ข่าวและกิจกรรม

การเปิดเผยความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกัน – Coming out

 

 

การเปิดเผยตนเองหรือการเปิดเผยความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกัน จัดเป็นกระบวนการหนึ่งในพัฒนาการของบุคคลที่ไม่ใช่บุคคลรักต่างเพศ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นลำดับขั้น โดย APA (2011) ให้ความหมายไว้ว่า เป็นกระบวนการที่บุคคลได้ตระหนักและยอมรับความโน้มเอียงทางเพศของตน และนำไปสู่กระบวนการเปิดเผยความโน้มเอียงทางเพศของตนต่อผู้อื่น

 


 

 

แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเปิดเผยความโน้มเอียงทางเพศ

 

1. รูปแบบกระบวนการการเปิดเผยความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกันตามการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศ (Sexual identity formation: SIF) 6 ขั้น ของ Vivienne Cass (1979)

 

ขั้นที่ 1 ความสับสนทางอัตลักษณ์ (Identity confusion)

บุคคลเริ่มตระหนักถึงความรู้สึกและพฤติกรรมรักเพศเดียวกันที่ตนมี ทำให้เกิดความสับสน นำมาซึ่งความอาย ความกังวล การปฏิเสธความจริง บุคคลที่อยู่ในขั้นนี้มักปกปิดสถานภาพของตนต่อบุคคลอื่น

ขั้น 2 การเปรียบเทียบทางอัตลักษณ์ (Identity comparison)

บุคคลยังคงสับสนเนื่องจากพบความแตกต่างด้านความสนใจทางเพศของตนกับคนอื่น ดังนั้นอาจแสดงออกโดยการตีตัวออกห่างจากบุคคลในครอบครัว เพื่อน หรือสังคมคนรักต่างเพศ โดยยังไม่สามารถรวมกลุ่มกับผู้ที่มีความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกันได้ พฤติกรรมที่พบในขั้นนี้จะเป็นลักษณะการหลอกตนเอง เช่น มองว่าการรักเพศเดียวกันเป็นเพียงพฤติกรรมชั่วคราว หรือปรับพฤติกรรมตัวเองให้เป็นพฤติกรรมรักต่างเพศ

ขั้นที่ 3 ความอดทนต่ออัตลักษณ์ (Identity tolerance)

บุคคลสามารถยอมรับความโน้มเอียงทางเพศเดียวกันของตนได้มากขึ้น แต่ยังไม่ทั้งหมด เพียงแต่รับรู้ว่าความรู้สึกและพฤติกรรมทางเพศที่ตนมีไม่ใช่ความรู้สึกหรือพฤติกรรมของบุคคลรักต่างเพศ จากนั้นจึงเริ่มติดต่อกับผู้มีความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกันอื่น ๆ มากขึ้น

ขั้นที่ 4 การยอมรับในอัตลักษณ์ (Identity acceptance)

จากการได้ติดต่อกับบุคคลรักเพศเดียวกันคนอื่น ๆ มากขึ้นทำให้มีมุมมองหรือเจตคติต่อความโน้มเอียงทางเพศของตนในทางที่ดีขึ้น สามารถยอมรับอัตลักษณ์ทางเพศของตนได้ อย่างไรก็ตามยังคงไม่เปิดเผยตนเองต่อผู้อื่นในวงกว้าง จะเปิดเผยเพียงกับเพื่อนหรือครอบครัวที่ตนวางใจและมีความสำคัญกับตนมากเท่านั้น

ขั้นที่ 5 ความภูมิใจในอัตลักษณ์ (Identity pride)

แนวคิดและมุมมองเกี่ยวกับพฤติกรรมรักเพศเดียวกันเป็นไปในทิศทางบวก และตระหนักถึงการไม่ได้รับการยอมรับหรือถูกปฏิเสธจากบุคคลอื่นในสังคม สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีความโกรธ ต่อต้าน และมองกิจกรรมของบุคคลรักต่างเพศในทางลบ เช่น การแต่งงาน การแบ่งบทบาททางเพศ

ขั้นที่ 6 การสังเคราะห์อัตลักษณ์ (Identity synthesis)

การแบ่งแยกระหว่างกลุ่มผู้ที่โน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกันและบุคคลรักต่างเพศจะลดน้อยลง เนื่องจากบุคคลรับรู้ถึงการสนับสนุนการเป็นผู้ที่มีความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกันจากสังคม และตนสามารถให้ความเชื่อถือและไว้วางใจได้

 

2. รูปแบบกระบวนการการเปิดเผยความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกันตามลักษณะความสัมพันธ์ในรูปแบบความรักใคร่ (Romantic Attachments) 5 ขั้น ของ Eli Coleman (1982)

 

ขั้นที่ 1 ขั้นก่อนการเปิดเผย (Pre-coming out)

บุคคลเริ่มสงสัยในอัตลักษณ์ทางเพศและความสนใจทางเพศของตนที่แกต่างไปจากคนอื่น จึงเริ่มทำการค้นหาตนเองโดยเปิดรับข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการรักเพศเดียวกัน ขั้นนี้มีโอกาสที่บุคคลจะไม่ยอมรับตนเองและพยายามปฏิเสธสิ่งต่าง ๆ ได้ตนรับรู้ได้

ขั้นที่ 2 การเปิดเผย (Coming out)

บุคคลสามารถยอมรับในสถานภาพทางเพศของตน คือรับรู้ เข้าใจ และยอมรับว่าตนเป็นผู้มีความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกันและมีความชอบในบุคคลที่มีเพศเดียวกับตน ดังนั้นจึงเริ่มมีความต้องการที่จะบอกกับคนอื่น ๆ ถึงตัวตนของตนเอง เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่ต้องเผชิญคือการถูกปฏิเสธหรือได้รับปฏิกิริยาในทางลบกลับมา จึงมีแนวโน้มจะเปิดเผยกับเพื่อนสนิทที่ตนไว้ใจ

ขั้นที่ 3 การค้นหาและทดลอง (Exploration / Experimentation)

บุคคลเริ่มค้นหาทดลองในสิ่งที่เป็นตัวของตัวเอง เมื่อมีโอกาสได้รู้จักกับผู้ที่มีความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกันด้วยกันมากขึ้น ทำให้เข้าใจตนเองและเกิดอัตลักษณ์ทางเพศของตน และหากมีผลตอบรับจากสังคมในทางบวกก็มักจะพัฒนาอัตลักษณ์ทางเพศของตนไปในทางที่ดี

ขั้นที่ 4 การสร้างความสัมพันธ์ครั้งแรก (First Relationships)

บุคคลเริ่มต้นมีความรักความสัมพันธ์กับคู่ของตนที่เป็นเพศเดียวกัน ซึ่งมีการคาดหวังถึงความมั่นคง มีคำมั่นสัญญาเป็นข้อตกลงในความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน (แต่ไม่จำเป็นว่าความสัมพันธ์กับคู่รักในครั้งนี้จะเป็นความรักและความสัมพันธ์ครั้งสุดท้าย)

ขั้นที่ 5 การบูรณาการ (Integration)

เป็นขั้นการประสานกันของอัตลัษณ์ทั้งภายนอกที่บุคคลในสังคมรับรู้และอัตลักษณ์ภายในที่เป็นตัวเองของบุคคลนั้น ๆ ในขั้นนี้บุคคลจะสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคง ซึ่อสัตย์และจริงใจต่อกันมากกว่าในขั้นการสร้างความสัมพันธ์ครั้งแรก

 

3. รูปแบบกระบวนการการเปิดเผยความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกันตามลัษณะอัตลักษณ์ทางเพศโดยการรับรู้ของตนเอง (Perceptions of Self) 4 ขั้น ของ Richard R. Troiden (1989)

 

ขั้นที่ 1 เริ่มตระหนักรู้ในอัตลักษณ์ทางเพศของตน (Sensitization)

บุคคลเริ่มรับรู้ถึงความแตกต่างในความสนใจทางเพศของตนกับบุคคลอื่นในวัยเดียวกัน รับรู้ว่าตนมีความสนใจในบุคคลเพศเดียวกันและสับสนกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น

ขั้นที่ 2 การสับสนทางอัตลักษณ์ (Identity Confusion)

บุคคลเริ่มเข้าใจและไม่แน่ใจแล้วว่าตนอาจจะเป็นผู้ที่มีความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกันหรือไม่ และเกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ กับตนเอง เช่น การปฏิเสธในสิ่งที่ตนเป็น หลีกเลี่ยงหรือหยุดพฤติกรรมรักเพศเดียวกันของตน แยกตนออกจากสังคมหรือปฏิเสธที่จะรับรู้เรื่องราวของบุคคลเพศเดียวกัน และอาจหาทางออกโดยการคบหาบุคคลต่างเพศ ในบางรายอาจถึงขั้นแสดงอาการรังเกียจหรือกลัวบุคคลรักเพศเดียวกัน (homophobia)

ขั้นที่ 3 การรวบรวมอัตลักษณ์ (Identity Assumption)

บุคคลยอมรับในสถานภาพของตนได้มากขึ้น เริ่มเปิดเผยตนเองกับผู้ที่ตนสนิทสนมด้วย แต่เนื่องจากสภาพสังคมและสภาพแวดล้อมรอบตัว เช่น เจตคติ อคติจากคนในสังคม ขนมธรรมเนียมประเพณี ทำให้บุคคลไม่สามารถแสดงสถานภาพที่แท้จริงสู่สังคม และอาจพยายามหลีกเลี่ยงสังคมของบุคคลรักต่างเพศอยู่

ขั้นที่ 4 การยอมรับตกลงในอัตลักษณ์ (Commitment)

บุคคลยอมรับและกล้าเผชิญกับสถานภาพการเป็นผู้ที่มีความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกันของตนได้เต็มที่ จนสามารถปรับสิ่งเหล่านั้นให้เข้ากับการดำรงชีวิตของตนในแต่ละวันได้ ทั้งนี้การตกลงใจยอมรับในอัตลักษณ์ของตนเอง บุคคลต้องยอมรับในตนเองโดยมีความสุขในสิ่งที่ตนเป็น ควบคู่กับการที่ตนสามารถมีความรักกับบุคคลเพศเดียวกันได้อย่างมีความสุขและไม่จำเป็นต้องปิดบังผู้อื่น

 


 

 

บทบาทของครอบครัวกับการเปิดเผยความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกัน

 

งานวิจัยของ Perrin และคณะ (2004) แบ่งลักษณะการตอบกลับของครอบครัวที่มีต่อการเปิดเผยความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกันไว้ 3 ลักษณะ ได้แก่

 

1. ครอบครัวที่ยอมรับ (Accepting families)

พ่อแม่ยอมรับได้ในทันทีที่ลูกเปิดเผยความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่คาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าลูกมีแนวโน้มเช่นนั้น แต่อาจมีความลังเลอยู่บ้างว่าจะถามตรง ๆ หรือควรรอให้ลูกมาบอกด้วยตนเอง

2. ครอบครัวที่ลังเล (Ambivalent families)

พ่อแม่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าลูกจะเป็นผู้มีความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกัน จึงไม่มีการเตรียมพร้อมมาก่อน การตอบกลับของพ่อแม่มีลักษณะผสมเช่น ปิดบังความจริงที่ลูกเป็นผู้มีความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกันกับสมาชิกคนอื่นในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท กังวลเกี่ยวกับศาสนา สุขภาวะ และโกรธหรือผิดหวัง โดยมากมักแสดงปฏิกิริยาด้านลบต่อลูก แต่ยังมีการปรับตัวและประนีประนอม ยอมที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการรักเพศเดียวกัน

3. ครอบครัวที่ปฏิเสธ (Rejecting families)

พ่อแม่ปฏิเสธลูกตนเองทันทีที่รู้ว่าลูกเป็นผู้มีความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกัน ปฏิบัติต่อลูกด้วยความรุนแรง บังคับให้ลูกออกจากบ้าน อาจเป็นครอบครัวที่ยึดมั่นในศาสนาอย่างเคร่งครัดจึงไม่สามารถยอมรับได้ ครอบครัวลักษณะนี้นอกจากไม่มีความยืดหยุ่นทางความคิดหรือทักษะการเผชิญปัญหาเพื่อปรับระบบความเชื่อของตนเอง ยังพยายาแยกตัวและเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศน้อยมาก

 

ลักษณะที่ไม่พบว่าเป็นปัญหาต่อกระบวนการเปิดเผยตนเองคือครอบครัวที่ยอมรับ การยอมรับจากครอบครัวด้วยการแสดงออกทางพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น การบอกรัก การแสดงออกถึงความห่วงใย การพูดจาไถ่ถามให้รับรู้ถึงการสนับสนุน จะช่วยนำไปสู่พัฒนาการทางเพศในทางบวก เพราะนอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ หรือผลของสุขภาพทางลบ อาทิ ความซึมเศร้า การใช้สารเสพติด และความคิดฆ่าตัวตาย ที่อาจเกิดขึ้น การยอมรับจากครอบครัวยังสัมพันธ์กับผลของสุขภาพทางบวก เช่น การเห็นคุณค่าในตนเอง การสนับสนุนทางสังคม และสุขภาพทั่วไปอีกด้วย

 

ส่วนครอบครัวที่ปฏิเสธจะมีระดับปัญหาที่รุนแรง อารมณ์ความรู้สึกของสมาชิกครอบครัวมักเป็นไปในทางลบ ลักษณะอารมณ์คล้ายกับผู้ที่มีความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกันที่ได้รับผลตอบกลับทางลบจากการเปิดเผยตนเอง เช่น โกรธ ปฏิเสธความจริง เสียใจ เจ็บปวด อับอาย ผิดหวัง ตกใจ ผลที่ตามมาจากอารมณ์ทางลบคือ พฤติกรรมที่แสดงออกไปในทิศทางเดียวกับอารมณ์ เช่น การพาลูกหรือแนะนำให้ลูกไปรักษาความโน้มเอียงทางเพศ พูดจาส่อเสียดประชดประชัน ไล่ออกจากบ้าน เพิกเฉยเย็นชา

 

Ryan (2009) ได้รวบรวมพฤติกรรมทางลบที่พ่อแม่ของผู้ที่มีความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกันควร “หลีกเลี่ยง” เพื่อลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตที่อาจเกิดขึ้นกับลูก ดังนี้

    1. การทำร้ายร่างกาย
    2. พูดจาส่อเสียดหรือตั้งสมญานาม
    3. แยกผู้ที่มีความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกันออกจากกิจกรรมของครอบครัว
    4. ปิดกั้นการเข้าถึงเพื่อน เหตุการณ์ และแหล่งข้อมูลของผู้ที่มีความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกัน
    5. ต่อว่าลูกเมื่อเกิดความแตกต่างเพราะความเป็นผู้มีความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกัน
    6. กดดันลูกให้มีความเป็นชายหรือเป็นหญิงมากขึ้นหรือน้อยลง
    7. บอกลูกว่าพระเจ้าจะลงโทษเขา
    8. บอกลูกว่าท่านอับอายหรือผู้อื่นดูถูกครอบครัวท่านอย่างไร
    9. ทำให้ลูกต้องปิดบังความโน้มเอียงทางเพศ ไม่บอกกับคนอื่นนอกจากครอบครัว

 


 

 

รายการอ้างอิง

 

“ประสบการณ์ด้านจิตใจของสมาชิกในครอบครัวภายหลังการเปิดเผยตนเองของผู้ที่มีความโน้มเอียงทางเพศแบบรักเพศเดียวกัน” โดย อรุณี ศุทธิชัยนิมิต (2558) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/50900

 

โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ “การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสํารวจ ประจําปี 2565

โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ “การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสํารวจ ประจําปี 2565”

 

 

 

ศูนย์จิตวิทยาพัฒนาการและความสัมพันธ์ระหว่างวัย (Life Di) คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วม โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ “การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสํารวจ ประจําปี 2565” โดย อบรมผ่านโปรแกรม ZOOM ระหว่างวันที่ 23 – 30 มิถุนายน 2565 เวลา 18.00 – 21.00 น. รวมใช้ระยะเวลาในการฝึกอบรมทั้งสิ้น 18 ชั่วโมง

 

อบรมและบรรยายโดย รองศาสตราจารย์ สักกพัฒน์ งามเอก คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

โครงการอบรมมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ทางด้านสถิติเบื้องต้นสำหรับการวิจัยทางจิตวิทยาให้แก่ผู้สนใจทั่วไป และเป็นการปรับพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในทฤษฏีทางสถิติที่ใช้ในการศึกษาวิจัยทางจิตวิทยา ให้แก่ผู้ที่กำลังจะเข้าศึกษาต่อระดับบัณฑิตศึกษา รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการต่อยอดองค์ความรู้ทางด้านสถิติเบื้องต้นสำหรับการวิจัยทางจิตวิทยาให้แก่ผู้สนใจทั่วไป

เนื้อหาการอบรมจะมุ่งเน้นไปที่ พื้นฐานความรู้ด้านสถิติเบื้องต้นสำหรับการวิจัย และการนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ โดยคาดหวังว่าผู้ที่เข้ารับการอบรมจะมีความรู้ และความเข้าใจทฤษฎีทางสถิติศาสตร์เบื้องต้น โดยเฉพาะเนื้อหาในด้านสถิติเบื้องต้นสำหรับงานวิจัย เพื่อนำความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้ต่อยอดในการทำความเข้าใจ และสร้างผลงานวิจัยทางด้านจิตวิทยาในเชิงลึกต่อไปได้

 

เนื้อหาของการอบรมจะเน้นที่หลักการของการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสำรวจ 4 หลักการ คือ revelation residuals reexpression และ resistance ผ่านการสร้างแผนภาพต่าง ๆ ที่แสดงข้อมูลทางสถิติ เช่น แผนภูมิแท่ง (histogram) แผนภาพความหนาแน่น (density plot) แผนภาพกล่อง (boxplot) แผนภาพความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร (scatterplot) ฯลฯ โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ggplot2 ในโปรแกรม R ซึ่งสามารถสร้างแผนภาพที่มีคุณภาพระดับการเผยแพร่ผลงานวิจัยได้ และกระบวนการตรวจสอบการกระจายของข้อมูลตามการกระจายแบบโค้งปกติ (normal distribution) รวมถึงการแปลงข้อมูล (data transformation) ด้วยวิธีการต่าง ๆ ในกรณีที่ข้อมูลมีการกระจายไม่ได้เป็นไปตามการกระจายแบบโค้งปกติ เนื้อหาของการอบรมจะช่วยให้นักวิจัยมีพื้นฐานสำหรับการเตรียมข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ทางสถิติอนุมาน (inferential statistics) ต่อไปได้อย่างราบรื่น

หลังเสร็จสิ้นการอบรมผู้เข้าร่วมจะได้รับ เกียรติบัตรรับรองการเข้าร่วมอบรม โดยจะต้องเข้ารับการฝึกอบรมไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง (15 ชั่วโมง)

 

 

หัวข้อการฝึกอบรม

 

 

 

หลังจากเสร็จสิ้นการอบรมแต่ละครั้ง ทางผู้จัดโครงการจะอัพโหลดไฟล์วิดีโอการอบรมให้ผู้เข้าร่วมโครงการ สามารถเข้ามาดูย้อนหลังได้จนถึงวันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม 2565 เวลา 23.59 น

 

อัตราค่าลงทะเบียน

 

 

*บุคลากรของรัฐและหน่วยงานราชการที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาแล้ว มีสิทธิเบิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ*

 

โดยท่านสามารถชำระเงินได้ผ่าน QR Code ด้านล่างนี้

 

 

และท่านสามารถลงทะเบียน พร้อมแนบหลักฐานการชำระเงินได้ที่ https://forms.gle/dVFiGo2pBT9pafgj6

 

ตั้งแต่ วันนี้ – วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565 เวลา 17.00 น.

 

เงื่อนไขการลงทะเบียน

 

  1. กรุณาชำระค่าลงทะเบียนเข้าร่วมงานก่อนกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียน
  2. การส่งแบบฟอร์มลงทะเบียน จะต้องแนบหลักฐานการชำระเงินค่าลงทะเบียนมาด้วย จึงจะถือว่าการลงทะเบียนสมบูรณ์
  3. เมื่อผู้จัดงานได้ตรวจสอบการลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว จะแจ้งยืนยันการลงทะเบียนให้ทราบภายใน 3 วัน
  4. บุคลากรของรัฐและหน่วยงานราชการที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาแล้ว สามารถเข้าร่วมการอบรมได้โดยไม่ถือเป็นวันลา และมีสิทธิเบิกค่าลงทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ
  5. ใบเสร็จรับเงินจะจัดส่งให้ทางไปรษณีย์
  6. เมื่อชำระเงินค่าลงทะเบียนแล้ว จะไม่สามารถขอรับเงินคืนได้ทุกกรณี

Workshop : การทำงานวิจัย Meta-analysis

ประชาสัมพันธ์ Workshop เรื่องการทำงานวิจัย Meta-analysis
จัดโดยอาจารย์ William H. O’Brien, PhD จาก BGSU

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม เวลา 19.00-20.30 น. Eastern Time (หรือเวลา 6.00-7.30 AM Thailand time)

 

 

[Event in English]
This workshop will provide instruction on (a) the conceptual foundations of meta-analysis and (b) procedures used to calculate the most commonly used effect sizes (d, r), calculate effect size variance, aggregate effect sizes across studies, calculate effect size heterogeneity, conduct moderator analyses, and calculate publication bias.
The workshop will be conducted across 3 sessions with each being approximately 1.5 hours long. Between sessions students will have opportunities to practice meta-analytic procedures using data from published studies.

 


Topic: William H O’Brien’s Zoom Meeting
Time: Mar 18, 2022 08:00 AM Eastern Time (US and Canada)
Join Zoom Meeting
https://bgsu-edu.zoom.us/j/84745897614…
Meeting ID: 847 4589 7614
Passcode: 560279
Interested individuals can e-mail eastwestpsycu@gmail.com for the workshop material.

 


 

Life Di Hackathon – Mental Health Innovation Challenge 2022

ขอเชิญชวน นิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไปที่สนใจการสร้างนวัตกรรมด้านจิตวิทยาพัฒนาการ
เข้าร่วมเวิร์คชอปสร้างนวัตกรรมด้านจิตวิทยาพัฒนาการ พร้อมส่งไอเดียเข้าประกวดไอเดียธุรกิจด้านจิตวิทยาพัฒนาการในโครงการ

 

 

Life Di Hackathon – Mental Health Innovation Challenge

 

 

 

โครงการนี้แบ่งออกเป็น 3 หัวข้อ

  1. Child development & Early Intervention ผลิตภัณฑ์หรือการบริการสำหรับเด็กเล็ก
  2. Intergeneration with Aging ผลิตภัณฑ์หรือการบริการเพื่อตอบปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างวัยกับผู้สูงอายุ
  3. Performance & Competitive anxiety (Music & Sport) ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เกี่ยวกับการจัดการความวิตกกังวลจากการแข่งขันกีฬาและดนตรี

 

อ่านข้อมูลเกี่ยวกับจิตวิทยาพัฒนาการก่อนเข้าร่วมกิจกรรมได้ภายในเว็บไซต์ https://www.chulalifedi.com

 

 

 

ผู้เข้าร่วมจะได้พบกับผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาพัฒนาการ จากคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่จะมาเข้าร่วมแบ่งปันความรู้และให้คำปรึกษาในการสร้างนวัตกรรมของแต่ละทีม

 

เงินรางวัล

– อันดับ 1 : 25,000.-
– อันดับ 2 : 15,000.-
– อันดับ 3 : 10,000.-
– รางวัลพิเศษ (Popular vote) : 5,000.- จากยอด Like + Share ไอเดียของแต่ละทีม

 

กติการการรับสมัคร

– รับสมัครแบบเดี่ยว
– กรณีมีทีมอยู่แล้วให้สมาชิกแต่ละท่านแยกสมัครแล้วกรอกชื่อทีมในช่องที่ระบุ
– เข้าร่วมกิจกรรมจับทีมในวันเสาร์ที่ 2 ก.ค. 2565

 

รายละเอียดกิจกรรม

 

Workshop Day: เสาร์ที่ 2 ก.ค. 2565 (On-site ณ อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา (จามจุรี 10) ชั้น 20
Pitching Day: เสาร์ที่ 9 ก.ค. 2565 (Online ผ่าน Zoom)

 

กำหนดการ

 


 

เสาร์ที่ 2 กรกฎาคม 2565
ณ อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา (จามจุรี 10) ชั้น 20

 

9:00 – 9:30 น. พิธีเปิด โดย คณบดีคณะจิตวิทยา และรองอธิการบดี,  แนะนำการแข่ง  Mentors & experts
9:30 – 11:00 น. Knowledge Sharing
     – ประเด็นที่สังคมสนใจเกี่ยวกับงานด้านพัฒนาการเด็ก โดย รศ.ดร.พรรณระพี สุทธิวรรณ
     – ประเด็นที่สังคมสนใจเกี่ยวกับงานด้วยความสัมพันธ์ผู้สูงวัย โดย อ.ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน
     – ประเด็นที่สังคมสนใจเกี่ยวกับงานด้าน Performance & Competitive Anxiety โดย รศ. สักกพัฒน์ งามเอก
11:00 – 12:00 น. Workshop: Lab-to-Market – สร้าง Use Case ทางธุรกิจด้วย Customer Journey Mapping
12:00 – 13:00 น. พักเที่ยง
13:00 – 15:00 น. Team Formation Workshop และแจก Pitching Template
15:00 – 15:15 น. พักเบรก
15:15 – 16:00 น. Knowledge Sharing เคล็ดลับการสร้างสตาร์ทอัพ, Lean Canvas และ การออกแบบธุรกิจ
 Team Formation โดย Professor Sukanlaya Sawang, Coventry University
17:00 – 18:00 น. สรุปกิจกรรมประจำวันและนัดหมาย

 

Mentoring Session ทางออนไลน์
วันจันทร์ที่ 4 –  วันศุกร์ที่ 8 ก.ค. 2565
ช่วงเวลา 17:00 – 19:00 น.  (ตาม booking slot)

 


 

เสาร์ที่ 9 กรกฎาคม 2565
Online ผ่าน Zoom

 

8:30 – 9:00 น. ทีมรายงานตัว
9:00 – 10:30 น. Knowledge Sharing – Pitching Tips by Hackathon Thailand
10:30 – 12:00 น. Mentoring Session
13:00 – 16:00 น. Pitching (Presentation 5 นาที + Q&A 5 นาที)
16:00 – 17:00 น. กรรมการประชุมให้คะแนน
17:00 – 17:30 น. การประกาศผลรางวัล

 


 

 

หากท่านสนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างนวัตกรรมทางจิตวิทยาพัฒนาการ

สามารถเข้าไปลงทะเบียนได้ที่ https://bit.ly/lifedihackathon

 

หากมีข้อสงสัยกรุณาติดต่อ sindy@hackathonthailand.com

โครงการ Mental Health University Incubation 2022 : รับสมัครอาสาสมัครผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นสุขภาพจิต

ประชาสัมพันธ์รับสมัครอาสาสมัครผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นสุขภาพจิตเพื่อการพัฒนาเครื่องมือ
เพื่อสร้างเสริมสุขภาพจิต ของโครงการ Mental Health University Incubation 2022

 

ศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับ Innowhale จัดโครงการ Mental Health University Incubation 2022 โดยมีเป้าหมายให้กลุ่มนิสิตคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงนิสิตที่จบการศึกษาที่สนใจสร้างสรรค์เครื่องมือด้านสุขภาพจิตได้เรียนรู้กระบวนการ Design Thinking และฝึกสร้างต้นแบบที่สามารถตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมายในประเด็นสุขภาพจิต

 

ทีมงานเชื่อว่าเครื่องมือหรือบริการที่ตอบโจทย์จะต้องเริ่มจากการเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย/ผู้ใช้งาน ทีมงานจึงขอเชิญชวนกลุ่มเป้าหมายที่มีเรื่องราวไม่สบายใจในประเด็นสุขภาพจิตร่วมให้สัมภาษณ์ (ออนไลน์) กับกลุ่มนิสิตผู้เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อให้ทีมทำความเข้าใจปัญหาและหาโอกาสในการพัฒนาเครื่องมือที่ช่วยแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพจิตอย่างยั่งยืน

 

โดยผู้เข้าร่วมจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

  1. อายุ 21 – 30 ปี
  2.  มีเรื่องที่ไม่สบายใจและยังไม่สามารถจัดการได้ในประเด็น
    – การตัดสินใจเกี่ยวกับเส้นทางอาชีพ/การเลือกเรียน เป้าหมายในชีวิต
    – การจัดการความคาดหวังจากตนเองและคนอื่น
    – ความมั่นใจและตระหนักในคุณค่าของตัวเอง
    – การปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่
    – ความสัมพันธ์ กับครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก
  3. สะดวกให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสัมภาษณ์และทดสอบไอเดีย (ออนไลน์) ในวันที่ 11 มิถุนายน (12.00 – 15.00 น.) และ 12 มิถุนายน (10.00 – 11.30 น.) หรือ วันที่ 13 มิถุนายน (12.00 – 15.00 น.) และ 14 มิถุนายน (10.00 – 11.30 น.)

 

สามารถสมัครได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 8 มิถุนายน 2565 ผ่านแบบฟอร์มออนไลน์
https://docs.google.com/…/1FAIpQLSf1HP36Xu1Ef9…/viewform

 

ในการคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลทีมงานจะพิจารณาถึงความเหมาะสม และจะรีบติดต่อกลับไปเพื่อยืนยันการนัดหมายเข้าร่วมกิจกรรม

 

ข้อมูลที่ท่านให้จะมีประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาเครื่องมือในการดูแลสุขภาพจิตให้กับสังคมไทยในอนาคตค่ะ
ขอบคุณค่ะ

ศูนย์ประเมินทางจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท แอล ซอฟท์โปร (L SOFTPRO) จำกัด ได้ลงนามความร่วมมือทางวิชาการ

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา ศูนย์ประเมินทางจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท แอล ซอฟท์โปร (L SOFTPRO) จำกัด ได้ลงนามความร่วมมือทางวิชาการว่าด้วยการจัดทำระบบประเมิน ระบบทดสอบ และการอบรมในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้บริการทางวิชาการแก่หน่วยงานภายนอกและสังคม

 

 

โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในนามของศูนย์ประเมินทางจิตวิทยา ลงนามร่วมกับ นายจรัสพงศ์ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล ซอฟท์โปร จำกัด ณ ห้องประชุมชั้น 18 อาคารล็อกซเล่ย์ คลองเตย

การลงนามในข้อตกลงทางวิชาการนี้มีจุดประสงค์คือการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันองค์ความรู้ทางวิชาการของคณะจิตวิทยาและความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีของบริษัทแอล ซอฟท์โปร เพื่อพัฒนาเป็นระบบการประเมินและจัดอบรมรูปแบบออนไลน์ที่ทันสมัย เข้าถึงได้ง่าย และตอบสนองต่อความต้องการในการเป็นผู้นำองค์ความรู้ยุคใหม่ตามพันธกิจของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อสังคม
ที่ผ่านมา ศูนย์ประเมินทางจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาฯ และบริษัท แอล ซอฟท์โปร ได้พัฒนาระบบแบบประเมินต่างๆ ร่วมกันอยู่แล้ว การลงนามในข้อตกลงครั้งนี้เป็นการยืนยันว่าทั้งสององค์กรจะร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรมและครบวงจรมากขึ้น รวมไปถึงร่วมกันขยายโอกาสเพิ่มการจัดการอบรมทางด้านจิตวิทยาแบบปฏิบัติจริงให้กับองค์กรต่างๆที่สนใจ ควบคู่ไปกับการใช้ระบบประเมินออนไลน์ต่อไป

 

 

 


ขอบคุณรูปภาพจาก โพสต์ทูเดย์ออนไลน์ และ ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวการลงนามข้อตกลงทางวิชาการ :
แอล ซอฟท์โปร จับมือคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พัฒนาระบบประเมินผลอิเล็กทรอนิกส์
Source – มติชนออนไลน์
แอล ซอฟท์โปร จับมือคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พัฒนาระบบประเมินผลอิเล็กทรอนิกส์
Source – ฐานเศรษฐกิจ
L Softpro ร่วมมือคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พัฒนาระบบประเมินผลอิเล็กทรอนิกส์
Source – ผู้จัดการออนไลน์
แอล ซอฟท์โปร จับมือคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พัฒนาระบบประเมินผลอิเล็กทรอนิกส์
Source – โพสต์ทูเดย์ออนไลน์
“แอล ซอฟท์โปร” จับมือคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พัฒนาระบบประเมินผลอิเล็กทรอนิกส์
Source – สยามรัฐออนไลน์
แอล ซอฟท์โปร จับมือคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พัฒนาระบบประเมินผลอิเล็กทรอนิกส์
Source – แนวหน้าออนไลน์
แอล ซอฟท์โปร จับมือคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พัฒนาระบบประเมินผลอิเล็กทรอนิกส์
Source – บ้านเมืองออนไลน์
แอล ซอฟท์โปร จับมือคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พัฒนาระบบประเมินผลอิเล็กทรอนิกส์
Source – ijournalist
แอล ซอฟท์โปร จับมือคณะจิตวิทยา จุฬาฯ พัฒนาระบบประเมินผลอิเล็กทรอนิกส์
Source – kinyupen

“เราเข้าใจเธอนะ” บนโลกออนไลน์

เพราะอะไร ??? เพียงแค่เราอ่านข้อความผ่านหน้าจอ

แต่เรากลับเข้าใจได้ว่า อีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไร ???

 

ถึงแม้ว่าการสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์อาจทำให้เราไม่ได้เห็นสีหน้า ไม่ได้ยินน้ำเสียงเทียบเท่ากับการปฏิสัมพันธ์แบบต่อหน้า แต่จริง ๆ แล้วจากระบบวิเคราะห์ของเว็บไซต์ออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Facebook และ Twitter พบว่าข้อความที่โพสต์ลงเว็บมักเกี่ยวข้องกับการแสดงออกทางอารมณ์ทั้งสิ้น ที่สำคัญคือ เราต่างสามารถรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นแม้อยู่ในโลกออนไลน์ได้เช่นเดียวกัน

ถ้าเช่นนั้น…. เรารู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นแม้อยู่ในโลกออนไลน์ได้อย่างไร ???

 

ความสามารถนี้สามารถอธิบายได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า Empathy หรือ การรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกผู้อื่น เป็นความพยายามที่จะเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น โดยจินตนาการเหมือนว่าเราได้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์ของอีกฝ่าย โดยนักจิตวิทยา Daniel Goleman ได้กล่าวถึง “Empathy” ไว้ว่า เป็นความสามารถในการรับรู้ในสิ่งที่ผู้อื่นรู้สึก มองเห็นในมุมเดียวกับที่ผู้อื่นมอง

และด้วย empathy นี่แหละที่ทำให้เราสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่บุคคลนั้นไม่ได้พูดออกมา รวมถึงสามารถเข้าใจความคิดและวิธีการมองโลกของอีกฝ่ายได้

 

Empathy เป็นความสามารถที่สำคัญต่อทุกบริบทในการดำเนินชีวิตของบุคคลในทุกช่วงวัย
เด็กที่สามารถรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกผู้อื่นย่อมเรียนรู้ที่จะสร้างสัมพันธภาพที่ดีทางสังคมกับเพื่อนและคนรอบข้างได้
ในขณะเดียวกัน ผู้ใหญ่ที่มีความเข้าอกเข้าใจกันก็จะสามารถควบคุมอารมณ์ ทำงานเป็นทีม มีการแสดงออกทางอารมณ์และมีการตอบสนองต่อผู้คนรอบข้างได้อย่างเหมาะสมเช่นกัน

 

โดย empathy สามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้านด้วยกัน คือ
ด้านที่ 1 การรรับรู้และมองออกว่าผู้อื่นกำลังรู้สึกอย่างไร หรือ Cognitive empathy
ด้านที่ 2 การรู้สึกเหมือนกับที่ผู้อื่นรู้สึก หรือ Emotional / Affective empathy
ด้านที่ 3 ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและปรารถนาดีต่อผู้อื่น หรือ Compassionate empathy

 

หากเรากลับมามองที่การสื่อสารในโลกออนไลน์ ที่บางครั้งเราอาจเห็นเพียงตัวอักษรโดยปราศจากคำใบ้ เช่น สีหน้า หรือ น้ำเสียง ที่จะทำให้เรารับรู้ได้ถึงอารมณ์ของผู้ส่งสาร อีกทั้งยังต้องใช้เวลานานกว่าจะได้รับคำตอบ จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่า ด้วยลักษณะการสื่อสารเช่นนี้ empathy อาจเกิดขึ้นได้ยากระหว่างผู้คนที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน

 

อย่างไรก็ตาม…. ความพยายามของเราที่จะหาสิ่งอื่นมาทดแทนคำใบ้ที่หายไป ความต้องการที่อยากจะเล่าหรือแบ่งปันประสบการณ์หรือความสนใจให้ผู้อื่นได้เข้าใจ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นแรงผลักที่ทำให้เราสามารถพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้อื่นผ่านทางโลกออนไลน์ได้

โดยจากงานวิจัยที่ศึกษาการสื่อสารผ่านโลกออนไลน์พบว่า การได้รับเนื้อหา (ข้อความที่ได้อ่าน) และ อารมณ์ที่แฝงอยู่ในข้อความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนที่สนิทสนมคุ้นเคยบ่อยๆ จะเอื้อให้เรามี empathy ทั้ง 3 ด้าน

โดยจะช่วยสร้างการรับรู้และมองออกว่าผู้อื่นกำลังรู้สึกอย่างไร (cognitive empathy) ได้ และหากการสื่อสารนั้นมีความเป็นส่วนตัวและมีอารมณ์ทางบวก เช่น สร้างความสุข ความสนุกสนาน ความสามารถในการรับรู้และการมองออกว่าผู้อื่นกำลังรู้สึกอย่างไร ยิ่งเกิดได้ง่ายมากขึ้น และเมื่อเริ่มเข้าใจว่าผู้อื่นรู้สึกเช่นไร เราก็จะสามารถรู้สึกเหมือนกับที่ผู้อื่นรู้สึก (emotional / affection empathy) และรู้สึกเห็นอกเห็นใจและปรารถนาดีต่อผู้อื่น (compassionate empathy) ได้

 

ในขณะเดียวกัน หากเราเคยมีประสบการณ์หรือได้พบเห็นข้อมูลและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกถึง การรู้และความเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น (empathy) ในการปฏิสัมพันธ์ผ่านโลกออนไลน์ จะช่วยให้เราสามารถรับรู้และตีความสิ่งที่พบในโลกออนไลน์ได้อย่างมี empathy มากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม… ก็ยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมว่า การที่เรามีประสบการณ์เห็นเนื้อหาหรือเรื่องราวที่แสดงถึงการรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นในโลกออนไลน์ช่วยให้เราสามารถรับรู้และเข้าใจผู้อื่นได้อย่างไร ด้วยกระบวนการใด

แต่ในปัจจุบันที่เราต่างใช้โลกออนไลน์เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่หรือกระทั่งผู้สูงอายุ การปฏิสัมพันธ์ในโลกออนไลน์ก็ไม่แตกต่างกับการปฏิสัมพันธ์แบบต่อหน้า ในแง่ที่ว่าท้ายที่สุดแล้ว…เราก็กำลังสื่อสารกับคนๆ หนึ่งที่มีอารมณ์ความรู้สึกเช่นเดียวกัน การที่เรามีปฏิสัมพันธ์กันบนพื้นฐานของการรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่ายย่อมส่งผลให้เราสามารถทำความเข้าใจคู่สนทนาได้มากขึ้นและสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกันได้แม้จะไม่ได้เห็นหน้ากันก็ตาม

 


 

รายการอ้างอิง

Powell, P., & Roberts, J. (2017). Situational determinants of cognitive, affective, and compassionate empathy in naturalistic digital interactions. Computers in Human Behavior, 68, 137-148.

Hodges, S. D., & Myers, M. W. (2007). Empathy. In R. F. Baumeister & K. D. Vohs (Eds.), Encyclopedia of social psychology (pp. 296-298). SAGE Publications.

Goleman, D. (2017, June 7). Empathy: A key to effective leadership. https://www.linkedin.com/pulse/empathy-key-effective-leadership-daniel-goleman

 

บทความโดย ฐิติรัตน์ ลีละวินิจกุล และ จิรภัทร รวีภัทรกุล

 


 

รู้จัก “มาตรวัดทางจิตวิทยา”

ในช่วงชีวิตของคนเราไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก วัยเรียน หรือวัยทำงานคงต้องมีสักครั้งหนึ่งที่เราได้ผ่านการทดสอบและการประเมินทางจิตวิทยาด้วยมาตรวัดมาแล้วทั้งในลักษณะของการวัดความสามารถทางเชาว์ปัญญา (IQ) การประเมินความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) หรือการทดสอบบุคลิกภาพ (Personality Test) อีกทั้งปัจจุบันนี้มีแบบทดสอบทางจิตวิทยาหลากหลายที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายตาม Social Network อาทิ แบบทดสอบบุคลิกภาพ 16 แบบ (MBTI) อันเป็นที่นิยมอย่างมากในสังคมออนไลน์

 
คงทำให้หลาย ๆ คนสงสัยไม่มากก็น้อยเลยว่าเพียงแค่ตอบคำถามไม่กี่คำถามที่ปรากฎขึ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือของเรา จะสามารถทำให้เรารู้จักตัวตนของตัวเองได้มากขึ้นจริงหรือไม่
 
ในการตอบคำถามที่ทุกคนอาจเคยมีความสงสัยนั้น อันดับแรกเรามาเริ่มจากการทำความรู้จักมาตรวัดเพื่อการประเมินทางจิตวิทยากัน
 
แบบทดสอบหรือมาตรวัดทางจิตวิทยานั้นในอดีตถูกใช้เพื่อเป็นเครื่องมือในการคัดเลือกบุคลากรทางการทหาร วินิจฉัยโรคทางจิตเวชและคัดกรองผู้ป่วย ซึ่งการประเมินหรือแบบทดสอบเหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถคัดกรองได้ในหลากหลายมิติและตัวแปรทางจิตวิทยา เช่น สุขภาวะทางจิต ภาวะทางอารมณ์ ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เป็นต้น โดยตัวแปรเหล่านี้จะถูกใช้เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของความสามารถของบุคคล ความเป็นไปของโรคและใช้พิจารณาสำหรับการรักษาต่อไป
 
แต่เมื่อเวลาผ่านไปความหลากหลายของแบบทดสอบทางจิตวิทยานั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก แบบทดสอบเหล่านี้จึงถูกใช้ทางด้านการศึกษา การวัดความถนัด การประเมินความบกพร่องด้านต่าง ๆ และการคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงานในองค์กรอีกด้วย
 
โดยมาตรวัดทางจิตวิทยานั้นมักประกอบด้วย ข้อคำถามที่มุ่งเน้นการสะท้อนถึงตัวแปรต่าง ๆ ทางจิตวิทยาตามทฤษฎีที่เป็นแกนหลักในการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบทดสอบบุคลิกภาพซึ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับคำตอบตามความเป็นจริงที่ตรงกับตัวผู้ถูกประเมินมากที่สุด เพื่อให้แนวโน้มของคำตอบมีความแม่นยำมากขึ้นและสามารถสะท้อนบุคลิกภาพของบุคคลตามทฤษฎีได้นั่นเองค่ะ
 
ศูนย์ประเมินทางจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการให้บริการมาตรวัดทางจิตวิทยาที่หลากหลายทั้งทางด้านการวัดความถนัด ทดสอบบุคลิกภาพ วัดความสามารถทางเชาว์ปัญญารวมไปถึงมาตรวัดทางจิตวิทยาเกี่ยวกับการทำงานอีกด้วย นิสิตนักศึกษาในระดับปริญญาตรี/โท/เอก ที่สนใจมาตรวัดต่างๆสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ : psyassesscu@gmail.com 
 
นอกเหนือจากนี้ยังสามารถทำความรู้จักเกี่ยวกับมาตรวัดทางจิตวิทยาได้ในบทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz โดย อาจารย์สักกพัฒน์ งามเอก คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ : https://smarterlifebypsychology.com/2018/01/09/แบบวัดทางจิตวิทยา/
 
 
ขอให้เป็นวันที่ดีของทุก ๆ คนครับ

ประชาสัมพันธ์การเสวนาเรื่อง การโทษเหยื่อ (victim blaming)

การโทษเหยื่อ (victim blaming) หรือ การมุ่งไปที่ผู้ถูกกระทำหรือผู้เสียหาย โดยเฉพาะในกรณีการถูกคุกคามทางเพศเป็นสิ่งที่ยังคงอยู่ในสังคมเรา

  • ทำไมถึงควรยุติการโทษเหยื่อ 
  • การโทษเหยื่อมีผลต่อผู้ถูกกระทำอย่างไร ทั้งทางสุขภาพและการเรียกร้องความยุติธรรม และผลต่อสังคมโดยรวมคืออะไร
  • คนในสังคมจะทำยังไงถึงจะช่วยขจัดการโทษเหยื่อได้ 
  • ปัจจัยทางจิตวิทยาสังคมอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับการโทษเหยื่อ เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่

 

 

 

ร่วมแลกเปลี่ยนกับนักจิตวิทยาสังคมและนักจิตวิทยาการปรึกษา ผ่านคลับเฮ้าส์ห้องจิตวิทยาสังคมกับสังคม

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน 19.00-21.00 น. 

หากไม่สะดวกฟังสด สามารถรับฟังคลิปเสียงที่บันทึกไว้ได้ค่ะ

 

https://www.clubhouse.com/room/myldGvJ4?utm_campaign=zyocyw1VIHqsVvKX3ZCmkQ-155972&utm_medium=ch_event

รับสมัครเข้าศึกษาระดับปริญญาโท-เอก ปีการศึกษา 2565 รอบที่ 2

รับสมัครเข้าศึกษาระดับปริญญาโท-เอก ปีการศึกษา 2565 รอบที่ 2
ระหว่างวันที่ 20 เม.ย. – 20 พ.ค. 2565

 

 

แขนงวิชาที่เปิดรับ
– Basic and Applied Social Psychology
– จิตวิทยาพัฒนาการ
– จิตวิทยาทรัพยากรมนุษย์และการทำงาน
– การวิจัยจิตวิทยาประยุกต์

((จำนวนรับทั้งหมดรวมกับรอบแรก))

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


→ https://www.grad.chula.ac.th/

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณวัลลภ สีหเดชวีระ
ในเวลาราชการ โทร. 02-218-1184
E-Mail: wanlop.s@chula.ac.th