ข่าวและกิจกรรม

กว่าจะเป็นผีเสื้อที่สวยงาม ประสบการณ์การแสดงออกซึ่งตัวตนของหญิงข้ามเพศ

 

ในเดือนมิถุนายนนี้ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกต่างร่วมกันเฉลิมฉลองเดือนแห่งความภาคภูมิใจ หรือ Pride month เพื่อเฉลิมฉลองและแสดงออกซึ่งการเป็นตัวของตนเองด้วยความภาคภูมิใจ หลายคนอาจสงสัยว่าการเป็นตัวของตนเองนั้นสำคัญอย่างไร เหตุใดจึงต้องมีเทศกาลแห่งการแสดงออกซึ่งตัวตนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ งานวิจัยของนิสิตปริญญาตรี คณะจิตวิทยา ในหัวข้อ “ตัวตนที่มากกว่าความสวยงาม : ประสบการณ์ของหญิงข้ามเพศต่อกระบวนการสร้างตัวตนผ่านการใช้ฮอร์โมน” ได้เสนอให้เห็นว่าการมีร่างกายที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศของตนเอง รวมถึงการได้แสดงออกตามอัตลักษณ์ทางเพศที่ตนเป็นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างความมั่นใจในตนเองและการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

 

งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพศึกษาในกลุ่มหญิงข้ามเพศ หรือ Transgender women ที่ผ่านการใช้ฮอร์โมนบำบัดเพื่อการข้ามเพศ โดยการให้นิยามของคำว่า หญิงข้ามเพศ ไม่ได้หมายถึงบุคคลที่ผ่านการผ่าตัดแปลงเพศจากชายไปเป็นหญิงแล้วเท่านั้น ทว่ายังหมายถึง บุคคลที่มีเพศกำเนิดอยู่ในเพศสรีระของเพศชาย แม้จะยังไม่ได้ผ่านการผ่าตัดแปลงเพศหรือไม่มีความคิดที่จะผ่าตัดแปลงเพศ แต่หากบุคคลนั้นรับรู้และพึงพอใจว่าตนเองคือเพศหญิง ก็สามารถนิยามตนเองว่าเป็นหญิงข้ามเพศได้เช่นกัน ทั้งนี้การให้นิยามคำเรียกต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นไปตามความสมัครใจของแต่ละบุคคล

 

หากลองจินตนาการว่าตัวเรามีจิตใจและรับรู้ตัวตนของตนว่าเป็นผู้หญิง ทว่าต้องมาอยู่ในร่างกายของผู้ชาย ร่างกายที่ขยับไปอย่างอิสระตามความนึกคิดของตน ร่างกายที่ควรจะเป็นของตน แต่ในบางครั้งกลับรู้สึกเหมือนไม่ใช่ร่างกายของเรา หรือที่แย่ไปกว่านั้น คือร่างกายเป็นเสมือนกรงขังไม่ให้เราได้แสดงออกถึงความเป็นตนเองอย่างแท้จริง ดังเช่นหญิงข้ามเพศที่ต้องประสบกับความรู้สึกขัดแย้งระหว่างร่ายกายที่มีกับตัวตนภายในที่เป็น เมื่อตัวตนภายในส่งเสียงร้องว่าพวกเธอคือผู้หญิง แต่พวกเธอกลับเกิดมาในร่างกายของเพศชายซึ่งทำให้พวกเธอรู้สึกคับข้องและทุกข์ทรมานใจ

 

 

เกิดมาผิดร่าง


 

“เพราะว่า…เราเหมือนคนที่ว่าเกิดผิดร่างอย่างนั้นใช่ไหม…ใจเป็นผู้หญิงแต่เรามาเกิดในร่างผู้ชายแล้วแบบมันก็เลยแบบรู้สึกว่ามัน…มัน มันไม่ใช่ตัวเรา” (คุณท., อายุ 46 ปี)

 

จากการศึกษาพบว่าหญิงข้ามเพศใช้ชีวิตอยู่ในร่างกายที่มีลักษณะเพศชายด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจ กังวลใจ และไม่กล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง หญิงข้ามเพศได้ให้สัมภาษณ์ว่า

 

“คือตอนนั้นที่มีรูปร่างเป็นผู้ชายเนอะ พี่อาจจะไม่สามารถพูดคะขาแล้วก็เป็นผู้หญิงได้มากเท่าที่พี่เป็นในปัจจุบัน […] มันอาจจะเป็นกาลเทศะหรืออะไรสักอย่างนึงที่มันเป็นกรอบ block พี่ไว้อยู่”

 

พวกเธอไม่กล้าพูดลงท้ายว่า ‘คะ/ค่ะ’ อย่างผู้หญิงด้วยความรู้สึกว่าตนยังอยู่ในร่างกายของเพศชายก็ควรจะแสดงออกตามบรรทัดฐานที่สังคมกำหนดว่าผู้มีลักษณะเพศชายต้องปฏิบัติอย่างไร

 

พวกเธอยังไม่ชอบถ่ายรูปหรือโพสต์รูปตนเองลงบนโซเชียลมีเดียเพราะไม่อยากเห็นภาพตนเองที่เป็นผู้ชาย อีกทั้งยังไม่กล้าพูดคุยกับครอบครัวเพราะเกรงกลัวว่าคนในครอบครัวจะรู้ว่าเธอมีจิตใจเป็นหญิงอยู่ภายในร่างกายที่เป็นชาย อาจด้วยความเกรงกลัวการต่อต้านและการตัดสินจากสังคม ซึ่งเป็นเสมือนแรงกดดันให้พวกเธอไม่กล้าแสดงออกในสิ่งที่ตนเองเป็น ความอึดอัดและไม่อาจแสดงความเป็นตัวเองได้นี้สร้างความทุกข์ทรมานใจให้แก่หญิงข้ามเพศเป็นอย่างมาก หญิงข้ามเพศในงานวิจัยนี้จึงเลือกที่จะปรับเปลี่ยนลักษณะร่างกายเพื่อให้พวกเธอได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

 

 

การใช้ฮอร์โมนบำบัดเพื่อการข้ามเพศ


 

“สมมติว่าเราอยู่ในสถานการณ์ที่เราไม่พอใจเราก็ออกมาได้ แต่ว่าถ้าเราอยู่ในร่างกายที่เราไม่พอใจ เราออกมาไม่ได้ […] ดังนั้นการเทคฮอร์โมนเนี่ยมันก็เป็นสิ่งที่จะทำให้เราสามารถอยู่กับร่างกายของเราได้อย่างแฮปปี้” (คุณห., อายุ 18 ปี)

 

การใช้ฮอร์โมนบำบัดเพื่อการข้ามเพศมีส่วนช่วยให้ภาพสะท้อนบนกระจกที่เคยขัดแย้งกับจิตใจ สะท้อนลักษณะของเพศหญิงที่ตรงกับตัวตนภายใน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าร่างกายนี้คือร่างกายของพวกเธอ และภาพสะท้อนนี้คือตัวเธอเอง ก่อเกิดเป็นความรู้สึกภาคภูมิใจและมีความสุขที่ได้เห็นตนเองในร่างกายนี้ทุกวัน ต่างจากก่อนหน้านี้ที่พวกเธอรู้สึกว่าตนเอง เกิดมาผิดร่าง

 

นอกจากนี้หญิงข้ามเพศยังรายงานว่าพวกเธอมีความมั่นใจที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างผู้หญิงคนหนึ่งมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายอย่างเพศหญิง เช่น การใส่กระโปรง หรือการเข้าห้องน้ำหญิง นอกจากนี้ พวกเธอยังกล่าวว่าการมีร่างกายที่ตรงกับตัวตนที่แท้จริงทำให้พวกเธอมีแรงใจที่จะต่อสู้กับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตต่อไป

 

การมีร่างกายที่ตรงกับอัตลักษณ์ทางเพศของตนเองส่งผลให้หญิงข้ามเพศกล้าที่จะเป็นตัวเองมากขึ้น เนื่องจากรู้สึกว่าร่างกายนี้คือร่างกายของตน นำมาซึ่งความมั่นใจที่จะใช้ชีวิต ที่จะแสดงตัวตนของตนเองผ่านการแต่งกาย การแสดงออกทางพฤติกรรม โดยปราศจากความกังวลและหวาดกลัวการตัดสินหรือการต่อต้านจากสังคม

 

 

ในเดือนแห่งความภาคภูมิใจนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกซึ่งตัวตน แต่สะท้อนถึงความกล้าและความมั่นใจที่จะเป็นตัวของตนเองหลังจากต่อสู้และฝ่าฟันกับอุปสรรคต่าง ๆ เหมือนผีเสื้อที่อดทนเฝ้าฟูมฟักร่างกายของตนเองจนได้ฟักออกจากดักแด้และมั่นใจที่จะออกโบยบินสู่โลกกว้างอย่างอิสระ

 

 

 

อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่

 

ฐิดาพร สุขเจริญ, ณัฐกิตติ์ ดวงกลาง, และสุกัลยา ลัมภเวส. (2566). ตัวตนที่มากกว่าความสวยงาม : ประสบการณ์ของหญิงข้ามเพศต่อกระบวนการสร้างตัวตนผ่านการใช้ฮอร์โมน. [วิทยานิพนธ์ปริญญาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา]. คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

 

 


 

 

ผู้เขียน

ฐิดาพร สุขเจริญ, ณัฐกิตติ์ ดวงกลาง, และสุกัลยา ลัมภเวส นิสิตชั้นปีที่ 4 ว่าที่บัณฑิตคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ผู้ตรวจสอบบทความและอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์

ผศ.ดร.จุฑาทิพย์ วิวัฒนาพันธุวงศ์ แขนงวิชาการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์

 

การออกเดท และวัฒนธรรมการ Hook up

 

ทุกคนเชื่อคำกล่าวอ้างจากโลกตะวันตกที่ว่า การออกเดท (Dating) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยมหาวิทยาลัยนั้นได้สาบสูญไปในครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาหรือไม่ ทุกคนยังจำความรู้สึกของการออกเดทครั้งแรกกับคนที่เราชอบ หรือคนที่เราคุยด้วยได้หรือไม่ เราแต่งตัวอย่างไร เราไปนัดพบกันที่ไหน ความรู้สึกเต้น ประหม่า หรือเบื่อหน่าย และหลังจากเดทแล้วเราสานต่อความสัมพันธ์หรือไม่ หรือต่างคนต่างแยกย้ายกันไป

 

สำหรับความหมายของการออกเดทนั้น อ้างอิงจากพจนานุกรมเคมบริดจ์ (Cambridge Dictionary) ได้ให้ความหมายว่า คือการนัดพบ หรือใข้เวลาอย่างสม่ำเสมอ กับคนที่เรามีความรู้สึกโรแมนติกด้วย1 ส่วนในโลกออนไลน์ การเดทยังรวมถึงการศึกษาดูใจ เรียนรู้เพื่อรู้จัก เพื่อรู้ใจว่าความสัมพันธ์จะไปต่อหรือไม่

 

แล้วถ้าตามคำกล่าวอ้างว่าไม่มีการออกเดทแล้ว มันกลายเป็นอะไร ทุกคนคงเคยได้ยินคำภาษาอังกฤษว่า Hook up โดยคำว่า Hook up ซึ่งจากนักวิจัยต่างประเทศได้ให้นิยามว่ามันคือการที่บุคคลนั้นมีความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างคนแปลกหน้าหรือคนรู้จักโดยความสัมพันธ์นั้นเป็นแบบไม่ผูกมัด และไม่จำเป็นต้องมีการพัฒนาไปเป็นรูปแบบอื่น ในไทยยังไม่มีคำนิยามที่ชัดเจน ในโลกออนไลน์ของไทย มีคำเช่น ‘แอบแซ่บ’ อย่างไรก็ตามนักวิจัยระบุว่า Hook up นั้นไม่ได้มีนิยามที่ชัดเจน สำหรับบางคน Hook up อาจเป็นการนัดเจอโดยไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ร่วมด้วย8

 

สรุปแล้ว วัฒนธรรมการ Hook up นั้นจะสามารถมาแทนที่ การออกเดท (Dating) ได้หรือไม่นั้น จากงานทบทวนวรรณกรรมของ Luff, Kristi และ Berntson (2016) ได้ออกมาให้แง่มุมว่าจริง ๆ แล้วการเดท และการ hookup นั้นดูเผิน ๆ เหมือนจะแตกต่างกัน แต่จริง ๆ แล้วคล้ายคลึงกันมาก โดยทั้งสองรูปแบบของการนัดเจอ นั้นเพื่อเปิดโอกาสให้คนสองคนได้ทำความรู้จักกันมากยิ่งขึ้น ส่วนความแตกต่างคือ การมีเพศสัมพันธ์นั้นจากงานวิจัยพบว่า เกิดขึ้นกับ Hookup มากกว่า การออกเดทนั่นเอง

 

การ Hook up เหมือนจะเน้นความใกล้ชิดทางเพศ (Sexual intimacy) ในขณะที่การออกเดทนั้นจะเน้นความใกล้ชิดทางอารมณ์ (Emotional Intimacy) มากกว่า2 นักสังคมวิทยาเหล่านี้ยังมองว่าวัยหนุ่มสาวสามารถเลือกใช้วิธีการคบหาได้ทั้งสองรูปแบบ บางคนชอบความสัมพันธ์แบบ Hookup มากกว่าเพราะไม่จำเป็นต้องทุ่มเทเวลา หรือความรู้สึกให้กับอีกฝ่ายเท่ากับการออกเดท หรือบางทีการออกเดทกลับให้ความรู้สึกอิ่มเอิบใจ และความสุขมากกว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ผูกมัดของ Hook up ทั้งสองรูปแบบจึงมีข้อดีและข้อเสียต่างกันไป3

 

ทั้งนี้ในปัจจุบันยังมีเทคโนโลยี หรือแอพลิเคชันต่าง ๆ ที่เป็นการเดทแบบออนไลน์หรือเรียกว่า Online Dating อีกด้วยโดยเฉพาะในช่วงโควิด 19 ที่ผ่านมา การออกเดทโดยการพบปะเจอหน้าอาจเกิดได้ยากยิ่งขึ้น ดังนั้นผู้เขียนจึงเห็นว่า การออกเดทนั้นไม่ได้สาบสูญไปจากสังคม แต่เพียงแต่มันมีคำนิยามอื่น ๆ โดยเฉพาะคำว่า Hook up ที่เข้ามาเป็นหนึ่งในรูปแบบของการศึกษาดูใจ (และดูกาย) นั่นเอง

 

 

สำหรับงานวิจัยที่กล่าวมาข้างต้นนั้นถูกเขียนขึ้นและศึกษาในบริบทของตะวันตก ซึ่งเมื่อเราหันกลับมามองในภูมิภาคเอเชีย หรือกระทั่งประเทศไทย เราคงต้องตั้งคำถามว่าวัฒนธรรม Hook up หรือการออกเดทนั้นเป็นอย่างไร ในเมื่อความแตกต่างระหว่างการออกเดท หรือการ Hook up ที่พอจะสังเกตได้คือการเน้นที่ความใกล้ชิดทางอารมณ์ หรือทางเพศ แล้วคนเราแต่ละคน เมื่อพบคนที่เราชอบ หรือสนใจ เราเลือกที่จะออกเดทแบบจริงจัง หรือไม่ผูกมัด ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการออกเดทแบบจริงจังหรือไม่ผูกมัดก็ตาม มีทฤษฎีหนึ่งที่สำคัญคือทฤษฎี Sexual Script หรือ Dating script

 

ทฤษฎีสคริปท์ของความรักหรือสคริปท์การออดเดทมองว่า สคริปท์หรือตัวบทเป็นสิ่งที่กำกับว่า ในสถานการณ์ทางเพศ ความสัมพันธ์หรือกระทั่งการออกเดทนั้น คนเราจะมีบทบาทหรือพฤติกรรมอย่างไร โดยสคริปท์นั้นแบ่งออกเป็นสามระดับ4 คือ

  • สคริปท์ระดับวัฒนธรรม (Cultural script) เป็นสิ่งที่สังคมและวัฒนธรรมนั้นกำหนด อาจมาจากภาพจำจากหนังสือ ภาพยนตร์ หรือจากคำสอนของคนในครอบครัว
  • สคริปท์ระหว่างบุคคล (Interpersonal script) จะเป็นส่วนที่บุคคลนำสคริปท์ทางวัฒนธรรมมาประยุกต์ใช้กับตนเองในสถานการณ์ตรงหน้ากับผู้อื่น และ
  • สคริปท์ส่วนบุคคล (Intrapersonal script) จะเป็นความปรารถนา แรงขับหรือจินตนาการส่วนตัวที่ตนเองมีอยู่

 

ตัวอย่างสคริปท์การออกเดทแรกที่มาจากการวิจัยต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น เริ่มจากการเตรียมตัว – ไปรับคู่เดท – รู้สึกประหม่า – ดูภาพยนตร์ พูดคุย จับมือ หัวเราะ – ไปคาเฟ่/งานสังสรรค์ – พูดคุย – ประเมินความสัมพันธ์ – ริเริ่มการสัมผัสทางกาย – การคุยเชิงลึก – ออกจากงานเลี้ยงสังสรรค์ – ไปส่งคู่เดทที่บ้าน – จูบ – นัดหมายเดทครั้งต่อไป5 โดยสคริปท์นั้นจะมีทั้งบทสคริปท์ที่บุคคลนั้นคิด หรือมองว่าสังคมกำหนดหรือคาดหวัง กับสคริปท์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ซึ่งอาจเหมือนหรือแตกต่าง ก็คงเหมือนกับนักแสดงเมื่อได้สคริปท์ภาพยนตร์ละครมา บางทีก็มีแสดงนอกบท และสคริปท์ก็สามารถปรับเปลี่ยนและแก้บทได้

 

Flat design valentines day couple collection

 

ตัวอย่างสคริปท์การออกเดทที่ผู้เขียนหยิบมานั้นอาจะไม่สามารถสะท้อนถึงสคริปท์การออกเดทของคนในสังคมไทยได้ และจากการสืบค้นก็ยังไม่พบงานวิจัยที่ศึกษาในไทย จุดที่น่าสนใจคือ การที่เราจะออกเดท หรือ Hook up แสดงว่า เราจะหยิบเอาบทของเพศสัมพันธ์มาไว้ตรงไหน ในการพบกันครั้งแรก ในเดทที่ 5 หรือจนกว่าจะแต่งงาน ตรงนี้ก็คงขึ้นอยู่กับบทสคริปท์ของแต่ละบุคคล

 

อีกทั้ง สคริปท์การออกเดทของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ เช่น สำหรับเกย์ เลสเบียน นั้นย่อมมีลักษณะที่อาจแตกต่างจากชายหญิงทั่วไป โดยสำหรับ Script ชายหญิงในประเทศไทย มีถูกพูดถึงในพอดแคสต์ Open Relationship ของศาสตราจารย์ ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ และอรัณย์ หนองพล เช่น ผู้ชายมักถูกกำหนดให้เป็นผู้ริเริ่มการชวนออกเดท หรือการไปรับส่งคู่เดท มากกว่าฝ่ายหญิง หรือฝ่ายหญิงมักมองเป็นฝ่ายตั้งรับการถูกเชิญชวนออกเดท6 ทั้งนี้สำหรับกลุ่ม LGBTQ+ นั้นก็อาจมีการหยิบหรือประยุกต์สคริปท์การออกเดทของชายหญิงมาใช้7 ทั้งนี้งานวิจัยหลายชื้นก็พยายามจำแนกคุณลักษณะเฉพาะของการออกเดท ของเกย์และเลสเบียน อาทิ กลุ่มเกย์มักใส่สคริปท์เพศสัมพันธ์ในการออกเดท มากกว่ากลุ่มเลสเบียน หรือกลุ่มหญิงรักหญิงเองจะเน้นความใกล้ชิดทางอารมณ์มากกว่ากลุ่มเกย์ เป็นต้น

 

สำหรับสคริปท์นั้นเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับสังคมและวัฒนธรรมนั้น ๆ ปรับเปลี่ยนได้เสมอ เช่นเดียวกับตัวสังคมและวัฒนธรรมก็มีการเปลี่ยนแปลง เช่น ปัจจุบันนี้ผู้หญิงเองก็สามารถที่จะเป็นผู้ริเริ่มการออกเดท ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นบทของฝ่ายชายฝ่ายเดียว อีกทั้งตัวบทสคริปท์เองไม่ได้เป็นสากล ทุกคนอาจมีสคริปท์ที่ไม่เหมือนกันเสมอไป ดังนั้นไม่ได้แปลว่า กลุ่มชายรักชายหรือเกย์ต้องเอาการมีสัมพันธ์สวาทไว้ในการออกเดทครั้งแรกเสมอไป เราจึงไม่ควรเหมารวมว่าบทของทุกคนจะเหมือนกัน

 

 

สำหรับบทความนี้เจตจำนงค์ของผู้เขียน เพียงแค่ต้องการสังเกตว่า ในการเริ่มต้นความสัมพันธ์ ความรักไม่ว่าจะเป็นชายหญิงเกย์เลสเบียนหรือกลุ่ม LGBTQ+ ในสังคมไทย ไม่ว่าเราจะกำลังเข้าสู่วัยรุ่น วัยนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยหรือทุกวัยที่หัวใจยังปรารถนาความรัก เราอาจมีและกำลังใช้สคริปท์ในการออกเดทหรือความสัมพันธ์ที่ทั้งรู้ตัว หรือไม่รู้ตัว ทั้งนี้ผู้เขียนไม่มีความประสงค์ที่จะสนับสนุนหรือส่งเสริมรูปแบบการคบหา หรือสคริปท์อันใดอันหนึ่งมากกว่า เราเคยตระหนักถึงสคริปท์เหล่านี้หรือไม่ และหากสคริปท์ของเรากับคนตรงหน้าเราต่างกัน เราจะรับมือ สื่อสารอย่างไร หรือกระทั้งในวัยพ่อแม่ที่ลูกกำลังเป็นวัยรุ่นไม่ว่าจะเป็นเพศสภาพใด เราหรือสังคมจะชี้แนะหรือส่งเสริมสคริปท์เหล่านี้ให้กับลูกหลานของเราอย่างไร เพราะสิ่งที่พ่อแม่ เพื่อน สังคม ภาพยนตร์หรือสังคมบอกกล่าว ย่อมอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลต่อสคริปท์ของเราแต่ละคนได้นั้นเอง

 

 

สุดท้ายนี้ทั้งผู้อ่านและผู้เขียนอยู่ในโลกที่มีรูปแบบความรักความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายเพศ หรือหลายรูปแบบ อาทิ Situationship, Friend with Benefits, ความสัมพันธ์แบบเปิด (Open relationship) เป็นต้น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการออกเดท หรือการ Hook up มันอาจไม่ใช่จุดสุดท้ายของความรักความสัมพันธ์ (ในทุกครั้ง) มันอาจเป็นเพียงเป็นจุดเริ่มต้นของความรักความสัมพันธ์ที่คงต้องหมั่นดูแล สื่อสารและเอาใจใส่ เพื่อให้ความรักของเราเติบโตครับ

 

ด้วยรักใน Pride Month

 

 

 

Reference

 

1. Cambridge Dictionaries, s.v. “Dating (n.),” accessed May 23, 2024, https://dictionary.cambridge.org/dictionary/english/dating.

 

2. Luff, Tracy, Kristi Hoffman, and Marit Berntson. 2016. “Hooking Up and Dating Are Two Sides of a Coin.” Contexts 15, no. 1: 76-77. https://doi.org/10.1177/1536504216628848

 

3. Bauermeister, José A., Matthew Leslie-Santana, Michelle Marie Johns, Emily Pingel, and Anna Eisenberg. 2011. “Mr. Right and Mr. Right Now: Romantic and Casual Partner-Seeking Online among Young Men Who Have Sex with Men.” AIDS and Behavior 15, no. 2: 261-272. https://doi.org/10.1007/s10461-010-9834-5

 

4. Simon, William, and John H. Gagnon. 1986. “Sexual scripts: Permanence and change.” Archives of Sexual Behavior 15, no. 2: 97-120.

 

5. Morr Serewicz, Mary Claire, and Elaine Gale. 2008. “First-Date Scripts: Gender Roles, Context, and Relationship.” Sex Roles: 149-164.

 

6. The Standard Podcast, “Heterosexual Script จากหยั่งเชิงที่อาจกลายเป็นคุกคาม | Open Relationship EP.54,” YouTube Video, 36:51, November 16, 2023, https://www.youtube.com/watch?v=obK8fzNEYtg.

 

7. Klinkenberg, Dean, and Suzanna Rose. 1994. “Dating Scripts of Gay Men and Lesbians.” Journal of Homosexuality 26, no. 4: 23-35.

 

8. Watson, Ryan J., Shannon Snapp, and Skyler Wang. 2017. “What We Know and Where We Go from Here: A Review of Lesbian, Gay, and Bisexual Youth Hookup Literature.” Sex Roles 77, no. 11: 801-811.

 

 


 

 

 

บทความโดย

อาจารย์ภาณุ สหัสสานนท์

อาจารย์ประจำหลักสูตรจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาฯ

 

คณะจิตวิทยาเข้าร่วมในพิธีวางพวงมาลาถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล

 

คณะจิตวิทยาเข้าร่วมในพิธีวางพวงมาลาถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ณ พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 8 อาคาร อปร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต “วันอานันทมหิดล” เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน 2567

 

 

 

Research talk by Dr. Nicolas Geeraert “An Acculturation Tale of Stress Trajectories, Expectations, and Cultural Norms.”

 

 

We would like to invite psychology graduate students and faculty members to a research talk by Dr. Nicolas Geeraert, Reader in the Department of Psychology at the University of Essex, UK, and Visiting Professor at the Department of Psychology, Chulalongkorn University.
Dr. Geeraert, a social psychologist specializing in acculturation and cross-cultural psychology, will present his research titled “An Acculturation Tale of Stress Trajectories, Expectations, and Cultural Norms.” The presentation will explore various acculturation questions using longitudinal data from 2,480 intercultural exchange students traveling between 51 different countries.

 

Date and Time:

Wednesday, June 26th, 2024 from 11 AM to 12 PM

 

Venue:

Room 613, the 6th Floor, Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

Registration Link:

https://forms.gle/ti7Pg6JKnB18zB1UA

 

 

 

 

 


 

 

 

On June 26, we had the pleasure of hosting Dr. Nicolas Geeraert, a distinguished Reader in Psychology and Visiting Professor from the University of Essex. His talk, “An Acculturation Tale of Stress Trajectories, Expectations, and Cultural Norms,” was nothing short of enlightening.

 

Today’s session peeled back layers of acculturation challenges, enriching our understanding of intercultural dynamics.

 

A huge thank you to Dr. Geeraert and all the enthusiastic participants who made today’s event not just informative but also truly engaging!

 

 

 

Insightful talk “How to Get Your Papers Published” by Assoc. Prof. Arief Liem

 

Join us for an insightful talk, “How to Get Your Papers Published,” with Dr. Arief Liem, an Associate Professor at the Psychology and Child & Human Development Academic Group, National Institute of Education (NIE), Nanyang Technological University (NTU), Singapore.

 

With a rich background in student motivation and engagement research, Dr. Liem brings a wealth of knowledge and experience to help you navigate the complex process of academic publishing. Gain insights into the publishing process and understand the common pitfalls and how to avoid them.

 

Date & Time: 26 June 2024, from 10:00 – 11:00 AM
Live Talk via Zoom
Meeting ID: 991 6256 2183
Password: 626159

 

Registration Link:
https://forms.gle/mbWfisz5atbgakbX7

 

พฤติกรรมการไม่ตัดสินใจ

 

ชีวิตเราก็คงจะได้เจอหัวหน้าหลากรูปแบบ ไม่ว่าจะจากชีวิตจริงในช่วง การเรียน การทำงาน ข่าวสาร หรือละครภาพยนตร์ เราก็คงจะเจอเจ้านาย-หัวหน้าที่ทั้งดีและไม่ดี วันนี้จะชวนมาดูพฤติกรรมหนึ่งของหัวหน้าที่เกิดขึ้นบ่อยในชีวิตของคนเขียนช่วงหลายปีหลัง ๆ นี้ ก็เลยไปหางานมาแชร์ว่า พฤติกรรมนี้ มันเป็นอย่างไร เกิดจากความคิดแบบไหนทำให้พฤติกรรมออกมาเป็นอย่างไรบ้าง…

 

พฤติกรรมที่จะว่ากันในวันนี้ก็คือกลุ่ม พฤติกรรมการไม่ตัดสินใจ (indecision) หรืออาจตัดสินใจล่าช้า ผัดวันประกันพรุ่ง (procrastination) ของหัวหน้า โดยในบทความนี้จะพูดถึงแค่ว่ามีสาเหตุเกิดจากอะไร ความคิดแบบไหนที่ทำให้เกิดพฤติกรรมเช่นนี้ ส่วนเรื่องของผลกระทบที่เกิดกับผู้ร่วมงาน/องค์กร ผู้เขียนจะนำเสนอในโอกาสหน้า

 

พูดถึงการบริหารใด ๆ ที่เป็นหน้าที่ของเจ้านาย-หัวหน้า ส่วนใหญ่แล้วนั้นพฤติกรรมการไม่ตัดสินใจ (indecision) ก็ไม่น่าเป็นเป็นพฤติกรรมที่ดีในโลกของงานบริหารจัดการ ถ้าเทียบกับคุณลักษณะตรงข้ามอย่างตัดสินใจฉับไว ถึงแม้จะผิดพลาดบ้างอย่างไรก็มีภาษีดีกว่าการไม่ตัดสินใจหรือการตัดสินใจล่าช้า ซึ่งก็อาจจะผิดพลาดอยู่ดีเหมือนกัน ส่วนการศึกษาที่กล่าวถึงการผัดวันประกันพรุ่ง (procrastination) ขยายความไว้ว่า การตั้งใจให้แผนการใด ๆ ล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ในตอนแรก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามีผลเสียของความล่าช้านั้นอยู่ เช่น รู้ว่าจะมีเวลาทำการบ้านน้อยลง หรือจะต้องทำงานไฟลนก้นในภายภาคหน้า ของที่ต้องการอาจจะหมด หรือราคาเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจหรือปฏิบัติในขณะนั้น (Brooks, 2011)

 

อะไรที่ทำให้เกิดการไม่ตัดสินใจ ?


 

บริบทของการตัดสินใจ (Decision Context) :

 

โดยทั่วไปแล้วเมื่อพูดถึงการหลีกเลี่ยงการตัดสินใจ (decision avoidance) ในการทำงานมักจะเกิดจากความต้องการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม หรือหวังว่าจะมีทางเลือกที่ดีกว่าเพิ่มเข้ามา ในส่วนนี้ตัวเลือกจึงเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจเพื่อให้สามารถดำเนินงานต่อได้

 

ในกรณีทั่วไปเกี่ยวกับตัวเลือกที่ทำให้ตัดสินใจลำบากที่มีการศึกษามานานแล้วก็คือ ตัวเลือกเหมือนกันมากเกินไป อาจจะดีทั้งหมด หรือแย่ทั้งหมด ทำให้ตัดสินใจลำบาก หรือตัวเลือกที่รายละเอียดไม่ชัดเจนอย่างเช่น จะตัดสินใจไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ก็มีทางเลือกว่าไป-ไม่ไป แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่ทราบรายละเอียดอื่น ๆ เช่น ไม่รู้ว่าต้องพักที่ไหน แบบไหน กับใคร เป็นคนอย่างไร ได้ค่าสนับสนุนเท่าไร ค่าใช้จ่ายเท่าไร ฯลฯ ก็เป็นตัวอย่างของบริบทที่ตัวเลือกทำให้การตัดสินใจลำบาก

 

 

Systematic biases :

 

มีอคติอยู่ 2 รูปแบบ ที่เกี่ยวข้องกับการไม่ตัดสินใจ คือ Omission bias และ Status quo bias ซึ่งในอดีตช่วงหนึ่งก็มีนักจิตวิทยาสบสนในนิยาม จนกระทั่งนิยามแบ่งแยกชัดเจนขึ้นใน ปี 1994 (Baron and Ritov, 1994; Schweitzer, 1994)

 

Omission bias มักจะนำไปสู่การไม่ปฏิบัติสิ่งใดเลย (inaction) คนที่มีอคติในลักษณะนี้ มักจะกลัวว่าตัดสินใจไปแล้วผลจะออกมาเลวร้าย หรือเกิดความผิดพลาดขึ้นได้และผลลัพธ์จะเลวร้ายกว่าการพลาดโอกาสที่จะตัดสินใจและปฏิบัติ หรือจะมีความคิดในในกรณีว่า ถ้าหากตัดสินใจ หรือไม่ตัดสินใจ ผลลัพธ์ออกมาเลวร้ายเหมือนกัน ดังนั้น ไม่ทำอะไรเลยก็คงจะดีกว่า

 

อย่างเช่น เป็นโควิดก็มีโอกาสตาย ไปหาหมอฉีดวัคซีน ทั้งเสียเวลา ค่าเดินทาง ค่าหมอ ค่ายา วัคซีนก็ไม่รู้จะช่วยได้จริงไหม หรืออาจจะดูข่าวคนตายเพราะวัคซีนแล้วเชื่อ วิตกไปก่อน เลยเลือกที่จะไม่ทำอะไรไปก่อน ซึ่งอคติประเภทนี้ก็ยังพบเห็นความคิดที่สมเหตุสมผลอยู่บ้างในบางครั้ง

 

ในขณะที่อคติที่ขัดขวางการตัดสินใจอีกรูปแบบหนึ่งคือ Status quo bias จะตัดสินใจ แต่ตัดสินใจที่จะคงสถานะเดิมเอาไว้ ในกรณีที่สถานการณ์เปลี่ยนไปไม่ว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลงแต่ผู้นำที่เลือกที่จะที่จะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่คว้าโอกาส หรือปรับตัวใด ๆ เลย ก็มักจะถูกเหมาะรวมเป็นผู้นำที่ไม่ตัดสินใจในสายตาผู้ร่วมงานอยู่ดี

 

เทียบกับ Omission bias แล้ว Status quo bias จะดูมีผลเสียและไม่มีเหตุผลมากกว่า ในขณะที่ Omission bias จะพิจารณาผลลัพธ์ ต้นทุนจากการตัดสินใจลงมือทำ ที่ยังเป็นเหตุเป็นผลอยู่บ้าง แต่ Status quo bias อาจจะเลือกที่จะทำเหมือนเดิม เพราะไม่พร้อมเปลี่ยนแปลง หรือการใช้อารมณ์ หรือวัฒนธรรมที่ไม่สมเหตุสมผลเป็นที่ตั้ง เช่น ไม่พร้อมจะสูญเสียคนสำคัญจึงยังให้ใช้เครื่องพยุงชีวิตต่อไป หรือ วัฒนธรรมบางแห่งที่ให้ผู้อาวุโสสุดในส่วนงานรับตำแหน่งหัวหน้าแม้จะไม่มีความสามารถ หรือทำงานไม่ได้ก็ตาม

 

 

มีลักษณะของผู้ไม่ตัดสินใจ (Trait indecision) :

 

มีลักษณะความคิดและพฤติกรรมหลายหลายรูปแบบที่สัมพันธ์กับการไม่ตัดสินใจ หรือตัดสินใจได้ล่าช้าออกไป เช่น ผู้ที่มีลักษณะหลีกเลี่ยง (avoidance) หรือลักษณะพึ่งพา/ยอมตามผู้อื่น (dependant) มักจะต้องการคำแนะนำเพื่อตัดสินใจใด ๆ หรือผู้ที่กลัวความผิดหวังล้มเหลว หรือคาดหวังสูง ก็จะมีแนวโน้มที่จะพยายามศึกษาทางเลือกต่อไปโดยหวังว่าจะเจอทางเลือกที่ดีกว่า แต่ลักษณะทั้งหมดที่ว่ามาเมื่อพบเจอการตัดสินใจก็จะมีผลลัพธ์คล้าย ๆ กันคือใช้เวลาในการตัดสินใจมากขึ้น หรือต้องใช้กระบวนการขั้นตอนเยอะเพื่อจะตัดสินใจ (Frost and Shows, 1993; Rassin et al., 2007)

 

 

นอกจากนี้ก็มีงานวิจัยเกี่ยวกับวิธีคิดที่แตกต่างกันของ คนตัดสินใจ vs. คนไม่ตัดสินใจ พบว่าทั้งสองฝ่ายมีการรับรู้และจัดการปัญหาแตกต่างกันบางส่วน เช่น กลุ่มไม่ตัดสินใจมักพิจารณา worse case scenario เป็นหลัก ในขณะที่มักจะมองข้ามความเสี่ยงจากการพลาดโอกาส มากกว่ากลุ่มตัดสินใจ และเลือกที่จะเลื่อนการตัดสินใจออกไปแม้จะรู้ว่าจะต้องเสียโอกาสที่จะเลือกบางตัวเลือกไป กลยุทธ์ที่คนไม่ตัดสินใจ มักจะใช้ก็คือการหาข้อมูล/ทางเลือกไปเรื่อย ๆ (information-seeking strategy) ซึ่งมักจะพิจารณาข้อมูลเชิงลึกเป็นด้าน ๆ แคบ ๆ ทำให้ขาดการมองภาพรวม ใช้เวลามาก ไม่หวันไหวต่อความเสี่ยงจากการเสียเวลา/โอกาส หลีกเลี่ยงทางเลือกที่คุกคาม และต้องการผู้คน-ข้อมูลยืนยันสนับสนุนก่อนตัดสินใจ

 

 

สำหรับการแก้ไขพฤติกรรมการไม่ตัดสินใจ ทางนักวิจัยส่วนหนึ่งเสนอให้เพิ่มการตระหนักรู้ถึงผลเสียและความเสี่ยงของการที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปมากขึ้น หรือหากเป็นไปได้ก็ลองหยิบให้ “การเลื่อนเวลา” หรือ “การทำแบบเดิม-คงสถานะเดิม” ออกมาเป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง แล้วเอามาเปรียบเทียบผลดี-เสีย หรือปัจจัยต่าง ๆ เหมือนตัวเลือกอื่น ๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น แต่ถ้าหากปัญหาอยู่ที่ตัวเลือกมีความคล้ายคลึงกันมากไปก็ลองใช้ปัจจัยอื่นอย่าง อารมณ์ ความสัมพันธ์ ความชอบ โหงวเฮ้ง เสี่ยงทาย ฯลฯ ที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเองและกลุ่ม แล้วตัดสินใจเพื่อให้สามารถดำเนินการขั้นตอนถัดไปได้ ก็อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายมากนัก

 

 

รายการอ้างอิง

 

Baron, J., & Ritov, I. (1994). Reference points and omission bias. Organizational behavior and human decision processes, 59(3), 475-498.

 

Brooks, M. E. (2011). Management indecision. Management Decision, 49(5), 683-693.

 

Frost, R. O., & Shows, D. L. (1993). The nature and measurement of compulsive indecisiveness. Behaviour Research and Therapy, 31(7), 683-IN2.

 

Rassin, E., Muris, P., Franken, I., Smit, M., & Wong, M. (2007). Measuring general indecisiveness. Journal of Psychopathology and Behavioral Assessment, 29, 60-67.

 

Schweitzer, M. (1994). Disentangling status quo and omission effects: An experimental analysis. Organizational Behavior and Human Decision Processes, 58(3), 457-476.

 

 


 

 

บทความโดย

ณัฐนันท์ มั่นคง

นักจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ขอแสดงความยินดีกับศิษย์เก่าและนิสิตปัจจุบัน ที่ได้รับทุน Fulbright ประจำปี 2024

 

ขอแสดงความยินดีกับศิษย์เก่าและนิสิตปัจจุบัน ที่ได้รับทุน Fulbright ประจำปี 2024 เพื่อไปเรียนต่อและทำวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา

 

นางสาวจันท์จ้า รัตนจันทร์ ศิษย์เก่าหลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์จิตวิทยา (หลักสูตรนานาชาติ – JIPP5) ได้รับทุน Fulbright Thai Graduate Scholarship Program ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้าน Nonprofit Management ที่ Columbia University

 

นางสาวกุสุมา ลีลานราธิวัฒน์ นิสิตปริญญาเอกแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม ได้รับทุน Fulbright Junior Researcher Scholarship เพื่อไปทำวิจัยเรื่อง The Effect of Brand Purpose on Consumer Prosocial Behaviors ที่ Claremont Graduate University

 

คณะจิตวิทยาขอชื่นชมในความมุ่งมั่น ทุ่มเท และความตั้งใจที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้สังคม และยินดีเป็นอย่างยิ่งกับความสำเร็จของนิสิตและศิษย์เก่าทั้งสองคน

 

 


 

 

Big congratulations to our current and former students on receiving the prestigious Fulbright scholarship.

 

Janja Rattanajan, our former JIPP5 student receives the Fulbright Thai Graduate Scholarship Program! Janja will be pursuing a Master’s in Nonprofit Management at Columbia University.

 

Kusuma Leelanarathiwat, our current doctoral student in the Social Psychology Program, receives the Fulbright Junior Researcher Scholarship (JRS)! Kusuma will be conducting research on brand purpose and consumer prosocial behaviors at Claremont Graduate University.

 

This remarkable achievement is a testament to their dedication, hard work, and passion for making a difference in the world.
Let’s celebrate their success and wish them both the best of luck in these exciting new chapters of their academic and professional journeys!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

การเสวนาวิชาการออนไลน์ เรื่อง รู้จัก…เข้าใจ…แก้ไข Cyberbullying

 

การเสวนาวิชาการ เรื่อง

 

รู้จัก…เข้าใจ…แก้ไข Cyberbullying

 

โดย โครงการ “Smarter Life by Psychology รู้จักเข้าใจ Cyberbullying” คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ในวันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม 2567 เวลา 12.30 – 15.30 น.ศูนย์การเรียนรู้อเนกประสงค์ อุทยานการเรียนรู้ TK Park ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และรูปแบบออนไลน์ผ่านระบบซูม (Zoom meeting) 

 

 

 

 

วิทยากร

  • คุณณัญช์ภัคร์ พูลสวัสดิ์ (คุณเต้ย)
    ผู้จัดการแผนก/บรรณาธิการ/โปรดิวเซอร์ รายการครอบครัวบันเทิง เรื่องเล่าเช้านี้ ช่อง 3
  • คุณกวิสรา สิงห์ปลอด (คุณมายยู)
    ศิลปินอิสระ และ อินฟลูเอนเซอร์
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์
    หัวหน้าโครงการฯ คณบดี และอาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์
    รองหัวหน้าโครงการฯ รองคณบดี อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม และอาจารย์ประจำแขนงวิชาการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ผู้ดำเนินรายการ

  • คุณรวีโรจน์ เลิศพิภพเมธา (คุณวี)
    DJ คลื่น Eazy fm102.5 และพิธีกร

 

กำหนดการ

 

  เวลา
รายการ
 12.30 – 13.15 น.
ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน
 13.15 – 13.30 น.
พิธีเปิดงาน โดย อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้แทนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
 13.30 – 15.15 น.
การเสวนาวิชาการ เรื่อง รู้จัก…เข้าใจ…แก้ไข Cyberbullying
 15.15 – 15.30 น.
Q&A และกล่าวปิดการเสวนาออนไลน์

 

 

ประเด็นการเสวนา

  • สถานการณ์การกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ (Cyberbullying) และผลกระทบ ทั้งในมุมมองของนักวิชาการและประสบการณ์ของวิทยากร
  • วิธีการรับมือและจัดการกับปัญหา Cyberbullying ที่ผ่านมา และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
  • ปัจจัยทางจิตวิทยาที่อธิบายถึงสาเหตุที่บุคคลกลั่นแกล้งผู้อื่นทางออนไลน์
  • แนวทางการลดพฤติกรรม Cyberbullying
  • บทบาทของผู้พบเห็นเหตุการณ์ Cyberbullying ที่เป็นส่วนสำคัญต่อการลดหรือเพิ่มปัญหา

 

รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อที่ คุณวาทินี 02-218-1307 อีเมล wathinee.s@chula.ac.th

 

 


 

 

ภาพบรรยากาศการเสวนา

 

 

การอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “Finding the Story in the Data”

 

More than 40 Experience Management (XM) practitioners attended the workshop “Finding the Story in the Data” at the Faculty of Psychology, Chulalongkorn University, Thailand, on Friday, May 31st, 2024.

 

The workshop was led by Lara Truelove, the Program Leader of SAP/Qualtrics Center for Experience Management, and Assistant Professor Dr. Thipnapa Huansuriya, the Director of the M.S./Ph.D. in Business Psychology Program at the Faculty of Psychology, Chulalongkorn University.

 

Mastering the art of finding the story in survey data is a crucial skill in the Experience Management (XM) communities*. At the workshop, attendees not only learned these skills but also shared practical approaches to finding meaningful and actionable stories in the customer and employee experience survey data.

 

We deeply appreciate everyone’s active participation and engagement and encourage you to put these valuable skills into immediate action.

 

*from XM Talent and Skills Study, April 2023

 

 


 

แขนงวิชาจิตวิทยาธุรกิจ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ SAP/Qualtrics Center for Experience Management ร่วมกันจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “Finding the Story in the Data” เมื่อวันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม 2567 ดำเนินการอบรมโดยคุณ Lara Truelove ซึ่งเป็น Program Leader ของ SAP/Qualtrics Center for Experience Management และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทิพย์นภา หวนสุริยา ประธานแขนงวิชาจิตวิทยาธุรกิจ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ทักษะการค้นหาเรื่องราวที่มีความหมายจากข้อมูลเป็นทักษะหนึ่งที่คนทำงานในด้านการจัดการประสบการณ์ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ* ในการอบรมนี้ ผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการค้นหาเรื่องราวที่มีความหมายและนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและพนักงานให้ดียิ่งขึ้น

 

ผู้จัดขอขอบคุณผู้เข้าร่วมการอบรมทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการเรียนรู้และหวังว่าเนื้อหาการอบรมจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในงานของท่านได้โดยตรง

 

*from XM Talent and Skills Study, April 2023

 

 

 

 

 

 

Album Photo

 

 

ครบรอบ 111 ปี แห่งการสถาปนาคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬา

 

 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา และคุณวีระยุทธ กุลสุวิพลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคณะจิตวิทยา ร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสครบรอบ 111 ปี แห่งการสถาปนาคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม 2567 ณ หอประชุมคณะวิศวกรรมศาสตร์ (Hall of INTANIA) อาคารวิศวกรรมศาสตร์ 3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย