ข่าวและกิจกรรม

Self-compassion – ความเมตตากรุณาต่อตนเอง

 

 

 

 

ความเมตตากรุณาต่อตนเอง หมายถึง การตระหนักรู้ถึงประสบการณ์ในแง่ลบที่ตนเองมีโดยไม่หลีกเลี่ยง บิดเบือน ปฏิเสธ หรือตัดสินตีความ หากแต่เข้าใจว่าประสบการณ์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ อันส่งผลให้บุคคลปฏิบัติต่อตนเองเพื่อบรรเทาความทุกข์ด้วยความเมตตา

 

ทั้งนี้ ความเมตตากรุณาต่อตนเองไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว การสงสารตัวเอง หรือการยึดถือตนเองเป็นศูนย์กลาง เนื่องจากความเมตตากรุณาต่อตนเองมีพื้นฐานการมองโลกและชีวิตตามความเป็นจริงว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาจะต้องเจอทั้งสุขและทุกข์เหมือนกันหมดทุกคน ดังนั้น บุคคลที่มีความเมตตากรุณาต่อตนเองเมื่อต้องตกอยู่ในความทุกข์ยาก ความลำบาก ความผิดหวัง หรือความล้มเหลว เขาจะมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตของมนุษย์ทุกคน ซึ่งต่างจากความเห็นแก่ตัว การสงสารตัวเอง และการยึดถือตนเองเป็นศูนย์กลาง เพราะบุคคลที่มีสิ่งเหล่านี้จะคิดเข้าข้างตนเอง คิดว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่น จึงมักเปรียบเทียบ เมื่อเจอกับความผิดหวังจึงรู้สึกว่าตนเองน่าสงสาร โชคร้าย ทำให้เกิดเป็นความรู้สึกแปลกแยกออกมา

 

ความเมตตากรุณายังไม่ใช่การทำตามใจตนเอง หรือการทำเพื่อความสุขของตนเองเป็นหลัก เมื่อผ่านพ้นสถานการณ์ที่ตึงเครียด จะเห็นได้ว่ามีหลายคนเลือกที่จะชดเชยสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการให้รางวัลกับตัวเอง บางคนเลือกที่จะนอนดูโทรทัศน์ทั้งวัน ขณะที่บางคนเลือกกินไอศกรีมถ้วยใหญ่ หรือซื้อเสื้อผ้าข้าวของราคาแพง โดยคิดว่านี่คือการให้กำลังใจตนเอง ปฏิบัติต่อตนเองอย่างมีเมตตา ซึ่งแม้จริงแล้วการทำแบบนี้ไม่ใช่ลักษณะของความเมตตากรุณาต่อตนเอง เพราะความเมตตากรุณาต่อตนเองจะส่งเสริมให้บุคคลมีความปรารถนาที่จะเห็นตัวเองมีความสุขและสุขภาวะดีในระยะยาว ซึ่งการไปถึงจุดจุดนั้นอาจยากลำบากและไม่รู้สึกสะดวกสบาย เช่น การเลิกบุหรี่ การลดน้ำหนัก การออกกำลังกาย เป็นต้น

 

ความเมตตากรุณาต่อตนเองแตกต่างจากการเห็นคุณค่าในตนเองตรงที่ ความเมตตากรุณาต่อตนเองไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประเมินคุณค่า และไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นเพื่อให้รู้สึกถึงคุณค่าในตนเองที่มีอยู่ อีกทั้ง ความเมตตากรุณาต่อตนเองยังไม่ขึ้นอยู่กับความพิเศษหรือจุดยืนที่แตกต่างของตนเองจากคนอื่น ๆ ความเมตตากรุณาต่อตนเองจึงไม่ส่งผลให้บุคคลหลงตนเอง อ่อนไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ และบิดเบือนการรับรู้ที่มีต่อตนเองที่แท้จริง

 

 

องค์ประกอบของความเมตตากรุณาต่อตนเอง (Neff, 2003)


 

1. การมีความเมตตาต่อตนเอง

คือ การยอมรับได้ในสิ่งที่ตนเองเป็น สามารถปฏิบัติต่อตนเองด้วยความรักและความเข้าใจอย่างอ่อนโยน แม้ในยามที่ประสบกับความทุกข์ ความผิดพลาด และความล้มเหลว โดยไม่ประเมินคุณค่าของตนเองจากสิ่งที่เกิดขึ้น รวมทั้งไม่กล่าวโทษตนเอง ตำหนิตนเอง และวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง

 

2. การรับรู้ว่าประสบการณ์ที่มีเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์

คือ การมีฐานความคิดและความเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องพบทั้งความสุขและความทุกข์ ความลำบาก ความผิดหวัง ความผิดพลาดเป็นเพียงด้านหนึ่งของชีวิตและเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคนเหมือนกัน ไม่ใช่แค่กับตนผู้เดียว ดังนั้นจึงไม่ทำให้เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยกจากคนอื่น

 

3. การมีสติระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ

เมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์หรือภาวะอารมณ์ที่เป็นทุกข์ จะสามารถรับรู้และทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดได้อย่างเป็นกลาง สามารถควบคุมอารมณ์และการแสดงออกให้เป็นปกติ โดยไม่ผูกโยงหรือจมดิ่งกับอารมณ์ที่กำลังวูบไหวจนสูญเสียความยับยั้งชั่งใจ ขาดหลักเหตุผล ซึ่งก่อให้เกิดความยุ่งยากอื่นๆ ตามมา

 

 

หลายงานวิจัยกล่าวตรงกันว่า ความเมตตากรุณาต่อตนเองเป็นคุณลักษณะที่เอื้อให้บุคคลมีสุขภาพจิตที่ดีและมีความมั่นคงทางจิตใจมากขึ้น มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความยืดหยุ่นทางอารมณ์ การรับรู้ตนเองตามความเป็นจริง การมีพฤติกรรมใส่ใจผู้อื่น และมีความสัมพันธ์ทางลบกับการหลงตนเอง และการมีปฏิกิริยาโต้กลับด้วยความโกรธ อีกด้วย

 

 

 

 

ข้อมูลจาก

 

“ความสัมพันธ์ระหว่างการเห็นคุณค่าในตนเอง ความเมตตากรุณาต่อตนเอง ค่าดัชนีมวลกาย การประเมินตนเสมือนวัตถุและความพึงพอใจในภาพลักษณ์ทางร่างกายในสตรีวัยรุ่น” โดย พลอยชมพู อัตศรัณย์ (2550) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/42008

 

“ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความเครียดและความสุขในนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัย โดยมีความเมตตากรุณาต่อตนเองเป็นตัวแปรส่งผ่าน” วัชราวดี บุญสร้างสม (2556) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/42630

 

ขอบคุณภาพจาก http://www.imgbase.info

 

What are emotions?

 

What are emotions?

 

 

To study a phenomenon, such as emotion, scientifically, psychologists need to precisely define what they are studying. So, what is an emotion?

 

In some ways, trying to define emotion is like trying to define rock n’ roll. If asked, we can easily list examples – sadness, happiness, anger, fear, etc. But pinpointing what these emotions have in common as a category is more difficult (e.g., Beck, 2015).

 

 

Emotions Change How We Feel


 

We can start by asking how emotions, such as happiness and fear, differ from other mental states such as beliefs and thoughts. Perhaps the most obvious difference is that we feel emotions.

 

Indeed, feelings are a defining aspect of emotion. But describing an emotion as a feeling does not tell us how an emotion differs from a mood. For example, what would differentiate being in a bad mood from negative emotions such as sadness or anger? If I am in a bad mood, my negative feelings can last for hours or perhaps even a day. In contrast, feeling angry or afraid is more of a temporary change in feeling.

 

 

Emotions are Responses to Our Understanding of Situations


 

If emotions are changes in feelings, what causes these changes? People experience emotions in response to situations that significantly affect their goals, concerns, or well-being (Moors, Ellsworth, Scherer, and Frijda, 2013). The situations that matter vary from person to person. Suppose it rains. A person who planned a romantic trip to the beach might be upset, while someone who planned to sleep in wouldn’t care. So, an emotion is not a response to an objective situation, such as rain, an election outcome, or a break-up, but rather a reaction to a person’s interpretation of that event.

 

Different emotions correspond to different kinds of interpretations (Lazarus, 1991). We feel sad after a loss, fearful in response to immediate threats, happy about rewards, and angry about injustice. Such interpretations are known as appraisals (e.g. Ellsworth, 2013).

 

 

Emotions Affect Our Bodies and Behavior


 

Once we have interpreted an event as being of a certain kind, an emotion is followed by additional responses in our bodies and actions (or action tendencies). For example, a person who is afraid would display a fearful facial expression, his heart would race, and he would potentially try to escape the situation. These responses are not arbitrary (Ekman, 1999). With fear, for example, our eyes get wider so we can see better and our hearts race to increase our supply of oxygen so we can appropriately fight or escape the situation as needed.

 

 

Summary


 

In short, emotions are felt responses to important psychological situations that include changes in feelings, appraisals, bodily responses, and action. While not all emotion researchers would agree with this entire definition (e.g. Barrett & Russell, 2014; Ekman 2016), it is a solid starting point for thinking clearly and having meaningful discussions about the nature of emotion.

 

 

References

 

Barrett, L. F., & Russell, J. A. (Eds.). (2014). The psychological construction of emotion. Guilford Publications.

 

Beck, J. (2015, February 24). Hard feelings: Science’s struggle to define emotions. The Atlantic. Available from http://www.theatlantic.com.

 

Ekman, P. (1999). Basic emotions. Handbook of cognition and emotion, 98(45-60), 16.

 

Ekman, P. (2016). What scientists who study emotion agree about. Perspectives on psychological science, 11(1), 31-34.

 

Ellsworth, P. C. (2013). Appraisal theory: Old and new questions. Emotion Review, 5(2), 125-131.

 

Lazarus, R. S. (1991). Progress on a cognitive-motivational-relational theory of emotion. American psychologist, 46(8), 819.

 

Moors, A., Ellsworth, P. C., Scherer, K. R., & Frijda, N. H. (2013). Appraisal theories of emotion: State of the art and future development. Emotion Review, 5(2), 119-124.

 

 

 


 

Author

 

Dr. Adi Shaked
Lecturer in Social Psychology Area

 

 

5 Preconference Workshops TICP 2023

 

 

 

Preconference Workshops TICP 2023

27 July – 3 August 2023

 

📍Faculty of Psychology, Chulalongkorn University 🗺️ Map
6-7th Fl. Borommaratchachonnanisisattaphat Building. Rama 1 Road, Wangmai, Pathumwan, Bangkok 10330 Thailand

 

 

Program

 


1️⃣ A Structural Equation Modeling Approach to Multivariate Prediction.

Dr. Fei Gu, Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

27 July 2023 l 9.00-12.00 GMT+7

 


2️⃣ Acceptance and Commitment Therapy: Theory, Practice and Demonstration of Skills and Techniques.

Asst. Prof. Kullaya Pisitsungkagarn and Asst. Prof. Somboon Jarukasemthawee,

Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

31 July 2023 l 9.00-16.00 GMT+7

 


3️⃣ Acceptance and Commitment Therapy for Well-Being and Health Promotion.

Prof. William H. O’ Brien, Clinical Psychology Training Program, Bowling Green State University

1 August 2023 l 9.00-16.00 GMT+7

 


4️⃣ Using Compassion Focused Therapy to Support People Struggling with Problematic Psychosis.

Asst. Prof. Andrew Fox, School of Psychology, University of Birmingham

2 August 2023 l 9.00-16.00 GMT+7

 


5️⃣ Dialectical Behavior Therapy Skills for Emotional Dysregulation: Theory and Practice of DBT Skills.

Prof. David C. Wang, Fuller School of Psychology

3 August 2023 l 9.00-16.00 GMT+7

 

 

 

 

 

This workshop is designed for researchers who want to build appropriate predictive models for multiple outcome variables.
Conventionally, Multiple Regression is a commonly used method that produces a prediction equation for a single outcome variable in terms of a set of explanatory variables.

 

In case of multiple outcome variables, Multivariate Regression can be used to provide the prediction equations, one for each of the outcome variables. Essentially, the prediction equations obtained from multivariate regression are identical to the ensemble of individual prediction equations obtained from multiple regression for each of the outcome variables.

 

However, like multiple regression, multivariate regression may suffer the multicollinearity problem among the explanatory variables. To overcome the multicollinearity problem, several alternative methods have been developed in the literature, including Principal Component Regression, Canonical Correlation Regression, and Redundancy Analysis (also known as reduced-rank regression).

 

This workshop will review these methods and discuss their similarity and differences. In addition, a recently developed structural modeling approach is introduced to provide the relevant inferential information for the parameter estimates from these methods.

 

Participants of this workshop will be able to make informed decisions to build their predictive models in the future.

 

 

 

 

ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา การปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัดได้มีการผสานปรัชญาตะวันออก การฝึกสติเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการบำบัด อาทิ เช่น Acceptance and Commitment Therapy (ACT), Compassion-Focused Therapy และ Dialectical Behavioral Therapy (DBT) โดยการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัดดังกล่าวได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพในการลดปัญหาสุขภาพจิตไม่ว่าจะเป็นภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลให้กับผู้คนทั่วโลก

 

Acceptance and Commitment Therapy (ACT) เป็นหนึ่งการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัดที่ให้ความสำคัญกับการฝึกสติ เพื่อมุ่งเน้นการยอมรับ พร้อมกันเอื้อให้ผู้รับบริการได้ค้นหาค่านิยมในการดำเนินชีวิตอย่างกลมกลืน เกิดเป็นการยืดหยุ่นทางจิตใจ (Psychological Flexibility) อันเป็นสมดุลย์แห่งการดำเนินชีวิต ในช่วงโรคระบาดโควิด และยุคหลังโรคระบาด (post-covid) นักจิตวิทยาทั่วโลกได้ยกย่องให้ Acceptance and Commitment Therapy (ACT) เป็นหนึ่งในการบำบัดที่เหมาะสมต่อการสร้างสมดุลย์ในช่วงวิกฤตดังกล่าว

 

กว่าทศวรรษที่ผ่านมา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. กุลยา พิสิษฐ์สังฆการ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สมบุญ จารุเกษมทวี คณาจารย์จากคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกันเผยแพร่องค์ความรู้ การฝึกอบรม และสั่งสมประสบการณ์การให้บริการทางด้านจิตบำบัดแบบ Acceptance and Commitment Therapy (ACT) ให้กับสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง ในโอกาสนี้คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงจัดอบรมการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ในหัวข้อ Acceptance and Commitment Therapy: Theory, Practice and Demonstration of Skills and Techniques ในวันที่ 31 กรกฏาคม 2566 เวลา 9.00-16.00 น ณ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การอบรมครั้งนี้บรรยายเป็นภาษาไทย

 

 

 

 

นอกจากนี้คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เชิญ Professor William O’ Brien จาก Bowling Green State University, Ohio ประเทศสหรัฐอเมริกา มาร่วมต่อยอดองค์ความรู้ Acceptance and Commitment Therapy (ACT) ในหัวข้อAcceptance and Commitment Therapy for Well-Being and Health Promotion ในวันที่ 1 สิงหาคม 2566 ณ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รูปแบบ Workshop: นำเสนอเป็นภาษาอังกฤษ โดยมีการสรุปใจความสำคัญ เป็นช่วง ๆ โดย ผศ. ดร.กุลยา พิสิษฐ์สังฆการ และ ผศ. ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี

 

 

 

 

ที่ผ่านมาการบำบัดรักษาแก่ผู้มีประสบการณ์​ Psychosis​ มักพึ่งพายาทางจิตเวช​เป็นสำคัญ​ และหลายครั้งจิตบำบัดมักถูกละเลย ดังนั้นการเพิ่มองค์ความรู้ทางจิตบำบัดสำหรับผู้มีประสบการณ์​ Psychosis​ จะเป็นประโยชน์​อย่างยิ่งต่อการขยายขอบเขต​งานด้านจิตบำบัด

 

เมื่อความเมตตา​ซึ่งเป็นปรัชญาตะวันออก​อันอ่อนโยน ผสานกับระบบระเบียบของจิตบำบัดตะวันตก บูรณาการเป็น​ “Compassion​ Focused​ Therapy – จิตบำบัดมุ่งเน้นความเมตตา” Dr. Andrew Fox จาก​ The University of Birmingham ประเทศอังกฤษ​ ได้นำ​ Compassion Focused ​Therapy​ มาใช้เพื่อช่วยเหลือผู้รับบริการที่มีอาการ​ Psychosis ต่าง​ ๆ​ อย่างเชี่ยวชาญ​และลงตัว

 

ชวนมาเรียน​รู้​ร่วมกันเพื่อขยายองค์ความรู้ทางด้านจิตวิทยาไปด้วยกัน​ ในหัวข้อ​ Using Compassion Focused Therapy to Support People Struggling with Problematic Psychosis ในวันที่​ 2 สิงหาคม​ 2566​ ณ​ คณะจิตวิทยา​ จ​ุฬาลงกรณ์ม​หาวิทยาลัย การอบรมครั้งนี้มีแปลและสรุป​ความเป็นภาษาไทย​เป็นช่วง​ ๆ

 

 

 

 

Dialectical Behavioral Therapy หรือ DBT เป็นรูปแบบจิตบำบัดที่ผสมผสานการบำบัด Cognitive-Behavioral Therapy (CBT) และการฝึกสติ (Mindfulness) อย่างลงตัว ในปัจจุบัน DBT เป็นจิตบำบัดที่ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่ามีประสิทธิภาพในการลดปัญหาการควบคุมอารมณ์ (Emotion Dysregulation) และกลายเป็น Gold Standard Treatment หรือ First Choice of Treatment สำหรับผู้มีปัญหา Borderline Personality Disorder

 

วิทยากรคือ Prof. David Wang เป็นศาสตราจารย์ประจำที่ Fuller School of Psychology มลรัฐ California ประเทศสหรัฐอเมริกา อาจารย์มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Dialectical Behavioral Therapy ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้รับบริการที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์จำนวนมาก และเป็นผู้เผยแพร่องค์ความรู้ Dialectical Behavioral Therapy ในหลายมหาวิทยาลัยทั่วโลก

 

การอบรมจัดขึ้นในวันที่ 3 สิงหาคม 2566 ที่คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รูปแบบ Workshop นำเสนอเป็นภาษาอังกฤษ โดยมีการสรุปใจความสำคัญ เป็นช่วง ๆ โดย ผศ. ดร.กุลยา พิสิษฐ์สังฆการ และ ผศ. ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี

 

 


 

 

 

Workshops ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานประชุมวิชาการทางจิตวิทยาระดับนานาชาติ The 2nd Thailand International Conference in Psychology 2023 (TICP 2023) ภายใต้ธีม “Psychology for Health and Well-being in the BANI World” ระหว่างวันที่ 27 ก.ค. – 4 ส.ค. 2566 สนใจเข้าร่วมงานประชุมวิชาการและการอบรมเชิงปฏิบัติการสามารถดูรายละเอียดและสมัครได้ที่

 

 

 

 


 

 

งานประชุมวิชาการ TICP 2023

 

 

 

 

Clinical Cognitive Neuroscience research seminars “Serotoninergic Effects on Cognition”

 

Online Seminar – Open to all


 

 

Serotoninergic Effects on Cognition

Dr Christelle Langley, PhD
Department of Psychiatry, University of Cambridge, UK

 

Wednesday, 22nd March 2023, 20:00-21:00

 

A series of Clinical Cognitive Neuroscience research seminars…over Zoom. Open to all

 

Please register at: https://forms.gle/dptvhx7SwY2vW23L8

 

Organized by Dr Graham Pluck, graham.ch@chula.ac.th

 

 

การบรรยาย หัวข้อ “การดูแลใจด้วยความเมตตากรุณาต่อตัวเอง (Self-compassion)”

 

งาน “Chula health care body & mind : รักกาย รักใจ ห่วงใย ณ จุฬาฯ”

วันอังคาร ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 9.00-12.00 น

ณ ศาลาพระเกี้ยว จุฬาฯ

 

บูธ “รักใจ” ขอเชิญชวนทุกท่านมาฮีลลิ่งจิตใจด้วย Self – Compassion และกิจกรรมรักสุขภาพใจจากทีม Chula Student Wellness & ทีมศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา

 

  • Self-reflection สะท้อนคำพูดที่ตำหนิหรือให้กำลังใจตนเองในช่วงเวลาที่ผ่านมา
  • Self-remind with “KINDNESS” tree เตือนตัวเองด้วยต้น “ดีกับใจ”  ด้วยคำพูดดี ๆ ที่มอบให้กับตนเอง
  • เวลา 11.20 – 12.00 น. มีกิจกรรมการบรรยาย หัวข้อ “การดูแลใจด้วยความเมตตากรุณาต่อตัวเอง (Self-compassion)”
    โดยวิทยากร อาจารย์ ดร.พูลทรัพย์ อารีกิจ ผู้ช่วยคณบดีคณะจิตวิทยา และอาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา

 

 

ตลอดกิจกรรม ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

 

 

Celebrity worship – การคลั่งไคล้ศิลปิน

 

 

 

การคลั่งไคล้ศิลปิน หมายถึง เจตคติหรือความรู้สึกที่บุคคลมีต่อศิลปินที่ชื่นชอบในระดับที่มากกว่าแฟนโดยทั่วไป มีลักษณะของการหมกมุ่นและเสพติด

 

รูปแบบของการคลั่งไคล้ศิลปิน มี 3 รูปแบบ คือ ระดับสนใจใคร่รู้เพื่อความบันเทิงและเสพติด ระดับเข้มข้นผูกพันยึดติด และระดับคลั่งไคล้รุนแรง

ผู้ที่มีความคลั่งไคล้ศิลปินจะมีความรู้สึกผูกพันใกล้ชิด สนิทสนมกับศิลปินที่ชื่นชอบ เป็นลักษณะหนึ่งของการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกึ่งความจริง

 

 

รูปแบบของการคลั่งไคล้ศิลปิน 3 รูปแบบ


 

1. การชื่นชมเพื่อความบันเทิง-สังคม (entertainment-social celebrity worship)

 

หมายถึง บุคคลที่ชื่นชอบศิลปินดาราโดยรับรู้ว่าเป็นการชื่นชอบเพื่อความบันเทิง และติดตามข่าวสารของศิลปินดาราอย่างใกล้ชิด มีเรื่องราวของศิลปินเป็นศูนย์กลางหรือเป็นประเด็นที่ใช้พูดคุยกันในสังคมของผู้ที่มีความชื่นชอบแบบเดียวกัน มีความคลั่งไคล้ระดับต่ำ

 

ตัวอย่างเจตคติของความคลั่งไคล้ระดับนี้

“ตัวฉันและเพื่อนชอบพูดคุยถึงเรื่องที่ศิลปินที่พวกเราชื่นชอบทำ”

“ในขณะที่ฉันติดตามเรื่องราวของศิลปินคนโปรด ฉันมักจะเพลินจนลืมเวลาไปเลย”

 

2. การชื่นชอบแบบเข้มข้น-ผูกพันยึดติด (intense-personal celebrity worship)

 

หมายถึง บุคคลที่มีลักษณะหลงใหล เทิดทูนศิลปินดาราที่ชื่นชอบ สนใจใคร่รู้เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของศิลปินดารา มีการเชื่อมโยงตนเองเข้ากับศิลปินที่ชื่นชอบ และรู้สึกใกล้ชิดผูกพันเหมือนเป็นคนใกล้ตัว

 

ตัวอย่างเจตคติของความคลั่งไคล้ระดับนี้

“หากศิลปินคนโปรดของฉันประสบกับเรื่องเลวร้าย ฉันจะรู้สึกเหมือนกันว่าเรื่องนั้นได้เกิดขึ้นกับฉันด้วย”

“ฉันรู้สึกมีความสุขที่ได้เฝ้ามองความเปลี่ยนแปลง และการเติบโตขึ้นของศิลปินคนโปรด”

 

3. การคลั่งไคล้แบบรุนแรง (borderline-pathological celebrity worship)

 

หมายถึง บุคคลที่มีความคลั่งไคล้ศิลปินดาราขั้นรุนแรงที่สุด มีพฤติกรรมคุกคาม เช่น การสะกดรอยตามศิลปินดารา จนสร้างความวิตกกังวลแก่ศิลปิน [เรียกว่า สตอล์กเกอร์ (stalker) หรือ ซาแซงแฟน สำหรับศิลปินเกาหลี] ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรม ความคิด และจินตนาการเกี่ยวกับศิลปินที่ตนเองชื่นชอบได้

 

ตัวอย่างเจตคติของความคลั่งไคล้ระดับนี้

“หากฉันได้รับเงินมา 1,000 ดอลลาร์ ฉันคิดจะใช้เงินนั้นซื้อของใช้ส่วนตัวของศิลปินที่ฉันชื่นชอบ”

“ถ้าฉันบุกไปหาศิลปินคนโปรดถึงบ้านโดยไม่ได้รับเชิญ เขาจะดีใจที่ได้พบฉับอย่างแน่นอน”

 

 

การปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกึ่งความจริง


 

การปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกึ่งความจริง (Parasocial Relationship) เป็นปรากฏการณ์ที่ผู้ชมสื่อ สร้างจินตนาการเกี่ยวกับมิตรภาพ ความผูกพัน ระหว่างตนเองกับผู้ที่ปรากฏตัวอยู่ในสื่อ ผู้ชมจะรับรู้ว่าตนเองรู้จักและเข้าใจบุคคลในสื่อ เปรียบเสมือนกันเป็นผู้มีความใกล้ชิดสนิทสนม เป็นเพื่อนหรือคนในครอบครัว โดยเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากฝ่ายเดียว ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นมักมีลักษณะของการมีส่วนร่วม มากกว่าการมีความสัมพันธ์ที่แท้จริง

 

ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปแบบของสื่อรายการหรือตัวพรีเซ็นเตอร์ หากแต่ขึ้นอยู่กับการได้ดูบุคคลในสื่ออย่างต่อเนื่อง โดยการเกิดปฏิสัมพันธ์กึ่งความจริงนี้มีรากฐานอยู่บนความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ โดยความสัมพันธ์ในลักษณะนี้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ชมได้ เนื่องจากส่วนใหญ่รายการถูกติดตามชมเนื่องจากผู้ชมต้องการมีเพื่อน เมื่อมีการติดตามชมอย่างสม่ำเสมอ ผู้ชมจะพัฒนาความรู้สึกและมีการเรียนรู้ว่าบุคคลในสื่อนั้นเปรียบเสมือนเพื่อนของตน ลักษณะของการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้รับสื่อและบุคคลทั่วไป โดยไม่ได้สื่อถึงความผิดปกติและปัญหาทางจิตใด ๆ

 

ปัจจุบันมีการใช้สื่อใหม่ร่วมกันกับสื่อเก่า การศึกษาเกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดียที่ส่งผลต่อปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกึ่งความจริงกับผู้รับสื่อ พบว่า การเปิดเผยตนเองผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของศิลปิน ดารา และบุคคลมีชื่อเสียง ทั้งการเปิดเผยตนเองในรูปแบบเป็นทางการ เช่น ผลงาน และในรูปแบบส่วนตัว เช่น การแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับครอบครัว เพื่อน งานอดิเรก มีความสัมพันธ์ทางบวกกับระดับปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกึ่งความจริงของแฟนคลับและผู้ชมผลงาน

 

 

การประเมินระดับความคลั่งไคล้ศิลปิน


 

ปัจจุบันมีการพัฒนามาตรวัดเพื่อประเมินความคลั่งไคล้ศิลปินหลัก 2 เครื่องมือ ได้แก่

  1. แบบวัดทัศนคติที่มีต่อศิลปินดารา
  2. แบบวัดระดับการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกึ่งความจริง

 

แบบวัดทัศนคติที่มีต่อศิลปินดารา หรือ Celebrity Attitude Scale (CAS) โดย McCutcheon และคณะ (2002)

พัฒนามาจากแนวคิดเรื่องการคลั่งไคล้ศิลปิน โดยแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ

 

  • ความชื่นชอบเพื่อความบันเทิงและสังคม ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของศิลปินดาราที่ตนเองชื่นชอบตามสื่อต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด
  • ความชื่นชอบแบบเข้มข้นและยึดติด มีความหลงไหล เทิดทูนศิลปินดาราที่ตนเองชื่นชอบถึงขั้นเสพติด
  • ความคลั่งไคล้รุนแรง มีความคลั่งไคล้ศิลปินดาราในระดับที่รุนแรงที่สุด เพ้อฝันถึงศิลปินดารา ไม่สามารถควบคุมตนเองได้

 

แบบวัดระดับการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกึ่งความจริง โดย Rubin, Perse, และ Powell (1985)

เป็นมาตรวัดที่เหมาะสมสำหรับการวัดผู้ชมละครโทรทัศน์ ประเด็นการศึกษา ได้แก่

 

  • ความรู้สึกสนิทสนมกับศิลปินเหมือนเป็นเพื่อนพี่น้อง
  • การทราบประวัติของศิลปิน
  • ความรู้สึกเศร้าเสียใจเมื่อทราบว่าศิลปินมีความทุกข์
  • ความรู้สึกเดือดร้อนเมื่อศิลปินถูกตีข่าวในทางลบ
  • ความรู้สึกอยากปกป้อง
  • ความรู้สึกยินดีและมีความสุขร่วมกับศิลปิน
  • ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจเมื่อพบศิลปินในสื่อ
  • ความกระตือรือร้นในการรับข่าวสารเกี่ยวกับศิลปิน
  • ความต้องการพบปะศิลปิน
  • ความต้องการชมคอนเสิร์ตของนักร้อง
  • การให้ศิลปินเป็นผู้นำทางความคิด

 

 

 


 

 

ข้อมูลจาก

 

“ความสัมพันธ์ของความคลั่งไคล้ศิลปิน การเห็นคุณค่าในตนเอง การเผชิญปัญหาและความสุขเชิงอัตวิสัยของแฟนคลับเยาวชน” โดย ศิรินทร์ ตันติเมธ (2559) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/55117

 

ภาพจาก https://www.backstage.com/

 

การตบมือข้างเดียวของความรัก

 

การตกหลุมรักใครสักคนหนึ่ง หยิบหยื่นความรักให้กับเขา และเขาคนนั้นก็รักเรากลับ เกิดเป็นความรักที่สมหวัง คงเป็นประสบการณ์หนึ่งในชีวิตคนเราที่น่าตื่นเต้นและน่าจดจำ1 แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว โลกอาจไม่ได้หยิบยื่นความสมหวังในความรักให้กับทุกคนเสมอไป ตามที่เห็นในบทกวี เพลง ละคร และภาพยนตร์ที่มาจากความรักข้างเดียว

 

ความรักข้างเดียว ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่จะใช้คำว่า Unrequited love ซึ่งมีความหมายว่าการที่คน ๆ หนึ่งมีความรักใคร่ต่อบุคคลหนึ่งแต่บุคคลนั้นไม่ได้รักกลับ2 โดยงานวิจัยในต่างประเทศที่ศึกษาปรากฏการณ์ความรักรูปแบบนี้มากมาย ซึ่งมักจะเรียกผู้ที่หลงรักว่า Pursuer หรือ Would-be lover ส่วนผู้ที่ถูกรักจะเรียกว่า Target เป้าหมายหรือ Rejector ผู้เขียนยังสืบไม่พบงานในประเทศไทย จึงขอหยิบเอางานจากต่างประเทศมาเล่าสู่กันฟังฉบับย่อนะครับ

 

 

หนทางสู่ความรักข้างเดียว


 

Baumeister และคณะเป็นทีมนักวิจัยที่ศึกษาและถูกอ้างอิงถึงเสมอในเรื่องของความรักลักษณะนี้ เขาได้จำแนกสาเหตุของการเกิดความรักข้างเดียว ออกมาคร่าว ๆ แต่อาจไม่ครอบคลุมสาเหตุทั้งหมดดังนี้3

 

  1. คนที่มีเสน่ห์หรือน่าดึงดูดมาก มักมีคนเขามาชอบหรือมาสนใจ ดังนั้นคนเราจึงอาจจะผิดหวังในความรักได้ เมื่อเราไปตกหลุมรักคนที่มีเสน่ห์มาก ๆ ซึ่งตามหลักจิตวิทยาวิวัฒนาการนั้นระบุว่า คนเรามักอยากปลูกต้นรักกับคู่ครองที่น่าดึงดูดใจมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะความน่าดึงดูด มีเสน่ห์นั้นอาจเป็นตัวบ่งชี้ถึงความแข็งแรงทางพันธุกรรมและความสามารถในการสืบต่อลูกหลาน สำหรับการตกหลุมรักลักษณะนี้ต่างประเทศมักเรียกว่า Falling upwards4
  2. เมื่อเพื่อนรู้สึกเกินกว่าเพื่อน: มิตรภาพระหว่างเพื่อนนั้นต่างประเทศมักเรียกว่า Platonic friendships เพื่อนคือบุคคลที่เรามีความใกล้ชิดสนิทสนม แต่เส้นทางของความรักข้างเดียวอาจเกิดขึ้น เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั้นเริ่มมีความรู้สึกเสน่หารักใคร่ที่มากกว่าคำว่าเพื่อน (Passion) ในขณะที่อีกฝ่ายนั้นไม่ได้คิดอะไรเกินไปมากไปกว่านั้น
  3. เมื่อความรักมันสวนทาง: ความรักข้างเดียวอาจเกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของความสัมพันธ์แบบคนรัก ที่ต่างฝ่ายต่างชอบพอ สนใจและเริ่มต้นศึกษาดูใจกัน แต่แล้วกลับพบว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งความรู้สึกรักหรือชอบมันจืดจางลง แต่ความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งกลับรู้สึกเพิ่มมากขึ้น

งานวิจัยส่วนใหญ่มักเน้นที่ความรักของชายหญิง และไม่ได้ดูความสัมพันธ์ของกลุ่ม LGBT ซึ่งจากงานวิจัยในชายรักชายชาวฟิลิปปินส์พบว่า สาเหตุหนึ่งของความรักข้างเดียวมักเกิดจากการตกหลุ่มรักกับคนที่มีคนรักแล้วหรือคนคนนั้นไม่ได้เป็นชายรักชายเหมือนกับตนเอง5

 

 

ทางเลือกเมื่อเกิดความรักข้างเดียว


 

ในทางทฤษฎี6 ผู้ตกหลุมรักนั้น มีทางเลือกได้หลายทาง โดยต่างประเทศจะเรียกว่า Active นั่นคือการพยายามจีบโดยตรงเพื่อเอาชนะใจ คนที่ตนเองรักให้ได้ ถ้าในภาษาพูดอาจหมายถึง ‘ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก’ หรือจะเป็นการพยายามจีบทางอ้อม (Passive) หรือโดยนัยที่ไม่โจ่งแจ้ง

 

สำหรับตัวผู้ถูกรักเอง ก็สามารถเลือกตอบสนองได้ เช่นกัน อาทิ การพยายามเพิกเฉย เปลี่ยนบทสนทนาหรือไม่สนใจเมื่ออีกฝ่ายสื่อสารในทางโรแมนติก (Passive) ไปจนถึงการพูดปฏิเสธความรักอย่างตรงไปตรงมา (Active) หรือกระทั่งการหลีกเลี่ยงที่จะพบเจอในสถานที่ต่าง ๆ การปิดกั้น (Block) ช่องทางการสื่อสารระหว่างกันทุกทาง

 

ทั้งนี้การที่แต่ละคนจะแสดงออกแบบไหน อาจขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของอีกฝ่าย หรือความสัมพันธ์ที่มีมาแต่ก่อน เช่น หากเป็นเพื่อนกันมาก่อน เราจะปฏิเสธอความรักของเพื่อนอย่างไร ที่จะยังรักษาความเป็นเพื่อนได้ หรือกลับกัน หากเราปฏิเสธในทางอ้อม คนที่ตกหลุมรักเราเขาจะคิดว่าเราให้ความหวังหรือไม่ หากอีกฝ่ายตามจีบเรามากจนก่อเกิดเป็นความรำคาญใจ เราจะรับมืออย่างไร กลับกันหากเราเป็นฝ่ายตกหลุมรัก แต่เขาไม่รักเรากลับ เราจะพยายามสู้ต่อ หรือตัดใจ ดังนั้นในสถานการณ์ความรักข้างเดียว จึงมีความเป็นไปในและทางออกได้หลากหลายทิศทาง

 

 

ผลกระทบทางใจของความรักข้างเดียว


 

จากงานวิจัยและบทความส่วนมาก2,4 พบว่า การถูกปฏิเสธความรักส่วนใหญ่อาจนำมาซึ่งความรู้สึกทางลบ อาทิ เศร้า เสียใจ ผิดหวัง เพราะความรักที่ไม่สมหวังอาจบ่งบอกว่าตัวเรานั้นไม่คู่ควร ไม่ดีพอ ส่งผลกระทบต่อการเห็นคุณค่าของตนเอง (Self-esteem) ได้ อย่างไรก็ตามก็พบว่ามีผู้ตกหลุมรักข้างเดียวบางคนอาจมีช่วงเวลาความรู้สึกสุขเล็ก ๆ ที่ได้รู้ว่าอย่างน้อยก็ได้พบเจอคนที่ตนหลงรัก5 รวมไปถึงหากตนเองสามารถจีบสำเร็จ หรือสามารถพิชิตใจเพื่อนให้รักตอบได้ ก็นำไปสู่ความรู้สึกทางบวกได้เช่นกัน

 

สำหรับผู้ที่เป็นฝ่ายถูกรัก อารมณ์ที่พบอาจเป็นความสับสนและกังวลว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดในการปฏิเสธความรัก รวมไปถึงความรู้สึกผิด (Guilt) อาจเกิดขึ้นได้ เพราะบุคคลรู้ว่าการปฏิเสธรักนั้นอาจทำให้ใครคนหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นคนทั่วไปหรือกระทั่งเพื่อน อกหักและเสียใจ หรือบุคคลนั้นก็เข้าใจความรู้สึกของการเป็นฝ่ายรักข้างเดียวเช่นกัน นอกจากนั้นการปฏิเสธรักยังเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความปรารถนาพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนที่พยายามสร้างหรือรักษาความสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ ไว้ให้ดีที่สุด6 ประเด็นที่น่าสนใจคือคนส่วนมากเวลานึกถึงความรักข้างเดียว มักนึกถึงความรู้สึกเจ็บปวดของผู้ที่ผิดหวังในความรัก ทว่าจริง ๆ แล้วเหตุการณ์นี้ผู้ที่ปฏิเสธรักก็อาจมีผลกระทบทางใจได้เช่นกัน

 

 

ยาใจเมื่อใจร้าว


 

จากงานวิจัยเชิงคุณภาพ4พบว่า เมื่อผิดหวังจากความรักที่ไม่สมหวัง หลายคนเลือกวิธีที่จะรับมือโดยการถอนตัวออกจากสถานการณ์ หรือหากิจกรรมอะไรก็ได้ที่ช่วยเปลี่ยนความสนใจจากความรักที่ไม่สมหวัง อาทิ การไปออกกำลังกาย ร้องหรือแต่งเพลง ออกไปชอปปิ้ง ทานข้าวนอกบ้าน หรือการออกไปพบปะพบเจอคนใหม่ๆ บ้างก็เลือกเน้นกิจกรรมที่เสริมความมั่นใจหรือเสน่ห์ เช่น การไปสปา หรือการเปลี่ยนเสื้อผ้าหน้าผมใหม่ (makeover) เป็นต้น

 

ความรักข้างเดียว อาจเป็นประสบการณ์ที่กระทบต่ออารมณ์จิตใจได้ไม่มากก็น้อย ดังนั้นการมีคนรอบตัวที่ช่วยสนับสนุนจิตใจ (Social support) เช่น เพื่อนหรือครอบครัวที่ช่วยให้ก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ถือเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนั้นการพูดคุยกับนักจิตวิทยาการปรึกษาอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในกรณีที่ความเจ็บปวดใจนั้นส่งกระทบต่อจิตใจหรืออารมณ์อย่างมาก หรืออาจช่วยให้สามารถเข้าใจตนเองมากขึ้นหากบุคคลมีความรักข้างเดียวอยู่เป็นประจำ ว่าอาจมีที่มาที่ไปจากอดีตหรือสิ่งใด7 หรือบางคนอาจมีแนวโน้มที่จะชอบตกหลุมรักข้างเดียวมากกว่าที่จะมีความรักความสัมพันธ์ที่สมหวัง2 การปรึกษานักจิตวิทยาอาจช่วยให้บุคคลสามารถไตร่ตรองตัดสินใจว่าจะรับมือ หรือจัดการกับความรักข้างเดียวของตนให้เหมาะสมอย่างไร

 

การรับมือกับความรักข้างเดียว อาจไม่มีสูตรสำเร็จรูป เพราะความรักนั้นขึ้นอยู่ที่กับตัวผู้หลงรัก ผู้ที่ถูกรัก และปัจจัยรอบด้านมากมาย และในฐานะที่ผู้เขียนที่เป็นคนหนึ่งที่เคยมีรักข้างเดียว จึงขอฝากบทความนี้ให้ผู้อ่านไว้ในเดือนแห่งความรักนี้ ว่า “ในการตบมือข้างเดียวของความรัก ไม่ว่าจะเลือกตบต่อเพื่อหวังว่ามันหนึ่งจะมีเสียงดังดั่งหวัง เลือกที่จะหยุด หรือจะเลือกอะไรก็ตาม สุดท้ายแล้วอย่าลืมกลับบ้าน ทานข้าว เข้านอน… และดูแลมือของคุณเสมอนะครับ”

 

 

รายการอ้างอิง

 

  1. Minerva, F. (2015). Unrequited love hurts: The medicalization of broken hearts is therapy, not enhancement. Cambridge Quarterly of Healthcare Ethics, 24(4), 479-485.
  2. Iannone, N. E., Bailey, K. E., & Nassar, S. R. (2020). Unrequited love. Encyclopedia of Personality and Individual Differences, 5670-5674.
  3. Baumeister, R. F., Wotman, S. R., & Stillwell, A. M. (1993). Unrequited love: On heartbreak, anger, guilt, scriptlessness, and humiliation. Journal of Personality and Social Psychology, 64(3), 377.
  4. Bratslavsky, E., Baumeister, R. F., & Sommer, K. L. (1998). To love or be loved in vain: The trials and tribulations of unrequited love. In B. H. Spitzberg & W. R. Cupach (Eds.), The dark side of close relationships, 307-326. Mahwah, NJ: Lawrence Erlbaum Associates.
  5. Manalastas, E. J. (2011). Unrequited love among young Filipino gay men: Subjective experiences of unreciprocated lovers. Social Science Diliman, 7(1), 63-81.
  6. Eden, J. (2010). “Nothing takes the taste out of peanut butter quite like unrequited love”: Examining the effects of unrequited love relationships. [Doctoral dissertation, Arizona State University]. ProQuest Dissertations and Theses database.
  7. Grande, D. (2020 March, 13). Unrequited love. https://www.psychologytoday.com/gb/blog/in-it-together/202003/unrequited-love

 

 


 

 

บทความโดย

อาจารย์ภาณุ สหัสสานนท์

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา

 

ถอดความ PSY Talk เรื่อง ไขรหัสกลโกง : เมื่อการโกงออนไลน์แพร่หลายเหมือนโรคระบาด

การเสวนาทางจิตวิทยา (PSY Talk) เรื่อง

ไขรหัสกลโกง : เมื่อการโกงออนไลน์แพร่หลายเหมือนโรคระบาด

 

โดยวิทยากร
  • รศ. ดร.สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการปรับพฤติกรรม
  • อ. ดร.กฤษณ์ อริยะพุทธิพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาปริชาน

 

วิทยากรและผู้ดำเนินรายการ
  • อ. ดร.พูลทรัพย์ อารีกิจ ผู้ช่วยคณบดี และผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการปรึกษา

 

วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2566 เวลา 10.00-11.00 น.

 

รับชม LIVE ย้อนหลังได้ที่

https://www.facebook.com/CUPsychBooks/videos/1191956768366252/

 

 

 

 

นิยามการโกง


 

อ.สมโภชน์ :

การโกงคือการพยายามใช้กลวิธีหรือ strategy ต่าง ๆ ใช้เล่ห์เพทุบายทั้งหลาย เพื่อล่อลวงเพื่อชักจูงให้คนทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ของตัวผู้กระทำ โดยเจตนา

 

อ.กฤษณ์ :

จุดสำคัญของการโกงคือเจตนา และอีกส่วนหนึ่งคือการลวง (deception) คือการทำให้ผู้ถูกหลอกลวงเข้าใจผิดในบางสิ่งบางอย่างว่าสิ่งนี้คือความจริง หรือเป็นสิ่งทีเกิดขึ้น เช่น การโกงการสอบ ก็มีเจตนาให้เข้าใจผิดว่าเราเป็นผู้มีความสามารถในการทำข้อสอบสูง

 

 

การโกงออนไลน์มีลักษณะอย่างไรบ้าง


 

อ.สมโภชน์ :

ตำรวจเขาได้แบ่งการโกงออนไลน์ออกเป็น 18 ประเภท เช่น การหลอกให้รัก การโกงให้ไปลงทุน แชร์ลูกโซ่ การถ่ายภาพเว็บโป๊ เป็นต้น แต่ถ้ามองในทางจิตวิทยา กลโกงทั้งหลายอยู่บนพื้นฐานของ 2 มิติเท่านั้น เป็นมิติทางจิตวิทยาโดยตรง คือเรื่องแรงจูงใจ (motivation) ที่ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้วก็สามารถสร้างกลโกงได้อีกหลายร้อยวิธี คือหนึ่งมนุษย์เรามีตัณหา ความโลภ ความอยาก เรื่องที่สองคือความกลัว มนุษย์มี 2 มิตินี้ เช่นเดียวกับในทางพุทธที่กล่าวว่า เรามีสิ่งที่อยากได้ และหลีกเลี่ยงในสิ่งที่ไม่อยากได้

  • เรื่องตัณหา เช่น การหลอกเรื่องชู้สาว การหลอกให้ลงทุน
  • เรื่องความกลัว เช่น การหลอกเรื่องภาษี การหลอกว่าเราไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือสิ่งผิดกฎหมาย คือหลอกให้เรารู้สึกกลัว เมื่อกลัวก็ทำตาม

 

อ.กฤษณ์ :

จากฐานสองตัวนี้ บวกกับเทคโนโลยี และบวกกับปัจจัยอื่น ๆ ของแต่ละบริบทสังคม ทำให้เกิดเป็นรูปแบบการโกงที่หลากหลาย การโกงบางอย่างใช้ได้ในสังคมไทย แต่อาจใช้ไม่ได้ในประเทศอื่น เพราะมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

ประเทศไทยมีบริบทของการเป็นประเทศกำลังพัฒนา มีคนที่ต้องการจะไต่ขึ้นในทางเศรษฐานะ การชักจูงในเรื่องของรางวัล โอกาสในทางธุรกิจ ก็ดึงดูดได้ง่าย

 

หรือเราอยู่ในประเทศที่มีระยะห่างของอำนาจสูง (power distance) เวลามีคนที่อ้างว่ามาจากหน่วยงานรัฐ เป็นเจ้าหน้าที่ คนก็จะรู้สึกว่าต้องให้ความเคารพเชื่อถือ ทำให้คนที่แฝงตัวมาในคราบนี้สามารถกระทำการได้ง่ายขึ้น เทียบกับประเทศที่มีกฎหมายที่ปกป้องสิทธิ์ของประชาชนมาก ประชาชนอาจรู้สึกว่าฉันไม่ต้องทำ มีปัญหาก็ไปเจอกันในศาล ขณะที่ถ้าเป็นเราอาจจะกังวลว่าจะถูกข้อหาขัดขวางการปฏิบัติงานฯ ก็จะคล้อยตามได้

 

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องบริบททางการทำธุรกรรมด้วย ในบางประเทศการโอนเงินจากคนต่อคนเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยทำกันในเชิงธุรกิจ เขาจะให้ตัดบัตรเครดิต หรือผ่านระบบ payment ที่มีธนาคารหรือองค์กรเป็นตัวกลางรองรับ ไม่ใช่โอนเงินเข้าบัญชีโดยตรง ดังนั้นเทคนิคที่หลอกว่ามีองค์กรของรัฐมาบอกให้โอนเงินเข้าบัญชีบุคคล เพราะเป็นคนที่ดูแลด้านนี้อยู่ จึงเป็นวิธีการที่ไม่ได้ผล ขณะที่ของเราอาจจะมองว่าปกติ คุ้นชิน และไม่ฉุกใจ

 

 

อะไรที่กระตุ้นความอยากและความกลัวได้ผล


 

อ.สมโภชน์ :

เวลาเขาสุ่มคนเป็นร้อยเป็นพัน ใครที่อยู่ในภาวะจิตตก หรืออยู่ในจังหวะชีวิตที่กำลังดาวน์ กำลังเซหรือสูญเสียบางอย่าง สิ่งที่เข้ามาเสนอก็จะเข้ามาประจวบเหมาะพอดี การชักจูงคนแบบนี้มันไม่ได้ง่าย ถ้าจังหวะสถานการณ์ไม่ได้เอื้อ คือคนที่ทำการโกงเขาก็มีความสามารถ แต่ไม่ใช่ว่าจะสามารถชักจูงได้ทุกคน เขาสุ่มสักพันคน โอกาสที่จะได้สักคนก็ไม่แปลก และมันก็คุ้มสำหรับเขาแล้ว

 

อ.กฤษณ์ :

ถ้ามองอัตราความสำเร็จในการโกงมันคงไม่ได้สูง พอมีเคสอะไรเกิดขึ้นมา ก็มีการทำข่าว ตีข่าว ว่ามีผู้เสียหาย ในมุมมองของคนที่รับรู้ก็จะเห็นภาพว่ามีเคสแบบนี้เกิดขึ้นบ่อย แต่ถ้ามองในมุมของผู้กระทำ จำนวนครั้งที่ต้องโทรมันมาก มีคนที่วางสายใส่ มีคนที่ไม่เชื่อ เขาก็ต้องพัฒนาเทคนิคให้มีโอกาสเจอกับบางคนที่อยู่ในภาวะที่ไม่พร้อมจะระวังตัวเต็มที่แล้วทำให้เกิดเหตุตรงนี้ได้ ซึ่งเขาก็พยายามที่จะสร้างสถานการณ์ให้น่าเชื่อถือ เช่น เปิดด้วยเทปเสียงว่าหน่วยงานนี้กำลังติดต่อท่านและกำลังจะโอนสายให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งมันก็ดูคล้าย ๆ กับประสบการณ์ที่บางคนเคยมี ส่วนนี้ก็จะเป็นขั้นตอนการสร้างความน่าเชื่อถือ จากนั้นเมื่อมาคุยสาย ก็จะโน้มน้าวด้วยการกระตุ้นให้เกิดความอยากหรือความกลัว เช่น คุณติดหนี้บัตรเครดิตอยู่นะ คุณมีพัสดุค้างอยู่ถ้าไม่จ่ายก็จะมีผลที่ตามมา ไม่ว่าจะถูกปรับ หรือถูกหมายศาลเรียก เมื่อกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกแล้ว ถ้าเขาปล่อยให้มีเวลาให้คนได้คิดทบทวน คนก็จะตกหลุมพรางน้อยกว่า ดังนั้นเขาก็จะต่อเนื่องด้วยความเร่งด่วนว่าจะต้องจัดการให้เสร็จภายในการคุยสายนี้ ถ้าปล่อยไว้ไม่แก้ปัญหานี้ค่าปรับจะเพิ่มขึ้น กล่าวคือเมื่อกระตุ้นให้เกิดความกลัว เขาก็จะต่อด้วยการเผยทางรอดให้เรา เช่น คุณจะต้องโอนเงินมาที่นี่ หรือคุณต้องส่งข้อมูลบัญชีให้เขาตรวจสอบ โดยตลอดกระบวนการนี้ต้องมีการขัดขวางให้คนไม่อยู่ในภาวะที่จะตั้งสติคิดทบทวนอย่างมีเหตุผลได้ โดยการหว่านล้อมต่าง ๆ นานา ใช้ความกลัวใช้ความเร่งด่วนมากดดัน

 

เมื่อกระบวนการทางความคิดของเราไม่สามารถทำได้เต็มที่ ก็มีแนวโน้มที่เราจะตัดสินใจอะไรลงไปตามที่เขาชักจูงได้ และยิ่งเกิดขึ้นได้ง่ายสำหรับคนที่อยู่ในภาวะจิตตก มีปัญหาทางอารมณ์ หรือมี cognitive capacity ไม่เต็มที่ เช่นในเด็ก หรือผู้สูงวัยมาก ๆ หรือแม้แต่คนทำงานทั่วไปที่ทุกวันนี้ก็เหนื่อยอยู่แล้วกับการหาเช้ากินค่ำ แล้วพอได้ยินว่าจะต้องไปศาลหรือไปไหนที่ทำให้ยุ่งยาก พอเขาเสนอทางรอดอะไรมาจึงคล้อยตามและตกหลุมพรางโดยไม่รู้ตัวได้

 

อ.สมโภชน์ :

ถ้าปล่อยให้คิดคนก็จะถอยได้ แต่เขาจะใช้วิธีรุกตลอดเวลา กระตุ้นเร้าตลอดเวลาให้เราทำอะไร

 

อ.กฤษณ์ :

คนที่โดนหลอกแล้วไปเล่าให้คนอื่นฟัง ทุกคนก็จะพูดว่า ไปโดนหลอกได้อย่างไร แต่นั่นเพราะว่าคุณไม่ได้อยู่ตรงนั้น ไม่ได้อยู่ใต้สภาวะอารมณ์เดียวกัน สถานการณ์เดียวกัน พอให้มานึกย้อนหลังทุกอย่างมันจะดูชัดไปหมดว่าเป็นการหลอกลวง แต่ ณ เวลาที่เจอเราอาจจะบอกไม่ได้

 

 

เราจะสามารถป้องกันตนเองไม่ได้ให้ตกเป็นเหยื่อได้อย่างไร


 

อ.สมโภชน์ :

ยาก เพราะในสถานการณ์ที่ถูก Hi jack ความคิดไปแล้ว ก็เหมือนเราถูกดึงไปที่จุดจุดหนึ่ง คือถ้าเผื่อเราได้มีเวลาที่จะหยุดคิด แล้วไปโทรไปตรวจสอบกับคนอื่นก่อนก็จะสามารถช่วยได้ แต่ก็เป็นเรื่องยากมาก เพราะทางฝ่ายผู้กระทำเขามีวิธีการกระตุ้นเร้าตลอดเวลา เขาถูกเทรนด์มาอย่างดี ว่าถ้าคนพูดมาอย่างนี้ จะไปต่ออย่างไร จนคนตกหลุมพรางจนได้

 

อ.กฤษณ์ :

เวลามีเคสเกิดขึ้นแล้วและมีการออกข่าว ก็จะมีการเตือนให้คนระวังตัว ซึ่ง warning sign พวกนี้สำคัญมาก เพราะจะช่วยให้คนได้เตรียมตัวก่อนที่จะเจอ มีทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เสนอว่าถ้าเราได้ซักซ้อมเหตุการณ์พวกนี้ในหัวเอาไว้ก่อน เมื่อวันหนึ่งที่เราเจอรูปแบบพฤติกรรมที่คล้าย ๆ กันนี้ เราจะจับไต๋ได้ง่ายขึ้น เพราะเราเคยมีภาพในหัวแล้วว่าเขาสามารถโทรมาหาเราแบบนี้ได้นะ มีคำพูดแบบนี้ได้ เช่น พอเราได้ยินว่าโทรมาจาก…คุณมีพัสดุรออยู่… เราก็ตัดสินใจกดวางสายได้เลย ไม่ฟังเลย หรือบางคนก็คุยต่อแล้วตอบโต้กลับไป

ซึ่งการที่เราสามารถทำแบบนี้ได้เพราะมันมีข่าวออกมามาก คนก็สามารถเตรียมตัวได้ว่าถ้าเขามาแบบนี้ฉันจะตอบอย่างไร พอข้อมูลพวกนี้มันถูกวางแผนเอาไว้ เป็น if…then… ก็จะช่วยให้คนป้องกันตนเองก่อนเดินเข้าไปในหลุมได้ แต่ถ้าไม่มีการตระหนักแบบนี้มาก่อนก็จะเข้าไปได้ง่ายมาก จะสังเกตได้ว่าเขาจะมีการเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อย ๆ ถ้ามุกพัสดุตกค้างไม่ได้ผลแล้ว ก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องภาษีแทน หรือค่าบัตรเครดิตแทน ไปเรื่อย ๆ ดังนั้นการสร้างการตระหนัก (awareness) เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าทางตำรวจหรือทางธนาคารมาช่วยในการประชาสัมพันธ์ตรงนี้มากขึ้น ก็เป็นส่วนที่จะช่วยได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง ที่เข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสารพวกนี้ก็จะยิ่งน่ากังวล ใครที่มีโอกาสมีปฏิสัมพันธ์กับคนกลุ่มนี้โดยตรง เช่น คนที่ดูแลผู้สูงอายุในบ้านพัก ก็ควรให้มีกิจกรรมส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ให้ได้รู้ตัวกันเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ก็เป็นทางหนึ่งที่ช่วยป้องกันได้

 

อ.สาม :

การรู้ข้อมูลก่อนเป็นเหมือนการได้มีภูมิคุ้มกันที่จะทำให้เราได้ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม

 

อ.กฤษณ์ :

เมื่อเราเข้าไปอยู่ตรงนั้นแล้ว การจะบอกว่าฉันยังไม่ตัดสินใจ ฉันยังไม่ทำตามที่เขาบอก แล้วขอไปตรวจสอบก่อน ไปคิดก่อน มันฟังดูง่าย แต่ในบริบทของสังคมไทย และประสบการณ์ที่เราเคยมี เรามีแนวโน้มที่จะเชื่อผู้มีอำนาจมากกว่า เรารู้สึกว่าถ้าไม่ทำจะมีผลร้ายตามมา ดังนั้นการฝึกให้คนรู้สึกว่าเขาควบคุมชะตาชีวิตของตนเองได้ เรียกว่ามี internal locus of control ก็สำคัญ เพราะมันเป็นจุดที่เราจะบอกตนเองได้ว่า เรื่องนี้ฉันไม่ผิด ฉันไม่เคยมีหนี้บัตรเครดิต ไม่เคยทำอะไร ดังนั้นฉันสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องเชื่อคำพูดของใครวันนี้ ถ้าใครอยากจะมีปัญหาก็ไปเจอกันที่สำนักงาน ไปเจอกันในศาล

 

สิ่งนี้เป็นการฝึกให้ตัวบุคคลได้ควบคุมชีวิตตัวเองได้มากขึ้น ถ้าทำได้ เราก็จะกล้าปฏิเสธ กล้าที่จะบอกว่าไม่ ฉันจะจัดการเรื่องนี้ด้วยวิธีอื่น ไม่ทำตามวิธีที่ใครพูดมา จะทำด้วยวิธีที่คิดว่าถูกต้องกว่า ไม่ใช่ทางออกไว ๆ ที่ใครเสนอ ตรงนี้ต้องอาศัยการพัฒนาการบุคลิกภาพในตัวบุคคล และรวมไปถึงสภาวะแวดล้อมตลอดจนวัฒนธรรมในสังคม ที่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเขาได้รับการปกป้องสิทธิของเขาจากรัฐบาล ในฐานะพลเมืองของประเทศ มันไม่ใช่ที่อยู่ ๆ จะมีใครมาบอกว่าเรามีหนี้ แล้วเขาต้องยอมรับว่าเขามีทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ทำ เราสามารถสู้เพื่อสิทธิของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม หรือกฎหมายอะไรก็ตามที่ทำให้คนรู้สึกว่าฉันควบคุมปัจจัยในชีวิตของตนเองได้ ถ้าสร้างสิ่งนี้ได้ ก็เพิ่มโอกาสที่เราจะเดินออกจากหลุมตรงนั้นได้มากขึ้น

 

 

มีลักษณะของคนที่จะตกเป็นเหยื่อได้ง่ายหรือไม่


 

อ.สมโภชน์ :

ทุกคนมีโอกาสตกหลุมพรางได้หมดไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ว่าเราจะคิดว่าเราเก่ง หรือมั่นใจในตนเองแค่ไหน ยิ่งคิดว่าเก่งยิ่งตกหลุมพรางได้ง่าย พอเราลงไปเล่นเกม เกมมันไม่ได้เป็นแบบที่เราคิด เพราะเราไม่ได้เห็นภาพรวมทั้งหมด ดังนั้นปัญหานี้จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพ แต่ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ของแต่ละคนว่าได้ศึกษาข้อมูลมาขนาดไหน

 

ผมคิดว่าการกระตุ้นด้วยความกลัวจะใช้ได้ยากขึ้น เพราะคนเริ่มจะเข้าใจ และรับมือมันได้ดีขึ้น โดยเฉพาะกับเด็กรุ่นใหม่ ๆ ที่เขาเชื่อในอำนาจควบคุมของตนเอง รวมถึงทางฝ่ายราชการให้ข้อมูลมากขึ้น และเรื่องอำนาจนิยมถ้าลดลงไปได้ ปัญหาเรื่องความกลัวก็แก้ไม่ยาก

 

แต่ส่วนที่แก้ได้ยากคือการกระตุ้นด้วยตัณหา ความโลภ ความอยาก มันไม่มีทางที่จะหมดลงได้ มันขึ้นอยู่กับสภาพสังคม เราจะสอนให้คนไม่โลภ ไม่มีตัณหาได้อย่างไร มันอาจจะแก้ไม่ได้ เพียงแต่พอจะลดลงได้เท่านั้น

 

อ.กฤษณ์ :

ถ้าเรานึกถึงเรื่องแชร์ลูกโซ่ หรือการหลอกให้ลงทุน ปัญหานี้มีมากี่สิบปีก็ทริคเดิม ไม่ได้ซับซ้อนหรือมีการเปลี่ยนแปลงมาก แค่เปลี่ยนจากการลงเล่นแชร์ เปลี่ยนไปเป็นคริปโตหรือการลงทุนในรูปแบบอื่น แต่จะเห็นว่ามันก็ไม่ได้ซับซ้อนเหมือนอย่างการมาหลอกให้กลัว การหลอกให้กลัว อย่างเมื่อก่อนที่จะปลอมตัวมาเคาะประตูบ้าน เดี๋ยวนี้มาเป็นออนไลน์ เป็นคอลเซ็นเตอร์ แล้วต้องสร้างเรื่องให้สมจริงสมจัง ในขณะที่การหลอกว่าจะมีความสัมพันธ์ด้วย แล้วขอให้โอนเงินมาหน่อย จะเห็นว่าการเล่นกับตัณหาของคนมันจะตรงไปตรงมา ชักดาบหรือชิ่งกันซึ่ง ๆ หน้าก็ทำได้

 

เปรียบเทียบกันในสองกรณีนี้ ผู้ถูกหลอกก็จะถูกสังคมมองต่างกัน เวลาเป็นเรื่องของการหลอกลวงด้วยความกลัว เราจะรู้สึกว่าเขาเป็นเหยื่อ เขาถูกกระทำ แต่พอเป็นเรื่องการหลอกให้ลงทุน จะถูกมองว่าเพราะโลภมากเองถึงได้ถูกหลอก มีการซ้ำเติม ถึงแม้ว่าทั้งสองกรณีจะเป็นการถูกโกงเหมือนกัน แต่ด้วยแรงจูงใจที่ต่างกัน มนุษย์เราก็มีแนวโน้มที่จะบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีน้ำหนักไม่เท่ากัน มีที่มาไม่เท่ากัน

 

สิ่งนี้ทำให้การรับรู้สาธารณะ (public perception) รับรู้ไม่เหมือนกันว่าการโกงแบบไหนที่รุนแรง อันตราย น่ากลัวมากกว่า ซึ่งก็จะส่งผลต่อการทำงานของตำรวจที่จะเข้าไปกวาดล้าง เขาก็อาจเลือกเข้าไปจัดการการกระทำผิดบางอย่างก่อน มากกว่าการกระทำผิดบางอย่าง เช่น เขาอาจมองว่าแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์เป็นเรื่องอันตรายกว่า มีคนเฒ่าคนแก่ เด็ก ตกเป็นเหยื่อ ส่วนกรณีการหลอกให้ลงทุนในคริปโต เขาอาจจะมองว่าเพราะคุณไม่ศึกษาให้ดีก่อนลงทุน ก็ควรรับความเสี่ยงกันเอง ก็เป็นไปได้

 

 

ทำไมคนถึงกล้าโกง กล้าทำตั้งแต่ยังเด็ก


 

อ.สมโภชน์ :

เพราะมันไม่ใช่เรื่องยาก คนก็อยากหาเงินด้วยวิธีง่าย ๆ สบาย และโอกาสที่จะได้รับการลงโทษมันน้อย

 

ทางราชการเขาก็อาจจะไม่ได้จัดการอย่างจริงจัง ดังที่อ.กฤษณ์พูดตอนต้น จากการรับรู้ทางสังคมที่มองว่าเรื่องนี้เป็นปัญหารุนแรงหรือไม่ พอเขาคิดว่าไม่รุนแรง เขาก็จะวางเรื่องนี้ไปจัดการเรื่องที่สำคัญกว่าก่อน

 

ดังนั้นเมื่อเทียบกับโอกาสที่จะได้(รับจากการโกง) และโอกาสที่จะถูกจับมาลงโทษ มันก็เป็นธรรมดาที่จะคิดทำตามหลักความน่าจะเป็น ยิ่งคนยุคใหม่เป็นคนที่เก่งด้านเทคโนโลยี เขาฉลาดเรื่องนี้ เขามีความสามารถที่จะทำ และมีเรื่องของตัวแบบด้วย สามารถศึกษาจากอินเทอร์เน็ตได้ การมีตัวแบบก็นำพาให้คนไปสู่จุดนั้นได้ง่าย และอย่างที่บอกว่าโอกาสที่จะถูกจับมันน้อย ขณะที่โอกาสที่จะได้มันสูงกว่า มันก็น่าเสี่ยง

 

อ.กฤษณ์ :

เรื่องความเป็นไปได้ที่จะถูกจับ ถ้ามองตามทฤษฎีทางจิตวิทยาเรื่องแรงจูงใจ ว่าด้วย expectancy theory คือว่าคนเราจะทำอะไรก็ตาม เราจะคาดหวังว่าเหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นมากหรือน้อย ทั้งนี้ความคาดหวังจุดสำคัญของมันไม่ใช่โอกาส (probability) ที่จะเกิดขึ้นในความเป็นจริง มันไม่ใช่ว่ามีกรณีที่ถูกจับทั้งหมดกี่กรณี แต่มันเป็นการรับรู้ของผู้กระทำ ว่าตัวเขามีโอกาสที่จะถูกจับหรือไม่ เช่น เขามองว่าเขาทำเล็ก ๆ ไม่ใช่แก๊งใหญ่ เห็นตำรวจเอาแต่ทลายแก๊งใหญ่ พวกเล็ก ๆ เขาไม่น่ามาใส่ใจหรอก เขาก็อาจเลือกที่จะทำ

 

ตัวที่ทำให้คนหลีกเลี่ยงที่จะกระทำความผิด เช่นที่พบในงานวิจัยเรื่องการโกงในชั้นเรียน การทำความผิดบนท้องถนน ก็เป็นในเรื่องของความรู้สึกว่าฉันจะถูกจับได้หรือเปล่า ถ้ารู้สึกว่าตัวเองมีโอกาสจะถูกจับได้ก็จะไม่ทำ

 

ในสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ ก็เป็นไปได้ว่าเพราะคนไม่รู้สึกว่าฉันจะถูกจับ สาวมาไม่ถึงตัวฉันหรอก ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะว่ามันเกิดขึ้นน้อยจริง ๆ ก็ได้ หรือมันอาจจะเกิดขึ้นแต่มันไม่มีการออกข่าวก็ได้ มันไม่มีการพูดถึง ไม่มีเคสขึ้นมาว่าเขาจับกันอุตลุดเลย คนนี้โดนโกง อีกสามวันจับได้แล้ว ถ้าคนคิดว่าสิ่งที่ฉันไปโกงออนไลน์เอาไว้ จะถูกแกะรอยได้ ตามถึงตัวได้อย่างรวดเร็ว มันก็จะทำให้คนเสี่ยงที่จะกระทำความผิดน้อยลง

 

ดังนั้นคงต้องบอกว่าทุกคนวันนี้คนไม่ได้คิดว่าคนโกงจะถูกจับได้ คนทำก็ชะล่าใจ เครื่องไม้เครื่องมือที่จะสร้างเรื่องไปหลอกก็ทำได้ง่ายขึ้น จะอัดเสียงหรือสร้างหน้าเว็บให้เหมือนของจริง เมื่อก่อนมันไม่ง่าย แต่ตอนนี้ด้วยเทคโนโลยีมันทำได้ง่ายขึ้นเยอะ เรียกว่าอุปสรรคในการกระทำผิดมันน้อย

 

 

การเตือนภัยจากภาครัฐเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพหรือไม่


 

อ.สมโภชน์ :

การเตือนก็ดีกว่าการไม่เตือน แต่อย่างที่บอกว่ามันช่วยเรื่องการหลอกให้เกิดความกลัวได้ แต่การหลอกให้เกิดตัณหาคงช่วยไม่ได้มาก ตราบใดที่คนเรายังอยากรวย ห้าสิบปีที่แล้วใช้กลยุทธ์อะไร ทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนรูปแบบ และสิ่งที่ทำให้การหลอกแบบนี้สำเร็จ คือการทำให้เห็นโมเดลของคนที่ได้ เช่น เขาทำอันนี้แล้วได้เงินเท่าไหร่ มีรถหรูขับ คือเห็นว่าเขาได้ ก็เลยเกิดให้มีแมงเม่าบินเข้ากองไฟกันตามมา และตัวแบบนั้นอาจจะไม่ใช่ของจริงก็ได้ เป็นตัวแบบที่สร้างขึ้นมา

 

ปัญหานี้จึงแก้ยาก ถ้าจะแก้คือต้องทำให้คนคิดให้ได้ว่า ทุกอย่างในชีวิตไม่มีอะไรที่ได้มาโดยง่าย ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความพยายาม ถ้าเราปลูกฝังเด็กแบบนี้ตั้งแต่ต้น ให้การศึกษา ให้ข้อมูล ก็ช่วยได้ส่วนหนึ่ง

และนอกเหนือจากตำรวจ ก็อาจจะต้องมีหน่วยงานอื่นที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง เป็นหน่วยไอที ที่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้โดยเฉพาะ

 

อ.กฤษณ์ :

การเตือนเป็นการปรับพฤติกรรมของผู้เป็นเหยื่อให้เขาระวังตัว ซึ่งก็จะใช้ได้ผลในบางกรณีดังที่อ.สมโภชน์ได้อธิบายไป ซึ่งจุดนี้ก็ยังไม่พอ เราต้องปรับพฤติกรรมของผู้ที่ทำความผิดด้วย จะให้เหยื่อระวังตัวอย่างเดียวไม่พอ สำหรับตัวผู้กระทำ การมีข้อกฎหมาย มีบทลงโทษ ทำเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าไม่ทำให้เห็นว่ามีการบังคับใช้กฎหมายเหล่านั้นอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง ผู้กระทำผิดก็จะไม่รู้สึกว่าสิ่งนี้คือความเสี่ยง ดังนั้นเราต้องทำให้เกิดความรู้สึกของการบังคับให้กฎหมายที่จริงจัง ดังที่เราทราบว่าตำรวจเขามีงานเยอะ และมีการจับเคสพวกนี้ได้เหมือนกัน แต่การนำเสนอหรือการออกข่าวที่อาจจะยังไม่ไปถึงคน อย่างออกข่าวทีวีจะถึงคนสักกี่เปอร์เซ็นต์สำหรับยุคสมัยนี้ ยิ่งถ้ามองไปยังเด็กรุ่นใหม่ที่อยู่บนแพล็ตฟอร์มออนไลน์เกือบ 100% จะทำให้ข่าวพวกนี้ไปถึงการรับรู้ของเขาได้อย่างไร ว่ามีการบังคับใช้กฎหมายพวกนี้อย่างจริงจังอยู่ เรื่อง public perception ตรงนี้จึงควรต้องมีการปรับปรุงด้วย ให้คนรู้สึกว่าเกรงกลัวต่อกฎหมายมากขึ้น

 

 

ถ้ามีคนใกล้ตัวเป็นเหยื่อควรตอบสนองอย่างไร


 

อ.สมโภชน์ :

เราคงไม่ซ้ำเติมกันอยู่แล้ว ควรให้กำลังใจกัน อาจไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่จับไหล่จับมือ มีอะไรก็คุยกัน และรับฟังเป็นสำคัญ บางครั้งการที่เราพูดอะไรออกไป เราอาจจะคิดว่าเราระวังแล้ว แต่สำหรับคนที่ยังมีจิตใจเปราะบางอยู่เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ เขาจะรู้สึกอ่อนไหวกว่าปกติ ถ้าเป็นผมผมคงไม่พูดอะไรมาก แค่แสดงให้รู้ว่ายังอยู่ข้าง ๆ นะ แล้วมีอะไรก็คุยกันได้ อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ถ้าเขาอยากระบายอะไรก็ฟังเขา ไม่ต้องพูดอะไรที่เป็นการซ้ำเติม ฟังอย่างตั้งใจ สนับสนุน ให้กำลังใจว่าชีวิตต้องเดินต่อไปข้างหน้า โดยไม่ต้องคอมเมนต์ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

 

อ.กฤษณ์

สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องเตรียมตัวก่อนคือเราต้องสำรวจทัศนคติตัวเราเองด้วย ว่าเรามีอคติในใจหรือไม่ เรามองว่าเขาเป็นเหยื่อ หรือมองว่าเขาโง่เอง พลาดเอง เราต้องปรับทัศนคติของเราก่อนว่าจริง ๆ เขาก็เป็นเหยื่อเหมือนกัน ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบการหลอกลวงแบบไหน สุดท้ายเขาก็คือคนที่ถูกหลอก การที่เราเข้าหาเขาด้วยความเข้าใจว่าทุกคนผิดพลาดได้ ทุกคนตกเป็นเหยื่อได้ ตรงนี้เป็นท่าทีที่สำคัญในจุดแรก เวลาเข้าไปคุยเราจึงจะทำให้เขารู้สึกว่าเราเข้าไปรับฟังจริง ๆ ไม่ไปตัดสิน เราเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้ ถ้าเราสร้างความรู้สึกว่าเราอยู่ข้างเดียวกัน เมื่อเขาพร้อมเขาก็จะเปิดใจและเล่าสิ่งต่าง ๆ ให้ฟัง โดยที่เราไม่ต้องพูดอะไร เขาก็จะค้นพบบทเรียนต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง

 

 

โครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยา หัวข้อ “Psychology of Love”

โครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยา หัวข้อ

“Psychology of Love” 
รู้จักรัก – เปิดประตูความรัก – เข้าใจรัก 

 

รูปแบบการอบรม : อบรมออนไลน์ ผ่านโปรแกรม ZOOM
(ผู้เข้าร่วมการอบรมสามารถดูย้อนหลังได้)

 

 

 

DAY 1 : รู้จักรัก

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566
  • นานารูปแบบความรักความสัมพันธ์ – ผศ. ดร.ประพิมพา จรัลรัตนกุล (13.00 – 14.30 น.)
  • สุขที่ได้เลือก เลือกดีไหมว่าจะโสด – ผศ. ดร.ชมพูนุท ศรีจันทร์นิล (14.30 – 16.00 น.)

 

DAY 2 : เปิดประตูความรัก

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566
  • รักอยู่หนใด สร้างโอกาสให้มีรัก – ผศ. ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์ (09.00 – 10.30 น.)
  • รู้ได้อย่างไรว่าใช่หรือเปล่า แบบไหนคือ Healthy Relationship – ผศ. ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์ (10.30 – 12.00 น.)

 

DAY 3 : เข้าใจรัก

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566
  • ไม่มีรักไหนไร้ปัญหา วิธีก้าวฝ่าอุปสรรค – อ. ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน (09.00 – 10.30 น.)
  • เจ็บแต่จบ จบอย่างไรไม่ให้ฝากแผลใจและ Move On ได้ – ผศ. ดร.กุลยา พิสิษฐ์สังฆการ (10.30 – 12.00 น.)

 

ค่าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ :
  • กรณีลงทะเบียน 1-2 วัน ราคาวันละ 200 บาท
  • กรณีลงทะเบียนครบ 3 วัน ราคา 500 บาท

 

ลงทะเบียนได้ที่

https://forms.gle/fg72u7dfb43jLUnR6

 

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

คุณวาทินี โทร 02-218-1307 อีเมล Wathinee.S@chula.ac.th

คณะจิตวิทยาต้อนรับ Dr. Tomás Izquierdo Rus จาก University of Murcia

 

คณะจิตวิทยาต้อนรับ Dr. Tomás Izquierdo Rus จาก University of Murcia ประเทศสเปน ในโอกาสการพบปะหารือกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กุลยา พิสิษฐ์สังฆการ รองคณบดีคณะจิตวิทยา เพื่อพูดคุยกันถึงแนวทางในการสร้างความร่วมมือทางวิชาการและวิจัยระหว่างทั้งสองสถาบันภายใต้โครงการความร่วมมือ Erasmus Mundus เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา