับตนเองเท่านั้น แต่ต้องเปิดใจกับความพิลึกพิลั่นของทุก ๆ สถานการณ์ ไม่ว่าเรากำลังเผชิญกับความเครียดที่ทำงาน หรือกำลังเลิกกับแฟน หากท่านมองเห็นในแง่ขำขัน ก็จะช่วยให้เรามองประเด็นปัญหาได้ชัดเจนขึ้น และอาจช่วยปลดปล่อยความโกรธ ความช้ำใจ ผิดหวัง หรือเสียใจได้ด้วย แต่ต้องระวังอย่าไปหัวเราะผิดที่ผิดทางเข้า แทนที่เรื่องร้ายจะกลายเป็นดี อาจจะกลายเป็นความเดือดร้อนให้กับตนเองได้ เตือนตัวเองไว้เสมอว่า อย่าจริงจังกับชีวิตจนเกินไป ให้หัวเราะกับสิ่งรอบ ๆ ตัว แล้วความสุขจะอยู่ในกำมือของเรา

 

 

เทคนิคการเพิ่มความสุข

 

  1. นักจิตวิทยาแนะให้ตระหนักว่า ความสุขที่ยั่งยืนไม่มีสูตรสำเร็จที่จะสร้างขึ้นมาได้ แต่มนุษย์มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพความเป็นอยู่ของตัวเองได้ ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน เราก็สามารถมีความสุขได้ จริงอยู่ว่าความยากจนไม่มีจะกินทำให้เกิดทุกข์ แต่คนที่รวยล้นฟ้า ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะมีความสุขเสมอไป
  2. การควบคุมตารางเวลาของตัวเอง คนที่มีความสุขจะรู้สึกว่าชีวิตอยู่ในกำมือตัวเอง แบ่งเวลาออกเป็นส่วน ๆ ตามเป้าหมายว่า วันนี้จะทำอะไรบ้าง เช้าทำอะไร เย็นทำอะไร แล้วก็ทำตามที่วางแผนไว้ แล้วก็จะรู้สึกว่า เราทำอะไร ๆ ได้มากมาย
  3. ทำตัวให้มีความสุข ซึ่งก็ทำได้ง่าย ๆ ด้วยการยิ้ม นักจิตวิทยาพบว่า เมื่อเรายิ้ม เราจะรู้สึกมีความสุขขึ้น ถ้าเราหน้าบึ้งก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่เลย เพราะฉะนั้นอยากมีความสุขก็ให้ยิ้มเข้าไว้
  4. หางานหรือกิจกรรมที่ชอบทำในเวลาว่างที่ได้ใช้ทักษะของเราเอง เช่น ทำงานฝีมือหรือจัดแต่งสวนหน้าบ้าน กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้มีสมาธิ เพลิดเพลิน รู้สึกอยากทำงานให้สำเร็จ ลืมสนใจอย่างอื่นจนรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สามารถทำได้โดยไม่ต้องรอให้มีเวลาว่าง ในการทำงานทุก ๆ วัน ก็สามารถทำได้ โดยการเปลี่ยนงานน่าเบื่อให้มีเป้าหมายว่าแต่ละชั่วโมงจะทำอะไรให้เสร็จบ้าง แล้วก็มุ่งมั่นทำให้ได้ จะช่วยให้เราทำงานอย่างมีความสุข
  5. ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เล่นกีฬา หรือเต้นแอโรบิคอยู่กับบ้านก็ได้ ซึ่งการศึกษาพบว่าการออกกำลังกายนั้น นอกจากจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังสามารถบำบัดอาการซึมเศร้าทางจิตและความวิตกกังวลได้ด้วย เพราะจิตใจที่แจ่มใสย่อมอยู่คู่กับร่างกายที่แข็งแรง
  6. นักจิตวิทยาแนะว่าการพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ คนที่มีความสุขนั้นนอกจากจะเป็นคนสดชื่นกระปรี่กระเปร่าแล้ว ถึงเวลาพักก็ต้องพักเต็มที่เพื่อเติมพลัง ถ้าเราพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะรู้สึกอ่อนเพลีย เฉื่อยชาและอารมณ์เสียง่ายอีกด้วย
  7. การให้ความสำคัญกับคนใกล้ชิด ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ เวลาเราเหงาหรือทุกข์ใจ ยาขนานเอกก็คือการมีใครสักคนมาใกล้ชิดและห่วงใยเราอย่างแท้จริง ดังนั้นอย่าลืมทะนุถนอมความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดด้วยการแสดงความรักให้อีกฝ่ายรับรู้ อย่าคิดว่าอยู่กันมานานรู้ใจกันอยู่แล้ว หมั่นแสดงน้ำใจต่อคนใกล้ชิดเหมือนที่แสดงความมีน้ำใจกับผู้อื่น ใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกันและเติมความรักอยู่เสมอ
  8. นักจิตวิทยาแนะว่า ให้เราใส่ใจผู้อื่นให้มากกว่าตัวเอง มองข้ามความต้องการของตัวเองไปบ้าง แล้วดูว่าผู้อื่นต้องการอะไร ต้องการความช่วยเหลืออะไรจากเราหรือไม่ เพราะการทำความดีโดยการช่วยเหลือผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นมีความสุข ก็จะทำให้เรารู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ และมีความสุขตามไปด้วย
  9. หันมามองและตระหนักถึงสิ่งดี ๆ ในชีวิตที่มีอยู่และมักจะมองข้ามไป เช่น สุขภาพที่แข็งแรง เพื่อน ๆ ที่หวังดี ครอบครัวที่อบอุ่น คนที่จดจำและซาบซึ้งกับสิ่งดี ๆ ในชีวิต จะมีความสุขมากขึ้นได้
  10. วิธีการเพิ่มความสุขในชีวิตของเรา คือสร้างศรัทธาในศาสนาเอาไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ ผลจากการวิจัยพบว่าผู้ที่ศรัทธาในศาสนาใดก็ตามจะปรับตัวกับเรื่องร้าย ๆ ในชีวิตได้ดีกว่า รู้สึกว่าชีวิตเรามีความหมาย ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และแน่นอนว่ามีความสุขในชีวิตมากกว่า

 

และนี่ก็คือวิธีง่าย ๆ 10 ข้อ ในการเพิ่มความสุข ลองนำไปปฏิบัติดู แล้วจะเห็นว่าความสุขอยู่ใกล้มือเราเอง

 

 

 


 

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.คัคนางค์ มณีศรี และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัชราภรณ์ บุญญศิริวัฒน์

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University