News & Events

ความรุนแรงในคู่รัก

 

ความรุนแรงในคู่รัก

 

: ข้อมูลจากผู้เข้าร่วมการวิจัยจำนวนทั้งหมด 1,010 คน เพศชาย 454 คน และเพศหญิง 556 คน มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี ทำงานอยู่ในหน่วยงานราชการและองค์กรเอกชน อาศัยอยู่ในภาคเหนือ 299 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 300 คน ภาคกลาง 251 คนและภาคใต้ 160 คน โดยมีคู่รักเป็นเพศตรงกันข้ามที่คบหากันมาไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือไม่มีคู่รักหรือคู่สมรสในปัจจุบันแต่เคยมีในอดีตที่คบหากันมาไม่น้อยกว่า 6 เดือน

 

 

รูปแบบของการกระทำความรุนแรงต่อคู่รักมี 4 รูปแบบ


 

คือ

  • ความรุนแรงทางจิตใจ (psychological aggression) คือ พฤติกรรมหรือคำพูดที่ทำร้ายอารมณ์ความรู้สึก รวมถึงการทำให้คู่รักรู้สึกเจ็บปวด เสียใจ อับอาย
  • การทำร้ายทางร่างกาย (physical assault) คือ พฤติกรรมที่ทำร้ายหรือทำอันตรายด้านร่างกายของคู่รัก รวมถึงการใช้วัตถุหรืออาวุธเพื่อทำร้ายคู่รัก
  • การคุกคามทางเพศ (sexual coercion) คือ พฤติกรรมรวมถึงการใช้คำพูด การบังคับขู่เข็ญและการใช้กำลังเพื่อบังคับให้คู่รักมีเพศสัมพันธ์กับตนเองโดยไม่เต็มใจ
  • การบาดเจ็บ (injury) คือ การบาดเจ็บทางร่างกายอันเกิดจากการกระทำของคู่รักโดยพิจารณาจากความบอบช้ำของร่างกายหรือการแตกหักของกระดูก ความจำเป็นในการส่งไปรักษาพยาบาลหรือความเจ็บปวดที่เกิดต่อเนื่องมากกว่า 1 วัน

 

ผลการวิจัย พบว่า เพศชายและหญิงไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 75 เคยกระทำความรุนแรงต่อคู่รักอย่างน้อยรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

 

ทั้งนี้ เพศชายมี “อัตราส่วนการกระทำความรุนแรง” มากกว่าเพศหญิงโดยรวม ซึ่งทางจิตใจมีค่าใกล้เคียงกัน แต่เพศชายมากกว่าเพศหญิงในการกระทำความรุนแรงทางกาย ทางเพศ และการทำร้ายจนบาดเจ็บ

 

แต่เมื่อพิจารณา “ระดับของการกระทำความรุนแรง” แล้ว พบว่า เพศชายมีค่าเฉลี่ยการกระทำความรุนแรงโดยรวมสูงกว่าเพศหญิงเล็กน้อย ขณะที่เพศหญิงมีค่าเฉลี่ยการกระทำความรุนแรงทางจิตใจสูงกว่าเพศชายเล็กน้อย และมีค่าเฉลี่ยการกระทำความรุนแรงทางกายสูงกว่าเพศชายอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนเพศชายมีค่าเฉลี่ยการกระทำความรุนแรงทางเพศสูงกว่าเพศหญิงอย่างมีนัยสำคัญ และมีค่าเฉลี่ยการทำร้ายจนบาดเจ็บสูงกว่าเพศหญิงเล็กน้อย

 

ส่วนคุณลักษณะที่พบความแตกต่างระหว่างชายหญิงที่มีความแตกต่างในการกระทำความรุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ คือ เพศชายที่มีรายได้ต่ำกว่า และเพศหญิงที่มีรายได้เท่ากับคู่รัก มีค่าเฉลี่ยการกระทำความรุนแรงต่อคู่รักสูงสุด ในขณะที่ทั้งเพศชายและเพศหญิงที่มีรายได้สูงกว่าคู่รักมีค่าเฉลี่ยการกระทำความรุนแรงต่อคู่รักต่ำสุด

 

 

อัตราส่วนการถูกกระทำความรุนแรงจากคู่รัก


 

เพศชาย ร้อยละ 74 รายงานว่าเคยถูกกระทำความรุนแรงจากคู่รักไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยมีค่าเฉลี่ยการถูกกระทำความรุนแรงทางจิตใจสูงที่สุด รองลงมาได้แก่ทางกายและทางเพศที่มีคะแนนใกล้เคียงกัน และถูกทำร้ายจนบาดเจ็บต่ำที่สุด

 

ส่วนเพศหญิงมีอัตราส่วนการถูกกระทำความรุนแรง ร้อยละ 70 รายงานว่าเคยถูกกระทำความรุนแรงจากคู่รักไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยมีค่าเฉลี่ยการถูกกระทำความรุนแรงทางจิตใจสูงที่สุด รองลงมาได้แก่ทางเพศ ทางกายและถูกทำร้ายจนบาดเจ็บต่ำที่สุด

 

โดยเพศชายมีค่าเฉลี่ยการถูกกระทำความรุนแรงจากคู่รักสูงกว่าเพศหญิงในทุกด้านอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ยกเว้นการได้รับความรุนแรงทางเพศที่มีค่าเฉลี่ยเท่ากับเพศหญิง

 

 

 

สำหรับตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อความแตกต่างในการถูกกระทำความรุนแรงระหว่างชายหญิง ได้แก่ สถานภาพสมรสของกลุ่มคนทำงานพบว่า เพศชายที่มีสถานภาพโสด และเพศหญิงที่แต่งงานและจดทะเบียนสมรส มีค่าเฉลี่ยการถูกกระทำความรุนแรงจากคู่รักสูงสุด ส่วนกลุ่มที่มีค่าเฉลี่ยการถูกกระทำความรุนแรงจากคู่รักต่ำสุดได้แก่ เพศชายที่แต่งงานและจดทะเบียนสมรส และเพศหญิงที่ไม่ได้แต่งงานแต่อยู่ร่วมกันกับคู่รัก

 

นอกจากนี้ เพศชายที่มีรายได้ต่ำกว่า และเพศหญิงที่มีรายได้เท่ากับคู่รัก มีค่าเฉลี่ยการถูกกระทำความรุนแรงจากคู่รักสูงสุด แต่เพศชายที่มีรายได้สูงกว่า และเพศหญิงที่มีรายได้ต่ำกว่าคู่รัก มีค่าเฉลี่ยการถูกกระทำความรุนแรงจากคู่รักต่ำสุด

 

 

ผลการวิเคราะห์สาเหตุของความรุนแรงในคู่รัก


 

ประสบการณ์ความรุนแรงในวัยเด็กจากพ่อแม่ “มีอิทธิพลทางตรง” ต่อการกระทำและการถูกกระทำความรุนแรงในคู่รัก เนื่องจากเด็กเรียนรู้ว่าพฤติกรรมความรุนแรงในครอบครัวเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ และยังขาดทักษะการใช้เหตุผลตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิด จึงใช้พ่อแม่ของตนเองเป็นแบบอย่างสำหรับการทำสิ่งที่ถูกต้อง

 

นอกจากนี้ ประสบการณ์ความรุนแรง และการสนับสนุนจากพ่อแม่ “มีอิทธิพลทางอ้อม” ต่อการกระทำความรุนแรงต่อคู่รัก “ผ่านความวิตกกังวลในความผูกพันต่อคู่รัก” เพราะประสบการณ์วัยเด็กที่รุนแรงหรือได้รับการสนับสนุนน้อยเกินไปจากพ่อแม่ มีผลต่อการสร้างรูปแบบความผูกพันที่ไม่มั่นคงต่อคู่รัก คนที่วิตกกังวลในความผูกพันสูงมักแสดงอารมณ์ความรู้สึกทางลบ มุ่งร้าย แสดงความกลัวและความโกรธอย่างมาก พวกเขาต้องการใกล้ชิดกับคู่รัก แต่กังวลถึงคุณค่าและการเป็นที่รัก คิดทางลบต่อตนเอง กลัวถูกทอดทิ้ง มีแนวโน้มชอบตำหนิและจับผิด จึงมีการกระทำความรุนแรงต่อคู่รักเพื่อบังคับให้คู่รักสนใจมาที่พวกเขา

 

ยิ่งไปกว่านั้น ประสบการณ์ความรุนแรง และประสบการณ์การสนับสนุนจากพ่อแม่ “มีอิทธิพลทางอ้อม” ต่อการถูกกระทำความรุนแรงจากคู่รัก “ผ่านการหลีกหนี” และ “ความวิตกกังวลในความผูกพัน” ต่อคู่รัก เนื่องจากคนที่มีการหลีกหนีในความผูกพันมักทำพฤติกรรมออกห่างหรือหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับคู่รัก ทำให้คู่รักที่มีความวิตกกังวลในความผูกพันเข้าใจว่าเป็นสัญญาณเตือนของการยุติความสัมพันธ์ ซึ่งกระตุ้นให้คู่รักกระทำความรุนแรงเพื่อควบคุมหรือรักษาความสัมพันธ์ของตนไว้ และมักตีความสถานการณ์ผิดเพราะวิตกกังวลในความผูกพัน และรับรู้ไม่ถูกต้องเมื่อคู่รักทำพฤติกรรมถอนตัว รับรู้ว่าการถอนตัวของคู่รักคือการจะยุติความสัมพันธ์ จึงอาจตอบโต้โดยการกระทำความรุนแรง ดังนั้นคนที่มีการหลีกหนีในความผูกพันจึงมักกลายเป็นเหยื่อหรือผู้ถูกกระทำความรุนแรงจากคู่รัก ส่วนคนที่วิตกกังวลในความผูกพันที่มักใช้ความรุนแรงในการดึงความสนใจหรือควบคุมคู่รักก็อาจถูกใช้วิธีเดียวกันตอบโต้กลับมาซึ่งเป็นธรรมดาของการใช้ความรุนแรงระหว่างกัน

 

 

 

 

ประสบการณ์ความรุนแรงและการสนับสนุนจากพ่อแม่ “มีอิทธิพลทางอ้อม” ต่อการกระทำความรุนแรงต่อคู่รัก “ผ่านความหลงตนเอง” อีกด้วย เนื่องจากความหลงตนเองเป็นผลของการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ที่มีต่อลูกโดยได้รับการให้ค่าสูงเกินไปหรือถูกปฏิเสธ รวมถึงการเลี้ยงดูที่เย็นชา การไม่แสดงออกของพ่อแม่แต่มีเจตคติที่ไม่ดีต่อเด็ก ทำให้คนที่มีความหลงตนเองพยายามรักษาภาพลักษณ์ของตนเอง ซึ่งถูกแผ่ขยายไปรวมถึงความสัมพันธ์ในภายหลังเพื่อปกป้องตัวตน ดังนั้นคนที่หลงตนเองจึงแสดงออกเพื่อป้องกันตัวจากความรู้สึกที่ไม่ดีและการถูกทอดทิ้งจากการถูกปฏิเสธในวัยเด็ก คนที่มีความหลงตนเองจะมีความไม่ไว้วางใจผู้อื่นสูงและไม่สามารถพึ่งพาผู้อื่นได้อย่างสมบูรณ์ ความสัมพันธ์กับคู่รักจึงมีลักษณะของความหึงหวง การควบคุมและการถอนตัวจากคู่รัก จึงมีการกระทำความรุนแรงต่อคู่รัก

 

 

ข้อแนะนำของผู้วิจัยเพื่อป้องกันการกระทำความรุนแรงระหว่างคู่รัก


 

1. การไม่ใช้ประสบการณ์ความรุนแรงต่อเด็กของพ่อแม่ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นผู้กระทำและผู้ถูกกระทำความรุนแรงในคู่รักหรือคู่สมรสในอนาคตได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการกระทำความรุนแรงทางจิตใจโดยการทำร้ายความรู้สึก ดูถูก และสร้างความอับอายจากพ่อแม่ ที่มักถูกละเลยและมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย อย่างไรก็ตามการไม่ใช้ความรุนแรงต่อเด็กเป็นเพียงการระงับการพัฒนาไปสู่รูปแบบความผูกพันที่ไม่มั่นคง โดยเฉพาะความวิตกกังวลในความผูกพันและบุคลิกภาพแบบหลงตนเอง ซึ่งมีอิทธิพลต่อความรุนแรงในคู่รัก แต่การให้ประสบการณ์การสนับสนุนของพ่อแม่ควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะการเป็นตัวแบบที่ดีและให้ความเป็นธรรมแก่ลูก เป็นวิธีการสอนที่ดีกว่า โดยใช้การปฏิบัติให้มากกว่าใช้คำพูดเพียงอย่างเดียว จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและเด็กได้มีตัวแบบที่ได้ในการพัฒนาไปในทิศทางที่เหมาะสมเพื่อสุขสภาวะที่ดีต่อไป

 

2. แม้จะมีประสบการณ์ความรุนแรงจากพ่อแม่หรือมีประสบการณ์การสนับสนุนจากผู้เลี้ยงดูมาน้อยแต่ถ้าบุคคลรู้จักการหลีกเลี่ยงในความสัมพันธ์ โอกาสที่จะกระทำความรุนแรงต่อคู่รักจะน้อยลง ดังนั้นผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ขัดความแย้งหรือมีอารมณ์โกรธกับคู่รักอย่างรุนแรงควรพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์หรือถอยห่างจากคู่รักจนกว่าจะใจเย็นลง อย่างไรก็ตามการถอยห่างจากคู่รักควรทำด้วยความสงบเพื่อไม่เป็นการยั่วยุคู่รักของตนเอง และควรสังเกตสัญญาณที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งก่อนที่จะเกิดเหตุความรุนแรงขึ้น

 

3. คนที่มีบุคลิกภาพแบบหลงตนเองแบบแสดงออก โดยเฉพาะความหลงตนเองด้านการแสวงหาผลประโยชน์ มีแนวโน้มกระทำความรุนแรงต่อคู่รักโดยเฉพาะการกระทำความรุนแรงทางเพศ เนื่องจากมีความอดทนต่ำต่อสถานการณ์คุกคาม ไม่ไว้วางใจผู้อื่น มีความไม่มั่นคงสูง จึงควรส่งเสริมความสัมพันธ์ในคู่รักโดยไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ การได้เปรียบเสียเปรียบในคู่รักมากเกินไป แต่ความหลงตนเองแบบความหวั่นไหวมากกว่าปกติจะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นในการถูกกระทำความรุนแรงจากคู่รัก เนื่องจากกลัวการไม่ยอมรับและการถูกปฏิเสธจากคนอื่นจึงเป็นฝ่ายถูกกระทำความรุนแรงจากคู่รักโดยเฉพาะความรุนแรงทางกาย ดังนั้นแนวทางที่จะช่วยลดความกลัวการถูกปฏิเสธ คือการพยายามให้การสนับสนุนความสัมพันธ์ทางสังคมเพื่อลดความหลงตนเองแบบไม่แสดงออกลง

 

4. หากเกิดความรุนแรงขึ้นในครอบครัวแล้วต้องพยายามยุติโดยเร็วที่สุด เพราะจะมีผลต่อคนในครอบครัวโดยเฉพาะบุตรหลานที่สามารถรับรู้ถึงความรุนแรงนั้นได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในการกระทำความรุนแรงต่อเด็กที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เลี้ยงดูกับเด็กเสียไป ส่งผลต่อการพัฒนาความผูกพัน บุคลิกภาพ และความสัมพันธ์กับผู้อื่นในอนาคต

 

5. ปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อการเกิดความรุนแรงในคู่รัก อาทิ ความเหลื่อมล้ำของรายได้ สถานภาพสมรส การแต่งงานใหม่ของเพศหญิง รวมถึงภาพความรุนแรงระหว่างพ่อแม่ที่ลูกรับรู้ ดังนั้นการเลือกคู่รักหรือคู่สมรส รวมถึงการจัดการความขัดแย้งภายในครอบครัวแบบไม่ใช้ความรุนแรง คือสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ

 

 

 

 

 

ข้อมูลจาก

 

“การพัฒนาโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของการกระทำความรุนแรงและการถูกกระทำความรุนแรงในคู่รัก”
“A development of the causal models of perpetration and victimization of intimate partner violence”

วิทยานิพนธ์ (ศศ.ด.) สาขาวิชาจิตวิทยาสังคม คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2557)
โดย นางสาวศรัญญา ศรีโยธิน
ที่ปรึกษา ผศ. ดร.คัคนางค์ มณีศรี

http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/44394

ประสบการณ์ด้านจิตใจของผู้หญิงที่ถูกสามีทำร้ายร่างกาย

 

ประสบการณ์ด้านจิตใจของผู้หญิงที่ถูกสามีทำร้ายร่างกาย

 

ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้หญิงที่มีประสบการณ์ถูกสามีทำร้ายร่างกาย และเข้ามาพักพิงอยู่ในบ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ จำนวน 9 ราย

 

1. ความรู้สึกที่ถูกทำร้าย

ประกอบด้วย ความไม่คาดคิด กลัวและหวาดระแวง อายที่จะบอกเรื่องราวให้คนอื่นได้รับรู้ เหน็ดเหนื่อยกับความยากลำบากในชีวิต โกรธแค้นเกลียดชังสามี และต้องการก้าวออกไปจากความสัมพันธ์

 

2. เหตุผลของการคงอยู่ในความสัมพันธ์

ความรัก ความคาดหวังว่าสามีจะเปลี่ยนพฤติกรรม ความรักลูก และหมดหนทางไป

 

3. ความรู้สึกของการทนอยู่ในความสัมพันธ์

โทษและสมน้ำหน้าตนเอง จำต้องอดทนต่อความเจ็บปวดที่ได้รับ และใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ

 

4. จุดแตกหัก

เป็นความรู้สึกที่ทำให้ผู้หญิงตัดสินใจออกไปจากความสัมพันธ์ ซึ่งมาจากการหมดความเชื่อมั่น และความคาดหวังในตัวสามี และหมดสิ้นความอดทนต่อความรุนแรงที่ได้รับ

 

5. ความรู้สึกที่ตกค้างจากการถูกทำร้าย

ประกอบด้วยความกลัวและระแวงว่าจะเกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำ เสียดายและผิดหวังกับชีวิตที่ต้องตกต่ำ และคิดว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเวรกรรมของตน

 

6. จิตใจที่ได้รับการฟื้นพลัง

เป็นภาวะจิตใจที่ได้รับกำลังใจต่อการใช้ชีวิตต่อไปในอนาคตอย่างมีคุณค่า ด้วยความรอบคอบ และระมัดระวังมากขึ้น

 

 

เพราะความแน่นอนคือความไม่แน่นอน การเริ่มต้นด้วยสิ่งที่ดี ไม่จำเป็นที่จะคงสิ่งดีนั้นไว้ตลอด จากความสุภาพอ่อนโยน ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความก้าวร้าว แข็งกระด้าง ที่ไม่ทันได้ตั้งรับและไม่คาดคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับตน

ถึงจะมีความเหน็ดเหนื่อย น้อยใจ โกรธแค้นเกลียดชัง รวมถึงต้องการออกไปจากความสัมพันธ์ที่รุนแรง แต่ผู้หญิงก็ไม่เคยหยุดการทำหน้าที่ภรรยาและแม่ โดยไม่ได้คิดว่าจะมีสิ่งที่เลวร้ายกว่าตามมาในอนาคต

 

ความสุขกับการได้อยู่ร่วมการชายคนรักค่อย ๆ ถูกแทรกซึมด้วยความทุกข์ แม้พยายามทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ความทุกข์หมดไปและคงความสุขไว้เช่นเดิม แต่ยิ่งพยายามเท่าใด ก็ยิ่งเหนื่อยหน่ายกับความพยายามของตัวเอง ความโหดร้ายที่เกิดซ้ำๆ บ่งบอกว่าความพยายามที่ทำไปนั้นไร้ความหมาย ถึงกระนั้นผู้หญิงก็ไม่สามารถถอยออกไปจากความสัมพันธ์ได้โดยง่าย ด้วยเงื่อนไขต่างๆ นานาที่บีบคั้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะความรักที่ยังคงมีต่อสามีและลูก และความไม่รู้ว่าจะไปไหน ทำอย่างไร จึงต้องจำยอมทนรับกับสิ่งโหดร้ายที่เกิดขึ้น

 

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำเพื่อประคับประคองล้วนแล้วแต่ทำด้วยความเป็นห่วงความรู้สึกและสวัสดิภาพของคนอื่น แต่วันหนึ่งก็มีเหตุที่ทำให้ถึงจุดแตกหัก วันที่ได้มองย้อนกลับเข้ามาในตัวเอง พิจารณาว่าตนเองได้อะไรตอบแทนจากความพยายาม คำตอบที่ได้คือมีแต่ความสูญเสีย สูญเสียสิ่งต่างๆ มากมายและอาจแม้กระทั่งชีวิตของตน ซึ่งตะหนักได้ว่านั่นคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด ดังนั้นผู้หญิงจึงตัดสินใจก้าวเดินออกมาจากความสัมพันธ์ และเข้ามาพักฟื้นเยียวยารักษาจิตใจที่บอบช้ำ เตรียมความพร้อมที่จะกลับไปใช้ชีวิตในสังคมอีกครั้ง ได้เรียนรู้และเห็นถึงคุณค่าความหมายของการมีชีวิตอยู่ และบอกกับตัวเองว่าจะไม่ทำให้ตนตกไปอยู่ในภาวะของความทุกข์ยากอีก การใช้ชีวิตในวันข้างหน้าจะต้องมีความรอบคอบและระมัดระวังมากยิ่งขึ้น

 

 

งานวิจัยนี้ช่วยให้เกิดความเข้าใจประสบการณ์ด้านจิตใจของผู้หญิงที่ถูกทำร้ายร่างกาย เพื่อช่วยให้นักจิตวิทยาการปรึกษาหรือผู้ที่เกี่ยวข้องด้านอื่นๆ สามารถช่วยเหลือผู้หญิงกลุ่มนี้ได้อย่างเหมาะสม

 

 


 

 

“ประสบการณ์ด้านจิตใจของผู้หญิงที่ถูกทำร้ายร่างกาย”
“Psychological experiences of physically abused women”

วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม.) สาขาวิชาจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2552)
โดย นางสาวศศิพันธุ์ กันยอง
ที่ปรึกษา : ผศ. ดร.กรรณิการ์ นลราชสุวัจน์
วิทยานิพนธ์ฉบับเต็ม http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/15897

 

 

เพศและการเลือกผู้นำองค์การ

 

งานวิจัยนี้เป็นการการวิจัยเชิงทดลอง โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานบริษัทเอกชนขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 200 คน อายุเฉลี่ย 29.67 ปี ส่วนใหญ่เป็นพนักงานระดับปฏิบัติการ และมีอายุงานในองค์การปัจจุบัน 1-3 ปี

 

เมื่อให้ผู้ร่วมวิจัยเลือกผู้นำ โดยมีตัวเลือกเป็นผู้ชายและผู้หญิงที่มีคุณสมบัติพอ ๆ กัน ในกรณีที่องค์การประสบความสำเร็จ และกรณีที่องค์การประสบภาวะวิกฤต ผลปรากฏว่า ผู้ชายถูกเลือกเป็นผู้นำมากกว่าผู้หญิงทั้งใน 2 กรณี แต่ในกรณีที่องค์การประสบภาวะวิกฤต ผู้หญิงได้รับเลือกมากขึ้น

 

สอดคล้องกับผลการประเมิน “การรับรู้ความเหมาะสมของผู้นำ” ซึ่งมาจากการประเมิน 2 ด้าน ได้แก่ ด้าน “การรับรู้ความเหมาะสมต่อตำแหน่งผู้นำ” และ ด้าน “การรับรู้ความสามารถในการเป็นผู้นำ”

ในกรณีที่องค์การประสบความสำเร็จ ผู้นำชายได้คะแนนรวมมากกว่าผู้นำหญิง
แต่ในกรณีที่องค์การประสบภาวะวิกฤต ผู้ชายและผู้หญิงได้คะแนนรวมไม่ต่างกัน

และเมื่อพิจารณาแยกรายด้าน พบว่า ด้านความเหมาะสมต่อตำแหน่งผู้นำ ผู้ชายได้คะแนนสูงกว่าผู้หญิง แต่ในด้านความสามารถในการเป็นผู้นำ ผู้ชายและผู้หญิงได้คะแนนไม่ต่างกัน

 

 

 

จากผลที่ปรากฏจะเห็นได้ว่า แม้ตัวเลือกจะมีคุณสมบัติเท่าเทียมกันอย่างเป็นที่รับรู้ แต่ในสังคมไทย ผู้ชายมีโอกาสได้รับตำแหน่งผู้นำมากกว่าผู้หญิงเสมอ เว้นแต่เพียงในกรณีที่องค์การประสบภาวะวิกฤต ผู้หญิงจะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำมากขึ้น (โดยเฉพาะในกลุ่มที่ได้รับข้อมูลว่าผู้นำคนก่อนเป็นชายและองค์การประสบภาวะวิกฤต และในกลุ่มที่คิดว่าลักษณะของผู้นำที่ดีควรเป็นแบบเน้นสัมพันธ์) นั่นแสดงถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดปรากฏการณ์ผู้นำหญิงบนหน้าผาแก้ว (Glass cliff effect) ในองค์การไทย

ปรากฏการณ์ดังกล่าวหมายถึง เมื่อองค์การประสบปัญหา ผู้หญิงมักได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ ผู้นำหญิงจึงต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อความล้มเหลว จึงนับเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของผู้หญิงอย่างหนึ่ง

 

ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศในบริบทการทำงาน ผู้ที่มีหน้าที่คัดเลือกบุคลากรเข้ารับตำแหน่งผู้นำ ควรพิจารณาจากความเหมาะสมต่อลักษณะงานและศักยภาพของบุคคลเป็นหลัก และควรให้โอกาสพนักงานหญิงได้รับผิดชอบงานในตำแหน่งผู้นำเมื่อองค์การกำลังดำเนินงานไปได้ด้วยดี เพื่อเพิ่มการรับรู้แก่พนักงานทุกคนว่า ผู้หญิงสามารถทำงานในตำแหน่งผู้นำได้ และทำให้พนักงานหญิงเองมีแรงจูงใจที่จะพัฒนาศักยภาพของตนให้เป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้น

 

 

 

 

“อิทธิพลเชิงสาเหตุของผลงานขององค์การต่อการเลือกผู้นำจากเพศ และการรับรู้ความเหมาะสมของผู้นำ โดยมีลักษณะนิสัยของผู้นำและเพศของผู้นำในอดีตเป็นตัวแปรกำกับ”
“Causal effects of organizational performance on choosing of leader’s gender and perceived suitability of leader as moderated by trait and history of leader”

วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชาจิตวิทยาประยุกต์ (2556)
โดย นางสาวอาริยา บุญสม
ที่ปรึกษา ผศ. ดร.คัคนางค์ มณีศรี
วิทยานิพนธ์ฉบับเต็ม http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/42943

 

ความตั้งใจลาออกของพนักงาน

ความไม่ผูกพันกับองค์การ ความไม่พึงพอใจในงาน และความไม่เป็นส่วนหนึ่งในงาน ร่วมกันทำนาย ความตั้งใจลาออกของพนักงานได้ถึง 58%

 

โดย

 

ความไม่พึงพอใจในงาน ประกอบด้วย

  • ไม่พึงพอใจในลักษณะงาน รู้สึกว่าไม่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถ ไม่ท้าทาย หรือไม่น่าสนใจ
  • ไม่พึงพอใจในวิธีการบริหารงาน และการบริหารคน ของหัวหน้างาน
  • ไม่พึงพอใจในรายได้และสวัสดิการที่ได้รับ
  • ไม่มีความก้าวหน้าในอาชีพ
  • ไม่พึงพอใจในเพื่อนร่วมงาน

 

ความไม่ผูกพันกับองค์การ ประกอบด้วย

  • ประสบการณ์ในการทำงานไม่ทำให้เกิดความผูกพันด้านจิตใจ หรือความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์การ
  • เมื่อเทียบสิ่งที่ได้รับจากองค์การกับที่ได้ลงทุนไป รู้สึกไม่คุ้มค่า หรือคิดว่าหากละทิ้งการเป็นสมาชิกขององค์การไปก็ไม่ได้รับผลกระทบมาก
  • ไม่มีบรรทัดฐานว่าเมื่อเข้าเป็นสมาชิกขององค์การแล้วต้องจงรักภักดีและอุทิศตนให้กับองค์การ

 

ความไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของงาน ประกอบด้วย

  • ไม่รู้สึกว่าหากต้องลาออกจากงานไปจะมีผลกระทบกับสิ่งต่างๆ รอบตัว ทั้งเพื่อนร่วมงาน โปรเจคที่รับผิดชอบ ครอบครัว สังคมแวดล้อม สภาพเศรษฐกิจ
  • มีความไม่ลงตัวระหว่างบุคคลกับตัวงานและวัฒนธรรมองค์การ รวมไปถึงวิถีการดำรงชีวิตเมื่อเป็นพนักงานในองค์การ
  • เมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ต้องสละไปเมื่อต้องลาออก (ยิ่งมีอายุงานมาก สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากองค์การยิ่งมาก) ทั้งจากองค์การและจากชุมชนเดิม เปรียบเทียบกับสิ่งที่จะได้รับในงานใหม่และชุมชนใหม่ รู้สึกว่าคุ้มค่า

 

 

 

 

ข้อมูลจาก พนักงานเอกชนจำนวน 660 คน อายุระหว่าง 20-50 ปี ตำแหน่งระดับปฏิบัติการ-หัวหน้าฝ่าย/ผู้จัดการระดับสูง อายุงานระหว่าง 1-20 ปี

 

 

 

 

“อิทธิพลของความเป็นส่วนหนึ่งในงาน ความพึงพอใจในงาน และความผูกพันกับองค์การต่อความตั้งใจลาออก” 
“Effects of job embeddedness, job satisfaction, and organizational commitment on intention to leave”

วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2556)
โดย นางสาวสลักจิต ตันติบุญทวีวัฒน์
ที่ปรึกษา ผศ. ดร.คัคนางค์ มณีศรี
http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/42878

 

ในชั่ววูบของการฆ่าตัวตาย

ในชั่ววูบของการฆ่าตัวตาย

 

: ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ที่ผ่านประสบการณ์การพยายามฆ่าตัวตาย ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี เพศหญิง จำนวน 8 คน

 

 

ความคิด ความรู้สึก ในขณะกระทำการใดๆ เพื่อยุติการมีชีวิตอยู่


 

1. การจมอยู่ในความทุกข์ใจ

  • ความเจ็บปวดและเสียใจ
  • ความโกรธ ความโมโห
  • ความผิดหวัง และคับแค้นใจ
  • ความหวาดกลัว
  • ความตึงเครียด
  • ความเหงา และว้าเหว่
  • ความหวาดระแวง

 

2. ความรู้สึกอับจนหนทาง

  • การมองไม่เห็นทางออกของปัญหา
  • ความรู้สึกเดียวดาย ไร้ที่พึ่ง

 

3. การสิ้นพลังในการมีชีวิต

  • ความรู้สึกไร้ค่า หมดความหมาย
  • ความรู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้
  • ความรู้สึกสิ้นหวัง หมดกำลังใจ
  • การมองว่าชีวิตไม่น่าอยู่อีกต่อไป
  • การทนรับความทุกข์ใจไม่ไหว

 

4. การขาดสติ

  • เชื่อว่าความตายคือทางออกสุดท้าย

– ยุติปัญหาและความทุกข์ใจ

– การได้แก้แค้น

  • การคิดหาวิธีการทำลายตัวเอง

 

แม้ในชั่ววูบของการทำลายตัวเองจะเป็นช่วงระยะเวลาไม่นาน แต่ภายในจิตใจของผู้ผ่านประสบการณ์การพยายามฆ่าตัวตายล้วนเต็มไปด้วยความคิดในด้านลบ และอารมณ์ความรู้สึกของการทำลายล้างโดยสิ้นเชิง

 

เริ่มต้นจากการที่ทุกคนเผชิญกับปัญหาสำคัญในชีวิตที่สร้างความรู้สึกทุกข์ใจอย่างยิ่ง จนกระทั่งนำไปสู่การดิ้นรนคิดหาวิธีจัดการกับปัญหาเพื่อคลี่คลายความทุกข์ใจ แต่ความทุกข์ใจกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลาที่ล่วงเลยไป เนื่องจากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และรู้สึกปราศจากบุคคลที่เป็นที่พึ่ง ซึ่งตอกย้ำความรู้สึกหมดหนทางออก ประกอบกับพลังในการมีชีวิตอยู่เริ่มลดน้อยลงและขาดสติ จึงเลือกความตายเป็นทางออกสุดท้าย เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากปัญหาและความทุกข์ใจ

 

 

 

การผ่านพ้นช่วงวิกฤติของผู้ที่ผ่านประสบการณ์การพยายามฆ่าตัวตาย


 

1. การรับรู้เหตุการณ์ตามความเป็นจริง

  • การฆ่าตัวตายไม่ใช่การแก้ปัญหา
    – ไม่ทำให้เหตุการณ์ดีขึ้น
    – ส่งผลกระทบต่อครอบครัว
  • คนฆ่าตัวตายคือคนคิดผิด
  • บุคคลใกล้ชิดสามารถยับยั้งการฆ่าตัวตาย
  • สติช่วยป้องกันการฆ่าตัวตาย
  • เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเวรกรรมเก่า

 

2. กระบวนการเยียวยาจิตใจ

  • การคิดได้ด้วยตัวเอง
    – เจ็บปวดทรมานร่างกาย
    – รับรู้ว่าครอบครัวเดือดร้อน
    – เปรียบเทียบชีวิตกับผู้อื่น
    – การยอมรับความเป็นจริง
    – การอยู่กับปัจจุบัน
  • ได้รับกำลังใจจากครอบครัว
  • ได้รับการปรึกษาเชิงจิตวิทยา
  • ปัญหาคลี่คลายไปในทางที่ดี
  • การใช้หลักธรรมเยียวยาจิตใจ

 

3. การมองเห็นคุณค่าเหตุการณ์

  • การมองเห็นคุณค่าของตนเอง
  • เปลี่ยนตนเองไปในทางที่ดีขึ้น
  • ตระหนักถึงความรักในครอบครัว
  • การได้รับบทเรียนชีวิต
  • ปรารถนาให้ประสบการณ์ของตนเป็นบทเรียนกับคนอื่น

 

 

ภายหลังวิกฤติการณ์การทำลายตัวเอง เป็นช่วงเวลาที่ผู้ผ่านประสบการณ์การพยายามฆ่าตัวตายมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางบวก ทั้งในด้านการรับรู้เกี่ยวกับการทำลายตัวเอง และการรับรู้เกี่ยวกับตนเองในช่วงเหตุการณ์วิกฤติ ส่งผลให้ทุกคนพยายามใช้กระบวนการเยียวยาจิตใจให้ตนเองอยู่รอด โดยแต่ละคนเลือกใช้วิธีการเยียวยาจิตใจที่เหมาะสมกับตนเองแตกต่างกันไป เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างปกติสุข หรือกลับคืนสู่ภาวะสมดุลทางจิตใจดังเดิม

 

นอกจากนี้ วิกฤติการณ์ที่ผ่านมายังทำให้ผู้ผ่านประสบการณ์การพยายามฆ่าตัวตายมองเห็นคุณค่าของเหตุการณ์หลายประการ จึงอาจกล่าวได้ว่าวิกฤติการณ์ครั้งนี้เป็นโอกาสแห่งการเรียนรู้และเติบโตอย่างแท้จริง

 

 

ข้อเสนอแนะของผู้วิจัยเพื่อลดปัญหาการฆ่าตัวตาย


 

  • บุคคลในครอบครัวควรตระหนักถึงสภาพอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกทุกข์ใจ ของสมาชิกในครอบครัวที่อาจนำไปสู่การพยายามฆ่าตัวตาย รวมทั้งไม่ควรใช้คำพูดท้าทายสมาชิกในครอบครัวเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย
  • สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งผู้ให้การดูแลผู้พยายามฆ่าตัวตายควรมีบทบาทสำคัญในการเยียวยาจิตใจผู้พยายามฆ่าตัวตาย ซึ่งจะช่วยให้ผู้พยายามฆ่าตัวตายสามารถผ่านพ้นภาวะวิกฤติไปได้
  • ผู้พยายามฆ่าตัวตายทุกคนควรได้รับบริการการปรึกษาเชิงจิตวิทยาจากนักจิตวิทยาการปรึกษาของโรงพยาบาล ก่อนที่แพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้าน
  • โรงพยาบาลควรจัดตั้งศูนย์ให้ความช่วยเหลือและป้องกันการฆ่าตัวตาย รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักในสังคม และควรมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญในการให้ความช่วยเหลือให้บริการตลอดเวลา
  • บุคคลในครอบครัวควรเตรียมพร้อมสมาชิกในครอบครัวให้พร้อมรับกับเหตุการณ์วิกฤติในชีวิต โดยการปลูกฝังหลักธรรม คำสอนทางศาสนาที่ช่วยให้บุคคลเกิดความเข้าใจชีวิตตามความเป็นจริงให้แก่สมาชิก

 

 

 

 

 

 

ข้อมูลจาก

 

 

“ในชั่ววูบของการฆ่าตัวตาย : การศึกษาเชิงปรากฏการณ์วิทยาในผู้ที่ผ่านประสบการณ์การพยายามฆ่าตัวตาย”
“The moment of suicide: a phenomenological study of the suicide attempters”

วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สาขาวิชาจิตวิทยาการปรึกษา (2552)
โดย : นางสาวขนิษฐา แสนใจรักษ์
ที่ปรึกษา : ร.ศ. ดร.โสรีช์ โพธิ์แก้ว และ ร.ศ. ดร.จิราพร เกศพิชญวัฒนา
http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/15897