News & Events

ความตั้งใจลาออกของพนักงาน

ความไม่ผูกพันกับองค์การ ความไม่พึงพอใจในงาน และความไม่เป็นส่วนหนึ่งในงาน ร่วมกันทำนาย ความตั้งใจลาออกของพนักงานได้ถึง 58%

 

โดย

 

ความไม่พึงพอใจในงาน ประกอบด้วย

  • ไม่พึงพอใจในลักษณะงาน รู้สึกว่าไม่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถ ไม่ท้าทาย หรือไม่น่าสนใจ
  • ไม่พึงพอใจในวิธีการบริหารงาน และการบริหารคน ของหัวหน้างาน
  • ไม่พึงพอใจในรายได้และสวัสดิการที่ได้รับ
  • ไม่มีความก้าวหน้าในอาชีพ
  • ไม่พึงพอใจในเพื่อนร่วมงาน

 

ความไม่ผูกพันกับองค์การ ประกอบด้วย

  • ประสบการณ์ในการทำงานไม่ทำให้เกิดความผูกพันด้านจิตใจ หรือความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์การ
  • เมื่อเทียบสิ่งที่ได้รับจากองค์การกับที่ได้ลงทุนไป รู้สึกไม่คุ้มค่า หรือคิดว่าหากละทิ้งการเป็นสมาชิกขององค์การไปก็ไม่ได้รับผลกระทบมาก
  • ไม่มีบรรทัดฐานว่าเมื่อเข้าเป็นสมาชิกขององค์การแล้วต้องจงรักภักดีและอุทิศตนให้กับองค์การ

 

ความไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของงาน ประกอบด้วย

  • ไม่รู้สึกว่าหากต้องลาออกจากงานไปจะมีผลกระทบกับสิ่งต่างๆ รอบตัว ทั้งเพื่อนร่วมงาน โปรเจคที่รับผิดชอบ ครอบครัว สังคมแวดล้อม สภาพเศรษฐกิจ
  • มีความไม่ลงตัวระหว่างบุคคลกับตัวงานและวัฒนธรรมองค์การ รวมไปถึงวิถีการดำรงชีวิตเมื่อเป็นพนักงานในองค์การ
  • เมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ต้องสละไปเมื่อต้องลาออก (ยิ่งมีอายุงานมาก สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากองค์การยิ่งมาก) ทั้งจากองค์การและจากชุมชนเดิม เปรียบเทียบกับสิ่งที่จะได้รับในงานใหม่และชุมชนใหม่ รู้สึกว่าคุ้มค่า

 

 

 

 

ข้อมูลจาก พนักงานเอกชนจำนวน 660 คน อายุระหว่าง 20-50 ปี ตำแหน่งระดับปฏิบัติการ-หัวหน้าฝ่าย/ผู้จัดการระดับสูง อายุงานระหว่าง 1-20 ปี

 

 

 

 

“อิทธิพลของความเป็นส่วนหนึ่งในงาน ความพึงพอใจในงาน และความผูกพันกับองค์การต่อความตั้งใจลาออก” 
“Effects of job embeddedness, job satisfaction, and organizational commitment on intention to leave”

วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2556)
โดย นางสาวสลักจิต ตันติบุญทวีวัฒน์
ที่ปรึกษา ผศ. ดร.คัคนางค์ มณีศรี
http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/42878

 

ในชั่ววูบของการฆ่าตัวตาย

ในชั่ววูบของการฆ่าตัวตาย

 

: ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ที่ผ่านประสบการณ์การพยายามฆ่าตัวตาย ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี เพศหญิง จำนวน 8 คน

 

 

ความคิด ความรู้สึก ในขณะกระทำการใดๆ เพื่อยุติการมีชีวิตอยู่


 

1. การจมอยู่ในความทุกข์ใจ

  • ความเจ็บปวดและเสียใจ
  • ความโกรธ ความโมโห
  • ความผิดหวัง และคับแค้นใจ
  • ความหวาดกลัว
  • ความตึงเครียด
  • ความเหงา และว้าเหว่
  • ความหวาดระแวง

 

2. ความรู้สึกอับจนหนทาง

  • การมองไม่เห็นทางออกของปัญหา
  • ความรู้สึกเดียวดาย ไร้ที่พึ่ง

 

3. การสิ้นพลังในการมีชีวิต

  • ความรู้สึกไร้ค่า หมดความหมาย
  • ความรู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้
  • ความรู้สึกสิ้นหวัง หมดกำลังใจ
  • การมองว่าชีวิตไม่น่าอยู่อีกต่อไป
  • การทนรับความทุกข์ใจไม่ไหว

 

4. การขาดสติ

  • เชื่อว่าความตายคือทางออกสุดท้าย

– ยุติปัญหาและความทุกข์ใจ

– การได้แก้แค้น

  • การคิดหาวิธีการทำลายตัวเอง

 

แม้ในชั่ววูบของการทำลายตัวเองจะเป็นช่วงระยะเวลาไม่นาน แต่ภายในจิตใจของผู้ผ่านประสบการณ์การพยายามฆ่าตัวตายล้วนเต็มไปด้วยความคิดในด้านลบ และอารมณ์ความรู้สึกของการทำลายล้างโดยสิ้นเชิง

 

เริ่มต้นจากการที่ทุกคนเผชิญกับปัญหาสำคัญในชีวิตที่สร้างความรู้สึกทุกข์ใจอย่างยิ่ง จนกระทั่งนำไปสู่การดิ้นรนคิดหาวิธีจัดการกับปัญหาเพื่อคลี่คลายความทุกข์ใจ แต่ความทุกข์ใจกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลาที่ล่วงเลยไป เนื่องจากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และรู้สึกปราศจากบุคคลที่เป็นที่พึ่ง ซึ่งตอกย้ำความรู้สึกหมดหนทางออก ประกอบกับพลังในการมีชีวิตอยู่เริ่มลดน้อยลงและขาดสติ จึงเลือกความตายเป็นทางออกสุดท้าย เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากปัญหาและความทุกข์ใจ

 

 

 

การผ่านพ้นช่วงวิกฤติของผู้ที่ผ่านประสบการณ์การพยายามฆ่าตัวตาย


 

1. การรับรู้เหตุการณ์ตามความเป็นจริง

  • การฆ่าตัวตายไม่ใช่การแก้ปัญหา
    – ไม่ทำให้เหตุการณ์ดีขึ้น
    – ส่งผลกระทบต่อครอบครัว
  • คนฆ่าตัวตายคือคนคิดผิด
  • บุคคลใกล้ชิดสามารถยับยั้งการฆ่าตัวตาย
  • สติช่วยป้องกันการฆ่าตัวตาย
  • เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเวรกรรมเก่า

 

2. กระบวนการเยียวยาจิตใจ

  • การคิดได้ด้วยตัวเอง
    – เจ็บปวดทรมานร่างกาย
    – รับรู้ว่าครอบครัวเดือดร้อน
    – เปรียบเทียบชีวิตกับผู้อื่น
    – การยอมรับความเป็นจริง
    – การอยู่กับปัจจุบัน
  • ได้รับกำลังใจจากครอบครัว
  • ได้รับการปรึกษาเชิงจิตวิทยา
  • ปัญหาคลี่คลายไปในทางที่ดี
  • การใช้หลักธรรมเยียวยาจิตใจ

 

3. การมองเห็นคุณค่าเหตุการณ์

  • การมองเห็นคุณค่าของตนเอง
  • เปลี่ยนตนเองไปในทางที่ดีขึ้น
  • ตระหนักถึงความรักในครอบครัว
  • การได้รับบทเรียนชีวิต
  • ปรารถนาให้ประสบการณ์ของตนเป็นบทเรียนกับคนอื่น

 

 

ภายหลังวิกฤติการณ์การทำลายตัวเอง เป็นช่วงเวลาที่ผู้ผ่านประสบการณ์การพยายามฆ่าตัวตายมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางบวก ทั้งในด้านการรับรู้เกี่ยวกับการทำลายตัวเอง และการรับรู้เกี่ยวกับตนเองในช่วงเหตุการณ์วิกฤติ ส่งผลให้ทุกคนพยายามใช้กระบวนการเยียวยาจิตใจให้ตนเองอยู่รอด โดยแต่ละคนเลือกใช้วิธีการเยียวยาจิตใจที่เหมาะสมกับตนเองแตกต่างกันไป เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างปกติสุข หรือกลับคืนสู่ภาวะสมดุลทางจิตใจดังเดิม

 

นอกจากนี้ วิกฤติการณ์ที่ผ่านมายังทำให้ผู้ผ่านประสบการณ์การพยายามฆ่าตัวตายมองเห็นคุณค่าของเหตุการณ์หลายประการ จึงอาจกล่าวได้ว่าวิกฤติการณ์ครั้งนี้เป็นโอกาสแห่งการเรียนรู้และเติบโตอย่างแท้จริง

 

 

ข้อเสนอแนะของผู้วิจัยเพื่อลดปัญหาการฆ่าตัวตาย


 

  • บุคคลในครอบครัวควรตระหนักถึงสภาพอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกทุกข์ใจ ของสมาชิกในครอบครัวที่อาจนำไปสู่การพยายามฆ่าตัวตาย รวมทั้งไม่ควรใช้คำพูดท้าทายสมาชิกในครอบครัวเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย
  • สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งผู้ให้การดูแลผู้พยายามฆ่าตัวตายควรมีบทบาทสำคัญในการเยียวยาจิตใจผู้พยายามฆ่าตัวตาย ซึ่งจะช่วยให้ผู้พยายามฆ่าตัวตายสามารถผ่านพ้นภาวะวิกฤติไปได้
  • ผู้พยายามฆ่าตัวตายทุกคนควรได้รับบริการการปรึกษาเชิงจิตวิทยาจากนักจิตวิทยาการปรึกษาของโรงพยาบาล ก่อนที่แพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้าน
  • โรงพยาบาลควรจัดตั้งศูนย์ให้ความช่วยเหลือและป้องกันการฆ่าตัวตาย รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักในสังคม และควรมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญในการให้ความช่วยเหลือให้บริการตลอดเวลา
  • บุคคลในครอบครัวควรเตรียมพร้อมสมาชิกในครอบครัวให้พร้อมรับกับเหตุการณ์วิกฤติในชีวิต โดยการปลูกฝังหลักธรรม คำสอนทางศาสนาที่ช่วยให้บุคคลเกิดความเข้าใจชีวิตตามความเป็นจริงให้แก่สมาชิก

 

 

 

 

 

 

ข้อมูลจาก

 

 

“ในชั่ววูบของการฆ่าตัวตาย : การศึกษาเชิงปรากฏการณ์วิทยาในผู้ที่ผ่านประสบการณ์การพยายามฆ่าตัวตาย”
“The moment of suicide: a phenomenological study of the suicide attempters”

วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สาขาวิชาจิตวิทยาการปรึกษา (2552)
โดย : นางสาวขนิษฐา แสนใจรักษ์
ที่ปรึกษา : ร.ศ. ดร.โสรีช์ โพธิ์แก้ว และ ร.ศ. ดร.จิราพร เกศพิชญวัฒนา
http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/15897