การสังหารหมู่ตามมุมมองจิตวิทยาบุคลิกภาพ (Massacre: A Personality Perspective)
วันพฤหัสบดีที่ 27 ต.ค. 65 เวลา 15.00-16.00 น.
ณ ห้อง 422 ตึกจุฬาพัฒน์ 4
การคล้อยตาม (Conformity) คือ การที่บุคคลถูกแรงกดดันจากบุคคลหรือจากกลุ่มให้เปลี่ยนแปลงความเชื่อหรือพฤติกรรมให้สอดคล้องตามบรรทัดฐานของบุคคลหรือกลุ่มนั้น ๆ โดยความกดดันที่มี อาจเกิดขึ้นจริง หรืออาจเกิดจากการที่บุคคลคาดคิดไปเองก็ได้
การคล้อยตามไม่ใช่แค่เพียงการแสดงพฤติกรรมให้สอดคล้องกับผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการที่บุคคลถูกอิทธิพลทางใดทางหนึ่งจากสิ่งที่ผู้อื่นกระทำ นั่นคือเมื่ออยู่กับกลุ่ม บุคคลจะพยายามแสดงพฤติกรรมหรือความคิดให้สอดคล้องกับบรรทัดฐานของกลุ่ม ซึ่งแตกต่างจากเมื่อตนอยู่คนเดียว ดังนั้นการคล้อยตาม คือ การเปลี่ยนพฤติกรรรมหรือความเชื่อให้สอดคล้องกับผู้อื่น โดยที่พื้นฐานเดิมของตนนั้นไม่ได้คิดหรือเชื่ออย่างนั้น หรือเมื่ออยู่คนเดียวจะไม่ทำอย่างนั้น
Macdonal และ Levy (2000) แบ่งการคล้อยตามของบุคคลที่ถูกอิทธิพลทางสังคมออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
[ จากการจัดประเภทข้างต้น แม้การยอมตามจะเป็นส่วนหนึ่งของการคล้อยตาม แต่สองคำนี้มีความแตกต่างกันในเรื่องนิยามและบริบททางสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง กล่าวคือ การยอมตามเป็นการตอบสนองที่เกิดหลังกระบวนการสื่อสารระหว่างบุคคล โดยมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด “ร้องขอ” ให้อีกฝ่ายช่วยแสดงพฤติกรรมตามที่ตนต้องการ ผู้ที่ยอมตามจะรับรู้ว่าตนเองกำลังได้รับการกระตุ้นให้ทำอะไรบางอย่างตามความปรารถนาของผู้อื่น และพฤติกรรมการยอมตามนั้นจะเกิดขึ้นภายหลังจากที่บุคคลถูกร้องขอให้ทำอะไรบางอย่างไม่ว่าจะเป็นโดยตรงหรือโดยนัย ]
Myers (2010) อธิบายถึงปัจจัยที่เพิ่มการคล้อยตามไว้ 7 ข้อหลัก ดังนี้
ข้อมูลจาก
“อิทธิพลของการถูกปฏิเสธจากกลุ่มต่อการคล้อยตามกลุ่ม : การศึกษาอิทธิพลกำกับของความอ่อนไหวต่อการถูกปฏิเสธต่ออิทธิพลส่งผ่านของ ความก้าวร้าว” โดย ธีร์กัญญา เขมะวิชานุรัตน์ (2557) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/46118
“ผลของเทคนิคการสอบสวน หลักฐานเท็จ การยอมตาม และการคล้อยตามสิ่งชี้นำในกระบวนการซักถามต่อการรับสารภาพเท็จ” โดย ภัทรา พิทักษานนท์กุล (2553) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/18153
ภาพจาก https://new.ppy.sh/forum/t/247613
“ถ้าลูกยอมเขียนหน้านี้จนเสร็จ… คุณแม่จะพาไปทะเลนะ” คุณแม่ท่านหนึ่งกล่าวกับลูกน้อยวัย 3 ขวบ ที่กำลังงอแง ไม่ยอมทำกิจกรรม
ในภายหลัง เมื่อคุณครูถามคุณแม่ไปว่า “มีแผนจะไปเที่ยวทะเลกันหรือคะ”
คุณแม่หันมากระซิบกับคุณครูว่า “เปล่าค่ะ ไม่ได้จะพาไปหรอกค่ะ พูดให้ลูกยอมทำเฉย ๆ”
คิดว่าคงจะมีคุณพ่อคุณแม่อีกหลายท่าน ที่เคยใช้วิธีที่คล้าย ๆ กันนี้ เพื่อหลอกล่อให้ลูกยอมทำตามที่บอก ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากเจตนาที่ดีของพ่อแม่ เพื่อตัวของลูก ๆ เอง
ในทางจิตวิทยาเราเรียกการโกหกลักษณะนี้ว่า “Parenting by lying” หรือขอเรียกเป็นภาษาไทยว่า “การเลี้ยงลูกด้วยการโกหก”
ไม่ได้มีเพียงพ่อแม่คนไทยเท่านั้นที่ทำแบบนี้ พ่อแม่ในอีกหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกก็ใช้วิธีนี้เช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในวิธีการสากลที่พ่อแม่ใช้กับลูกเลยก็ว่าได้
จากงานวิจัยในหลากหลายวัฒนธรรมพบว่า ประเภทของ “การเลี้ยงลูกด้วยการโกหก” ที่พ่อแม่มักใช้กับลูก มีด้วยกัน 4 ประเภท ได้แก่
สาเหตุหลักที่พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยการโกหก เพราะเป็นวิธีการที่ง่าย ไม่ต้องอธิบายเยอะ และหลายครั้งก็ทำให้ลูกเชื่อฟังได้จริง ๆ
แต่การเลี้ยงลูกด้วยการโกหก ก็มีปัญหาที่อาจเกิดขึ้นตามมาในระยะยาว
ปัญหา 3 ข้อ ที่อาจเกิดขึ้น เมื่อพ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยการโกหก
เมื่อพ่อแม่พูดโกหก ในครั้งแรก ๆ ลูกอาจจะเชื่อฟัง และคิดว่าสิ่งที่พ่อแม่พูดจะเกิดขึ้นจริง หรือเป็นความจริง แต่ในที่สุดเมื่อลูกโตขึ้น ลูกจะเรียนรู้ว่าพ่อแม่โกหก เกิดเป็นความไม่เชื่อใจ หรืออาจไม่สนใจสิ่งที่พ่อแม่พูด ไม่ว่าพ่อแม่จะพูดความจริงหรือไม่ก็ตาม ลูกอาจคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำตามสิ่งที่พ่อแม่พูดก็ได้ (เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ได้ไปสวนสัตว์อยู่ดี และตำรวจก็ไม่มาจับอยู่แล้ว) และอาจพัฒนาไปเป็นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ และลูกได้อีกด้วย
เมื่อพ่อแม่ใช้วิธีการโกหก ก็เท่ากับพ่อแม่เป็นตัวแบบให้ลูก ว่าการโกหกหรือการไม่ทำตามสัญญาเป็นสิ่งที่ทำได้ (เพราะพ่อแม่ก็ทำ) และเด็ก ๆ เรียนรู้ได้ดีจากสิ่งที่พ่อแม่ทำ มากกว่าสิ่งที่พ่อแม่พูด
งานวิจัยพบว่า “การเลี้ยงลูกด้วยการโกหก” อาจมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาลูกโกหกพ่อแม่ มีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือต่อต้านพ่อแม่ หรือปัญหาความวิตกกังวล ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจเริ่มต้นมาจากการที่ลูกไม่เชื่อใจพ่อแม่ และมีความรู้สึกโกรธอยู่ในใจที่ถูกพ่อแม่โกหกนั่นเอง
เพื่อหลีกเลี่ยง “การเลี้ยงลูกด้วยการโกหก” พ่อแม่ควรทำอย่างไร
เช่น ถ้าบอกลูกว่า “ถ้าทำการบ้านเสร็จ จะพาไปสวนสัตว์” หากลูกทำการบ้านเสร็จจริง ๆ ก็ควรพาไปสวนสัตว์ตามที่ตกลงกันไว้ แต่ถ้าคิดว่าการไปสวนสัตว์ไม่สามารถทำได้ ก็ควรตั้งเงื่อนไขอื่นที่มีความเป็นไปได้
แทนที่จะโกหกให้เด็กเกิดความกลัวที่ไม่เป็นความจริง เช่น แทนที่จะโกหกว่า “เดินใกล้ ๆ แม่ไว้นะ ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาจับ” (ความจริงคือ ตำรวจไม่ได้จะมาจับถ้าเด็กไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ตำรวจน่าจะเป็นคนที่ให้ความช่วยเหลือเมื่อลูกหลงทางมากกว่า) พ่อแม่ควรอธิบายตามความจริงไปว่า “เดินใกล้ ๆ แม่ไว้นะ เดี๋ยวหลง” และอาจเสริมด้วยว่า ถ้าลูกหลงกับแม่ให้ทำอย่างไร
สุดท้ายนี้ การดูแลลูกไม่เคยมีสูตรสำเร็จตายตัว บทความนี้เขียนขึ้นด้วยความเข้าใจอย่างยิ่งว่าในบางกรณีพ่อแม่ก็จำเป็นต้องใช้วิธีการบางอย่าง เพื่อควบคุมพฤติกรรมของลูกน้อยให้ได้ผลโดยทันที อย่างไรก็ตามบทความนี้ก็อยากให้คุณพ่อคุณแม่ใส่ใจกับสิ่งที่ตนเองพูดกับลูกให้มากขึ้น ถ้าตกลงอะไรกับลูกแล้ว ก็ควรทำให้ได้ตามที่ตกลงไว้ และควรหาโอกาสพูดคุยกับลูก เพื่ออธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้ลูกได้เข้าใจผลที่จะตามมา ตามความเป็นจริง เพื่อการเติบโตที่เหมาะสม เพื่อรักษาซึ่งความเชื่อใจและความสัมพันธ์ที่ดี และเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจตามมาในระยะยาว
รายการอ้างอิง
Dodd, B., & Malm, E. K. (2021). Effects of Parenting by Lying in Childhood on Adult Lying, Internalizing Behaviors, and Relationship Quality. Child Psychiatry & Human Development, 1-8. https://doi.org/10.1007/s10578-021-01220-8
Santos, R. M., Zanette, S., Kwok, S. M., Heyman, G. D., & Lee, K. (2017). Exposure to parenting by lying in childhood: Associations with negative outcomes in adulthood. Frontiers in Psychology, 8, 1240. https://doi.org/10.3389/fpsyg.2017.01240
Liu, M., & Wei, H. (2020). The dark side of white lies: Parenting by lying in childhood and adolescent anxiety, the mediation of parent-child attachment and gender difference. Children and Youth Services Review, 119, 105635. https://doi.org/10.1016/j.childyouth.2020.105635
Talwar, V., & Crossman, A. (2022). Liar, liar… sometimes: Understanding Social-Environmental Influences on the Development of Lying. Current Opinion in Psychology, 101374. https://doi.org/10.1016/j.copsyc.2022.101374
บทความวิชาการ
โดย อาจารย์พิมพ์จุฑา นิมมาภิรัตน์
อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ
คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมโครงการอบรมความรู้ทางจิตวิทยาสำหรับประชาชนทั่วไป ประจำปี 2565 ซึ่งจะจัดอบรมแบบออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่น ZOOM ระหว่างวันที่ 25 พ.ย. – 23 ธ.ค. 2565 (เฉพาะวันจันทร์ พุธ ศุกร์) เวลา 18.00 – 21.00 น. รวมใช้ระยะเวลาในการฝึกอบรมและสอบวัดผลทั้งสิ้น 30 ชั่วโมง โดย คณาจารย์ประจำแขนงวิชาต่าง ๆ ของ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากร
โครงการอบรมมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ทางด้านจิตวิทยาให้แก่ประชาชนทั่วไปที่สนใจศาสตร์ด้านจิตวิทยา เนื้อหาการอบรมจะเป็นการปูพื้นฐานให้ผู้ที่ไม่เคยศึกษาศาสตร์ทางด้านจิตวิทยามาก่อนได้เรียนรู้และเข้าใจกับคำว่า “จิตวิทยา” โดยมุ่งเน้นไปที่พื้นฐานในการศึกษากระบวนการแห่งการรู้สึก การรับรู้ การเรียนรู้ การจำ การคิด การจูงใจ บุคลิกภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล โดยคาดหวังว่าผู้ที่ผ่านการอบรมไปนั้น จะสามารถนำศาสตร์ทางจิตวิทยาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังเป็นการเตรียมความพร้อมและเพิ่มองค์ความรู้พื้นฐานทางด้านจิตวิทยาให้แก่ผู้สนใจเข้าศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีพื้นฐานทางจิตวิทยาที่จำเป็น และสามารถนำไปต่อยอดในการศึกษารายวิชาที่กำหนดในหลักสูตรในระดับที่สูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ผู้ที่สอบผ่านเกณฑ์การวัดผลของโครงการจะได้รับวุฒิบัตรเพื่อใช้ประกอบการสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษาของคณะจิตวิทยาได้
หลังจากเสร็จสิ้นการอบรมแต่ละครั้ง ทางผู้จัดโครงการจะอัพโหลดไฟล์วิดีโอการอบรมให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถเข้ามาดูย้อนหลังได้จนถึง
วันที่ 31 ธันวาคม 2565 (หากชมคลิปวิดีโอภายหลังช่วงเวลาสอบจะไม่นับเป็นเวลาเรียน)
บุคลากรของรัฐและหน่วยงานราชการที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาแล้วมีสิทธิเปิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ
สามารถติดตามการดูคลิปย้อนหลังได้ที่: LINK
**การเรียนย้อนหลังทางคลิปวิดีโอสามารถนับเป็นชั่วโมงการเข้าเรียนได้**
ทีมงานของโครงการจะลงลิงค์วิดีโอหลังจากเสร็จสิ้นการอบรมแต่ละครั้ง
สามารถเรียนย้อนหลังทางคลิปวิดีโอได้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565
การละเลยคุณธรรม คือ การที่บุคคลรับรู้ว่าพฤติกรรมที่ตนทำเป็นสิ่งไม่ดี (ผิดศีลธรรม) แต่ก็ยังเลือกที่จะทำ โดยบุคคลได้โน้มน้าวตนเองว่าคุณธรรมที่ตนมีเป็นมาตรฐานนั้นไม่สามารถปรับใช้ได้กับสถานการณ์หรือบริบทที่ตนกำลังเผชิญอยู่ เพื่อลดความรู้สึกไม่ดีและความรู้สึกผิดที่ได้ทำพฤติกรรมนั้นลงไป เพื่อปกป้องมโนภาพแห่งตนและช่วยบรรเทาความไม่คล้องจองของปัญญา (Cognitive dissonance)
การเปลี่ยนโครงสร้างทางการรู้คิด (cognitive restructuring) เป็นการเปลี่ยนแปลงความคิดที่มีต่อพฤติกรรมที่ไม่ดีในมุมมองที่ดีขึ้น เป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะได้อนุญาตให้ตนสามารถทำพฤติกรรมที่ไม่ดีได้โดยไม่รู้สึกผิด และนำมาสู่การทำพฤติกรรมที่ไม่ดีซ้ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ
คือ กระบวนการในการให้เหตุผลต่อพฤติกรรมที่ไม่ดีที่ทำลงไปว่าเป็นพฤติกรรมที่ยอมรับได้ โดยอ้างว่านำไปสู่คุณค่าของสังคมหรือเพื่อวัตถุประสงค์ทางศีลธรรมอื่น ๆ เช่น การที่ฉันทำร้ายผู้อื่นเพื่อเป็นการปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของโรงเรียนของฉัน
คือ การเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมที่ไม่ดีที่ได้กระทำกับพฤติกรรมที่แย่กว่า เมื่อเปรียบเทียบผลของการกระทำจะเห็นว่าพฤติกรรมที่ไม่ดีมีความร้ายแรงน้อยลง เช่น การโกหกในการรายงานหน้าชั้นยังดีกว่านักข่าวที่รายงานเรื่องโกหกออกสื่อ
คือ การใช้คำใหม่ให้บรรเทาความรุนแรงของพฤติกรรม เป็นการเปลี่ยนความ เช่น การนำของของคนอื่นไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ใช่การขโมย แต่เป็นการขอยืมไปก่อนเท่านั้น
การปิดบังความรับผิดชอบของผู้กระทำ (minimizing one’s agentive role) เป็นการปิดบังหรือลดความรับผิดชอบต่อพฤติกรรมที่ไม่ดี เพื่อให้ตนเองสบายใจว่าตนไม่ได้ต้องการเป็นผู้กระทำสิ่งที่ไม่ดี แต่ต้องทำเพราะเป็นความต้องการของผู้อื่น
คือ การส่งต่อความรับผิดชอบของตนว่ามาจากคำสั่งของผู้อื่น เช่น ฉันปลอมเอกสารเพราะหัวหน้ามอบหมายให้ฉันทำ คนที่ต้องรับผิดชอบคือหัวหน้างานของฉัน
คือ การกระจายความรับผิดชอบให้กับกลุ่ม เช่น การลอกงานเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็ทำกัน ถ้าฉันถูกลงโทษคนอื่นก็ต้องถูกลงโทษด้วย
การลดความรู้สึกต่อผลที่เกิดขึ้นของพฤติกรรม (disregarding or distorting the consequence) เป็นการลดความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้นหลังจากทำพฤติกรรม โดยการเปลี่ยนมุมมองต่อผู้ได้รับผลกระทบ
คือ การลดความร้ายแรงที่เกิดขึ้นหลังจากการทำพฤติกรรมเพื่อลดความรู้สึกผิดที่จะเกิดขึ้น เช่น การปลอมแปลงเอกสารไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่สามารถส่งผลกระทบร้ายแรงได้หรอก
คือ หากผู้กระทำผิดรับรู้ว่าผู้ถูกกระทำเป็นมนุษย์คนหนึ่ง จะเกิดความเห็นใจและรู้สึกผิดต่อการกระทำ จึงลดความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกกระทำลง เช่น มองเป็นคนนอกกลุ่มที่ไม่สมควรได้รับความเห็นใจ เช่น ฉันไม่ได้ว่าร้ายคนนั้น แต่ว่าร้ายบริษัทคู่แข่งของเราที่เขาทำงานอยู่
คือ การที่มนุษย์มองตนเองว่าดี ไม่มีข้อผิดพลาด ทำให้เปลี่ยนการรับรู้ใหม่ว่าผลของการกระทำที่ไม่ดีเป็นความรับผิดชอบของเหยื่อที่สมควรได้รับอยู่แล้ว เช่น ที่ฉันทำร้ายเชา เพราะเขาทำตัวไม่ดีสมควรได้รับการลงโทษจากฉัน
บุคลิกภาพที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการละเลยคุณธรรม ได้แก่ บุคลิกภาพแบบแมคคิวิเลียน (Machiavellianism) ความเชื่อเรื่องอำนาจควบคุมภายนอก (External locus of control)
บุคลิกภาพที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับการละเลยคุณธรรม ได้แก่ ความซื่อสัตย์ ความเป็นมิตรและการมีจิตสำนึก (Agreeableness and Conscientiousness) การรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่น (Empathy) การรู้สึกผิดและความละอาย (Guilt and Shame)
มีการวิจัยบางงานพบว่า กลุ่มบุคคลช่วงวัยรุ่นมีการใช้กลไกการละเลยคุณธรรมมากกว่ากลุ่มวัยเด็ก และกลุ่มวัยผู้ใหญ่ตอนต้น โดยแต่ละวัยมีรูปแบบการใช้กลไกการละเลยคุณธรรมต่างกัน วัยรุ่นมักใช้กลไกการกระจายความรับผิดชอบกับกลุ่ม ส่วนวัยผู้ใหญ่ตอนต้นจะใช้กลไกการละเลยคุณธรรมในการสร้างความเสียหายต่อบุคคลอื่นเป็นรายบุคคล
ส่วนงานวิจัยที่เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างเพศ พบว่า เพศหญิงมักใช้กลไกการกระจายความรับผิดชอบให้กับผู้อื่น ขณะที่เพศชายมักใช้กลไกการให้เหตุผลรองรับพฤติกรรมที่ไม่ดี
งานวิจัยที่ศึกษาเรื่องการละเลยคุณธรรมกับการรังแกภายในโรงเรียน พบว่า กลุ่มบุคคลต่าง ๆ ในโรงเรียนมีการใช้กลไกการละเลยคุณธรรมดังนี้ (ตามลำดับ)
รายการอ้างอิง
“อิทธิพลของอารมณ์ขันทางลบ การละเลยคุณธรรม และการรับรู้ความนิรนาม ต่อพฤติกรรมการข่มเหงรังแกทางเฟซบุ๊ก” โดย อภิญญา หิรัญญะเวช (2561) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/63018
ภาพจาก https://thenounproject.com/term/angel-and-devil/
ถ้าคุณมีคำถามประมาณนี้ Psych Stats Clinic ช่วยคุณได้
เปิดให้บริการแก่นิสิตทุกระดับและทุกชั้นปี จองเวลาเข้าปรึกษาเกี่ยวกับสถิติและการใช้โปรแกรมวิเคราะห์ทางสถิติต่าง ๆ ทั้งในการเรียนและการทำวิจัย กับพี่ยู ณัฐพัชร์ สิมะรังสฤษดิ์ นิสิตปริญญาเอก แขนงวิชาการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ ผู้มีประสบการณ์เป็นผู้ช่วยสอนวิชาสถิติ และให้คำปรึกษาด้านสถิติเพื่อการวิจัยมาอย่างยาวนาน
ให้บริการกลางเดือนตุลาคม 2565 นี้เป็นต้นไป
คลิกที่นี่เพื่อจองเวลาเข้ารับคำปรึกษาไว้ล่วงหน้าได้เลย!
(สำหรับท่านที่ยังไม่รู้จักบุคลิกภาพแบบละเอียดอ่อนสูง ขอให้ย้อนกลับไปทำความเข้าใจในบทความเรื่อง ทำความรู้จักคนที่มีบุคลิกภาพแบบละเอียดอ่อนสูง และความจำเป็นต่อวิวัฒนาการมนุษย์)
โดยธรรมชาติของมนุษย์ การหยิบเอาบรรทัดฐานของคนส่วนใหญ่ (majority) มาตัดสินความเป็นปกติเป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไปในทุกยุคทุกสมัย สำหรับบุคคลที่มีความละเอียดอ่อนสูง (HSP) การถูกตีตราว่า “ดราม่า” “ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่” “เรื่องมาก” หรือ “แปลก” เป็นสิ่งที่พบได้บ่อย ๆ และผู้ที่เป็น HSP ส่วนใหญ่ซึ่งอาจไม่เข้าใจในบุคลิกภาพของตนเอง มักจะต้องทนแบกรับความรู้สึกว่าตนเองแปลกแยก หรือพยายามที่จะเลี่ยงการถูกตีตราด้วยการใช้ชีวิตตามมาตรฐานของคนส่วนมาก ซึ่งนั่นกลับทำให้พวกเขายิ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมกับตัวเอง และเกิดความเครียดในที่สุด
ในระหว่างการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างของ ดร. เอเลน แอรอน ซึ่งเป็นนักจิตบำบัดและผู้บุกเบิกการศึกษาเรื่องบุคลิกภาพแบบ HSP ดร. แอรอนได้พบว่า การทำความเข้าใจบุคลิกภาพของตนเอง และการสนับสนุนจากคนรอบข้าง มีส่วนช่วยสนับสนุนให้เด็กที่เป็น HSP เติบโตขึ้นมาอย่างรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง สามารถยินดีกับข้อดีและมีความสามารถในการรับมือกับข้อด้อยของการเป็น HSP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คริสเตน เป็นผู้เข้าร่วมการวิจัยคนหนึ่งที่สงสัยว่าตัวเอง “บ้า” เธอกล่าวว่าตั้งแต่เล็ก ๆ เธอมักจะรู้สึกกลัวเวลาต้องเข้าร่วมกิจกรรมในชั้นเรียน เธอรู้สึกว่าเสียงหม้อและกระทะของเล่นที่เพื่อเคาะในห้องนั้นดังเกินไปจนเธอต้องปิดหูร้องไห้ ในวัยเด็กครูมักจะลงความเห็นว่าเธอ “ชอบเหม่อ” แต่เมื่อประเมินพัฒนาการแล้วกลับไม่พบความผิดปกติใด ๆ แถมเธอยังถูกส่งไปในชั้นเรียนเด็กที่มีความสามารถพิเศษ (gifted) อีกด้วย สุดท้ายจิตแพทย์ลงความเห็นว่าเธอน่าจะไม่สามารถ “กรองสิ่งเร้า” รอบตัวออกได้แบบเด็กคนอื่น คริสเตน ผ่านวัยเด็กมาได้ด้วยการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคย เธอเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีการแข่งขันต่ำและอยู่แถวบ้าน จนเมื่อถึงวัยในวัยรุ่น คริสเตนตกหลุมรักและติดตามแฟนของเธอไปพบพ่อแม่ของเขาที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่อยู่แม้จะชั่วคราวก็ทำให้คริสเตนเกิดความเครียด จนพัฒนาเป็นโรคซึมเศร้า คริสเตนแสดงอาการกังวลออกมาบ่อยครั้งจนทำให้แฟนของคริสเตนขอตัดความสัมพันธ์ เมื่อคริสเตนกลับมาเรียนเธอก็กังวลกับการเรียน คริสเตนกำลังอยู่ในจุดที่อันตรายต่อสุขภาวะทางจิตเป็นอย่างยิ่ง
ในขณะที่ ชาร์ล ผู้ให้สัมภาษณ์อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีความละเอียดอ่อนสูงและเกิดในครอบครัวศิลปินซึ่งเข้าใจความละเอียดอ่อนได้ดี ครอบครัวของชาร์ลสนับสนุนความเป็นตัวเองของเขาอย่างเต็มที่ โดยการเปิดโอกาสให้ชาร์ลแสดงอารมณ์ที่ล้นเอ่อทั้งทางบวกและลบออกมาได้ ชาร์ลรับรู้ถึงลักษณะบุคลิกภาพของตนเองมาตลอดและรับรู้ว่าบุคลิกภาพของตนเองเป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจ ชาร์ลเห็นข้อดีของการเป็นคนที่มีความละเอียดอ่อนสูงมากมาย เขามองว่าแม้เขาจะเป็นคนส่วนน้อยของสังคม แต่เขามีอะไรที่เหนือกว่าคนส่วนใหญ่ เช่น การมีรสนิยมที่ดีในด้านดนตรี ความรู้สึกดีกับตนเองนี้ทำให้ชาร์ลสามารถปรับตัวได้ดีเมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ใหม่ ๆ แม้ว่าจะเข้าเรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่มีการแข่งขันสูงระดับ Ivy League และขณะเดียวกัน ชาร์ลก็สามารถยอมรับข้อด้อยของบุคลิกภาพแบบละเอียดอ่อนสูงและหาวิธีจัดการตนเองได้อย่างเหมาะสม เขาเลือกซื้อบ้านที่อยู่ในละแวกเงียบสงบ และเขาทราบว่าตนเองมีแนวโน้มที่จะคิดมากและเกิดอาการซึมเศร้าในบางครั้ง แต่ก็สามารถจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ชาร์ลมีชีวิตที่มีความสุข และนับถือตนเอง
แม้บุคคลจะถือกำเนิดด้วยพื้นฐานบุคลิกภาพที่คล้ายกัน แต่พื้นฐานบุคลิกภาพนั้นไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินอนาคตของแต่ละคน จากกรณีตัวอย่างของคริสเตนและชาร์ล เราจะเห็นได้ว่าการเลี้ยงดูและการสนับสนุนทางสังคม มีผลต่อพัฒนาการและสุขภาพจิตของเด็กไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพื้นฐานที่ติดตัวพวกเขามาแต่กำเนิด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้เลี้ยงดูพึงระวังคือ แม้เด็กแต่ละคนจะมีพื้นฐานบุคลิกภาพแบบละเอียดอ่อนสูงเหมือนกัน แต่ HSP แต่ละคนย่อมมีความแตกต่างเฉพาะตัวกันออกไป
คุณลักษณะสำคัญ 3 ด้านที่ HSP แต่ละคนมีต่างกันมากน้อย ซึ่งก่อให้เกิดความเฉพาะตัว ได้แก่
1. ความยากง่ายในการถูกกระตุ้นทางจิตใจ (Ease of Excitation) เช่น เหนื่อยง่ายเมื่อต้องทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน หรืออารมณ์เสียง่ายเมื่อหิว หรือง่วง
2.ความอ่อนไหวกับความงาม (Aesthetic Sensitivity) เช่น การรู้สึกประทับใจกับศิลปะและดนตรี และ
3.การมีขีดความอดทนต่อการกระตุ้นทางผัสสะที่ต่ำ (Low Sensory Threshold) เช่น รู้สึกไม่ดีได้ง่ายเมื่อต้องอยู่ในที่แสงจ้า หรือมีกลิ่นแรง
การทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะตัวของผู้ที่เป็น HSP จึงต้องอาศัยการสังเกต ซักถามจากผู้เลี้ยงดูหรือบุคคลใกล้ชิดเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เจาะจง และนำไปสู่การจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเติบโต
บทความวิชาการโดย
อาจารย์อาภาพร อุษณรัศมี
อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ คณะจิตวิทยา
ตามที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดให้มีการให้รางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติบุคลากรสายปฏิบัติการ “คนดี ศรีจุฬาฯ” เพื่อเป็นการยกย่อง เป็นขวัญและกำลังใจแก่บุคลากรสายปฏิบัติการ ซึ่งมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท เสียสละ ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ทำคุณประโยชน์ให้แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในการนี้ คณะกรรมการสรรหาบุคลากรดีเด่นของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2565 ได้พิจารณาและมีมติให้รางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติบุคลากรสายปฏิบัติการ “คนดี ศรีจุฬาฯ” กองทุนเพื่อการพัฒนาบุคลากรประจำปี พ.ศ. 2565 ทั้งในประเภทบุคคล และประเภทกลุ่มบุคลากรยอดเยี่ยม จำนวนหลายรางวัล (NewsHRM)
โดย “บุคลากรกลุ่มงานบริการวิชาการ คณะจิตวิทยา” ได้รับรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติบุคลากรสายปฏิบัติการ “คนดี ศรีจุฬาฯ” ประเภทกลุ่มบุคลากรยอดเยี่ยมขนาดเล็ก และได้รับเงินรางวัลจำนวน 20,000 บาท พร้อมประกาศเกียรติคุณ
บุคลากรกลุ่มงานบริการวิชาการ คณะจิตวิทยา ที่ได้รับรางวัลครั้งนี้ประกอบด้วย
ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา เราแต่ละคนล้วนต้องมีการปรับตัวไม่มากก็น้อย บ้างก็ต้องเรียนจากที่บ้าน บ้างก็ต้องทำงานจากที่บ้าน บ้านจึงกลายเป็นสถานที่ที่ไม่ได้ไว้สำหรับการพักผ่อนหลังจากการทำกิจกรรมในแต่ละวันอีกต่อไป การได้ใช้เวลาอยู่ในบ้านร่วมกันมากขึ้นก็อาจยิ่งทำให้แต่ละคนจำเป็นต้องปรับตัวเข้าหากันมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเรามีความเครียดหรือความคับข้องใจ บทสนทนาธรรมดาทั่ว ๆ ไปก็สามารถสร้างความขัดแย้งขึ้นได้โดยง่าย การพยายามรักษาบทสนทนาต่อจึงอาจแปรเปลี่ยนไปเป็นการยื้อให้เกิดการโต้เถียงแทน และในหลายครั้งการโต้เถียงก็นำไปสู่การเกิดความรุนแรงในความสัมพันธ์ ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ เช่น การใช้ความรุนแรงทางคำพูด การใช้ความรุนแรงทางอารมณ์ การใช้ความรุนแรงทางกาย ฯลฯ
บทสนทนาที่สร้างสรรค์ คือ
การโต้เถียงที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง คือ
การโต้เถียงเกิดขึ้นเมื่อความขัดแย้งในบทสนทนานั้นไปคุกคามตัวตนและสถานะ หรือไปลดทอนอำนาจในความสัมพันธ์ของคู่สนทนา จึงทำให้เป้าหมายของการโต้เถียงนั้นเป็นไปเพื่อการพิสูจน์ว่าตนเองมีความเหนือกว่า ไม่ใช่การค้นหาความจริง ซึ่งอำนาจในความสัมพันธ์นั้นเกี่ยวข้องกับการรับรู้คุณค่าของตนเองด้วย เมื่อการรับรู้คุณค่าของตนเองถูกกระทบและบุคคลนั้นรับรู้ได้ว่าตนมีคุณค่าต่ำ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการแสดงออกว่าตนเปราะบาง จึงนำไปสู่ความพยายามที่จะแสดงออกถึงอำนาจเหนืออีกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจน เช่น การใช้ภาษาที่ลดทอนคุณค่าของอีกฝ่าย หรือการแสดงออกอย่างแอบแฝงซ่อนเร้น เช่น การพูดเสียดสี การใช้น้ำเสียง ภาษากาย และการแสดงออกทางสีหน้า
(1) พูดคุยกันใหม่เมื่อพร้อม ความรู้สึกไม่สบายอย่างฉับพลันเป็นสัญญาณเตือนว่าเราไม่พร้อมที่จะใช้เหตุผลในการพูดคุย ณ ตอนนี้ และเนื่องจากบทสนทนาที่ดีควรมีพื้นฐานจากความพร้อมของทั้งสองฝ่าย ดังนั้น เราจึงควรหาวิธียุติบทสนทนาเมื่อรับรู้ว่าเกิดอารมณ์เข้มข้นในบทสนทนานั้น และมีการตกลงกันเพื่อพูดคุยประเด็นดังกล่าวอีกครั้งในเวลาที่พร้อมทั้งสองฝ่าย (เช่น อาจเป็นการพูดว่า “เอาไว้ค่อยมาคุยกันใหม่ในประเด็นนี้ตอนที่เราทั้ง 2 คนใจเย็นลงกว่านี้นะ”)
(2) หาสถานที่ที่สงบเพื่อใช้เวลาในการปรับสภาพจิตใจหรือสร้างกิจวัตรประจำวันในการผ่อนคลายตัวเอง เช่น การออกไปเดินเล่น ชื่นชมธรรมชาติ การฟังเพลงบรรเลง การเล่นกับสัตว์เลี้ยง
(3) ตระหนักเสมอว่าการกล่าวโทษไปที่ตัวตนของใครคนหนึ่งนั้นเกิดขึ้นเมื่อเราไม่รู้ว่าจะรับมือกับปัญหานี้ได้อย่างไร หลายครั้งบทสนทนาจะหลุดไปที่ประเด็นอื่น กลายเป็นการกล่าวโทษไปที่ตัวตนของใครคนหนึ่งว่าเป็นสาเหตุของปัญหา ซึ่งในความเป็นจริง แนวทางการแก้ปัญหาจะเกิดจากการที่ต่างฝ่ายต่างตระหนักว่าปัญหาที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากความขัดแย้ง แต่เกิดจากความหมายที่แต่ละฝ่ายเข้าใจที่ไม่เหมือนกันต่อประเด็นปัญหานั้น ๆ ดังนั้น การที่แต่ละฝ่ายสามารถสื่อสารถึงความคิดของตนเองจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการทำความเข้าใจมุมมองของอีกฝ่ายและปรับมุมมองของแต่ละฝ่ายเข้าหากันด้วยเหตุและผล ซึ่งนำไปสู่การพยายามปรับความคิดเข้าหากันและนำไปสู่ความขัดแย้งที่ลดลง
(4) เป็นผู้ฟังที่ดี การโต้เถียงเป็นการที่ทั้งสองฝ่ายพยายามพูดในเวลาเดียวกันจึงทำให้ไม่มีผู้ฟัง ดังนั้น จึงควรมีการตั้งเงื่อนไขในการแสดงออกถึงความรู้สึกของแต่ละคนโดยที่มีการเลือกให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้พูดก่อน เมื่อพูดจบก็จะให้อีกฝ่ายได้พูด ความรู้สึกขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการตีความของแต่ละบุคคลต่อสถานการณ์นั้น ๆ และหลายครั้งก็ยากที่จะทำความเข้าใจต่อมุมมองของบุคคลอื่น ซึ่งหากเราสามารถทำความเข้าใจบนมุมมองของบุคคลอื่น ความรู้สึกของบุคคลนั้นก็จะสมเหตุสมผลขึ้นมา ดังนั้น เป้าหมายของการเป็นผู้ฟังคือการพยายามเข้าใจมุมมองของอีกฝ่ายโดยไม่ได้มีความรู้สึกว่าตนเองถูกลดทอนคุณค่า
(5) เข้าอกเข้าใจ ในความเป็นจริง เราทุกคนอยากรับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังฟังและเข้าใจว่าเรารู้สึกอย่างไรอยู่ มากกว่าการพยายามพิสูจน์ว่าเราเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง
โดยสรุป การโต้เถียงที่ไม่สร้างสรรค์ไม่ได้นำไปสู่การพัฒนาความสัมพันธ์ในทางบวก เพราะการโต้เถียงที่ไม่สร้างสรรค์ย่อมทำให้มีฝ่ายหนึ่งกลายเป็นผู้ชนะและอีกฝ่ายหนึ่งกลายเป็นผู้แพ้ ซึ่งในความสัมพันธ์ที่ดีนั้นควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันทั้งสองฝ่าย หรือพูดในอีกทางหนึ่ง คือ ทั้งสองฝ่ายชนะปัญหาในความสัมพันธ์ไปด้วยกันและไม่มีใครถูกทิ้งไว้ให้เป็นผู้แพ้ในการรับผิดชอบปัญหาเพียงฝ่ายเดียวนั่นเอง
รายการอ้างอิง
https://www.psychologytoday.com/au/blog/anger-in-the-age-entitlement/202204/how-discuss-and-disagree-without-arguing
https://psychcentral.com/lib/shifting-from-conversation-to-argument-and-what-to-do-about-it#1
https://www.thecouplescenter.org/how-to-turn-arguments-into-conversations/
บทความโดย
กาญจนณัฐ คุณากรโอภาส และ ผศ.ดร.อภิชญา ไชยวุฒิกรณ์วานิช
แขนงวิชาจิตวิทยาสังคม