ข่าวและกิจกรรม

บุคลิกภาพและผลงานในการแข่งขันกีฬา

การประสบความสำเร็จของนักกีฬา/ผลงานในการแข่งขันกีฬาอาจเกิดขึ้นจากปัจจัยมากมาย เช่น ความแข็งแกร่งของร่างกาย ความแข็งแกร่งของจิตใจ ทักษะ ความสามารถ หรือแม้แต่โชคชะตา โดย “บุคลิกภาพ” (personality) ของนักกีฬาก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่เราอาจสงสัยกันว่า สิ่งนี้จะส่งผลต่อผลงานในการแข่งขันกีฬาหรือไม่ ที่ผ่านมา นักจิตวิทยามีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับบทบาทของบุคลิกภาพที่มีต่อผลงานในการแข่งขันกีฬา (Crocker et al., 2015) นักจิตวิทยาบางกลุ่มมีความเห็นว่า โปรไฟล์บุคลิกภาพที่ “ถูกต้อง” กับการแข่งขันกีฬามีอยู่จริง และเราสามารถใช้การประเมินบุคลิกภาพสำหรับการคัดเลือกนักกีฬาได้ ส่วนนักจิตวิทยาบางกลุ่มมีความเห็นว่า บุคลิกภาพมีประโยชน์น้อยในการคัดเลือกและการพัฒนานักกีฬาและไม่สามารถทำนายการประสบความสำเร็จของนักกีฬาได้

 

ทฤษฎีบุคลิกภาพที่นักจิตวิทยาใช้กันค่อนข้างมากในการวิจัย คือ ทฤษฎีบุคลิกภาพ 5 ด้าน (Big Five) ที่ถือว่าสะท้อนความแตกต่างระหว่างบุคคลในมิติต่าง ๆ อย่างครอบคลุมมากที่สุด

 

บุคลิกภาพ 5 ด้าน ประกอบไปด้วย (McCrae & Costa, 1997)

 

(i) บุคลิกภาพแบบวิตกจริต (neuroticism) ที่มีลักษณะย่อย เช่น ความวิตกกังวลและความเปราะบาง (ทางจิตใจ)

(ii) บุคลิกภาพแบบเปิดเผยตนเอง (extraversion) ที่มีลักษณะย่อย เช่น ความอบอุ่นและบุคลิกลักษณะอารมณ์ทางบวก

(iii) บุคลิกภาพแบบเปิดรับประสบการณ์ (openness to experience) ที่มีลักษณะย่อย เช่น การจินตนาการและการเปิดรับคุณค่า

(iv) บุคลิกภาพแบบโอนอ่อนผ่อนตาม/ประนีประนอม (agreeableness) ที่มีลักษณะย่อย เช่น ความไว้เนื้อเชื่อใจและความอ่อนโยน และ

(v) บุคลิกภาพแบบละเอียดรอบคอบ/รับผิดชอบ (conscientiousness) ที่มีลักษณะย่อย เช่น ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความมีระเบียบวินัยในตัวเอง

 

งานวิจัยทางจิตวิทยาพบว่า ความแตกต่างระหว่างบุคคลในหลากหลายประเทศ สังคม และวัฒนธรรม โดยส่วนใหญ่ สามารถถูกอธิบายได้ด้วยบุคลิกภาพ 5 ด้านนี้

 

นักจิตวิทยาส่วนหนึ่งได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพและ “ผลงาน” ในการแข่งขันกีฬา ยกตัวอย่างเช่น Kruger และคณะ (2019) เก็บข้อมูลบุคลิกภาพ 5 ด้าน (Big Five) กับนักกีฬารักบี้ที่แข่งขันในระดับอาชีพ (professional) และที่แข่งขันในระดับกึ่งอาชีพ (semi-professional) โดยถือว่า นักกีฬาอาชีพมีผลงานอยู่ในระดับที่สูงกว่านักกีฬากึ่งอาชีพ บุคลิกภาพด้านที่นักกีฬา 2 กลุ่ม มีระดับแตกต่างกัน คือ บุคลิกภาพแบบวิตกจริต (neuroticism) ซึ่งนักกีฬาอาชีพมีระดับบุคลิกภาพแบบวิตกจริต น้อยกว่า นักกีฬากึ่งอาชีพ นอกจากนั้น Steca และคณะ (2018) ศึกษาความแตกต่างของบุคลิกภาพ 5 ด้าน ระหว่างนักกีฬาที่แข่งขันในระดับภูมิภาค (ในประเทศ [regional]) และนักกีฬาที่แข่งขันในระดับชาติ (national) ซึ่งนักกีฬากลุ่มแรกมีระดับบุคลิกภาพแบบวิตกจริตน้อยกว่าและมีระดับบุคลิกภาพแบบละเอียดรอบคอบ/รับผิดชอบและแบบโอนอ่อนผ่อนตาม/ประนีประนอมมากกว่านักกีฬากลุ่มหลัง Steca และคณะ ให้เหตุผลที่น่าสนใจว่า บุคลิกภาพแบบวิตกจริต น้อย น่าจะช่วยให้นักกีฬาจัดการความเครียดได้ดี บุคลิกภาพแบบละเอียดรอบคอบ/รับผิดชอบมากน่าจะช่วยให้นักกีฬาอดทนต่อการฝึกซ้อมระยะยาวได้ และบุคลิกภาพแบบโอนอ่อนผ่อนตาม/ประนีประนอมน่าจะช่วยให้นักกีฬาเข้าถึงการช่วยเหลือหรือการสนับสนุนทางสังคมเมื่อต้องการได้

 

การศึกษาบทบาทของบุคลิกภาพที่มีต่อผลงานในการแข่งขันกีฬาเริ่มให้ความสนใจกับกีฬาอิเล็กทรอนิกส์ (e-sport) จากการเก็บข้อมูลกับผู้เล่น League of Legends Matuszewski และคณะ (2020) พบว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างผู้เล่นระดับ “ล่าง” (lower division ซึ่งได้แก่ Bronze Silver และ Gold) และผู้เล่นระดับ “บน” (higher division ซึ่งได้แก่ Platinum Diamond และ Master) ผู้เล่นระดับบนมีระดับบุคลิกภาพแบบเปิดเผยตนเอง (extraversion) น้อยกว่า มีบุคลิกภาพแบบโอนอ่อนผ่อนตาม/ประนีประนอม (agreeableness) น้อยกว่า และมีระดับบุคลิกภาพแบบเปิดรับประสบการณ์ (openness to experience) มากกว่าผู้เล่นระดับล่าง ผู้วิจัยให้เหตุผลว่า ผู้เล่นที่มีระดับบุคลิกภาพแบบเปิดรับประสบการณ์มากมักจะยืดหยุ่นและมีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งอาจสามารถปรับตัวเข้ากับกลไกและบริบทของเกมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย ๆ ได้ดี

 

ข้อสังเกตประการหนึ่งจากตัวอย่างงานวิจัยทางจิตวิทยาข้างต้น คือ รูปแบบบุคลิกภาพที่นำไปสู่ผลงานที่เป็นเลิศในการแข่งขันกีฬา ทุกประเภท อาจไม่มีอยู่ สังเกตว่า งานวิจัยข้างต้นให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันเกี่ยวกับบุคลิกภาพด้านที่ส่งผลดีและส่งผลเสียต่อผลงานในการแข่งขัน ซึ่งประเด็นนี้อาจเป็นข้อจำกัดของการใช้บุคลิกภาพในการพัฒนานักกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาภาพรวมของผลการวิจัยแล้ว บุคลิกภาพแบบละเอียดรอบคอบ/รับผิดชอบและบุคลิกภาพแบบวิตกจริตน่าจะ “มีความสัมพันธ์” กับผลงานในการแข่งขันกีฬา ซึ่งคำอธิบายที่ดูจะสมเหตุสมผล คือ บุคลิกภาพแบบละเอียดรอบคอบ/รับผิดชอบจะสะท้อนความมานะอุตสาหะ ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญของบุคคลในการพัฒนาตัวเอง และ ความมั่นคงทางอารมณ์ (ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามของบุคลิกภาพแบบวิตกจริต) จะสะท้อนความสามารถในการจัดการความเครียด/ปัญหา ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญของบุคคลเมื่อต้องก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ และบุคลิกภาพอาจมีบทบาทต่อ “การยืนระยะ” หรือการประสบความสำเร็จระยะยาว เช่น การพัฒนาตัวเองเข้าสู่การแข่งขันในระดับสูงหรือการประสบความสำเร็จเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลแข่งขัน มากกว่าการประสบความสำเร็จระยะสั้น เช่น การชนะเลิศในการแข่งขัน (tournament) หนึ่ง ๆ

 

บุคลิกภาพอาจมีความสัมพันธ์กับรูปแบบการจัดการความเครียด (coping) ที่แตกต่างกันของนักกีฬา และรูปแบบการจัดการความเครียดที่แตกต่างกันจะนำไปสู่ความแตกต่างของผลงานในการแข่งขัน Allen และคณะ (2011) ให้นักกีฬาตอบคำถามในเครื่องมือวัดทางจิตวิทยาที่ประเมินบุคลิกภาพ 5 ด้าน และการจัดการความเครียด (3 ด้าน คือ การมุ่งจัดการปัญหา [problem-focused] การมุ่งจัดการอารมณ์ [emotion-focused] และการหลีกหนีปัญหา [avoidance]) เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพและการจัดการความเครียด Allen และคณะ พบว่า บุคลิกภาพ 5 ด้าน มีอิทธิพลปฏิสัมพันธ์ในการทำนายการจัดการความเครียดของนักกีฬา กล่าวคือ นักกีฬาที่มีระดับบุคลิกภาพแบบเปิดรับประสบการณ์สูง มีบุคลิกภาพแบบเปิดเผยตนเองสูง และมีบุคลิกภาพแบบวิตกจริตต่ำ มักจะมุ่งจัดการปัญหา ส่วนนักกีฬาที่มีระดับบุคลิกภาพแบบเปิดรับประสบการณ์สูง มีบุคลิกภาพแบบเปิดเผยตนเองสูง และมีบุคลิกภาพแบบโอนอ่อนผ่อนตาม/ประนีประนอมสูง มักจะมุ่งจัดการอารมณ์ และสุดท้าย บุคลิกภาพแบบเปิดรับประสบการณ์มีความสัมพันธ์ทางลบกับการหลีกหนีปัญหา ส่วนบุคลิกภาพแบบวิตกจริตมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการหลีกหนีปัญหา จากผลการวิจัยนี้ เราจะเห็นบทบาทที่ค่อนข้างชัดเจนของบุคลิกภาพแบบวิตกจริต ซึ่งน่าจะขัดขวางการพัฒนาตัวเองของนักกีฬา บุคคลที่มีบุคลิกภาพแบบวิตกจริตสูงมีแนวโน้มที่จะ ไม่ใช้ การมุ่งจัดการปัญหา (ซึ่งการมุ่งจัดการปัญหามักจะให้ผลลัพธ์ที่ดีในการจัดการความเครียด) และมักจะหลีกหนีปัญหา (ซึ่งการหลีกหนีปัญหามักจะให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีในการจัดการความเครียด)

 

นอกจากรูปแบบการจัดการความเครียด นักจิตวิทยาได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพและ ประสบการณ์ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันกีฬา เพื่อที่จะเข้าใจอิทธิพลของบุคลิกภาพที่มีต่อผลงานในการแข่งขันกีฬามากขึ้น “ประสบการณ์ต่าง ๆ” เช่น คุณภาพของพฤติกรรมการฝึกซ้อม (quality of training behavior) โดยมองว่า บุคลิกภาพของนักกีฬาน่าจะส่งผลต่อผลงานในการแข่งขันผ่านคุณภาพของพฤติกรรมการฝึกซ้อม จากงานวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพของนักกีฬา กลยุทธ์การเพิ่มพูนผลงาน (performance strategy) และคุณภาพของพฤติกรรมการฝึกซ้อม โดยที่คุณภาพของพฤติกรรมการฝึกซ้อมแบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบ ได้แก่ การถูกรบกวนได้ง่าย (distractibility) การจัดการอุปสรรค/ความเหนื่อยยาก (coping with adversity) และคุณภาพของการเตรียมตัวแข่งขัน (quality of preparation [Woodman et al., 2010]) ผลการวิจัยโดยภาพรวม คือ บุคลิกภาพแบบละเอียดรอบคอบ/รับผิดชอบ (และการตั้งเป้าหมาย) มีความสัมพันธ์ทางบวกกับคุณภาพของการเตรียมตัวแข่งขัน และบุคลิกภาพแบบวิตกจริตมีความสัมพันธ์ทางลบกับการจัดการอุปสรรค/ความเหนื่อยยาก

 

ประเด็นสำคัญของการแปลความหมายงานวิจัยทางจิตวิทยาที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพและผลงานในการแข่งขันกีฬา คือ เราอาจไม่สามารถบอกความสัมพันธ์เชิงสาเหตุได้ (ว่าบุคลิกภาพเป็นสาเหตุของผลงานในการแข่งขัน หรือผลงานในการแข่งขัน [และประสบการณ์การแข่งขัน] เป็นสาเหตุของบุคลิกภาพ [ที่เปลี่ยนแปลงไป]) การแปลความหมายที่เป็นไปได้ เช่น ประสบการณ์การแข่งขันในระดับอาชีพอาจทำให้นักกีฬามีบุคลิกภาพแบบวิตกจริตลดลง ส่วนนักกีฬาที่บุคลิกภาพแบบวิตกจริต ไม่ได้ ลดลง อาจ “หลุด” ออกจากทีมและไม่สามารถยืนระยะให้อยู่บนการแข่งขันในระดับอาชีพได้ ซึ่งเราอาจเรียกปรากฏการณ์นี้ได้ว่า self-selection (สังเกตว่า ประสบการณ์การแข่งขันในระดับอาชีพ คือ สาเหตุ และการเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพแบบวิตกจริต คือ ผลลัพธ์ หรือพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่า ประสบการณ์หล่อหลอมบุคลิกภาพของบุคคล) หรือ นักกีฬาที่มีบุคลิกภาพแบบวิตกจริตน้อยอาจประสบความสำเร็จมากกว่านักกีฬาที่มีบุคลิกภาพแบบวิตกจริตมาก ซึ่งทำให้นักกีฬาที่มีบุคลิกภาพแบบวิตกจริตน้อยสามารถแข่งขันในระดับที่สูงกว่าได้ (สังเกตว่า บุคลิกภาพแบบวิตกจริต คือ สาเหตุ และการประสบความสำเร็จในการแข่งขัน คือ ผลลัพธ์)

 

ถึงแม้ว่าเราอาจไม่สามารถระบุความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างบุคลิกภาพและผลงานในการแข่งขันได้อย่างชัดเจน และเราอาจไม่มีโปรไฟล์บุคลิกภาพที่ “ดี” หรือ “ไม่ดี” อย่างเป็นสากล แต่ถ้าเราจำกัดขอบเขตบริบทของการใช้ข้อมูลบุคลิกภาพของนักกีฬา เช่น จำกัดอยู่ในกีฬาประเภทหนึ่ง ๆ หรืออยู่ในการแข่งขันในระดับหนึ่ง ๆ การใช้ข้อมูลบุคลิกภาพของนักกีฬาอาจมีประโยชน์มากขึ้น ในวงการกีฬาอาชีพ เช่น NHL (National Hockey League) นักจิตวิทยาพบว่า บุคลิกภาพและลักษณะทางจิตวิทยาต่าง ๆ เช่น ความชอบการแข่งขัน (competitiveness) บุคลิกลักษณะแบบชอบคิดวิเคราะห์ (analytical disposition) ฯลฯ สามารถทำนายจำนวนการทำประตูและจำนวนการช่วยให้เพื่อนร่วมทีมทำประตู (assist) ในอีก 15 ปีต่อมา ได้ (มากกว่าปัจจัยทางกายภาพ เช่น ความแข็งแกร่งของร่างกาย) ยิ่งไปกว่านั้น บุคลิกภาพและลักษณะทางจิตวิทยาต่าง ๆ ยังสามารถทำนายจำนวนนาทีที่นักกีฬาถูกลงโทษ (penalty minute) เมื่อทำผิดกติกา ฯลฯ และสามารถทำนายจำนวนครั้งที่นักกีฬาย้ายทีมได้ (Gee et al., 2007) คุณสมบัติในการทำนายสถิติผลงานต่าง ๆ ที่อาจทำนายได้ดีกว่าสมรรถนะทางร่างกายทำให้ข้อมูลทางจิตวิทยาเริ่มมีความสำคัญในการคัดเลือกและการพัฒนานักกีฬามากขึ้น

 

 

เราอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า โปรไฟล์บุคลิกภาพที่เหมาะสมกับการแข่งขันกีฬา โดยทั่วไป อาจไม่มีอยู่ แต่เมื่อพิจารณาตามทฤษฎีและคำอธิบายที่เหมาะสมแล้ว บุคลิกภาพแบบละเอียดรอบคอบ/รับผิดชอบสูงน่าจะทำให้นักกีฬาอดทนฝึกซ้อมและพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนบุคลิกภาพแบบวิตกจริตต่ำน่าจะทำให้นักกีฬาสามารถควบคุมอารมณ์และจัดการความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ “บุคลิกภาพ” ของนักกีฬามักจะส่งผลต่อผลงานระยะยาวมากกว่าผลงานระยะสั้น อย่างไรก็ตาม บุคลิกภาพเป็นเพียงปัจจัยหนึ่ง (ในหลาย ๆ ปัจจัย) ที่ส่งผลต่อการประสบความสำเร็จของนักกีฬา (Crocker และคณะ [2015] ให้ความเห็นว่า บุคลิกภาพน่าจะมีอิทธิพลประมาณร้อยละ 10-15 เท่านั้น) และนอกจากบุคลิกภาพ 5 ด้านแล้ว ยังมีบุคลิกภาพรูปแบบอื่น ๆ (เช่น บุคลิกภาพ 6 ด้าน [Ashton et al., 2004] หรือบุคลิกภาพจากเครื่องมือวัด Minnesota Multiphasic Personality Inventory [Butcher & Williams, 2009]) ที่นักจิตวิทยายังไม่ได้ศึกษาในบริบทการพัฒนานักกีฬาและการแข่งขันกีฬามากนัก

 


 

 

รายการอ้างอิง

Allen, M., Greenlees, I., & Jones, M. (2011). An investigation of the five-factor model of personality and coping behaviour in sport. Journal of Sport Sciences, 29, 841-850.

 

Allen, M., Greenlees, I., & Jones, M. (2013). Personality in sport: A comprehensive review. International Review of Sport and Exercise Psychology, 6, 184-208.

 

Ashton, M., Lee, K., Perugini, M., Szarota, P., Vries, R., Blas, L., Boies, K., & Raad, B. (2004). A six-factor structure of personality-descriptive adjectives: Solutions from psycholexical studies in seven languages. Journal of Personality and Social Psychology, 86, 356-366.

 

Butcher, J. N., & Williams, C. L. (2009). Personality assessment with the MMPI-2: Historical roots, international adaptations, and current challenges. Applied Psychology: Health and Well-being, 1, 105-135.

 

Crocker, P. R., Sedgwick, W. A., & Rhodes, R. E. (2015). Personality in sport and exercise. In P. R. E. Crocker (Ed.), Sport and exercise psychology: A Canadian perspective (pp. 28-51). Upper Saddle River: NJ: Pearson.

 

Gee, C. J., Dougan, R. A., Marshall, J. C., & Dunn, L. A. (2007). Using a normative personality profile to predict success in the National Hockey League (NHL): A 15-year longitudinal study. Journal of Sport and Exercise Psychology, 29, s164.

 

Kruger, A., Plooy, K., & Kruger, P. (2019). Personality profiling of South African rugby union players. Journal of Personality in Africa, 29, 383-387.

 

Matuszewski, P., Dobrowolski, P., & Zawadski, B. (2020). The association between personality traits and eSports performance. Frontiers in Psychology, 11, 1490.

 

McCrae, R. R., & Costa, P. T. (1997). Personality trait structure as a human universal. American Psychologist, 52, 509-516.

 

Steca, P., Baretta, D., Greco, A., D’Addario, M., & Monzani, D. (2018). Associations between personality, sports participation and athletic success: A comparison of Big Five in sporting and non-sporting adults. Personality and Individual Differences, 121, 176-183.

 

Woodman, T., Zourbanos, N., Hardy, L., Beattie, S., & McQuillan, A. (2010). Do performance strategies moderate the relationship between personality and training behaviors? An exploratory study. Journal of Applied Sport Psychology, 22, 183-197.

 

ภาพจาก https://www.freepik.com/

 


 

 

บทความวิชาการ โดย

รองศาสตราจารย์สักกพัฒน์ งามเอก

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ

ผู้เชี่ยวชาญประจำศูนย์จิตวิทยาพัฒนาการและความสัมพันธ์ระหว่างวัย

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Here to heal Online Workshop: Hope

Here to heal ชวนคุณมาให้เวลาชีวิต ดูแลใจให้มีหวัง ด้วยจิตวิทยา กับ Online Workshop ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

ในหัวข้อเรื่อง “Hope”

 

 

 

โดยวิทยากร อ. ดร.พนิตา เสือวรรณศรี ประธานแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในวันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2564  เวลา 13.00-15.00 น.

 

สามารถลงทะเบียนได้ที่ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSepEZohAmsTEflw9tRj-nM6rh8pBudrOt-EaIT8ah6SUuEmpQ/viewform
โดยทางทีมงานจะจัดส่งลิงก์ Zoom ให้ผู้ลงทะเบียนทุกท่านก่อนถึงเวลา Workshop ผ่านทาง Email

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://lin.ee/P77s2bW
ในเวลาทำการ 10.00-22.00 น.

 


 

Workshop นี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ here to heal โดยคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ สสส.
เป็นโครงการให้บริการแชทพูดคุยกับนักจิตวิทยา ฟรี
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อผ่าน Line official หรือทางเพจเฟซบุ๊ก Here-to-Heal เพื่อนัดหมายเวลาพูดคุยได้เลยค่ะ

วิธีการหลีกเลี่ยงหลุมพรางในการคิด

METATHINKING

 

 

การนึกคิด (thinking) เป็นสิ่งที่เราต้องทำในทุก ๆ วัน ซึ่งประกอบไปด้วยการสัมผัสรับรู้ การจดจำ และการใช้เหตุผลในการประมวลข้อมูลจากประสบการณ์และผู้คนที่เผชิญในแต่ละวัน งานวิจัยทางจิตวิทยาชี้ว่าการนึกคิดของมนุษย์มักมีจุดบกพร่องในหลาย ๆ ด้าน Daniel Kahneman นักจิตวิทยาที่ได้รับรางวัล Nobel Prize ในการศึกษาวิธีการคิดของมนุษย์ ได้เขียนหนังสือเล่มดังชื่อ Thinking, Fast and Slow ซึ่งเสนอว่ากระบวนการคิดนั้นสามารถแบ่งออกคร่าว ๆ เป็นสองประเภท คือ “System 1” และ “System 2”

 

“System 1” คือ การนึกคิดแบบอัตโนมัติ เป็นการประมวลข้อมูลตามสัญชาตญาณและอารมณ์ เราสามารถใช้กระบวนการนึกคิดประเภทนี้อย่างรวดเร็วและไม่ต้องใช้ความพยายามทางปัญญา (cognitive effort) มากมาย แต่ข้อเสีย คือ การคิดแบบนี้มักจะถูกบิดเบือนและไม่เป็นไปตามเหตุผล เพราะฉะนั้นการประมวลข้อมูลในลักษณะนี้อาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ในทางกลับกัน “System 2” คือ การนึกคิดซึ่งใช้การวิเคราะห์ เป็นการไตร่ตรองข้อมูลโดยรอบคอบและมีการใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง กระบวนการคิดประเภทนี้จะใช้เวลานานกว่าและใช้ความพยายามทางปัญญามากกว่า และจะนำไปสู่ข้อสรุปและความคิดเห็นที่สมเหตุสมผลมากกว่าการใช้ “System 1”

 

เราสามารถพัฒนาวิธีการคิดให้รอบคอบมากขึ้นและหลีกเลี่ยงการนึกคิดแบบบิดเบือนโดยการฝึกฝน “ทักษะการไตร่ตรองพิจารณากระบวนการคิดของตนเอง” ที่เรียกว่า “metathinking” ทักษะนี้คือการตระหนักรู้และควบคุมการนึกคิดและการประมวลข้อมูล ซึ่งจะส่งผลให้การนึกคิดและการตัดสินของเรามีเหตุผลและตรงต่อความเป็นจริงมากขึ้น เราสามารถฝึกทักษะนี้ได้โดยการรู้เท่าทันวิธีการคิดผิด ๆ (fallacy) และอคติส่วนตัวที่นำไปสู่ข้อสรุปที่ผิด ๆ การพัฒนาทักษะ metathinking จะช่วยให้คุณประมวลข้อมูลจากบุคคลรอบข้างและจากสื่อต่าง ๆ อย่างมีเหตุมีผลมากขึ้น

ต่อไปนี้จะนำเสนอ 4 ตัวอย่างของหลุมพรางในการนึกคิดในชีวิตประจำวัน พร้อมกับแบบฝึกหัด metathinking ง่าย ๆ เพื่อเชิญชวนให้ผู้อ่านพิจารณาวิธีการนึกคิดของตนเอง

 

1. อคติและความลำเอียงในภาษา

 

เมื่อเราต้องการอธิบายเหตุการณ์หรือบุคคลที่เราพบเจอ เรามักจะใช้ภาษาในการบอกเล่า ซึ่งเราอาจมองว่าการใช้ภาษาเป็นการอธิบายที่บ่งชี้ความจริงอย่างแน่ชัด เช่น “อากาศวันนี้ร้อนมาก” แต่ในความเป็นจริงภาษาที่เราใช้อธิบายมักจะมีอคติแฝงอยู่เสมอ ซึ่งสะท้อนค่านิยมหรือความเชื่อหลักของผู้พูด โดยเฉพาะในการอธิบายลักษณะนิสัยของผู้อื่น เช่น ดาและญาเป็นเพื่อนร่วมงานกับเฟิร์น ดามองว่าเฟิร์นเป็นคนที่ “ขี้เหนียว ประมาท บ้างาน และหลงตัวเอง” ส่วนญามองว่าเฟิร์นเป็นคนที่ “ประหยัด กล้าหาญ ทุ่มเทกับงาน และมีความมั่นใจในตัวเอง” ให้สังเกตว่าแต่ละคำศัพท์ที่เลือกใช้นั้นบ่งชี้ค่านิยมที่แตกต่างกันของดาและญาในการอธิบายบุคคลเดียวกัน การฝึกฝน metathinking ในที่นี้คือการคำนึงว่าภาษาที่เราใช้นึกคิดและบอกเล่านั้นล้วนมีอคติทั้งสิ้น จึงพึงไตร่ตรองว่าค่านิยมและอคติส่วนตัวส่งผลต่อภาษาที่เราพูดออกไปอย่างไร และไม่ตกหลุมพรางเชื่อว่าการตัดสินส่วนตัวของเราคือคำนิยามที่เที่ยงตรงและปราศจากอคติ

 

แบบฝึกหัด – คำศัพท์ต่อไปนี้สมมุติว่าเป็นคำนิยามต่อบุคคลจากมุมมองของนางสาว A ได้แก่ “เห็นแก่ตัว” “มักใหญ่ใฝ่สูง” “ขี้เกียจ” “เรื่องมาก” “ไม่เชื่อฟัง” “หัวโบราณ” “ปัญหา” “ความล้มเหลว” ให้ผู้อ่านนึกคิดคำศัพท์ที่สะท้อนทัศนคติและค่านิยมจากมุมมองของนางสาว B ผู้ที่มักจะมองเหตุการณ์และผู้คนในแง่บวกมากกว่านางสาว A อาทิ การเปลี่ยนใช้คำว่า “โอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง” แทนที่จะใช้ว่า “ความล้มเหลว” เป็นต้น

 

 

2. ขาวดำ หรือแรเงาสีเทา?

 

ในโลกนี้มีปรากฏการณ์ส่วนหนึ่งที่สามารถแบ่งแยกเป็น 2 หมวดได้อย่างชัดเจน (dichotomous variable) เช่น การที่สตรีจะตั้งครรภ์หรือไม่ตั้งครรภ์ (โดยไม่มีการตั้งครรภ์ ‘เล็กน้อย’ หรือ ‘ปานกลาง’) หรือการระบุเมืองที่เกิด (เช่น เกิดที่กรุงเทพฯ หรือไม่ได้เกิดที่กรุงเทพฯ) ในขณะที่มีปรากฏการณ์อีกส่วนหนึ่งที่แม้จะมี 2 ขั้ว แต่สามารถไล่ระดับความเข้มข้นแบบต่อเนื่องได้ (continuous variable) เช่น ช่วงระหว่างสีดำกับสีขาวจะมีแรเงาสีเทาหลายระดับ ปัญหาก็คือ เรามักสับสนระหว่างตัวแปรสองประเภทนี้ โดยมักคิดว่าปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับมนุษย์สามารถแบ่งออกเป็นสองหมวดชัดเจน แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่เหมาะที่จะแบ่งออกแบบนั้น เช่น คนดี-คนไม่ดี คนปกติ-คนผิดปกติ ชอบอยู่คนเดียว-ชอบสังสรรค์ ชอบอิสระ-ชอบพึ่งพาอาศัย เราสามารถฝึกฝน metathinking ในแง่นี้โดยการคำนึงว่าทัศนคติและความเชื่อเกี่ยวกับบุคคลมักเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ได้มีเพียงสองขั้ว และฝึกแยกแยะปรากฏการณ์สองประเภทนี้

 

แบบฝึกหัด – ให้ผู้อ่านตอบว่าปรากฏการณ์ต่อไปนี้มีลักษณะขาวดำที่แบ่งแยกได้ชักเจนเป็นสองขั้ว (dichotomous) หรือมีลักษณะต่อเนื่องโดยมีพื้นที่สีเทาระหว่างกลาง (continuous) : “สถานะโสด-สมรส” “ลักษณะเพศชาย-เพศหญิง” “มีนิสัยรับผิดชอบ-ไม่รับผิดชอบ” “มีชีวิต-เสียชีวิต” “โบราณ-สมัยใหม่” “อนุรักษ์นิยม-เสรีนิยม” “เปิด-ปิดพัดลม” “นิสัยดี-นิสัยไม่ดี”

 

 

3. Fundamental Attribution Error

 

ถ้ามีใครขับรถเร็วและปาดหน้ารถของคุณบนทางด่วน คุณจะอธิบายพฤติกรรมนี้ว่าอย่างไร? มนุษย์มักอธิบายพฤติกรรมของผู้อื่นด้วยเหตุผลสองประเภท คือ ให้เหตุผลเกี่ยวกับนิสัยและทัศนคติของบุคคล (เขาเป็นคนขับรถประมาทและไม่คำนึงถึงผู้อื่น) หรือเหตุผลเกี่ยวกับสถานการณ์ชั่วขณะของบุคคล (ตอนนี้เขามีธุระรีบไปไหนหรือเปล่า) ในความเป็นจริงพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากปัจจัยทั้งสองประเภท แต่เรามักตีความพฤติกรรมผู้อื่นในแง่ของนิสัยโดยไม่ค่อยคำนึงถึงสถานการณ์ เราสามารถฝึก metathinking โดยคำนึงว่าสถานการณ์อาจส่งผลต่อพฤติกรรมผู้อื่นมากกว่าที่เราคิด ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจการกระทำของผู้อื่นอย่างลึกซึ้งมากขึ้น

 

แบบฝึกหัด – ให้ผู้อ่านลองนึกถึงเหตุผลเกี่ยวกับ ‘สถานการณ์’ เพื่ออธิบายพฤติกรรมต่อไปนี้ : “การปล้นลักทรัพย์” “การมีบุตรหลายคน” “การติดเกม” “ความรุนแรงในครอบครัว” “การสอบตก” “การชนะการแข่งขันกีฬา”

 

 

4. Correlation is not causation

 

การที่มีสองปรากฏการณ์ (A และ B) มักเกิดขึ้นควบคู่กัน บ่งชี้ว่าสองปรากฏการณ์นั้นมีความสัมพันธ์กัน แต่เราไม่สามารถสรุปความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่าง A และ B ได้ เช่น ผู้ปกครองสังเกตว่าเด็กที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว (B) มักจะเล่นเกมที่มีความรุนแรง (A) จึงเชื่อว่า ‘การเล่นเกมรุนแรง’ ส่งผลให้เกิด ‘พฤติกรรมก้าวร้าว’ (A ส่งผลให้เกิด B) แต่ในความเป็นจริงมีการอธิบายอื่น ๆ อย่างน้อยสามวิธีที่เป็นไปได้เช่นกัน ได้แก่ เด็กที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวอยู่แล้วอาจชอบและเลือกที่จะเล่นเกมรุนแรง (B ส่งผลให้เกิด A) หรืออีกวิธีการอธิบายคือ ทั้ง A และ B ต่างส่งผลต่อกัน ส่วนคำอธิบายสุดท้ายคือ A และ B อาจเกิดขึ้นควบคู่กันเพราะมีปัจจัยที่สามที่ส่งผลต่อปรากฏการณ์นั้น (C ส่งผลให้เกิด A และ B) อาทิ ‘ความขัดแย้งในครอบครัว’ อาจส่งผลให้เกิดทั้งพฤติกรรมก้าวร้าวและการเล่นเกมรุนแรง เราสามารถฝึก metathinking โดยการคำนึงว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นควบคู่กันเป็นเพียงการสะท้อนว่าตัวแปรเหล่านั้นอาจเกี่ยวข้องกัน แต่ไม่สามารถบ่งชี้ว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไรหรือเพราะเหตุใด

 

แบบฝึกหัด – สมมุติว่ามีผลสำรวจชี้ว่าบุคคลที่ไม่ยึดมั่นในศาสนามักจะมีความสุขน้อยกว่าคนที่ยึดมั่นในศาสนา ให้ผู้อ่านลองนึกวิธีการอธิบายปรากฏการณ์นี้ในเชิงเหตุผลอย่างน้อย 4 วิธี โดยเริ่มต้นพิจารณาสองปัจจัยหลักที่กล่าวไป คือ ‘ความเคร่งครัดในศาสนา’ (A) และ ‘ระดับความสุขในชีวิต’ (B)

 

 

 

เราทุกคนล้วนมีแนวโน้มที่จะใช้การนึกคิดแบบอัตโนมัติตามสัญชาตญาณและอารมณ์ (System 1) แต่การไตร่ตรองวิธีการนึกคิดของตนเองสามารถช่วยพัฒนาการนึกคิดที่สมเหตุสมผลมากขึ้น (System 2) การหมั่นฝึกฝน metathinking จะช่วยลดอคติในการรับรู้ ตัดสิน และอธิบายพฤติกรรมของผู้อื่น ทำให้เข้าใจตนเอง ผู้คนรอบข้าง และประสบการณ์ในโลกอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนมากขึ้น ลดการคิดเข้าข้างตนเองและการด่วนสรุป ซึ่งจะช่วยให้เรามองโลกที่เที่ยงตรงและลึกซึ้งกว่าเดิม เพียงใช้เวลาสักนิดในการพิจารณาวิธีประมวลการนึกคิดของตนเอง

 

 

 


 

ภาพประกอบจาก : http://www.freepik.com

 


 

บทความวิชาการ โดย

อาจารย์ ดร.สุภสิรี จันทวรินทร์

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ปรับทุกข์กับใครดี

 

ในการดำเนินชีวิตของเรา หากเป็นการดำเนินชีวิตที่ราบรื่น โรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดก็คงดี แต่อย่างที่ทราบกันว่า การดำเนินชีวิตของเรานั้น มีทั้งสุขและทุกข์ปนเปกันไป จังหวะที่ชีวิตมีความสุข สมหวังดังปรารถนา ก็คงเป็นจังหวะที่หลาย ๆ คนรู้สึกเต็มอิ่ม สมบูรณ์ แต่จังหวะที่ชีวิตต้องเผชิญกับความทุกข์ เราก็ต้องก้าวผ่านชีวิตช่วงนั้นไปให้ได้ ซึ่งการจะก้าวผ่านความทุกข์ที่เผชิญไป หลาย ๆ ครั้งเราก็สามารถก้าวผ่านไปได้ด้วยความเข้มแข็ง และพลังที่เรามีภายในตน แต่ทว่า ในบางครั้งที่เราต้องเผชิญกับความทุกข์ที่ถาโถม เราอาจจะต้องมีใครสักคนที่ช่วยเราในภาวะเช่นนั้น

 

ก่อนอื่นอยากจะลองชวนให้ทุกท่านนึกถึงว่า หากเราจะต้องแบ่งปันเรื่องราวความทุกข์ของเรากับใครสักคน เราจะมีความรู้สึกอย่างไร บางท่านอาจจะตอบว่าสบายมาก ฉันพร้อมอยู่แล้วที่จะพูดเรื่องราวต่าง ๆ ของฉันออกมา แต่บางท่านอาจจะตอบว่า ไม่แน่ใจเลยว่าจะพูดดีหรือเปล่า หรือบางท่านอาจจะตอบว่า ไม่มีทาง ฉันไม่อยากจะบอกใครทั้งสิ้นว่าฉันทุกข์ขนาดไหน

 

หากคำตอบของท่านเป็นคำตอบที่ 2 หรือ 3 ดิฉันอยากชวนคุณผู้ฟังมองในมุมใหม่ว่า การแบ่งปันความรู้สึกในยามทุกข์ของเรากับใครสักคน ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหาย หรือจะทำให้ตัวเราดูอ่อนแอค่ะ ทว่าการแบ่งปันความรู้สึกของเราออกไปนั้น กลับเป็นความเข้มแข็งอีกประการหนึ่งเสียอีก เป็นความเข้มแข็งที่จะยอมรับในเรื่องที่เรากำลังเผชิญอย่างเต็มที่ จนพร้อมที่จะแบ่งปันมันออกมากับใครสักคน ซึ่งก็แปลว่าเราพร้อมเต็มที่ที่จะเผชิญกับความทุกข์นั้น และจะฝ่าฟันมันไปได้โดยมีเพื่อนผู้ที่เราแบ่งปันด้วยอยู่ข้าง ๆ ค่ะ

 

การแสวงหาความช่วยเหลือจากแหล่งสนับสนุนทางสังคม เป็นสิ่งที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เป็นแนวทางในการช่วยหาคำตอบในปัญหา หรือความทุกข์ที่กำลังเผชิญอยู่ หลายท่านคงบอกว่า การแสวงหาความช่วยเหลือหรือปรับทุกข์นั้น ดูพูดง่ายแต่ทำจริงยาก ซึ่งนักจิตวิทยาหลาย ๆ ท่านก็ไม่ปฏิเสธประเด็นนี้ และได้พยายามทำการศึกษาเพื่อเข้าใจความยากที่บุคคลต้องเผชิญ เมื่อจะแสวงหาความช่วยเหลือ โดยมีข้อค้นพบที่น่าสนใจมากมาย เช่น การพบว่าผู้หญิงมักจะมีมุมมองต่อการแสวงหาความช่วยเหลือมากกว่าผู้ชาย ซึ่งผลการค้นพบดังกล่าวก็ค่อนข้างสอดคล้องกับสถานการณ์ในชีวิตจริง เช่น เวลาที่ขับรถหลงทาง ผู้ชายมักจะไม่ชอบถามทางคนอื่น ขณะที่ผู้หญิงมักจะยินดีอย่างยิ่งที่จะถาม การที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากการรับรู้บทบาททางเพศแบบดั้งเดิม ที่มองว่าผู้ชายเป็นผู้ที่พึ่งพาตนเองได้ และสามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้ การที่ผู้ชายจะแสวงหาความช่วยเหลือ ย่อมจะส่งผลทางลบต่อการเห็นคุณค่าในตนเอง ดังนั้นผู้ชายจึงมีแนวโน้มที่จะแสวงหาความช่วยเหลือน้อยกว่าผู้หญิง

 

นอกจากความแตกต่างระหว่างเพศแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ช่วงวัย กลุ่มคนที่มีอายุต่าง ๆ กันก็มีแนวโน้มที่จะมีการแสวงหาความช่วยเหลือแตกต่างกัน โดยกลุ่มคนในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยมีแนวโน้มที่จะแสวงหาความช่วยเหลือหรือปรับทุกข์มากกว่ากลุ่มวัยอื่น ๆ ซึ่งก็อาจเป็นเพราะหนึ่งในแหล่งของการแสวงหาความช่วยเหลือหรือปรับทุกข์นั้นก็คือ เพื่อน ซึ่งบุคคลในช่วงมหาวิทยาลัย เป็นช่วงวัยที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับเพื่อน เมื่อมีความทุกข์จึงพร้อมที่จะการแสวงหาความช่วยเหลือหรือปรับทุกข์กับเพื่อนได้

 

ความยากง่ายในการแสวงหาความช่วยเหลือ หรือปรับทุกข์ของแต่ละคน นอกจากจะมีความแตกต่างกันจากปัจจัยภายในตัวบุคคล เช่น เพศ อายุ ยังมีความแตกต่างกันจากปัจจัยภายนอกตัวบุคคล คือ ปัจจัยด้านสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอีกด้วย

 

ก่อนที่เราจะสรุปได้ว่าเรากำลังประสบปัญหาหรือเผชิญกับความทุกข์ เราต้องมีการประเมินสถานการณ์ที่เราเจอก่อน ว่าสิ่งที่เราเจอนั้นมันเป็นอย่างไร ทั้งนี้ในสถานการณ์เดียวกัน คนแต่ละคนอาจจะประเมินไม่เหมือนกันก็เป็นได้ โดยจะแตกต่างไปตามทรัพยากรที่เรามีอยู่ เช่น นักเรียนคนแรก ได้เกรด D 1 วิชา หากมีเกรดเฉลี่ยสะสมเดิมอยู่ที่ 3.5 เขาย่อมรับรู้ว่าสถานการณ์ที่ตนเผชิญเป็นปัญหา แตกต่างจากนักเรียนคนที่สอง ที่ได้เกรด D 1 วิชา หากมีเกรดเฉลี่ยสะสมอยู่ที่ 2.0 เด็กสองคนนี้ก็จะมองสถานการณ์นี้ไม่เหมือนกันค่ะ ดังนั้นความแตกต่างในการประเมินทรัพยากรที่มีเพื่อใช้จัดการกับปัญหา จะส่งผลต่อการตัดสินใจที่จะแสวงหาความช่วยเหลือ หรือ ปรับทุกข์กับผู้อื่น

 

ประเด็นต่อมาที่น่าสนใจด้านสถานการณ์ก็คือ ระดับของการเปิดเผยตัวเอง เมื่อเราต้องแสวงหาความช่วยเหลือหรือปรับทุกข์กับผู้อื่น สำหรับบางคน การเปิดเผยตัวเองอาจทำให้คนรู้สึกว่าด้อยค่า ไม่ดีพอ เมื่อต้องพึ่งพาผู้อื่น ดังนั้นจะรู้สึกสบายใจมากกว่า ถ้าการแสวงหาความช่วยเหลือหรือปรับทุกข์นั้น เป็นการแสวงหาจากแหล่ง หรือบุคคลที่ไม่ต้องเผชิญหน้า เช่น การหาข้อมูลจากหนังสือพวก how to ต่าง ๆ หรือ สายด่วนดูแลจิตใจต่าง ๆ

 

ปัจจัยด้านสถานการณ์อีกปัจจัยที่สำคัญ ที่จะช่วยให้เราพัฒนาการแสวงหาความช่วยเหลือหรือปรับทุกข์ของเรา คือ ความสามารถของผู้ช่วยเหลือ ลองนึกถึงตัวเรานะคะ ว่าหากเรามีปัญหามีความทุกข์ คนที่เราจะนึกถึงว่าเราอยากปรับทุกข์ด้วยย่อมจะเป็นคนที่เราประเมินว่า เขามีความสามารถเพียงพอที่จะช่วยเหลือเราได้ หากเรารู้สึกว่าคนที่อยู่รอบข้างเรามีความสามารถเพียงพอที่จะช่วยเหลือเราได้ เราย่อมไม่ลังเลใจที่จะแสวงหาความช่วยเหลือหรือปรับทุกข์กับเขาแน่นอนค่ะ ดังนั้นระหว่างที่เรายังไม่รู้สึกว่าอยู่ในสภาพที่มีปัญหา สิ่งหนึ่งที่เราอาจเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า ก็คือลองนึกรายชื่อของผู้ที่เราเองรู้สึกว่าวางใจ เชื่อใจ และมั่นใจในความสามารถของเขา ว่าจะสามารถช่วยคลายทุกข์ให้เราได้ หากมีรายชื่อสัก 3 – 5 รายชื่อในใจก็น่าจะดีนะคะ ทั้งนี้รายชื่อที่มีอาจจะเป็นบุคคลรอบข้าง เช่น เพื่อนสนิท หรือผู้ปกครอง หรืออาจจะเป็นแหล่งความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการที่มีความชำนาญเฉพาะ เช่น ศูนย์สุขภาวะทางจิต ของคณะจิตวิทยา นั่นเองค่ะ

 

นอกจากนี้ ยังมีอีกกลุ่มปัจจัยหนึ่ง คือ ปัจจัยทางบุคลิกภาพ ซึ่งจะขอยกมาเพียง 1 ประเด็น นั่นคือ ความสามารถด้านอารมณ์ของตัวเอง โดยคนที่มีความสามารถทางด้านอารมณ์ คือ คนที่สามารถตระหนักถึงสภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้น และสามารถอธิบายถึงสภาวะอารมณ์นั้นได้ ตลอดจนสามารถเข้าใจและจัดการกับอารมณ์ด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพ โดยไม่ใช้การปกป้องตนเอง

 

ลองทายกันเล่น ๆ ว่า คนที่มีความสามารถทางอารมณ์ในระดับสูง ซึ่งคือคนที่สามารถรู้ เข้าใจ และสื่อสารถึงอารมณ์ของตนเองได้ดี น่าจะมีความสามารถที่จะขอความช่วยเหลือ หรือปรับทุกข์ได้มากหรือน้อยคะ คำตอบที่ถูกต้องอาจจะน่าประหลาดใจสักเล็กน้อย เพราะความสามารถทางอารมณ์ในระดับสูง เป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้บุคคลตัดสินใจแสวงหาความช่วยเหลือ หรือปรับทุกข์กับผู้อื่นค่ะ อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า การปรับทุกข์ไม่ใช่เรื่องของความอ่อนแอ แต่เป็นความเข้มแข็งที่สุดต่างหาก ที่จะยอมรับในสิ่งที่ตนเผชิญอย่างเข้มแข็ง ดังนั้นคนที่มีความสามารถทางอารมณ์ก็จะสามารถตระหนักได้ถึงอารมณ์ของตนเอง และสามารถแสดงออกถึงความรู้สึก หรือสิ่งที่อยู่ในใจออกมาได้อย่างชัดเจน ซึ่งความสามารถดังกล่าว เป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนให้เราเข้าไปหาแหล่งช่วยเหลือของเรา ไม่ว่าจะเป็นแหล่งช่วยเหลือแบบมืออาชีพ เช่น ศูนย์บริการทางจิตวิทยา หรือแหล่งช่วยเหลือแบบมือสมัครเล่น เช่น เพื่อนหรือว่าญาติพี่น้องของเรานั่นเอง

 

 

 

ภาพประกอบจาก : http://www.freepik.com

 

 


 

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

 

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา

ผู้เชี่ยวชาญประจำศูนย์สุขภาวะทางจิต

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

East-West Center Online Seminar No.5 “Cross-Cultural Research from Social Psychological Perspectives”

งานเสวนาออนไลน์ ครั้งที่ 5

โดย ศูนย์ East-West คณะจิตวิทยา จุฬาฯ

“Cross-Cultural Research from Social Psychological Perspectives”

วันพุธที่ 15 ธันวาคม 2564 เวลา 19.00-20.30 น.

 

ครั้งนี้เรากลับมาคุยเรื่องวัฒนธรรมในมุมมองของจิตวิทยาสังคม เช่น ความเชื่อว่าโลกใบนี้ยุติธรรม (just world beliefs) เป็นความเชื่อที่พบเจอในทุกวัฒนธรรมหรือไม่ อีกทั้ง คติรวมหมู่ (collectivism) และแนวคิดความรับผิดชอบ (responsibilism) มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
โดยมี guest speakers 2 ท่าน ได้แก่
1) ผศ. ดร.พัฒนกิจ ชอบทำกิจ หัวหน้าสาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
2) อาจารย์ ดร.ภัคนันท์ จิตต์ธรรม อาจารย์ประจำแขนงจิตวิทยาสังคม คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ท่านที่สนใจสามารถส่งข้อความถาม speakers แต่ละท่านทาง comment ใน FB Live https://www.facebook.com/eastwestpsycu
หรือลงทะเบียนเข้าร่วมงานเสวนาผ่าน ZOOM Meeting ที่ >>> https://forms.gle/uctGU2KwrHpE3HzL9
*งานเสวนาเป็นภาษาไทย

รับชมคลิปย้อนหลัง   https://www.facebook.com/eastwestpsycu/videos/1355501471536437/

Here to heal Online Workshop: How to deal with burn out

มาดูแลหัวใจ เมื่อถึงวันหมดไฟ ด้วยจิตวิทยา

 

 

 

Here to heal ชวนคุณมาดูแลหัวใจ ให้เวลาชีวิต ด้วยจิตวิทยา กับ Online Workshop ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
ในหัวข้อเรื่อง “How to deal with burn out”

 

โดยวิทยากร อ. ดร. พนิตา เสือวรรณศรี ประธานแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ในวันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม 2564  เวลา 13.00-15.00 น.

 

สามารถลงทะเบียนได้ที่ https://forms.gle/jYTmoStbQQgLgf6v7
ทางทีมงานจะจัดส่งลิงก์ Zoom ให้ผู้ลงทะเบียนทุกท่านผ่านอีเมล

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://lin.ee/P77s2bW
ในเวลาทำการ 10.00-22.00 น.

 

 


 

Workshop นี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ here to heal โดยคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ สสส.
เป็นโครงการให้บริการแชทพูดคุยกับนักจิตวิทยา ฟรี
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อผ่าน Line official หรือทางเพจเฟซบุ๊ก Here-to-Heal เพื่อนัดหมายเวลาพูดคุยได้เลยค่ะ

ปัจจัยที่จำเป็นต่อการเรียนออนไลน์

 

 

 

 


 

 

โดย รินรดา พนาวัฒน์, สุชญา พิชิตการ, และ อรยา เสน่หา. (2563). รายงานเรื่อง การพัฒนาปัจจัยที่จำเป็นต่อการเรียนออนไลน์ของนิสิต

รายวิชา : จิตวิทยาการพัฒนาทรัพยากรณ์มนุษย์ (Psychology for Human Resource Development) คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อาจารย์ผู้สอน : อาจารย์ ดร.วิทสินี บวรอัศวกุล
เรียบเรียงเนื้อหา : เตชภณ ภูพุฒ
อาร์ตเวิร์ก : พธู พิมพ์ระเบียบ

Teasing – การล้อเลียน

 

การล้อเลียนเป็นพฤติกรรมหนึ่งของการข่มเหงรังแก (bully) แต่การล้อเลียนมีลักษณะซับซ้อนและเฉพาะเจาะจงมากกว่าพฤติกรรมข่มเหงรังแกทั่วไป เนื่องจากการล้อเลียนจะต้องคำนึงถึงจุดประสงค์ของผู้ล้อเลียน และการตีความของผู้ที่ถูกล้อเลียนร่วมด้วย

 

เวลาบุคคลกระทำการล้อเลียน การแสดงออกของพฤติกรรมมักมีความกำกวมต่อการตีความอยู่เสมอ เมื่อคนแสดงการล้อเลียนไปแล้วและไม่เห็นว่ามีการตอบสนองกลับมา จึงอาจคิดว่าผู้ที่ถูกล้อเลียนไม่ได้คิดมากอะไร ทำให้ผู้ล้อเลียนยังคงแสดงการล้อเลียนต่อไปในอนาคต แต่ในความเป็นจริงคนที่ถูกล้อเลียนอาจรู้สึกไม่ดีในใจ แต่ไม่ได้แสดงออกมา ทำให้เกิดการรับรู้ที่ผิดไปจากความเป็นจริงและนำมาสู่การมองข้ามปัญหาความรุนแรงที่มาจากการล้อเลียน

 

 

 

 

 

เรื่องที่พบในการล้อเลียนแบ่งเป็น 5 เรื่อง ได้แก่

 

1. การแสดงออก (Performance)

2. คุณลักษณะทางด้านการเรียน (Academic Characteristics)

3. พฤติกรรมสังคม (Social Behavior)

4. ภูมิหลังครอบครัว (Family Background)

5. รูปร่างลักษณะ (Appearance)

 

แม้การล้อเลียนจะถูกระบุว่าเป็นการสบประมาททางวาจาเพื่อให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อรู้สึกโดนเหยียดหยาม อับอาย แต่การล้อเลียนยังสามารถพบได้ทั้งด้านบวกและด้านลบ บางครั้งมีการใช้ความสนุกสนาน การเล่น หรือความขบขันเข้ามาประกอบกับการสื่อสาร จึงทำให้เกิดทางเลือกในการตีความของสารที่ได้รับมา

 

 

การล้อเลียนในครอบครัวและโรงเรียน

 

การล้อเลียนพบได้ทั่วไปในสังคมจากทั้งครอบครัวและโรงเรียน โดยวัยรุ่นหญิงจะถูกล้อเลียนมากกว่าวัยรุ่นชาย งานวิจัยที่ผ่านมาพบว่าเด็กวัยรุ่นเผชิญกับการล้อเลียนในโรงเรียนมากที่สุด มาจากกลุ่มเพื่อนเป็นอันดับหนึ่ง อาจเพราะเป็นช่วงวัยที่อยู่โรงเรียนมากกว่าที่บ้าน และมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ ดังนั้นกลุ่มเพื่อนจึงเป็นสังคมที่ส่งอิทธิพลต่อเด็กมากที่สุดในช่วงวัยรุ่น แหล่งการล้อเลียนถัดมาที่พบคือครอบครัว โดยพบในกลุ่มที่น้องของวัยรุ่นเป็นอันดับที่สอง และลำดับท้ายสุดคือผู้ปกครอง งานวิจัยรายงานว่าวัยรุ่นจะถูกล้อเลียนจากพี่ชายคนโตมากที่สุด และในกลุ่มผู้ปกครองจะพบการล้อเลียนจากมารดามากกว่าบิดา โดยมารดาจะมีเนื้อหาการล้อเลียนในเชิงของการเป็นห่วงเกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพของวัยรุ่น ส่วนบิดาจะมีเนื้อหาการล้อเลียนในเชิงโจมตีรูปร่างลักษณะทางลบของวัยรุ่นมากกว่า

 

สาเหตุของการล้อเลียน

 

การล้อเลียนในโรงเรียนเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของวัยรุ่น เช่น การเรียนรู้เรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล และการเรียนรู้เรื่องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มและนอกกลุ่ม วัยรุ่นบางคนล้อเลียนเพื่อนร่วมชั้นเพราะเกิดจากความพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่าสิ่งใดที่ทำให้วัยรุ่นที่ถูกล้อเลียนมีลักษณะแตกต่าง หรือพิเศษมากกว่าคนอื่นในห้อง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและการเป็นคนนอกกลุ่ม นอกจากนี้ยังมีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่แสดงการล้อเลียนเพื่อต้องการได้รับความสนใจ แม้ว่าจะเป็นความสนใจทางลบ แต่เด็กกลุ่มนี้กลับคิดว่าก็ยังดีกว่าการไม่ได้รับความสนใจเลย เนื่องจากมองว่าการล้อเลียนคนอื่นเป็นเรื่องเท่และเจ๋ง โดยแสดงออกมาเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากเพื่อนและได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม

 

 

การเผชิญกับการล้อเลียน

 

การล้อเลียนสามารถพบได้ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ แต่การเผชิญกับการล้อเลียนในวัยเด็ก วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่มีลักษณะที่แตกต่างกัน เด็กและวัยรุ่นจะตีความการล้อเลียนในทางลบมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะเด็กและวัยรุ่นจะประสบกับการถูกล้อเลียนอยู่เป็นประจำและต่อเนื่อง รวมทั้งความสามารถในการจัดการของตัวเด็กต่อการล้อเลียนที่ยังไม่มีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อเทียบกับช่วงผู้ใหญ่ ในวัยผู้ใหญ่แม้ว่าจะประสบกับการถูกล้อเลียนอยู่บ้างแต่มุมมองที่มีต่อการล้อเลียนมีแนวโน้มไปในทิศทางบวกมากกว่า โดยมองว่าการล้อเลียนเป็นสิ่งที่สนุกสนานและช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อน โดยใช้การหัวเราะ ยิ้ม และอารมณ์ทางบวกเข้ามาประกอบการตีความการล้อเลียน

 

 

จะเห็นได้ว่าการตีความของคนที่ถูกล้อเลียนและจุดประสงค์ของคนล้อเลียนเป็นสิ่งสำคัญในปรากฎการณ์ การจะรับรู้ว่าบุคคลที่ถูกล้อเลียนนั้นมีความรู้สึกอย่างไรเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก ด้วยปัญหาความกำกวมในการตีความ จึงเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้การล้อเลียนยังคงอยู่และพบได้ทั่วไปในสังคม

 

 


 

 

รายการอ้างอิง

 

“ความสัมพันธ์ระหว่างการล้อเลียนกับความซึมเศร้าและความวิตกกังวลในกลุ่มวัยรุ่นตอนต้น โดยมีคุณภาพความสัมพันธ์กับเพื่อนสนิทและการยอมรับจากเพื่อนในชั้นเรียนเป็นตัวแปรส่งผ่าน และมีความสามารถในการฟื้นพลังเป็นตัวแปรกำกับ” โดย ณัฐพล ชัยกิตติพรเลิศ (2560) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/59835

 

ภาพประกอบ https://www.freepik.com/

จิตวิทยากับการเลือกข้าง

ในชีวิตประจำวันของคนเราปัจจุบัน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากมาย ซึ่งข้อมูลข่าวสารนี้หมายรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่แวดล้อมตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ สิ่งของ แนวคิด นโยบาย การกระทำ ความคิด ความรู้สึกของคนอื่น และยังรวมถึงความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ ความรู้สึกของตัวเราเองด้วย

 

บางครั้งที่เรายังไม่มีความคิดเห็น หรือยังไม่มีจุดยืนใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องบางอย่างเลย เมื่อได้รับข้อมูลมา เราอาจไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร คนเรามักหันไปมองคนรอบข้าง หรือคนส่วนใหญ่ ว่าเขาคิดอย่างไร ทำอย่างไร เราก็จะเชื่อและทำตาม เช่น พลังเงียบที่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเห็นด้วยกับกลุ่มทางการเมืองกลุ่มใด ก็อาจรอดูผลโพลว่าคนส่วนใหญ่สนับสนุนฝ่ายใด หรือรอดูจำนวนคนที่มาชุมนุมขับไล่ เปรียบเทียบกับจำนวนคนที่มาชุมนุมสนับสนุนนายกรัฐมนตรี แล้วจึงตัดสินใจตามกระแสคนส่วนใหญ่ หรือบางที เราก็ใช้ความคิดเห็นของบุคคลใกล้ชิด คนที่มีชื่อเสียง คนที่เราชอบหรือนับถือมาอ้างอิง และตัดสินใจไปตามเขา เช่น เมื่อเห็นว่าพ่อชื่นชอบนายกรัฐมนตรี ลูกก็อาจชื่นชอบนายกรัฐมนตรีไปด้วย เห็นพิธีกรที่เราชื่นชอบแสดงความคิดเห็นว่าไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมขับไล่นายกรัฐมนตรี เราก็มีแนวโน้มที่จะเออออตามไปด้วย เป็นต้น

 

ที่เป็นเช่นนี้ นักจิตวิทยาอธิบายว่า ธรรมชาติของคนเราไม่ชอบความขัดแย้งหรือความไม่สอดคล้องกลมกลืน เพราะภาวะเช่นนั้นจะทำให้อึดอัด ตึงเครียด ไม่สบายใจ ดังนั้น ขณะที่เรายังไม่มีจุดยืนหรือความคิดเห็นที่เข้มข้น หากคนที่เราชื่นชอบคิดอย่างไร เราก็มีแนวโน้มจะเห็นดีเห็นงามด้วยมากกว่าจะเริ่มจากการเห็นขัดแย้งกับเขา

 

ในกรณีที่เป็นการคล้อยความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ นอกจากเราจะมีความเชื่อว่าความเห็นของคนส่วนใหญ่น่าจะถูกต้องแล้ว การคล้อยตามเสียงส่วนใหญ่ยังช่วยให้เราไม่ต้องเผชิญหน้ากับการต้องเป็นคนเดียวที่แตกต่างไปจากบรรทัดฐานของสังคม หรือคนอื่นส่วนใหญ่

 

ทว่า หากเรามีจุดยืนอยู่แล้ว เราจะจัดการกับข้อมูลข่าวสารมากมาย ทั้งที่สอดคล้องและไม่สอดคล้องกับจุดยืนของเราอย่างไร? และจะส่งผลอะไรกับความรู้สึกนึกคิดของเราบ้าง?

 

ข้อมูลมากมายจากหลายแหล่งที่เราได้รับในแต่ละวัน มีทั้งข้อมูลที่สอดคล้องไปกับจุดยืนเรา เช่น ฉันชอบนายกรัฐมนตรีคนนี้มาก เพื่อนฉันก็ชอบนายกรัฐมนตรีคนนี้เช่นกัน แต่ก็ย่อมมีโอกาสที่ข้อมูลมากมายที่เรารับรู้นั้น อาจขัดแย้งกับจุดยืนของเรา เช่น เราชอบนายกรัฐมนตรีคนนี้มาก แต่เพื่อนสนิทของเรากลับไม่ชอบ แถมยังไปชุมนุมขับไล่นายกอีกต่างหาก หรือเราเชื่อว่านายกรัฐมนตรีคนนี้เป็นคนดี แต่ก็มีคนนำข้อมูลทางลบของนายกมาเปิดเผยอยู่ทุกวัน เป็นต้น

 

แล้วการมีกรอบความคิด หรือจุดยืนอยู่ก่อนแล้วล่วงหน้า ส่งผลอย่างไรกับการรับรู้ข้อมูล ดังนี้ แนวคิดเรื่องธรรมชาติของคนเราที่ไม่ชอบความขัดแย้ง ไม่สอดคล้องกลมกลืนมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะนักจิตวิทยาพบว่า เมื่อใดก็ตามที่เรามีกรอบความคิดอยู่แล้ว เรามีแนวโน้มจะเลือกเปิดรับ ใส่ใจ และจดจำข้อมูลที่สอดคล้องกับกรอบความคิดหรือจุดยืนนั้น และหลีกเลี่ยง ไม่ใส่ใจ ปฏิเสธหรือบิดเบือนข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกับกรอบความคิดของตนเอง

 

ประเด็นสำคัญตรงนี้ก็คือ เมื่อเรามีข้อมูลเดิม หรือจุดยืนบางอย่างอยู่ในใจ เราจึงไม่ได้เปิดรับข้อมูลต่าง ๆ ด้วยสมองที่ว่างเปล่าหรือเป็นกลางเสมอไป แต่เป็นการรับรู้ข้อมูลผ่านกรอบความคิดบางอย่าง ซึ่งกำกับควบคุมกระบวนการรับรู้ของเรา

 

ดังนี้ ธรรมชาติของมนุษย์ไม่ชอบภาวะขัดแย้ง ไม่สอดคล้องทางความรู้สึกหรือความคิดเห็น ดังนั้น เมื่อเรามีจุดยืนอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ย่อมเป็นกรอบในการเปิดรับข้อมูลข่าวสาร โดยเรามักจะเปิดรับแต่ข้อมูลที่สอดคล้องกับจุดยืน และหลีกเลี่ยงการเปิดรับข้อมูลข่าวสารที่ขัดแย้งกับจุดยืนของตนเอง อีกทั้ง ยังมีการลำเอียงในการเลือกเปิดรับข้อมูล

 

เวลาเราเห็นความขัดแย้ง ไม่ลงรอยกันทางความคิดเห็น เรามักเกิดความคิดว่า หากให้ข้อมูลในทิศทางตรงกันข้ามแก่อีกฝ่ายหนึ่ง เขาก็คงจะเข้าใจเรา และหันมาเป็นพวกเรา แต่นักจิตวิทยาพบว่า ถึงแม้ว่าในที่สุดเราจะได้รับข้อมูลที่ตรงกันข้ามกับจุดยืนของเรา เราก็มีแนวโน้มที่จะไม่ใส่ใจข้อมูลนั้น เพราะเมื่อใดที่ได้รับรู้ข้อมูลที่ขัดแย้งกับจุดยืนของตน คนเรามักเกิดความอึดอัด กระวนกระวาย ไม่สบายใจ ส่วนหนึ่งเพราะกลัวว่าจุดยืนที่เราเชื่อว่าถูกต้องจะถูกโจมตี ทำให้รู้สึกลังเลว่าจุดยืนที่ตนยึดถือนั้นถูกจริงหรือไม่ บ้างก็รู้สึกโกรธที่มีคนเห็นขัดแย้งกับตนเอง จนหลีกหนี ไม่ยอมใส่ใจกับข้อมูลเหล่านั้นอีก และหันไปหาข้อมูลที่สอดคล้องกับจุดยืนของตนเองแทน

 

นอกจากนี้ การได้รับฟังข้อมูลที่ขัดแย้งกับจุดยืนของตน ยังเป็นการกระตุ้นให้เราคิดหาเหตุผลมาหักล้างข้อมูลเหล่านั้นเพื่อปกป้องจุดยืนของตนไว้ ซึ่งในที่สุดก็ส่งผลให้เรายิ่งเชื่อมั่นใจจุดยืนของตนเองมากขึ้นไปอีก

 

ดังเช่น ทุกวันนี้ ไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลจะพูดสิ่งใด ทางฝ่ายต่อต้านก็จะหาเหตุผลมาหักล้าง ว่าสิ่งที่รัฐบาลพูดผิดอย่างไร หรือไม่น่าเชื่อถือตรงไหน ในทางกลับกัน ไม่ว่าทางฝ่ายต่อต้านรัฐบาลพูดสิ่งใด ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลก็จะหาเหตุผลมาหักล้างว่าไม่ถูกต้อง ไม่น่าเชื่อถือ หรือมีเจตนาอื่นแอบแฝง ต่างฝ่ายต่างก็ไม่เกิดความคิดในด้านที่ว่า สิ่งที่ฝ่ายตรงกันข้ามพูดอาจจะถูกต้องตรงที่ใด เพราะเหตุใด ดังนั้น การให้ข้อมูลในทิศทางตรงกันข้าม หากไม่ชัดเจนมากเพียงพอ ก็จะกลายเป็นการกระตุ้นให้เขายึดติดกับจุดยืนเดิมมากขึ้น

 

นอกจากนี้ นักจิตวิทยาสังคมพบว่า โดยทั่วไป การมีคนอื่นอยู่ด้วย จะทำให้การตอบสนองที่เรามีความโน้มเอียงอยู่แล้วยิ่งเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่เราอยู่ท่ามกลางคนที่มีความคิดเห็นคล้ายคลึงกับเรา ที่มารวมกลุ่มกัน พบปะพูดคุยกัน แต่ละคนในกลุ่มจะยิ่งมีความคิดเห็นเข้มข้นขึ้นในทิศทางที่มีแนวโน้มอยู่แล้ว

 

ดังเช่น การทดลองของนักจิตวิทยาคนหนึ่ง พบว่า หลังจากจัดกลุ่มนักศึกษาผิวขาวให้พูดคุยกันเรื่องคนผิวดำ กลุ่มใดที่สมาชิกในกลุ่มมีเจตคติทางลบต่อคนผิวดำ หลังพูดคุยก็ปรากฏว่าแต่ละคนมีเจตคติทางลบต่อคนผิวดำมากกว่าเดิม ส่วนกลุ่มที่ประกอบไปด้วยนักศึกษาที่มีเจตคติทางบวกต่อคนผิวดำ เมื่อได้พูดคุยกันในกลุ่มแล้วก็มีเจตคติทางบวกต่อคนผิวดำมากขึ้น

 

ที่เป็นเช่นนี้ นักจิตวิทยาอธิบายว่าเกิดจากอิทธิพลของกลุ่ม 2 ประการ ได้แก่ อิทธิพลด้านข้อมูล และอิทธิพลด้านบรรทัดฐานของกลุ่ม

 

ประการที่ 1 คือ บุคคลได้รับอิทธิพลด้านข้อมูล ทำให้มีความคิดเห็นเข้มข้นขึ้น เช่น เดิมนาย ข ไม่ชอบนายกรัฐมนตรี เพราะมีข้อมูลทางลบอยู่ส่วนหนึ่ง เมื่อนาย ข เข้าไปพูดคุยกับคนอื่นในกลุ่ม ได้รับฟังคนอื่นที่มีข้อมูลทางลบด้านอื่นๆ ที่เขาไม่เคยรู้เพิ่มมากขึ้นอีก ทำให้นาย ข ยิ่งมีความรู้สึกไม่ชอบนายกยิ่งกว่าเดิม

 

ประการที่ 2 คือ อิทธิพลจากบรรทัดฐานของกลุ่ม เช่น นาย ค ชื่นชอบนายกรัฐมนตรี เมื่อได้พูดคุยกับเพื่อนบ้านหลายสิบคนที่ชอบนายกรัฐมนตรีเหมือนกัน ทำให้นาย ค รู้สึกว่า ใครๆ ก็ชื่นชอบนายกฯ เวลานาย ค แสดงความเห็นชื่นชมนายก เพื่อนบ้านต่างก็เออออสนับสนุน แถมบางคนยังแสดงความชื่นชอบนายกฯ มากกว่านาย ค เสียอีก นาย ค จึงมีความมั่นใจยิ่งขึ้นว่าที่ตนชื่นชอบนายกรัฐมนตรีนั้น ตนคิดถูกต้องแล้ว จึงกล้าแสดงความรู้สึกชื่นชอบที่เข้มข้นขึ้นกว่าเดิม

 

โดยทั่วไป การที่คนมารวมกลุ่มกัน ก็มักมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมมือกันทำสิ่งใดสักอย่าง ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร คนในกลุ่มก็ต้องอภิปราย ปรึกษาหารือกัน แต่นักจิตวิทยาสังคมพบว่า การตัดสินใจของกลุ่มเพื่อทำอะไรสักอย่าง บางครั้งกลับเกิดความผิดพลาดได้อย่างไม่น่าเชื่อ

 

เราอาจจะเกิดข้อสังสัยได้ว่า ทำไมการตัดสินใจทำอะไรเป็นกลุ่มจึงนำไปสู่ความผิดพลาดได้ ยิ่งมีหลายคนยิ่งน่าจะช่วยกันพิจารณาแง่มุมต่างๆ อย่างทั่วถึง และรอบคอบ

 

ทว่า คนเราไม่ชอบข้อมูลที่ขัดแย้งกับจุดยืนของตนเอง เมื่อสมาชิกที่มีความคิดเห็นคล้าย ๆ กันมาอภิปรายร่วมกันเป็นกลุ่ม ก็มักพูดถึงแต่ว่า ความคิดเห็นของพวกตนน่าจะถูกต้องเพราะเหตุใด โดยไม่ได้คิดว่าความคิดเห็นของกลุ่มตนอาจจะผิด หรือความคิดเห็นของฝ่ายตรงกันข้ามอาจจะถูกต้องได้หรือไม่ เพราะสิ่งใด

 

นอกจากนี้ แม้จะมีสมาชิกบางคนได้รับข้อมูลใหม่ ๆ ที่อาจขัดแย้งกับกลุ่มมา ก็มักเกิดการเซ็นเซอร์ตัวเอง ไม่กล้านำเสนอ เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นในกลุ่มไม่พอใจ หรือแม้ตั้งใจจะนำเสนอ ก็อาจมีแกนนำกลุ่มบางคนพยายามขัดขวาง เพราะเกรงว่าจะทำให้คนในกลุ่มสับสนหรือหวั่นไหว ดังนั้นจึงเกิดภาพลวงตาขึ้นว่าทุกคนในกลุ่มเห็นพ้องกันเป็นเอกฉันท์

 

การตัดสินใจกลุ่มที่ผิดพลาดเช่นนี้ มักเกิดขึ้นกับกลุ่มที่มีความสนิทสนมกลมเกลียวกันมากๆ เพราะจะมีแรงกดดัน ทำให้สมาชิกไม่กล้าเสนอความคิดหรือข้อมูลที่ขัดแย้ง นอกจากนี้ ยังมักเกิดกับกลุ่มที่มีผู้นำที่ชอบชี้นำ ไม่ค่อยรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างของสมาชิกในกลุ่ม และไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นจากคนนอกกลุ่มที่ให้ความคิดเห็นจากมุมมองที่แตกต่างจากตน

 

ผลจึงมักปรากฏว่า คนในกลุ่มใช้เวลาพูดถึงแต่ข้อมูลที่รู้กัน และเห็นพ้องต้องกันอยู่แล้ว มากกว่าจะพูดถึงแง่มุมอื่นที่ขัดแย้ง ทำให้เกิดการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาด และตัดสินใจผิดพลาดเพราะการตัดสินใจนั้นตั้งอยู่บนข้อมูลด้านเดียว จึงคิดว่าสิ่งที่กลุ่มตนทำนั้น ถูกต้อง เหมาะสมแล้ว

 

ท่ามกลางความขัดแย้งในปัจจุบันนี้ คนเรามีวิจารณญาณที่จะเลือกจุดยืนของตนเอง ส่วนแนวคิดจิตวิทยาที่อธิบายถึงกระบวนการ และปัญหาในการยึดถือจุดยืนแบ่งข้าง แบ่งฝ่ายนี้ หวังว่าคงจะมีประโยชน์ประกอบการตัดสินใจที่จะแสดงท่าทีของเราทุกคนเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ

 

 


 

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทิพย์นภา หวนสุริยา

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Here to heal Online Workshop: How to take care of yourself and others

 

Here to heal ชวนคุณมาดูแลหัวใจ ให้เวลาชีวิต ด้วยจิตวิทยา กับ Online Workshop ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

 

ในหัวข้อเรื่อง “How to take care of yourself and others”

 

โดยวิทยากร อ. ดร.พนิตา เสือวรรณศรี ประธานแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ในวันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม 2564  เวลา 13.00-15.00 น.
ลงทะเบียนได้ที่ https://forms.gle/G6ubmFYfzT3vXPeDA

 

โดยทีมงานจะจัดส่งลิงก์ Zoom ให้ผู้ลงทะเบียนทุกท่านผ่านอีเมล

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://lin.ee/P77s2bW
ในเวลาทำการ 10.00-22.00

 


 

Workshop นี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ here to heal โดยคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ สสส.
เป็นโครงการให้บริการแชทพูดคุยกับนักจิตวิทยา ฟรี
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อผ่าน Line official หรือทางเพจเฟซบุ๊ค Here-to-Heal เพื่อนัดหมายเวลาพูดคุย