“ภรรยาของผมเสียเมื่อสามอาทิตย์ที่แล้ว ผมกลับมาทำงานเมื่อสามวันที่แล้ว แต่ผมไม่สามารถมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานได้ บางครั้งผมก็จะเผลอรอข้อความทางโทรศัพท์จากภรรยา และเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเขาไม่อยู่แล้ว ผมก็อยากจะร้องไห้ทุกครั้ง ทุกวันนี้ผมยังร้องไห้อยู่ทุกคืน ผมผิดปกติรึเปล่าครับ?”
“ดิฉันเลิกกับแฟนมาได้ 4 เดือนแล้ว แต่ยังคงคิดถึง อยากรู้เรื่องของเขา ยังเสียใจและร้องไห้เวลาอยู่คนเดียว เพื่อนๆ ถามว่าทำไมยังเสียใจอยู่เพราะก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ควรทำใจได้แล้ว ดิฉันผิดปกติรึเปล่าคะที่ยังทำใจไม่ได้ซะที?”
“งานของผมเครียดและมีความกดดันมากครับ ผมต้องทำงานเกือบทุกวันเพราะมีผมคนเดียวที่รับผิดชอบงานในส่วนนี้ หัวหน้าจะใช้วิธีกดดันเพื่อให้พนักงานสร้างยอดขายได้ตามเป้ามากกว่าจะใช้วิธีการช่วยสนับสนุน ที่ผมนอนไม่หลับและตื่นกลางดึกทุกคืนเพราะกังวลว่างานไม่เสร็จนี่ ผมผิดปกติรึเปล่าครับ?”
จากประสบการณ์ในการให้บริการทางจิตวิทยาการปรึกษา ดิฉันสังเกตว่าผู้มารับบริการบางคนมาหานักจิตวิทยาการปรึกษาด้วยคำถามที่ว่า
“ฉันผิดปกติรึเปล่า…ที่ฉันรู้สึกแบบนี้ หรือมีอาการแบบนี้เรียกว่าผิดปกติรึเปล่าคะ/ครับ”
“แบบนี้เรียกว่าบ้ารึเปล่าคะ/ครับ”
ทุกครั้งที่ดิฉันได้ยินคำถามลักษณะนี้หรือได้ยินผู้รับบริการแจ้งว่าวัตถุประสงค์ของการมารับบริการการปรึกษาคือต้องการจะรู้ว่าตนเองผิดปกติรึเปล่า ดิฉันมักจะประหลาดใจว่า การรับรู้ว่าตนเอง “ผิดปกติหรือไม่ผิดปกติ” นี่ ดูเหมือนจะสำคัญมากสำหรับผู้มารับบริการ ซึ่งหากมองโดยผิวเผินแล้วก็ฟังดูไม่น่าจะมีอะไรที่น่าแปลกใจ เพราะคนเราหากมีอาการอะไรที่ผิดแปลกไปจากเดิม ก็คงอยากหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง สิ่งที่ตนเองเป็นอยู่นั้นผิดปกติไปจากคนทั่วไปหรือไม่
แต่เมื่อพิจารณามองให้ลึกซึ้งไปกว่านั้น ดิฉันอดคิดไม่ได้ว่า ความคาดหวังของสังคมและระบบสังคมมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อความรู้สึกของบุคคลว่าตนเองมีความผิดปกติ
ดังเช่นในตัวอย่างแรกนั้น ภรรยาของพนักงานบริษัทคนนั้นเพิ่งเสียชีวิตไป แต่เขากลับถูกคาดหวังจากบริษัทให้กลับไปทำงานตามปกติภายในเวลาไม่กี่วัน ข้อบังคับเรื่องจำนวนวันลาเมื่อเหตุการณ์สูญเสียเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นเสมือนสารที่สื่อให้พนักงานทุกคนรู้สึกว่าบุคคลควรจะสามารถฟื้นตนเองจากความสูญเสีย แล้วกลับมาทำงานเพื่อสร้างผลงานให้ได้ตามเดิมภายในระยะเวลาที่กำหนด
กระบวนการทางจิตใจเพื่อจัดการอารมณ์กับความสูญเสียของแต่ละคนที่ต้องใช้ระยะเวลาแตกต่างกันถูกแทรกแซงและถูกกดโดยระบบและกฎเกณฑ์ของบริษัท ของระบบทางสังคมที่สร้างกรอบทางความคิดแก่บุคคลว่าเขาควรจะฟื้นตนเองให้ได้ภายในเวลาที่กำหนด
หรือคำพูดที่ว่า “เลิกกับแฟนมาตั้งนานแล้ว ทำไมยังทำใจไม่ได้ซะที” เสมือนกับเป็นการบอกเป็นนัยว่าการที่เธอกำลังเสียใจอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ผิดแปลกไปจากคนทั่วไป หรือเป็นเรื่องที่ “ผิดปกติ”
หรือในตัวอย่างที่ 3 นั้น ไม่ว่าใครหากอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นคงรู้สึกเครียดและกดดันเป็นอย่างมาก ลองจินตนาการดูว่า ถ้าเรานั่งอยู่ใกล้กองไฟ มันคงจะยากหากเราจะไม่รู้สึกร้อน และก็อาจจะไม่ดีต่อสุขภาพของเราด้วยหากเราจะพยายามบังคับใจไม่ให้ร้อนแล้วปล่อยให้ผิวเราไหม้เพราะอยู่ใกล้กองไฟมากเกินไปต่อไป
ในฐานะนักจิตวิทยาการปรึกษา ดิฉันเห็นว่า คำว่า “ปกติ” หรือ “ผิดปกติ” ไม่สำคัญมากเท่ากับการที่บุคคลให้ความสำคัญกับความรู้สึก ความทุกข์และผลกระทบทางจิตใจที่เกิดขึ้นต่อตนเอง เพื่อหาทางยอมรับและจัดการกับความรู้สึกนั้น ๆ ซึ่งอาจจะใช้เวลาแตกต่างจากคนทั่วไป หรืออาจจะไม่สามารถที่จะขจัดความทุกข์ออกไปได้หมด ทำได้เพียงแค่อยู่กับมันให้ได้ในแต่ละวัน
ดังนั้นการใช้เวลาเยียวยาจิตใจมากกว่าคนอื่นไม่ได้แปลว่าคุณผิดปกติ และการที่มีใครมาบอกว่าคุณปกติ ก็ “ไม่ได้” แปลว่าความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นไม่สำคัญและไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับความรู้สึกเหล่านั้น
ดิฉันจึงอยากชวนให้ทุกคนลองพิจารณาปัจจัยแวดล้อมที่อาจหล่อหลอมให้พวกเรามองตนเองว่าผิดปกติและต้องได้รับการ “แก้ไข” หรือ “รักษา” จำเป็นหรือไม่ที่เราจะต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญมาบอกว่าเราผิดปกติก่อนที่เราจะเริ่มดูแลจิตใจของตัวเอง
บทความโดย
อาจารย์ ดร.พนิตา เสือวรรณศรี
Faculty of Psychology, Chulalongkorn University