ข่าวและกิจกรรม

เข้าใจความประหม่า เวลานำเสนองาน

 

ในการทำงานปัจจุบัน การนำเสนองาน หรือ present งานนั้นนับเป็นทักษะที่สำคัญทักษะหนึ่ง แต่หลายคนอาจกลัวหรือไม่มั่นใจในการออกไปพูดคุยต่อหน้าคนจำนวนมาก พยายามหลีกเลี่ยงการนำเสนองาน หรือหากต้องทำ ความประหม่าอาจทำให้นำเสนอได้ไม่เต็มที่ พลอยทำให้เสียโอกาสดี ๆ ที่จะถ่ายทอดความคิดหรือข้อมูลที่มีไป

 

ความกลัวการนำเสนองานหรือการพูดต่อหน้าคนหมู่มากนั้น นับเป็นความกลัวยอดฮิตติดลำดับต้น ๆ ของคนทั่วไป ทางจิตวิทยาจึงได้มีการค้นคว้าทำความเข้าใจ พบว่าความกลัวนี้แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือความกลัวว่าเราจะทำผิดพลาดระหว่างการนำเสนอ และส่วนที่สอง คือ ความกลัวว่าความผิดพลาดนั้นจะนำมาซึ่งผลเสียต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการถูกลงโทษ การตำหนิ การล้อเลียน เมื่อนำทั้งสองส่วนมาประกอบกันแล้ว ไม่แปลกเลยนะคะที่การนำเสนองานจะทำให้หลาย ๆ คนรู้สึกอกสั่นขวัญแขวงไม่น้อย

 

 

ทำไมเราแต่ละคนจึงกลัวการนำเสนองานไม่เท่ากัน


 

สาเหตุตรงนี้แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนเช่นกันค่ะ ส่วนแรกเลยเป็นพื้นอารมณ์ที่ติดเนื้อติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด เราบางคนมีลักษณะระแวดระวัง เคร่งเครียด หรือกังวลง่าย จึงมีแนวโน้มที่จะเกิดความกลัวง่ายเป็นพิเศษ ส่วนที่สอง เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ที่มี บางคนอาจเคยมีประสบการณ์ลบ ๆ จากการนำเสนองาน หรือเห็นตัวแบบคนอื่น ๆ มีประสบการณ์เลวร้าย เช่น เคยพูดผิดพลาดแล้วถูกตำหนิ ส่งผลให้เกิดความหวาดระแวงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเกิดขึ้นกับตนเองอีก

 

ทั้งสองปัจจัยนี้ส่งผลร่วมกัน ทำให้หลายคนเกิดความกลัวคิดหวาดระแวงว่าจะทำผิดพลาด หรือกดดันตัวเองว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าที่ต้องการ ผนวกกับประสบการณ์ทางลบที่เคยมีมาในอดีต อาจทำให้คาดเดาว่าความผิดพลาดจะส่งผลเสียต่าง ๆ ส่งผลทำให้เกิดความกลัวขึ้น ซึ่งเมื่อความกลัวเกิดขึ้นแล้ว ร่างกายก็จะตอบสนองตอบเชิงลบ เช่น มือไม้สั่น หน้าแดง หรือเหงื่อแตก พลอยทำให้เจ้าตัวพะวงว่าผู้ฟังจะสังเกตเห็นสัญญาณความกลัวของตัวเอง เกิดการขาดสมาธิ พูดผิด ๆ พลาด ๆ กลายเป็นยิ่งรู้สึกขยาดการนำเสนองานต่อเนื่องตามไป

 

หลายคนพอกลัว ก็จะหลีกเลี่ยงไม่นำเสนองาน อย่างไรก็ดี การเลี่ยงในลักษณะนี้ช่วยลดความกลัวได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม แต่ในระยะยาว กลับเป็นเสมือนเชื้อไฟที่ทำให้ความกลัวคงอยู่หรือทวีความรุนแรงขึ้น เพราะการเลี่ยงจะทำให้เราขาดโอกาสในการเรียนรู้และสะสมความมั่นใจว่าจริง ๆ เราก็อาจพูดได้โดยไม่เลวร้ายนัก หรือต่อให้เกิดความผิดพลาดขึ้น ผลก็คงไม่เลวร้ายมากเท่าที่เราคาดเดาไว้

 

ในเชิงจิตวิทยา แนวทางหนึ่งในการลดความกลัวที่ได้ผล คือ การฝึกหาทางรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเมื่อความกลัวเกิดขึ้น ซึ่งอาจทำได้ผ่านการฝึกหายใจลึกและยาวช้า ๆ หรือการฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เพื่อทำให้ร่างกายสงบพร้อมรับมือความกลัวยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ยังต้องค่อย ๆ ฝึกเผชิญหน้ากับความนำเสนองานซ้ำ ๆ นานเพียงพอเพื่อให้เกิดความคุ้นชิน

 

การปรับความคิดก็เป็นประเด็นที่ขาดไปไม่ได้ในการเอาชนะความกลัวค่ะ โดยจะเริ่มจากการคิดไม่ให้แพ้ภัยตัวเองก่อน ความคาดหวังนับเป็นภัยแรกเลยค่ะ จึงต้องเริ่มต้นด้วยการลดความต้องการความสมบูรณ์แบบลง หากเรากดดันคาดหวังตัวเองสูง เช่น จะต้องนำเสนอให้เป๊ะ น่าประทับใจ ไม่ติดขัดเลย อาจจะปรับลดความคาดหวังโดยสังเกตการนำเสนอของคนทั่วไปว่าจริง ๆ แล้วส่วนใหญ่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบเสมอ แล้วคนฟังเองก็ไม่ได้สนใจจับรายละเอียดทั้งหมด หากคนอื่นมีผิดมีพลาด เหตุใดเราจึงคาดหวังความสมบูรณ์แบบกับตนเอง

 

นอกจากการลดความคาดหวังความสมบูรณ์แบบแล้ว ไม่ควรมองข้ามมุมมองความคิดอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์อีกค่ะ เช่น การยอมรับว่าการพูดต่อหน้าคนหมู่มากไม่ใช่เรื่องหมูและอาจก่อให้เกิดความกลัวให้คนส่วนใหญ่ ตรงนี้จะช่วยให้เรายอมรับและไม่หงุดหงิดเกินไปกับความกลัวของตัวเอง นอกจากนั้น หากเรามองว่าการนำเสนองานเป็นทักษะที่พัฒนาขึ้นได้ ไม่ได้อาศัยพรสวรรค์อย่างเดียว พร้อมทั้งชมเชย ไม่ละเลยเวลาที่เราทำได้ดี เหล่านี้จะเป็นกำลังใจให้เราฝึกปรือ ทำให้แม้จะมีความกลัวในการนำเสนองานอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีผลกระทบมากเกินไปในการทำงานของเรานะคะ

 

 

 

 

ภาพประกอบจาก https://studybreaks.com/college/prep-presentation-severe-anxiety/

 

 


 

 

บทความโดย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กุลยา พิสิษฐ์สังฆการ

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

Psyche Poll #2 : Poll เลือกตั้ง 2562

 

Election Poll :

เหตุผลของการตัดสินใจ ปัญหาที่อยากให้เร่งแก้ไข และคุณสมบัติสำคัญของผู้นำ

 

 

โพลลำดับที่ 2 ของเพจบริหารชีวิตด้วยจิตวิทยา เป็นเรื่องที่เรียกได้ว่าเป็นวาระแห่งชาติ เพราะเราได้ห่างหายจากการเลือกตั้งทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นกันมานานพอสมควร การเลือกตั้งหนนี้จึงเรียกความตื่นตัวให้กับคน 50 กว่าล้านคนทั่วประเทศได้เป็นอย่างดี

 

ครั้งนี้มีท่านผู้มีอุปการะคุณมาร่วมตอบโพลนี้ทั้งสิ้น 173 คน เป็นผู้หญิง 125 คน (72.3%) ผู้ชาย 43 คน (24.9%) และเพศอื่นๆ 5 คน (2.9%) มีอายุเฉลี่ย 29.86 ปี (ต่ำสุด 14 ปี และสูงสุด 67 ปี) การศึกษาระดับปริญญาตรีมากที่สุด (49.7%) ตามด้วยปริญญาโท (40.5%) เป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นส่วนใหญ่ (67.6%) และเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในภูมิภาคอื่นๆ อาทิ ภาคกลาง (9.2%)  ภาคใต้ (0.9%) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (5.8%) ภาคเหนือ (4.6%) ภาคตะวันตก (1.7%) และภาคตะวันออก (1.2%) ตามลำดับ (ไม่ระบุ 2.9%)

โดยกว่า 2 ใน 3 เป็นผู้ที่เคยใช้สิทธิ์เลือกตั้งมาแล้ว และอีก 1 ใน 3 ไม่เคยใช้สิทธิ์หรือไม่ถึงเกณฑ์ที่จะใช้สิทธิ์เลือกตั้งมาก่อน

 

 

 

 

จากคำถามใน Psyche Poll#2 ของเราที่ประกอบด้วย
  • การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ ท่านมีตัวเลือกในใจแล้วหรือยัง
  • สิ่งที่เป็นตัวกำหนดการตัดสินใจของท่าน ในการเลือกตั้งครั้งนี้
  • ปัญหาที่ท่านอยากให้รัฐบาลใหม่ แก้ไขหรือปฏิรูปมากที่สุด
  • คุณสมบัติ 3 ข้อสำคัญของผู้นำที่ท่านต้องการ

 

ผลการสำรวจปรากฏดังนี้

1. ตัวเลือกในใจ

 

 

 

ผู้ตอบโพลส่วนใหญ่มีตัวเลือกในใจในการเลือกตั้งครั้งนี้แบบแน่วแน่ไม่เปลี่ยนใจ (38.7%) แต่ก็ไม่ทิ้งห่างกันนักกับกลุ่มที่ถึงแม้จะมีตัวเลือกในใจแต่ก็ยังเอนไปเอนมา (32.9%) แล้วก็มีจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่ยังไม่ตัดสินใจ (26.6%) และมีอีกจำนวนหนึ่งที่ตัดสินใจแล้วว่าเลือกที่จะไม่เลือก (1.7%)

 

เป็นที่น่าสนใจว่า โดยทั่วไปแล้วเรื่องการเมืองถือเป็นเจตคติ (attitude) ที่หนักแน่นเปลี่ยนแปลงได้ยาก คนมักมีความชอบและเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าต่อแนวคิดทางการเมืองและพรรคการเมืองแบบแทบที่จะไม่สามารถโน้มน้าวได้ ดังที่เรามักพูดกันว่า จะเถียงกันเรื่องใดก็เถียงไป แต่อย่าเถียงกันเรื่องการเมืองและศาสนา

 

แต่จากข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างเล็ก ๆ นี้ หลายคนเลือกที่จะไม่ออกตัวแรง หรือชะลอการตัดสินใจเอาไว้จนถึงนาทีสุดท้าย สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ทางสังคมที่แตกต่างออกไป

 

การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นหลังการรัฐประหารเกือบ 5 ปี โครงสร้างการแข่งขันหรือส่วนแบ่งทางการตลาดเปลี่ยนรูปแบบออกไป จากที่เคยมีพรรคใหญ่ ๆ ไม่กี่พรรค ครั้งนี้ด้วยรูปแบบการนับคะแนนที่เปลี่ยนไปจากเดิมทำให้มีพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กแตกขยายออกเป็นจำนวนมาก มีพรรคใหญ่ที่เป็นพรรคใหม่เข้ามาเป็นตัวเลือกที่มาแรงทั้งกระแสและฐานความนิยม

 

และระหว่างที่ถูกจำกัดการเคลื่อนไหวทุกพรรคก็ได้ซุ่มตระเตรียมนโยบายด้านต่าง ๆ พร้อมออกมาขายกันอย่างมากมาย นับว่ามีข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจะได้ใช้พิจารณา

 

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเรื่องที่จะต้องชั่งน้ำหนักอีกหลายประการ ได้แก่ เราจะเลือกจากอะไรเป็นสำคัญ ระหว่าง “ผู้สมัครในเขต” “พรรคการเมือง” หรือ “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” เพราะมีความเป็นไปได้ไม่น้อยที่เราจะพอใจผู้สมัครจากพรรคหนึ่ง แต่มีจิตใจต่อต้านหรือโอนเอียงต่อพรรคหนึ่ง และประทับใจต่อตัวแคนดิเดตนายกฯ จากอีกพรรคหนึ่ง และข้อกังวลว่า ถ้าไม่เลือกพรรคนี้ พรรคนั้นเขาจะมาแน่ใช่หรือไม่ ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก (dilemma) เหล่านี้ก็นับเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการตัดสินใจ

 

และนี่จึงนำไปสู่คำถามข้อถัดไป ว่าด้วย

 

 

2. ตัวกำหนดการตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งนี้

 

 

 

เมื่อมีตัวเลือกจำนวนมาก ข้อมูลประกอบมาก และ dilemma มาก ทั้งสมองและอารมณ์ของเราก็ต้องทำงานอย่างหนัก

 

โดยเมื่อโพลให้เลือกถึงตัวกำหนดการตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งนี้ 3 ข้อจากตัวเลือกทั้งสิ้น 7 ตัวเลือก พบว่าสิ่งที่มีน้ำหนักมากที่สุดสำหรับกลุ่มผู้ตอบโพลคือ นโยบายที่ถูกใจ ตามมาด้วยความชื่นชอบในตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ความชื่นชอบในพรรคการเมือง และความชื่นชอบในตัวผู้สมัครในเขตของตนเอง ส่วนตัวกำหนดที่อาจจะมีน้ำหนักน้อย แต่ก็ไม่ได้ไร้อิทธิพลเสียทีเดียว ก็คือ กระแสสังคม อิทธิพลจากครอบครัวและเพื่อนฝูง

 

หลักจิตวิทยาเกี่ยวกับการตัดสินใจนั้น มีอธิบายไว้มากมายหลายทฤษฎี เช่น การเลือกด้วยทางสายแกนและทางสายเปลือก คือเราอาจถูกโน้มน้าวใจได้ด้วยข้อมูลอันมีเหตุมีผล มีการพิจารณาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย หรือเราอาจถูกโน้มน้าวใจได้ด้วยภาพลักษณ์ ความสวยงาม ความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล รวมถึงอคติทางบวกและทางลบที่มีอยู่เดิม

 

โดยสิ่งใดจะมีน้ำหนักมากกว่ากันนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความรู้ ความสนใจในเรื่องนั้น และบุคลิกภาพส่วนบุคคล (ความต้องการทางปัญญา)

 

อีกทฤษฎีหนึ่งเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคล คือ ทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน ที่กล่าวว่าบุคคลจะมีพฤติกรรมเป็นเช่นไรนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ เจตคติ บรรทัดฐาน และความเชื่อในอำนวจควบคุม ถ้านำทฤษฎีนี้มาประยุกต์กับในกรณีนี้ เราสามารถอธิบายได้ว่า พฤติกรรมการเลือกหรือเจตนาที่จะเลือกของเรา สามารถอาจเป็นไปตามเจตคติหรือความเชื่อความรู้สึกที่เรามีต่อตัวเลือกต่าง ๆ และอาจโน้มเอียงไปตามบรรทัดฐานของสังคม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนฝูง ครูอาจารย์ หรือกระแสในสื่อหลักและสื่อออนไลน์ (ซึ่งจะส่งอิทธิพลอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับในสังคมแบบคติรวมหมู่) และยังขึ้นอยู่กับการที่เรารับรู้ว่าเรามีอำนาจในการเลือกนั้นแค่ไหน เราสามารถเลือกได้ตามใจเราหรือไม่ หรือเสียงของเรามีความหมายเพียงใด สามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหรือไม่

 

ดังนั้น ผู้ที่ไม่ได้เลือกตอบถึงตัวนโยบาย หรือพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับตัวผู้สมัคร ก็อาจไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้ใช้ทางสายแกนในการคิด แต่เป็นเพราะตระหนักว่าอคติและอิทธิพลทางสังคมมีผลต่อการตัดสินใจของตนเอง ทั้งยังมีประเด็นพิจารณาเกี่ยวกับอำนาจของสิทธิ์และเสียงของตนเองอีกด้วย

 

 

3. ปัญหาที่ต้องการให้รัฐบาลใหม่แก้ไขหรือปฏิรูปมากที่สุด

 

 

 

มาถึงประเด็นที่คนให้ความสำคัญและฝากความหวังไว้กับรัฐบาลใหม่

 

เรื่องเศรษฐกิจและปากท้องประชาชนยังคงเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งตลอดกาล เพราะเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อทุกผู้ทุกคน ไม่ว่าจะวัยใด ฐานะไหน มีบทบาทสถานะอะไร ความมีอยู่มีกิน ไร้หนี้สิน มีสภาพคล่องก็เป็นยอดปรารถนา เศรษฐกิจที่ดีนำมาซึ่งความบริบูรณ์ของปัจจัยสี่ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ที่พักอาศัย เครื่องนุ่งห่ม และการเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับทฤษฎีทางจิตวิทยาเรื่องลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ ที่เสนอว่า มนุษย์มีความต้องการหลายอย่าง มากน้อยแตกต่างกันไปตามความจำเป็นของชีวิต โดยความจำเป็นพื้นฐานที่มีความจำเป็นมากที่สุดจะอยู่ในชั้นฐานของปิระมิดที่มีพื้นที่มากที่สุด และความจำเป็นในระดับรองลงมาก็จะอยู่ในลำดับขั้นที่สูงขึ้นไปจนถึงยอดปิระมิดที่มีพื้นที่น้อยที่สุด

 

มาสโลว์กล่าวถึงความต้องการในชั้นฐาน ซึ่งก็คือความต้องการทางกายภาพ เป็นความต้องการเพื่อความอยู่รอด ความต้องการพื้นฐานนี้จำเป็นจะต้องได้รับการเติมเต็มก่อนความต้องการใด ๆ ความมั่นคงปลอดภัย มิตรภาพและความรัก ความเคารพนับถือ และการพัฒนาตนให้เต็มศักยภาพ ยังรอได้หากความต้องการทางกายภาพยังไม่ได้รับการตอบสนอง หรือเราอาจมองได้ว่า ความเพียงพอทางกายภาพนี้เองจะเป็นต้นทุนสำหรับการสร้างและแสวงหาความต้องการด้านอื่น ๆ

 

ถัดจากเรื่องเศรษฐกิจ การศึกษาเป็นประเด็นที่ถูกให้ความสำคัญในอันดับต่อมา อาจด้วยหลายคนมองว่าการศึกษาเป็นต้นตอแห่งความเจริญพัฒนาของเรื่องอื่น ๆ (หรือความเสื่อมหากจะมองกลับกัน) หากอยากแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมได้อย่างยั่งยืน ก็ต้องพัฒนาที่คุณภาพคน ซึ่งการศึกษาที่มีคุณภาพก็จะเป็นตัวรับประกันคุณภาพคนประการหนึ่ง และด้วยกลุ่มตัวอย่างที่ตอบโพลนี้เกือบทั้งหมดจบการศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโท จึงเป็นกลุ่มคนที่เห็นความสำคัญของการศึกษา และเห็นปัญหาที่คิดว่าประเทศควรได้รับการแก้ไข

สำหรับประเด็นคอร์รัปชั่น ความเหลื่อมล้ำทางสังคม รวมถึงเรื่องระบบราชการ ด้วยพื้นฐานสังคมไทยเป็นสังคมแบบอุปถัมป์ ปัญหาลักษณะนี้จึงพบได้ทั่วไปในสังคมทุกระดับ แม้วิธีคิดหรือวัฒนธรรมของคนในสังคมเองที่เป็นตัวบ่มเพาะปัญหา แต่การจะเปลี่ยนแปลงถึงระดับรากฐานนั้นเป็นงานใหญ่ที่ผู้คนต่างคาดหวังให้รัฐบาลที่ประชาชนให้อำนาจ จะใช้อำนาจในการสร้างกฎระเบียบ วิถีปฏิบัติ เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมใหม่

 

ในทางจิตวิทยาสังคมและจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การเชื่อเสมอว่า การเปลี่ยนแปลงในระดับสังคมและวัฒนธรรม แม้จะต้องมีองค์ประกอบที่เอื้อหลายๆ อย่าง และได้รับความร่วมมือจากหลาย ๆ ฝ่าย แต่ผู้นำก็เป็นส่วนที่มีบทบาทสำคัญที่สุด การเปลี่ยนแปลงของผู้นำจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมได้

 

จึงมาถึงคำถามประเด็นสุดท้าย

 

 

4. คุณสมบัติ 3 ข้อสำคัญของผู้นำที่ท่านต้องการ

 

ผู้นำ (leader) คือตัวแทนของกลุ่ม คือผู้ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในการตัดสินใจของกลุ่ม คือตัวกลางในการสื่อสาร การประสานการทำงานของกลุ่ม คือผู้กำหนดทิศทาง เป้าหมายและแรงจูงใจของกลุ่ม ทั้งยังมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมของกลุ่ม

 

ในทางจิตวิทยามีงานที่ศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติหรือคุณลักษณะของผู้นำเป็นจำนวนมาก รวมถึงงานที่ศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบหรือสไตล์ของผู้นำที่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์ต่างๆ โดยคุณสมบัติที่ทำให้บุคคลได้รับการยอมรับเป็นผู้นำนั้นมีองค์ประกอบหลายด้าน เช่น ด้านสติปัญญา ความรู้ความสามารถ การมีส่วนร่วมในงาน บุคลิกภาพ สายสัมพันธ์ กระทั่งเรื่องรูปร่างหน้าตา

 

สำหรับเรื่องสติปัญญา การศึกษาทางจิตวิทยาพบว่า โดยทั่วไปแล้วผู้นำมักมีระดับสติปัญญาสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม กลุ่มต้องการผู้นำที่ฉลาดกว่าสมาชิก (แต่ไม่ต้องมากนักก็ได้) มีความรู้มากกว่า ตัดสินใจได้เด็ดขาดกว่า มีไหวพริบ พูดคล่องกว่า และความฉลาดที่จำเป็นคือความฉลาดทางอารมณ์และสังคม มีความยืดหยุ่นที่จะปรับบทบาทของตนเองได้ว่าสถานการณ์ใดควรมุ่งงาน และสถานการณ์ใดต้องมุ่งคน (task and relationship oriented)

 

ความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ก็เป็นประเด็นสำคัญ ผู้นำที่มีทักษะที่เกี่ยวข้องกับงานนั้นสูง และแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ ความกระตือรือร้น ที่จะใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และทักษะที่มี อุทิศให้กับงาน เพื่อให้เป้าหมายของกลุ่มประสบความสำเร็จ คือผู้นำที่สมาชิกกลุ่มชื่นชอบ

ด้านบุคลิกภาพ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสรุปได้ยาก แต่โดยทั่วไปพบว่าผู้นำมีลักษณะต่อไปนี้สูงกว่าสมาชิก ได้แก่ พลังงานและอำนาจ ความรับผิดชอบ การปรับตัว ความมั่นใจในตนเอง ความตื่นตัว การควบคุมอารมณ์ ความเป็นตัวของตัวเอง ความคิดสร้างสรรค์ คุณธรรม ความเป็นชายและความเป็นหญิง (masculinity-femininity) การเปิดตัว (extraversion) เป็นต้น

 

เรื่องหน้าตาใครคิดว่าไม่สำคัญ แม้ความสวยความหล่อจะไม่ได้มีผลต่อประสิทธิภาพการนำของบุคคล แต่ในด้านความน่าเชื่อถือ ผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาดี เหมาะกับวัย ก็จะมีภาพลักษณ์ที่ดีกว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องความลำเอียงทางปัญญาว่าด้วย Halo Effect  คือการที่เรารับรู้ลักษณะที่ดีประการหนึ่งของบุคคล ส่งผลให้เราประเมินว่าบุคคลมีลักษณะอื่นๆ ในทางที่ดีด้วย ดังนั้นคนที่หน้าตาดี จึงมักได้รับการประเมินอย่างลำเอียงว่าเป็นคนเก่งและมีอุปนิสัยที่น่าพึงปรารถนาด้วย

 

อย่างไรก็ดี รูปร่างหน้าตาไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้เกิด Halo Effect ความร่ำรวย การศึกษา ฐานะทางสังคม หน้าที่การงาน เสน่ห์ ฯลฯ ก็เป็นสาเหตุได้เช่นกัน

 

ข้างต้นที่กล่าวมานั้นคือคุณสมบัติทั่วไปของบุคคลที่ได้รับการยอมรับให้มาเป็นผู้นำกลุ่ม สำหรับการเป็นผู้นำประเทศ สมาชิกกลุ่มคือประชาชนทุกคนในประเทศ ดังนั้นคุณสมบัติต่าง ๆ เหล่านั้นจึงต้องมีความเข้มข้นมากขึ้น เพื่อที่จะเป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศ เป็นผู้กำหนดทิศทาง และประสานการทำงานที่จะส่งผลต่อพลเมืองทุก ๆ คน

 

เรามาดูกันว่า คุณสมบัติใดที่มีน้ำหนักในมุมมองของผู้ตอบโพลมากที่สุด

 

 

 

 

ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นไม่ใช่ผู้ที่ลงมือทำงานเองทุกอย่าง อาจไม่ต้องมีความสามารถเฉพาะด้านเป็นพิเศษ แต่ต้องเป็นผู้ที่มองภาพรวมออก กำหนดทิศทางได้ เรื่องวิสัยทัศน์และการมองการณ์ไกลจึงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญเป็นอันดับที่หนึ่ง ไม่ไกลกันนักกับลำดับที่สาม คือเรื่องความฉลาดมีไหวพริบ เนื่องจากงานนายกรัฐมนตรีเป็นงานที่เกี่ยวกับการตัดสินใจ กำกับ ติดตาม การทำงานของคณะทำงาน จะต้องมองเห็นปัญหาอย่างรวดเร็ว และตอบสนองต่อปัญหาในทางสร้างสรรค์ได้ รวมทั้งรู้เท่าทันในตัวบุคคลและสถานการณ์ที่ดำเนินอยู่

 

นอกจากนี้ ในตำแหน่งที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์สูง คุณธรรมจริยธรรมก็เป็นข้อเรียกร้องที่ไม่อาจละเลยได้ นายกรัฐมนตรีอาจไม่ต้องเป็นคนดีที่สุด แต่ถ้าเมื่อใดที่มีความขัดแย้งระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม จะต้องละประโยชน์ส่วนตนเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวมให้ได้ ความซื่อสัตย์สุจริตอาจไม่ต้องร้อยเปอร์เซ็น (จะผิดสัญญาบ้างก็ได้) แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำ ซึ่งผู้นำคือผู้ที่ทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับกลุ่มด้วยความเห็นชอบจากสมาชิก ดังนั้นความซื่อสัตย์สุจริตที่ชาติต้องการ คือความซื่อสัตย์สุจริตที่นำมาเพื่อประโยชน์ของคนในชาตินั่นเอง

 

เรามักมีคำถามว่า ถ้าให้เลือกระหว่างคนเก่งกับคนดีจะเลือกอะไร สำหรับคำถามนี้ นักจิตวิทยาจะตอบว่า ผู้นำประเทศไม่ต้องเก่งมากหรือดีมากกว่าใคร แต่ต้องทั้งเก่งและดีไปด้วยกัน

 

สายใย สายสัมพันธ์

 

วันแห่งความรัก

 

หนุ่มน้อยสามคนเดินอยู่หน้าร้านดอกไม้ ดูเคอะเขินและละล้าละลังที่จะเลือกดอกไม้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนความรู้สึกที่ตนมีให้แก่คนรัก

 

ผู้เขียนยืนมองหนุ่มน้อยทั้งสามด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ เกิดความรู้สึกทั้งเอ็นดูทั้งช่วยลุ้น ทั้งเป็นห่วงระคนกัน

 

สำหรับวัยรุ่นความรู้สึกรักและถูกรัก ช่างมีค่ามีพลังเหลือเกิน และเมื่อความรักนั้นไม่สมหวังก็จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงเช่นกัน หากจะเปรียบเทียบถึงความรู้สึกของการอยู่ในความรักของวัยรุ่น ก็คงเปรียบได้กับการอยู่ในพายุ

 

หากจะมองจากหัวใจคนเป็นแม่ ก็คงรู้สึกว่าลูกอยู่ท่ามกลางพายุ จะประคองยังไงให้เขาผ่านพ้นพายุลูกนี้ไปได้ ถ้าแม่จะกางกั้นไม่ให้ลูกมีความรัก การกระทำนี้คงเป็นไปเพื่อความรู้สึกปลอดภัยของแม่เอง ที่แม่ได้เก็บลูกไว้กับตัวเอง มั่นใจได้ว่าลูกปลอดภัยอยู่กับเรา ถ้าแม่จะปล่อยให้ลับตาไป ให้เผชิญกับพายุตามลำพัง ใจแม่ก็หวั่นเสียเหลือเกินว่าลูกจะเป็นอย่างไร

 

การตัดสินใจของแม่ว่าจะทำเช่นไรคงขึ้นกับแม่แต่ละคน หากผู้เขียนอยากบอกให้แม่ทุกคนรู้ว่า การที่ลูกของเราจะเป็นอย่างไรในความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของเขา สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ คือ ความสัมพันธ์ของเขากับแม่ถึงเริ่มก่อตัวตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเล็ก ๆ นี้ละคะ

 

การกอด รอยยิ้ม การสัมผัสทุกสัมผัส การป้อนอาหาร การเปลี่ยนผ้าอ้อม การดูแลในทุกรูปแบบที่แม่ทำ จะทำให้เกิดสายใยที่ค่อย ๆ ก่อตัวทีละเล็กทีละน้อย สายใยที่สร้างขึ้นมานี้จะสลักลึกลงในจิตใจของลูก ในใจของลูก เขาจะเริ่มสร้างเป็นภาพการรับรู้ที่เขามีต่อตัวเองว่าตัวเองมีค่ามีความหมายหรือไม่ และภาพการรับรู้ที่เขามีต่อคนอื่น ๆ ว่าคนอื่นมีค่าเพียงพอสำหรับการไว้วางใจหรือไม่ ถ้าแม่ได้สร้างสายใยที่แข็งแกร่งให้เขารับรู้ได้ตั้งแต่ยังแบเบาะแล้วว่า เขามีค่ามีความหมาย เขาก็จะมองตัวเองอย่างมีค่ามีความหมายต่อไปเมื่อเขาเติบโตขึ้น

 

สายใยที่แม่สร้างไว้จะเป็นพลังเป็นแรงใจให้ลูกในทุกเรื่อง แม่จะคอยมองอยู่ข้างหลังได้อย่างมั่นใจ เมื่อเขาจะไปเผชิญสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิต ลูกเองก็จะรับรู้ว่าเมื่อหันกลับมาเมื่อใดให้มั่นใจว่ามีแม่เป็นกองหลังที่เข้มแข็ง พร้อมเป็นแหล่งพลังงานให้เขาเมื่อเขาหมดแรง ลูกจะรับรู้ได้ว่าเมื่อใดที่ไม่สบายใจ เขาจะยังมีแม่เป็นฐานที่มั่นอันปลอดภัย (secure base) ให้กลับมาพัก กลับมาชาร์จแบต กลับมาเติมพลังได้เสมอ

 

ดังนั้นสิ่งที่แม่จะทำได้ในวันนี้เพื่อจะได้มั่นใจได้ว่าเมื่อลูกเติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่น เมื่อเขาเริ่มต้นมีความรัก เขาจะมีความรักที่ดี รักอย่างเห็นคุณค่าในตัวเอง รักอย่างให้เกียรติให้คุณค่าในอีกฝ่าย คือ การสร้างสายใยสายสัมพันธ์ผ่านความรักการดูแลเอาใจใส่ที่แม่มีให้ ให้เขารู้จักกับความสัมพันธ์ที่ดีตั้งแต่ความสัมพันธ์แรกในชีวิตเขา แล้วเขาก็จะมีความสัมพันธ์ที่ดีได้กับผู้อื่นต่อไป ดังคำของ John Bowlby ผู้เป็นเจ้าของทฤษฎีที่ผู้เขียนใช้เป็นแนวคิดหลักในการเขียนบทความฉบับนี้ได้กล่าวไว้ว่า “the cradle to the grave” รอยสลักจากสายสัมพันธ์แรกนี้จะสลักลึกอยู่กับลูกตลอดชีวิต

 

 

 

รายการอ้างอิง

 

Bowlby, J. (1973). Narural Clues to Danger and Safety. Attachment and loss, 2, 137-150.

 

Fraley, R. C., & Shaver, P. R. (2000). Adult romantic attachment: Theoretical developments, emerging controversies, and unanswered questions. Review of general psychology, 4(2), 132.

 

ภาพจาก https://www.virtual-college.co.uk/news/safeguarding/2018/01/attachment-theory-early-emotional-bonds-important

 

 


 

บทความโดย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ณัฐสุดา เต้พันธ์

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

Friends with benefits

 

Friends with benefits หรือเรียกสั้นๆ ว่า F.W.B. คือ ความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่งที่เพื่อนทำหน้าที่ร่วมหลับนอนกับเพื่อน

 

ในสังคมยุคปัจจุบันรูปแบบความสัมพันธ์ดังกล่าวถูกพูดถึงและนำมาโลดแล่นในบทภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่อง เช่น No string attached และภาพยนตร์ซึ่งมีชื่อเดียวกับรูปแบบความสัมพันธ์นั้นเอง

 

ความสัมพันธ์ของเพื่อนรูปแบบนี้จึงกระตุ้นให้ศาสตร์จิตวิทยาพยายามศึกษาเพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์รูปแบบดังกล่าว รวมถึงผลที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์นี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

 

หากเปรียบเทียบรูปแบบความสัมพันธ์แบบคนรักเป็น 2 ขั้ว ด้านหนึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบ one night stand หรือการมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า ส่วนอีกสุดขั้วด้านหนึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบโรแมนติก (Romantic Relationship) หรือการมีความสัมพันธ์แบบคู่รักที่คบหาดูใจกันระยะยาว

ความสัมพันธ์แบบ friends with benefits คงอยู่กึ่งกลางของความสัมพันธ์ทั้ง 2 ขั้ว

 

เนื่องจากคนที่เรามีเพศสัมพันธ์ด้วยนั้นเป็นคนที่เรารู้จักคุ้นเคย มีความใกล้ชิด หรือสนิทกันพอสมควร แต่ F.W.B. ก็ไม่ได้ถึงขั้นพัฒนาเป็นคู่รักที่มีความผูกมัดหรือคิดสร้างอนาคตร่วมกัน

 

ในสังคมไทยยังไม่ค่อยมีงานวิจัยใดที่ศึกษาความชุกของรูปแบบความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเกินของเพื่อน แต่ในสังคมชาวอเมริกัน Bisson และ Levine ในปี 2009 ได้ทำการศึกษาในนักศึกษามหาวิทยาลัย ผลพบว่า 60% ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดรายงานว่า ในช่วงหนึ่งช่วงใดของชีวิตเคยมีความสัมพันธ์แบบ F.W.B. และเกือบ 40% กำลังอยู่ในความสัมพันธ์รูปแบบดังกล่าวอีกด้วย

 

จึงไม่แปลกที่จะระบุว่ารูปแบบความสัมพันธ์เพื่อนเกินเพื่อนเกิดขึ้นได้ในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะในช่วงชีวิตของวัยมหาลัยและหลังจากเรียนจบ

 

 

แล้วเหตุใดรูปแบบความสัมพันธ์นี้จึงเกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน

 

จากการสำรวจพบว่าความสัมพันธ์แบบ F.W.B. ทำหน้าที่สำคัญคือ เป็นความสัมพันธ์แบบชั่วคราวจนกว่าบุคคลนั้นจะพบความสัมพันธ์ที่ดีกว่า หรือทำหน้าที่เป็นการทดลองดูว่าคนทั้งสองจะเข้ากันได้หรือไม่ก่อนที่จะคิดจริงจัง รวมทั้งยังเป็นการระบายความรู้สึกของตนเองกับคน (เพื่อน) ที่เราไว้ใจได้โดยไม่มีการผูกมัด

 

หลายคนคงตั้งคำถามว่า

  • ผลที่จะตามมาจากความสัมพันธ์รูปแบบดังกล่าวจะเป็นอย่างไร?
  • จะมีโอกาสลงเอยในฐานะคู่รัก หรือจะยังสามารถกลับมาเป็นเพื่อนกันได้หรือไม่?

 

คำตอบคือได้!

 

จากการศึกษาของ Owen, Fincham และ Manthos ในปี 2013 พบว่า 1 ใน 3 ของนักศึกษาชาวอเมริกันสามารถกลับมาเป็นเพื่อนกับเพื่อนที่เคยมีสถานะเป็น friends with benefits ได้ และ 15% ระบุว่าตนเองมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นจนอาจนำไปสู่การพัฒนาเป็นคู่รักในระยะยาวได้

 

แต่!

 

ผลการวิจัยยังสะท้อนในแง่ที่ว่า 30% ของผู้ที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับเพื่อน แม้จะยังคงสถานะเพื่อนได้ แต่มีความห่างเหินและไม่สนิทใจกันเหมือนก่อน อีกทั้ง 20% ยุติความสัมพันธ์กับเพื่อนที่เคยเป็น F.W.B. รวมถึงรับรู้ว่าตนเองถูกเพื่อนหลอกและมีความเสี่ยงที่จะเกิดความรู้สึกเหงาและซึมเศร้ามากกว่าอีกด้วย

 

ดังนั้นผลกระทบที่ตามมาจากการมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเพื่อน อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนเกิดความพัวพันและซับซ้อนยิ่งขึ้น หรือหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มหวั่นไหวหรือตกหลุมรัก ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกทำนองเดียวกัน ย่อมก่อให้เกิดอารมณ์ทางลบทั้งความรู้สึกผิดหวัง เจ็บปวดหรือหึงหวงตามมาอีกด้วย

 

การมี Friends with benefits จึงมีทั้งผลดีและผลเสีย

 

สำหรับในเมืองไทย แม้การศึกษาวิจัยเรื่องทางเพศและความสัมพันธ์ยังเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจำกัดและละเอียดอ่อน แต่เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า คนในวัยหนุ่มสาวเริ่มมีรูปแบบความสัมพันธ์ดังกล่าวมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นที่ทุกคนจำต้องพิจารณาถึงผลดี และผลเสียให้ถี่ถ้วน

 

เพราะในช่วงวัยมหาลัยและผู้ใหญ่ตอนต้นที่ทุกคนมีอิสระในการเลือกใช้ชีวิต หรือเลือกรูปแบบความสัมพันธ์ แต่ “ทุกทางเลือกย่อมมีผลตามมาเสมอ”

 

ดังนั้นการเลือกรูปแบบความสัมพันธ์ที่เพื่อนทำหน้าที่เกินเพื่อน จึงอาจทำให้บุคคลนั้น ‘ได้’ หรืออาจจะ ‘เสีย’ เพื่อนก็เป็นได้

จึงอยากฝากไว้ให้คิดกันนะครับ

 

 


 

 

บทความโดย

 

อาจารย์ภาณุ สหัสสานนท์

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Psyche Poll #1 : Love Poll

 

Psyche Poll #1

Love Poll: สีสันของหัวใจ ความหมายวันวาเลนไทน์

อภัยได้มั้ยถ้าถูกนอกใจ และการถูกเทอันเจ็บปวด

 

 

หลังจากที่เพจบริหารชีวิตด้วยจิตวิทยาได้สำรวจความคิดเห็นเรื่อง “ความรัก” ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ มีท่านผู้มีอุปการะคุณได้เข้ามาร่วมสนุกตอบโพลนี้ทั้งสิ้นจำนวน 224 คน เป็นผู้หญิงจำนวน 162 คน (72.3%) ชาย 43 คน (19.2%) เพศอื่น ๆ 9 คน (4%) และไม่ระบุเพศอีก 10 คน (4.5%) มีอายุเฉลี่ย 28.87 ปี (ต่ำสุด 14 ปี และสูงสุด 60 ปี) โดยกว่าครึ่งอยู่ในสถานะ โสด (49.1%) มีแฟนและแต่งงานแล้วอีกจำนวนมาก (34.8%) ขณะที่บางส่วนอยู่ในสถานะคลุมเครือ (12.1%)

 

จากคำถามใน Psyche Poll#1 ของเราที่ประกอบด้วย

 

  1. สถานะทางหัวใจตอนนี้ของคุณเปรียบได้กับสีอะไร
  2. สำหรับคุณวันวาเลนไทน์มีความหมายอย่างไร
  3. ถ้าคุณจับได้ว่าแฟนนอกใจ จะให้อภัยได้กี่ครั้ง
  4. คำบอกเลิกแบบไหนที่ไม่อยากได้ยิน

 

ผลการสำรวจปรากฎดังนี้

 

 

1. สีสันของหัวใจ

 

 

 

 

สีเทา คือสีที่มีผู้ตอบมากที่สุด รองลงมาคือสีขาว และสีชมพู ส่วนสีในตัวเลือกที่มีคนตอบน้อยที่สุดคือสีม่วง

อย่างไรก็ดี มีผู้ระบุสีอื่น ๆ นอกจากตัวเลือกมาด้วย อาทิ สีครีม, ชมพูเทา, ชมพูอ่อน, เทาปนส้ม, น้ำตาล, ฟ้า, ใส ไร้สี และหลากสี

 

จากผลสำรวจนี้ น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า เหตุใดสีเทาจึงเป็นสีที่แสดงถึงสถานะหัวใจของผู้ตอบจำนวนถึงเกือบ 1 ใน 4 เลยทีเดียว!

เพื่อที่จะเข้าใจมากขึ้นนั้น ลองมาดูกันนะคะว่า สีแต่ละสีสะท้อนสภาวะหัวใจของเราอย่างไรบ้าง

 

 

• สีแดง ให้ความรู้สึกเร่าร้อน รุนแรง มีพลังอำนาจ และตื่นเต้น
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีแดง ก็อาจจะสะท้อนว่าคุณกำลังอยู่ในห้วงแห่งอารมณ์ความรักที่เข้มข้น เป็นช่วงที่หัวใจของคุณรู้สึกมีพลัง และตื่นเต้นไปกับทุกสิ่งที่คู่ของคุณทำให้เลยก็ว่าได้
• สีเหลือง ให้ความรู้สึก สว่าง อบอุ่น และศรัทธา
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีเหลือง ก็อาจจะสะท้อนว่าคุณรู้สึกอบอุ่นเมื่ออยู่ใกล้คนพิเศษ และก็ยังมีความศรัทธาในความรักด้วย
• สีเขียว ให้ความรู้สึก สดชื่น  ปลอดภัย สบายตา
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีเขียว ก็อาจจะสะท้อนว่าคุณรู้สึกสดชื่น ปลอดภัยกับความสัมพันธ์ที่คุณมีอยู่
• สีฟ้า ให้ความรู้สึก ปลอดโปร่ง แจ่มใส
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีฟ้า ก็อาจจะสะท้อนว่าคุณรู้สึกปลอดโปร่ง สบายอกสบายใจในความสัมพันธ์ของคุณนั่นเอง
• สีม่วง ให้ความรู้สึกซ่อนเร้น ลึกลับ
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีม่วง ก็อาจจะสะท้อนว่าความรักของคุณอาจจะยังเป็นเรื่องลึกลับ หรือมีความซับซ้อนในความสัมพันธ์ หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าคุณกำลังตกอยู่ในห้วงของความรู้สึกซ่อนเร้นบางอย่าง
• สีดำ ให้ความรู้สึก  เศร้า น่ากลัว หนักแน่น
หากความรักของคุณเปรียบได้กับดำ ก็อาจจะสะท้อนว่าคุณรู้สึกเศร้าหรือกลัวความสัมพันธ์ที่คุณมีกับคู่ของคุณ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ยังอาจหมายถึงว่า ความรักของคุณหนักแน่นเช่นกัน
• สีขาว ให้ความรู้สึก บริสุทธิ์ ผุดผ่อง
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีขาว ก็อาจจะสะท้อนว่า คุณรู้สึกว่าความสัมพันธ์ที่คุณมีกับคู่ของคุณเป็นเรื่องที่สะอาด บริสุทธิ์ รักกันที่ใจ
• สีเทา ให้ความรู้สึก เศร้า แก่ชรา
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีเทา ก็อาจจะสะท้อนว่า คุณรู้สึกเศร้า หรือเบื่อหน่ายกับความสัมพันธ์ที่คุณมีอยู่
• สีน้ำเงิน ให้ความรู้สึก เงียบขรึม สงบสุข
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีน้ำเงิน ก็อาจจะสะท้อนว่า คุณรู้สึกความรักของคุณเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความสงบสุข ทำให้คุณรู้สึกสุขุม
• สีน้ำตาล ให้ความรู้สึก แห้งแล้ง ไม่สดชื่น
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีน้ำตาล ก็อาจจะสะท้อนว่า คุณรู้สึกแห้งแล้ง ไม่สดชื่น เมื่ออยู่ใกล้คนพิเศษของคุณ
• สีชมพู ให้ความรู้สึก อ่อนหวาน ร่าเริง
หากความรักของคุณเปรียบได้กับสีชมพู ก็อาจจะสะท้อนว่า ความรักของคุณช่างหวานละมุนละไม ทำให้คุณรู้สึกร่าเริง

 

 

แม้สีเทาในตารางนี้จะมีความหมายที่ดูซึมเซาสิ้นหวังเสียเหลือเกิน แต่ที่จริงแล้ว สีเทายังมีความหมายทางบวก อันสื่อถึงมิตร ผู้อุปถัมป์ ศักดิ์ศรี และสติปัญญาอีกด้วย1

 

เพราะโดยทั่วไปสีเทานั้นเป็นสีที่ไม่เรียกร้องความสนใจ มักถูกใช้เป็นพื้นหลังเพื่อขับให้สีอื่นดูโดดเด่น จึงถือเป็นสีของการประนีประนอม สุขุมรอบคอบ บ้างก็ว่าเป็นสีของคนที่มีลักษณะของการใช้เหตุผล ไม่ค่อยไว้ใจอะไรง่าย ๆ ระมัดระวังตน และมักจะสร้างเกราะป้องกันตัวเอง2

ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อมูลจากโพล ที่ประมาณ 3 ใน 5 ของผู้ที่เลือกสีเทา คือ คนโสด! อีก 1 ส่วนคือผู้ที่อยู่ในสถานะคลุมเครือ และอีก 1 ส่วนอยู่ในสถานะมีคนรู้ใจ

 

นั่นแปลว่า สำหรับผู้ที่เลือกสีเทา คุณอาจเป็นผู้ที่มีหัวใจอันสงบเสงี่ยมเงียบขรึม พร้อมอยู่กลืน ๆ เป็นแบคกราวน์ให้กับหัวใจเปี่ยมสีสันดวงอื่น ๆ หรืออาจอยู่ในสถานะที่กำลังรอคอยให้ใคร (หรือคนที่คุณรู้อยู่แล้วว่าใคร) เข้ามาสร้างสีสันให้กับคุณก็เป็นได้

 

 

 

 

เช่นเดียวกันกับ สีขาว สีแห่งสันติภาพ ก็เป็นอีกสีที่คนโสดหลายคนเทใจให้

 

สีขาวเป็นสีที่สื่อถึงความสมบูรณ์แบบ เปิดเผย เรียบง่าย ปลอดภัย ดังนั้นต่อให้หัวใจของคุณจะว่างเปล่าแต่ก็เป็นหัวใจที่มีความสมดุล และถ้าหากเป็นหัวใจของคู่แต่งงาน ก็เป็นคู่แต่งงานที่มีความนุ่มนวลและมีเมตตาต่อกัน

 

สีที่ไม่กล่าวถึงเลยไม่ได้ เพราะเป็นสีที่เป็นสัญลักษณ์ของความรักและวันวาเลนไทน์ ก็คือ สีชมพูและสีแดง

 

สองสีนี้เป็นสีที่เป็นตัวแทนของคนมีความรัก ไม่ว่าจะเป็นรักที่สมหวัง อยู่ในช่วงเริ่มต้น สุกงอม หรือเป็นรักที่ “กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง” ก็ตาม

 

สำหรับสีชมพูนั้น เป็นสีที่อ่อนหวาน ฟรุ้งฟริ้ง ก็เหมือนกับรักที่เพิ่งเริ่มต้น หรือรักที่ยังคงความชุ่มชื่น สดใส มองคำว่ารักและคนชิดใกล้ในแง่บวก

ส่วนสีแดงที่แรงจัด ชัดเจน เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ก็เปรียบได้กับหัวใจที่มีไฟปรารถนา กล้าได้และกล้าเสีย

 

สังเกตได้ว่า สีแดงเป็นสีเดียวที่ไม่มีคนโสดคนไหนเลือกตอบเลย ซึ่งก็เข้าใจได้ไม่ยากค่ะ เพราะสีแดงเป็นสีที่มีค่าสีสูงที่สุด สะดุดตา (อีกนัยหนึ่งคือมองนาน ๆ แล้วเมื่อยตา) มากที่สุด สำหรับคนโสดที่ยังไม่มีใครเคียงข้างเป็นตัวเป็นตน ก็คงไม่มีความรู้สึกแรงจัดชัดเจนกับใครได้

 

 

2. ความหมายของวันวาเลนไทน์

 

มาถึงคำถามข้อที่ 2 ของเรากันบ้างนะคะ

 

เมื่อถึงเดือนกุมภาพันธ์ จะลืมเทศกาลสำคัญอย่างวาเลนไทน์ไปไม่ได้เลย (ไหนใครนึกถึงวันมาฆบูชาก่อนวันวาเลนไทน์บ้างเอ่ย)

 

ไม่ว่าคุณจะมองเทศกาลนี้อย่างไร แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าบรรยากาศโดยรอบ โดยเฉพาะในห้างร้านก็คงเตือนคุณให้ต้องสนใจวันนี้อยู่ดี

จากผู้ตอบแบบสำรวจของเรา 224 คน ไม่ว่าชายหรือหญิง หรือเพศอื่น ๆ พร้อมใจกันตอบว่าวันวาเลนไทน์นั้นไม่ได้แตกต่างอะไรจาก 364 (หรือ 365) วันที่เหลือ

 

 

 

 

เป็นผลสำรวจที่ไม่ได้สร้างความแปลกใจอะไรค่ะ

 

เพราะเราเป็นคนไทย ส่วนคติวันวาเลนไทน์นั้นมาจากชาติตะวันตก ก็เป็นไปได้ที่คนจำนวนมากไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรนักกับวันนี้ แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยที่อาจจะรับเอาวัฒนธรรม และถือเอาโอกาสนี้ใช้เป็นวันดี ๆ (D-day) ที่จะนัดหมาย พบเจอ มอบของขวัญ หรือทำอะไรพิเศษให้กันเพื่อแสดงความรักและเชื่อมความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันที่ทำหน้าที่ “เตือนให้นึกถึงกัน” เช่นเดียวกับ วันเกิดและวันครบรอบต่างๆ แต่สำหรับคนไทยเราก็สามารถยืดหยุ่นที่จะเพิ่มหรือลดความสำคัญของวันวาเลนไทน์ได้ แล้วแต่ความสะดวกของคู่นัด หรือสภาพคล่องในกระเป๋า (เพราะเป็นเทศกาลที่ดอกไม้ ตุ๊กตา ช็อกโกแลต แสนละลานตา แต่ก็แพงกว่าปกติหลายเท่าตัว)

 

 

 

 

ความน่าสนใจของวันวาเลนไทน์ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ค่ะ

 

คุณเชื่อหรือไม่ว่า นอกจากจะเป็นวันสารภาพรัก วันมอบความรักให้แก่กันแล้ว คู่รักหลายคู่ ถือเอาวันวาเลนไทน์เป็นวันดีเดย์ของการ “บอกเลิกกัน” อีกด้วย4

 

ผลการวิเคราะห์สถิติ Relationship status ในเฟซบุ๊ก พบว่า อัตราการเลิกราของคู่รักจะสูงเป็นพิเศษในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นมีนาคม และช่วง 2 สัปดาห์ก่อนคริสต์มาส

 

ผู้วิจัยให้คำอธิบายว่า เหตุผลที่หลายคนเลือกจบความสัมพันธ์ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเป็นเพราะ เทศกาลเป็นตัวเหนี่ยวนำที่ทำให้คนเราหันมาทบทวนถึงความรู้สึกที่เรามีต่อคนใกล้ชิดและสภาพความสัมพันธ์ที่กำลังดำเนินอยู่ หากบุคคลพบว่า ตนรู้สึกไม่พึงพอใจในความรักความสัมพันธ์ มันก็จะกลายเป็นช่วงชีวิตอันยากลำบากที่จะข้ามผ่านช่วงเวลาที่ทั่วโลกกำลังเฉลิมฉลองกันเกี่ยวกับความรักไปได้

 

หากคู่รักไม่สามารถร่วมใจกันฝ่าฟันอุปสรรคและปรับปรุงให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นได้ ช่วงเวลานี้จึงกลายเป็นแรงผลักดันให้คู่รักต้องเว้นวรรคหรือสวมคอนเวิร์สแล้วแยกย้ายจากกันไปค่ะ

 

 

3. การถูกเทอันเจ็บปวด

 

เพื่อความต่อเนื่องเราจะข้ามไปที่คำถามข้อ 4 ของโพลกันก่อนนะคะ ว่าด้วย “คำบอกเลิกแบบไหนที่ไม่อยากได้ยิน”

 

ผลสำรวจที่ออกมาแทบจะทำให้เราต้องเปลี่ยนคำถาม เพราะตัวเลือกที่ถูกเลือกมากที่สุดกลายเป็นตัวเลือกข้อสุดท้าย คือเหนือกว่าถ้อยคำทิ่มแทงใจ การปราศจากแม้ถ้อยคำใด ๆ นำมาซึ่งความชอกช้ำหัวใจมากที่สุด

 

 

 

 

ผู้ตอบกว่าครึ่งพร้อมใจกันตอบว่า ไม่มีอะไรพาให้เจ็บใจเท่าการเลิกราที่ไม่มีคำลาอีกแล้ว

 

แม้การจากไปเพราะเขามีใหม่ หรือเราไม่ใช่ความสุขของเขาอีกต่อไป จะสร้างรอยแผลและคำถามต่าง ๆ ให้กับเรามากมาย ทั้งงงว่าเขามีคนอื่นนอกจากเราตั้งแต่เมื่อไร ทำไมรักกันอยู่ดี ๆ การมีเราถึงทำให้เขาไม่มีความสุขไปได้

 

“แล้วที่ผ่านมามันคืออะไร้!?!”

 

อย่างน้อยคำตอบหรือข้ออ้างที่มีให้ ไม่ว่าจะฟังขึ้นหรือไม่ขึ้นอย่างไร ก็ไม่สร้างความสับสนปั่นป่วนใจได้เท่าการไม่มีคำตอบ

 

การเงียบหายไปเลยนั้นทิ้งไว้ทั้งความสูญเสียอ้างว้าง ทิ้งไว้ทั้งความค้างคาใจ ที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร ควรรอนานแค่ไหน หรือเริ่มต้นใหม่เมื่อไหร่ดี

 

ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่ชอบที่จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ดังนั้นฝากเอาไว้ว่าถ้าคุณคือคนหนึ่งที่รู้สึกไม่อยากไปต่อกับความสัมพันธ์ ไม่ว่าคุณจะมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลให้กับอีกฝ่ายหรือแม้กระทั่งตัวเอง ก็ขอให้มีคำลาสักคำก่อนจะไป

 

เรายังไม่จบกับประเด็นการเลิกราค่ะ

 

คำบอกลาที่พาให้เจ็บปวดเป็นอันดับที่ 1 จากในตัวเลือกที่มีคำบอกลา ก็คือ “ขอโทษนะ ฉันรักคนอื่นแล้ว”

 

เป็นผลลัพธ์ที่เข้าใจได้ไม่ยากนักค่ะ

 

การที่คนรักทิ้งเราไปมีใหม่ นำพาซึ่งความรู้สึกทางลบอีกประการหนึ่งนอกเหนือจากความรู้สึกสูญเสียคนสำคัญ นั่นคือการสูญเสียคุณค่าในตนเอง

เราคือคนที่ไม่ถูกเลือก เราไม่ดีตรงไหน คนนั้นดีกว่าอย่างไร ทำไมการมาก่อนและสายสัมพันธ์ที่มีต่อกันไม่ช่วยอะไรเลย

 

ต่อให้เราสามารถบอกกับตัวเองได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ความผิดของเรา หรือไม่ใช่ความผิดของใคร (ถ้ามันเป็นอย่างนั้นนะคะ) แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกด้อยค่าจากการเป็นคนที่ไม่ถูกเลือกได้อย่างง่ายดายอยู่ดี

 

 

4. อภัยได้มั้ยกับการถูกนอกใจ

 

แต่ก่อนที่จะไปถึงกระบวนการถูกทิ้งหรือเป็นฝ่ายทิ้งอีกคน สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นคือการมีใครอีกคนเข้ามาเป็นตัวแปรในความสัมพันธ์ค่ะ

บุคคลที่สามนั้นอาจจะก้าวเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ หรือเข้ามาด้วยความตั้งใจของคนกลางที่คิดจับปลาหลายมือ อาจเป็นการก้าวเข้ามาแบบชั่วคราว หรืออาจจะก้าวแบบเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปเลยก็ได้

 

คุณจะตอบสนองอย่างไรคะ ถ้าจับได้ว่าคนรักของคุณมีใครอีกคนหนึ่งซ่อนไว้

 

ผู้ตอบแบบสำรวจ 224 คน ของเราให้น้ำหนักไปที่ “การรอฟังเหตุผลของคนนอกใจ” ค่ะ

 

 

 

 

ไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็ต้องการที่จะทราบก่อนว่าที่มาที่ไปของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคืออะไร

 

แน่นอนว่าการถูกนอกใจนั้นเป็นสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ เป็นเหตุให้ความเชื่อและอุดมคติที่เรายึดถือเกี่ยวกับการครองคู่ถูกทำลาย เป็นสิ่งที่ละเมิดให้ตัวเรารู้สึกไม่เป็นธรรม สั่นคลอนความรู้สึกมั่นคง นำมาซึ่งอารมณ์ทางลบหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นโกรธ ผิดหวัง เสียใจ หดหู่ คับข้องใจ

 

บุคคลต้องเผชิญกับการชั่งน้ำหนักระหว่าง “สิ่งลบ ๆ ทั้งหมดข้างต้น” กับ “สิ่งดี ๆ ที่เคยมีมาและอาจจะมีต่อไปในอนาคต” ด้วยความยากลำบาก ซึ่งถ้ามันไม่อาจตัดสินได้โดยง่าย เหตุผลที่อีกฝ่ายมีให้จะมาช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับฝั่งใดฝั่งหนึ่งค่ะ อาจช่วยให้ให้อภัยง่ายขึ้น5 หรืออาจช่วยให้ตัดใจไม่ต้องเสียดายง่ายขึ้น

 

แต่ละคนมีความคาดหวังในความรักแตกต่างกัน ให้ความสำคัญกับองค์ประกอบต่างๆ ไม่เหมือนกัน มีขอบเขตการยอมรับและความยืดหยุ่นในขอบเขตนั้นๆ ไม่เท่ากัน6 จึงยากที่จะบอกว่าเหตุผลแบบไหนที่จะช่วยดึงรั้งความสัมพันธ์ไว้ได้ และมีโอกาสเท่าไหร่ที่จะมอบให้สำหรับการแก้ตัว

 

แม้การเลิกราและการถูกหักหลังล้วนเป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อคุณตัดสินใจเลือกที่จะคบหากับใครสักคน แต่หากคุณทั้งคู่ช่วยกันบ่มเพาะสายสัมพันธ์ด้วยความตั้งใจ ไม่ละเลยการสื่อสาร และคอยประคับประคองความสัมพันธ์เมื่อเกิดปัญหา เมื่อมีจุดใดเสียหายก็ซ่อมแซม ใส่ใจ ปรับตัวเข้าหากัน เปลี่ยนวิธีคิดจาก “Me” ให้เป็น “We” ความสัมพันธ์นั้นย่อมนั้นมาซึ่งความสุข …ไม่ว่าจะออกไปในเฉดสีใด ก็เป็นเฉดสีที่มีคุณค่ามีความหมายต่อชีวิตของเรา

 

 

การจัดการอารมณ์โกรธ

 

วัน ๆ หนึ่งคงมีหลายครั้งที่เรารู้สึกโกรธ ไม่ว่าจะโกรธแฟน โกรธเพื่อน หรือแม้กระทั่งโกรธคนที่เราไม่ได้รู้จัก เพราะเขาทำในสิ่งที่เรารู้สึกไม่ชอบใจ และยิ่งอากาศร้อนๆ ฝุ่นควันเยอะ ๆ อย่างทุกวันนี้ ยิ่งทำให้เรารู้สึกหงุดหงิด ไม่พอใจอะไรได้ง่าย ๆ

 

บทความนี้เราจะมาดูกันว่า เราจะจัดการกับความโกรธที่เกิดขึ้นได้อย่างไร

 

อารมณ์ของคนเราจะเกิดขึ้นได้เมื่อเราเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ แล้วเรา “ประเมิน” ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นดีหรือไม่ดีกับเราอย่างไร เราชอบหรือไม่ชอบ จากนั้นเราจึงมีการแสดงออกผ่านทางพฤติกรรมเพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

ในกรณีของอารมณ์โกรธนั้น มักจะเกิดขึ้นเมื่อเราเจอกับเหตุการณ์ที่เราไม่ชอบ แล้วเรามีความคิดต่างๆ เกิดขึ้น เช่น มันไม่ยุติธรรม มันไร้เหตุผล มันไม่มีสาระ แล้วความคิดเหล่านี้ก็จะยิ่งทำห้เรารู้สึกโกรธ จากนั้นเราก็จะแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การต่อว่า หรือการใช้กำลัง เพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

จะเห็นได้ว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้เราคงอารมณ์โกรธของเราไว้ คือความคิดของเรานั่นเอง

 

ดังนั้นการจัดการกับอารมณ์โกรธเราต้องเข้าใจความคิดของเรา เราจึงควรมาเข้าใจธรรรมชาติของความคิดกันก่อนครับ

 

ความคิด มักจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อเราเจอเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งแบ่งออกได้เป็นสองลักษณะด้วยกัน ความคิดที่ทำให้เรารู้สึกโกรธ อย่างเช่น ถ้าเราขับรถแล้วโดนรถอีกคันขับปาดหน้า เราอาจคิดว่า จะรีบไปไหน แล้วก็เลยจะไปขับปาดหน้าเขาคืนนะ แต่ถ้าเราคิดในอีกลักษณะนึงนะ อย่างเช่น คิดว่าเขาคงมองไม่เห็น หรือเขาคงจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน ความคิดอย่างหลังนี้ช่วยทำให้อารมณ์โกรธของเราลดลงได้

 

การจัดการกับอารมณ์โกรธได้นั้นเราควรต้องรู้ก่อนว่าเรากำลังคิดอะไร ความคิดนั้นถูกต้องหรือไม่ หรือเป็นสิ่งที่ดีจริงหรือไม่ และสิ่งหนึ่งที่เราควรต้องจำใส่ใจไว้เลยก็คือ ความคิดนั้นเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นจากการรับรู้ของเราเพียงเท่านั้น ฃความคิดไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง อย่างคำที่เขาพูดกันว่า สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น

 

ดังนั้นเรื่องเรื่องหนึ่งก็สามารถมองในมุมอื่นๆ ได้ และเมื่อไหร่ที่เราเปลี่ยนวิธีคิด การตัดสินใจต่างๆ ของเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปได้ทันที และพฤติกรรมที่ตามมาก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน

 

สิ่งที่สำคัญคือเราต้อง “รู้ทัน” ความคิดของเรา

 

มีอยู่ 2 วิธีด้วยกันที่จะช่วยให้เรารู้ทันความคิดและอารมณ์โกรธที่กำลังจะเกิดขึ้น

 

วิธีแรกคือ เมื่อเรารู้สึกไม่ชอบใจใครขึ้นมา ลองถามตัวเองดูว่า เรากำลังคิดอะไรอยู่

 

สิ่งนี้เป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนได้ มันอาจจะยากในช่วงแรก เราอาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เมื่อเราถามตัวเองบ่อยขึ้นเราก็จะสามารถรู้เท่าทันความคิดของเราได้ดียิ่งขึ้น

 

อีกวิธีหนึ่งคือ การฝึกสติ ซึ่งเป็นวิธีที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

 

การฝึกสตินั้น จะช่วยให้เรามีความไวมากขึ้นในการรู้ว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

เมื่อเราทราบแล้วว่าความคิดมีผลต่ออารมณ์โกรธของเรา ซึ่งความคิดเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นจากการรับรู้ของเราเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงเสมอไป คำถามที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ ถ้าเราจะเปลี่ยนความคิดเพื่อจัดการกับอารมณ์โกรธของเรา มีวิธีใดที่เราจะทำได้บ้าง

 

 

(1) วิธีหนึ่งที่เราสามารถทำได้คือ การวิเคราะห์ผลดีและผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากความโกรธของเรา

 

ลองคิดถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นตามเมื่อเราโกรธสิว่ามันเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ เราจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง อย่างเช่น การแสดงความโกรธอาจทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เขาจะได้รู้ไงว่าเรารู้สึกแย่กับสิ่งที่เขาทำ แล้วจากนั้นก็ลองคิดถึงผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นสิว่ามีอะไรบ้าง เช่น มันอาจจะทำลายความสัมพันธ์ของเรากับเพื่อนก็ได้ หรือว่าเราอาจจะได้รับการโต้ตอบที่รุนแรงกว่ากลับมา เมื่อเราได้ลองคิดถึงผลดีผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นได้แล้ว ลองชั่งน้ำหนักดูซิว่ามันคุ้มหรือเปล่า กับการที่เรามีอารมณ์โกรธและแสดงมันออกมา

 

สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราฝึกวิเคราะห์ผลดีและผลเสียได้ดียิ่งขึ้นคือ การใช้ตาราง ลองตีตารางขึ้นมา 5 ช่องนะครับ

 

  • ช่องแรก ให้เขียนถึงสถานการณ์ที่เราเจอ
  • ช่องต่อมา คืออารมณ์ที่เรามีต่อสถานการณ์นั้น ๆ และระดับความเข้มข้นของอารมณ์
  • ช่องถัดมา ลองเขียนถึงความคิดที่เกิดขึ้นว่าเราคิดอะไรอยู่ในตอนนั้น
  • ในช่องถัดมา ให้ลองเขียนความคิดที่จะช่วยลดอารมณ์โกรธของเราดู
  • และในช่องสุดท้าย ให้เขียนสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาถ้าเราคิดแบบที่จะช่วยลดอารมณ์โกรธลงได้

 

เช่น ถ้าเราโกรธลูกน้องที่ไม่ได้ทำตามคำสั่งของเรา เราอจจะคิดว่าเป็นเพราะตอนประชุมลูกน้องไม่ได้สนใจฟัง เขาก็เลยไม่ได้ทำตามคำสั่งของเรา พอคิดแบบนี้เราก็โกรธใช่มั้ยครับ แต่ถ้าเราไปต่อว่าลูกน้องทันที สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาจะเป็นอย่างไร ลูกน้องอาจจะเอาเราไปนินทา หรืออาจจะไม่กล้าเข้ามาปรึกษางานกับเราอีก

 

ถ้าเราลองมองในอีกแง่ดูว่า ที่ลูกน้องไม่ได้ทำตามคำสั่งของเรานั่นอาจเป็นเพราะการสื่อสารที่ผิดพลาด สิ่งที่ลูกน้องเข้าใจไม่ตรงกับสิ่งที่เราได้สื่อไป พอคิดอย่างนี้ อารมณ์โกรธของเราก็จะลดลง สิ่งที่เราจะทำต่อไปคือเรียกลูกน้องเข้ามาคุยเกี่ยวกับงาน เพื่อดูว่าเราและลูกน้องเข้าใจตรงกันหรือไม่

 

วิธีการวิเคราะห์ผลดีผลเสียนี้ อาจจะวิธีหนึ่งที่ช่วยลดอารมณ์โกรธของเราลงไปได้ ซึ่งก็ยังมีอีกหลายวิธีเลยที่เราอาจจะเอาไปใช้ พรุ่งนี้เราจะมาพูดต่อถึงวิธีอื่น ๆ กัน

 

 

(2) วิธีต่อมาทางจิตวิทยาเรียกกันว่า การหยุดความคิด

 

อันที่จริงแล้วโดยธรรมชาติของมนุษย์เราหยุดคิดกันไม่ได้หรอกครับ เรามีความคิดเกิดขึ้นตลอดเวลา และยิ่งเราพยายามหยุดคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากขึ้นเท่าไหร่ สิ่งนั้นจะยิ่งเข้ามาในความคิดของเราตลอดเวลาและมากขึ้นด้วยซ้ำไป

 

เรามาลองทดลองกันง่าย ๆ ดูมั้ยครับ ถ้าผมบอกว่าขอให้คุณผู้ฟังหยุดคิดถึงม้าสักหนึ่งนาที ลองสังเกตสิว่าในหนึ่งนาทีที่ผ่านไปนั้นเราคิดถึงม้ากี่ครั้ง

 

เห็นมั้ยครับว่ายิ่งเราพยายามหยุดคิดหรือกดความคิดให้ลึกลงไปมากเท่าไหร่ ความคิดนั้นจะยิ่งฝังอยู่ในสมองของเรามากเท่านั้น

 

แต่สิ่งที่เราทำได้คือการเปลี่ยนแปลงมุมมองหรือทิศทางของความคิด ดังนั้นวิธีการนี้แท้จริงแล้วไม่ใช่การหยุดคิดหรอกครับ แต่เป็นการเบี่ยงเบนแนวทางการคิดต่างหาก นั่นคือเปลี่ยนจากการคิดที่ทำให้เรารู้สึกโกรธ มาเป็นความคิดที่ช่วยลดความโกรธของเราลง

 

 

(3) อีกวิธีที่ใช้ในการลดอารมณ์โกรธของเราได้ คือ การเขียนกฎขึ้นมาใหม่

 

ในชีวิตของเรานั้นเรามักจะสร้างกฎหรือข้อสรุปบางอย่างอยู่ในใจของเราอยู่เสมอ เช่น ถ้าเราเป็นภรรยาที่ดี ดูแลสามีเป็นอย่างดี เราก็จะได้รับความรักกลับมา เขาจะแสดงความรักต่อเรา แต่ในโลกของความเป็นจริงแล้ว มีปัจจัยต่าง ๆ มากมายที่เข้ามาแทรกซ้อนกฎที่เราสร้างขึ้น ซึ่งอาจทำให้เรารู้สึกผิดหวังเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามข้อสรุปที่เราตั้งไว้

 

อย่างเช่น วันหนึ่งเมื่อสามีกลับมาถึงบ้าน เรายกน้ำมาให้ เตรียมอาหารไว้ให้เป็นอย่างดี แต่วันนั้นเขาทำงานมาอย่างหนัก เหนื่อยมาก กลับมาก็ไม่พูดอะไร ทานข้าวเสร็จก็อาบน้ำแล้วเข้านอนทันที โดยที่ไม่พูดอะไรกับเราเลย ทำให้เรารู้สึกโกรธ ความคิดที่เกิดขึ้นคือ ทำไมสามีจึงเฉยเมยกับเราอย่างนี้ ทั้งๆ ที่เราก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่เป็นไปตามกฎหรือข้อสรุปที่เราตั้ง สิ่งที่ตามมาก็คือ เราจะมีความคิดที่ไม่ดีทั้งต่อตัวเองและกับสามี จากนั้นอารมณ์โกรธก็จะยิ่งทวีขึ้นตามมา

 

สิ่งที่เราทำได้คือ ลองเปลี่ยนกฎหรือข้อสรุปที่ตั้งไว้ดูใหม่ อย่างเช่น อาจจะเปลี่ยนเป็นว่า เมื่อเราดูแลสามีเป็นอย่างดี ในบางครั้งเขาก็จะแสดงความรักที่มีต่อเรากลับมา แต่บางครั้งอาจจะไม่ก็ได้นะ เพราะเขาอาจจะเหนื่อยจากการทำงานจนเกินไปก็ได้ ถ้าเราเปลี่ยนกฎเป็นแบบนี้ ก็จะเกิดความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการเปิดกว้างต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป

 

จากวิธีที่พูดถึง จะเห็นได้เลยนะครับว่า สุดท้ายแล้วจุดสำคัญที่จะช่วยลดความโกรธของเราได้นั่นก็คือ การเปลี่ยนความคิดของเรานั่นเอง

 

 

(4) การเข้าใจธรรมชาติของความคาดหวังเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดอารมณ์โกรธของเราได้เหมือนกันครับ

 

ความคาดหวังนั้นเกิดขึ้นได้มากมาย แต่ความจริงคือสิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงหนึ่งเดียวและไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เช่น เวลาที่เราต้องถูกประเมินการทำงาน เราอาจคาดหวังว่าเราต้องได้ ดีมากหรือดีเป็นอย่างน้อยแน่นอน แต่เมื่อเราได้รับผลการประเมินกลับมา เรากลับได้ผลการประเมินเพียงแค่พอใช้ได้เท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่ความคาดหวังและความจริงที่เกิดขึ้นนั้นไม่ไปด้วยกัน อารมณ์โกรธมักจะเกิดขึ้นตามมาเสมอ

 

ในทางจิตวิทยา เมื่อเกิดความไม่สอดคล้องกันระหว่างเหตุการณ์และความคาดหวังของเรา มนุษย์เรามักจะพยายามหาทางทำให้ความคาดหวังและความจริงที่เกิดขึ้นนั้นเข้าใกล้กันมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่เกิดขึ้นได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้ก็คือสร้างทางเลือกให้กับตัวเอง อย่างที่บอกไปแล้วว่าความคาดหวังเกิดขึ้นได้มากมาย ดังนั้นการปรับความคาดหวังของเราใหม่เป็นทางหนึ่งที่จะให้เกิดความสอดคล้องขึ้น

 

 

(5) อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยลดความโกรธลงได้นะครับ คือการพยายามทำความเข้าใจผู้ที่ทำให้เราโกรธ

 

ลองคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วจินตนาการว่าถ้าเราเป็นคู่กรณีของเรา เราจะมีเหตุผลอะไรบ้างที่จะทำให้เราตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ แบบเดียวกับที่เขาทำต่อเรา วิธีนี้จะช่วยให้เราเข้าใจเหตุผลของพฤติกรรมของคนอื่น ๆ มากยิ่งขึ้น พอเข้าใจถึงที่มาที่ไปแล้วอารมณืโกรธของเราก็จะค่อยๆ ลดลงได้

 

(6) ในทางจิตวิทยา พฤติกรรมใดก็ตามที่เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำ เรามักจะใช้การลงโทษต่อพฤติกรรมนั้น ๆ ซึ่งในช่วงสั้น ๆ การลงโทษนั้นอาจได้ผล นั่นคือสามารถหยุดพฤติกรรมนั้นได้ แต่สำหรับการแสดงอารมณ์โกรธนั้น นอกจากจะทำให้เรารู้สึกไม่ดีแล้ว ยังทำให้คนอื่นมองเราไม่ดีด้วยเหมือนกัน หรืออาจทำลายความสัมพันธ์ลงไปด้วยก็ได้

 

ดังนั้นแทนที่จะแสดงความโกรธเพื่อเป็นการลงโทษ เราควรจะให้รางวัลต่อสิ่งที่เขาทำแล้วเรารู้สึกดี เพื่อให้สิ่งนั้นยังคงอยู่และเกิดบ่อยขึ้น รางวัลในที่นี้ไม่จำเป็นต้องสิ่งของครับ อาจจะเป็นเพียงแค่การยิ้มให้ การขอบคุณก็ได้

 

 

(7) วิธีสุดท้ายที่ช่วยลดสิ่งที่จะทำให้เรารู้สึกไม่พอใจและอารมณ์โกรธได้นั้นคือ การลดคำว่า “ควรจะ”

 

หลายครั้งความคิดที่ทำให้เราเกิดอารมณ์โกรธตามมามักจะมีคำว่า “ควรจะ” หรือ “น่าจะ” อยู่ด้วยเสมอ เช่น เขาน่าจะปฏิบัติต่อเราให้ดีกว่านี้ เขาควรจะมีมารยาทมากกว่านี้

 

คำว่า “ควรจะ” หรือ “น่าจะ” นั้นบางครั้งไม่ได้แสดงถึงความเป็นเหตุเป็นผลเท่าไหร่ มันเป็นแค่เพียงความต้องการของเราเท่านั้นเอง และเมื่อใดก็ตามที่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ เราก็มักจะไม่พอใจและรู้สึกโกรธตามมา ดังนั้นถ้าเราลดคำว่า “ควรจะ” หรือ “น่าจะ” ลงซะบ้าง ก็จะช่วยลดสิ่งที่จะทำให้เรารู้สึกโกรธลงได้เช่นกันครับ

 

 

 

ทั้งหมดนี้คือวิธีที่ช่วยให้เราจัดการกับอารมณ์โกรธได้ และไม่ใช่เพียงแค่อารมณ์โกรธเท่านั้นนะครับ วิธีเหล่านี้ยังสามารถปรับใช้กับความคิดและอารมณ์อื่นๆ ได้ด้วยเหมือนกัน

 

สุดท้ายที่อยากฝากไว้คือ สิ่งที่เราควรรู้เกี่ยวกับอารมณ์โกรธครับ

 

  • เหตุการณ์ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราโกรธ แต่ความคิดของเราเองต่างหากที่ทำให้เราโกรธ
  • เมื่อเราคิดถึงผลดีและผลเสียของอารมณ์โกรธแล้ว เราจะพบว่าอารมณ์โกรธไม่ได้ช่วยอะไรเราได้สักเท่าไหร่
  • ความคิดที่สร้างอารมณ์โกรธให้เรานั้นมักจะเป็นความคิดที่คอยรบกวนเราตลอดเวลา
  • อารมณ์โกรธของเรามักจะเกิดขึ้นด้วยความเชื่อของเราที่ว่า เราไม่ได้รับความยุติธรรม
  • ถ้าเราเรียนรู้ที่จะมองโลกด้วยสายตาของผู้อื่นแล้ว บ่อยครั้งที่เราก็จะแปลกใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเขาก็รู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมเหมือนกัน
    คนอื่นๆ อาจจะไม่รู้สึกว่าเขาสมควรที่จะได้รับการลงโทษจากเรา
  • อารมณ์โกรธที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะเราไม่อยากที่จะเสียความรู้สึกดีในตัวเองไป แต่มีเพียงแค่ความคิดของเราเองเท่านั้นแหละครับที่จะทำร้ายเราได้ เพราะเราไม่ได้ตามที่เราคาดหวังเราจึงรู้สึกไม่พอใจ

 

ดังนั้น ถ้าเราจัดการกับความคิดของเราได้ เราก็จัดการกับอารมณ์ของเราได้ และเราจะพบวิธีแก้ปัญหาที่สมเหตุสมผลและนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีกว่าได้ครับ

 

 


 

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย อาจารย์สักกพัฒน์ งามเอก

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

The Psychological Effects of Air Pollution

 

Severe levels of air pollution and visible smog has had many Bangkok residents reaching for protective masks to avoid its harmful effects. They are right to worry, according to the World Health Organisation, air pollution is estimated to be responsible for the premature death of at least 7 million people around in the world each year.

 

However, although the main concern for many is avoiding the potentially damaging effects of air pollution on one’s physical health, there is growing evidence that exposure to air pollution can also have negative effect on our mental health, cognitive performance, and brain functioning.

 

 

Exposure to elevated levels of air pollution is associated with increased symptoms of anxiety, depression, and psychological distress.

 

Understanding exactly how air pollution affects psychological well-being is not a straightforward task and researchers who attempt to tackle this question have typically taken the approach of examining census data from many thousands of people who have given information about aspects of their psychological well-being (e.g., anxiety) and their residential history, (amongst many other details).

 

Because it isn’t practical to measure the exact air pollution people are exposed to in their daily lives, researchers instead rely on using residential data to generate an estimate of people’s exposure to air pollution (either through examining the proximity of their house to a main road or using data from nearby air pollution sensors).

 

Researchers can then build statistical models to examine the association between this estimated exposure and some outcome (e.g., anxiety), whilst controlling for as many of the other confounding factors that could also influence this outcome (e.g., income, social status, age, occupation, etc.).

 

Using such an approach, researchers have examined data from over 71,000 female nurses in America and found evidence that estimated exposure to air pollution was associated with an increased risk of high anxiety levels. Similarly, estimated exposure to fine particulate matter (PM2.5) has been associated with increased levels of self-reported psychological distress in another large sample of American participants.

 

In 2018, researchers in South Korea reported evidence from 124,000 participants indicating that long-term exposure to air pollution was associated with lower perceptions of quality of life, higher levels of depressive symptoms, greater risk of diagnosis for clinical depression and increased suicidal ideation.

 

Researchers in Hong Kong recently attempted to identify all of the haze days with high air pollution that had occurred in the region between 2007 – 2014. They then used this to examine whether the days of excessive pollution where associated with any changes in mortality rates. In other words, is air pollution triggering people’s deaths. Not only did haze days slightly increase general mortality rates, suggesting it is physically harmful, the effect of the air pollution appeared to be especially pronounced for increasing the likelihood of deaths due to mental and behavioural disorders, suggesting that those individuals with mental health issues may be especially vulnerable to the negative effects of air pollution.

 

There are clearly a wide range of concerning associations between air pollution and mental health. However, one problem with these approaches is that it isn’t possible to conclude that air pollution actually has a direct, causal effect on the psychological well-being. In other words, we can’t be certain that it is the air pollution that is uniquely responsible for the increased symptoms of anxiety, depression, and psychological distress; despite researchers best attempts to control for all other explanations, it is possible that some other factor or combination of factors is driving the effects instead of air pollution.

 

 

Air Pollution Is Associated with Impaired Cognitive Abilities: Of Mice and Men (and Women).

 

Indeed, one of the problems of examining whether air pollution has a causal effect on psychological factors is that it isn’t ethical to run experiments where we can manipulate and expose people to harmful levels of air pollution; however, we can do such studies using animals.

 

In one recent study, Laura Fonken and colleagues exposed a sample of mice to the same sort of air pollution that an average (human) commuter might experience in a polluted city. For 10 months (about half their lives), these mice were subjected to high levels of PM2.5 for 6 hours per day, 5 days a week. At the same time they also had control group of mice who were exposed to normal, ambient air. After 10 months they tested both groups of mice on a series of commonly used tasks designed to assess their spatial learning and memory. The group of mice who were exposed to air pollution showed significant impairments in performance and when they examined the brains of the mice, they found that the long term air pollution exposure inhibited the growth of cells in brain regions that are critical for learning and memory.

 

Related cognitive impairments have also been observed in humans exposed to air pollution and air pollution is claimed to be a risk factor leading to considerable reduction in intelligence.

 

In a sample of more than 20,000 individuals in China, their (estimated) exposure to air pollution was negatively related to cognitive performance on language and arithmetic tests. When translated in to educational terms, they estimated that the effect of air pollution on reduced cognitive ability / intelligence was, on average, equivalent to losing an entire year of education.

 

Although this data was again correlational, it seems plausible that there is a causal effect of air pollution as the researchers tracked the performance of the same individuals as air pollution naturally varied, meaning that many other confounding factors that could explain the effect are already accounted for.

 

Even within young children there appear to be noticeable effects of air pollution on academic performance.

 

One study in China and one another (separate and larger) study in Spain examining the cognitive abilities of children found that those who studied in schools with high ambient air pollutants were significantly worse on a range of cognitive tasks compared to children from schools with low levels of air pollutant; greater exposure to air pollution predicted stunted cognitive development.

 

 

A Risk Factor for Dementia?

 

The precise mechanisms through which air pollution affects brain functioning is not fully understood, yet it is largely accepted that fine particulate matter (PM2.5), the kind of pollution that is at severe levels across Bangkok, has a damaging effect because these particles are small enough to be capable of reaching deep into the lungs from where they enter the blood stream. From here, the chemical toxins within the particles travel to the brain and can lead to (neuronal) inflammation, triggering a raft of immune responses that disrupt and lead to the loss of neurons.

 

Neuroinflammation and related processes are well recognised as underpinning neurodegenerative diseases such as dementia and this has lead some researchers to examine whether air pollution may also be a risk factor for dementia. Although no direct evidence currently exists linking air pollution and dementia, the evidence does suggest that air pollution is a plausible risk factor for dementia.

 

For example, one study tracked the residential data and dementia diagnosis of more 6.6 million Canadians over a decade and found that living next to a main road (and the increased air pollution that comes with this) was associated with a 12% increased risk of going on to develop dementia. Again, there are multiple potentially confounding factors at play here that make it difficult to prove that air pollution causes dementia, but it does further emphasise the need to examine more carefully the potential links.

 

 

Does Air Pollution Make Us More Immoral?

 

Aside from the potentially serious consequences of air pollution on our psychological well-being and cognitive abilities, there is also the possibility that bad air quality is linked to an increase in bad behaviours.

 

In one series of studies published in 2018, Jackson Lu and colleagues argue that air pollution leads to an increase in anxiety that in turn causes us to engage in more unethical and immoral behaviour. To examine this, researchers first studied the association between air pollution levels and crime rates in over 9000 American cities during a ten year period. After controlling for factors such as the level of poverty and unemployment, the cities with higher air pollution were associated with significantly higher crime rates compared to the low air pollution cities. Whilst this association is interesting, it doesn’t provide evidence of a direct, causal link between air pollution and criminal behaviour.

 

To address this, the researchers conducted a series of experiments where they asked participants to view photographs illustrating a city with either visibly high or low air pollution levels and vividly imagine living in the area and how it would feel to walk around and breathe in this air.

 

After participants had finished contemplating living in the area, they were then asked to complete a supposedly unrelated task where it was possible to cheat. For example, one study used a word association test in which participants earned small financial rewards for each correct response. Participants were then told that (due to a computer glitch) it was possible to cheat on this task if they hovered the mouse in a certain location but they were instructed to complete the task honestly.

 

Thus, the test was really examining their willingness to engage in unethical behaviour. Crucially, they found that participants in the polluted condition were significantly more likely to cheat on the task than those in the clean air condition. In further studies they show that simply imagining being surrounded by high levels of air pollution induces increased anxiety and it is this anxiety that interferes with our moral compass and ultimately leads to more unethical behaviours.

 

 

Indirect Effects and The Emotional Response to Air Pollution

 

There are also inevitable indirect effects on well-being that will occur as a consequence of chronic air pollution. When residents are advised to avoid being outdoors for prolonged periods of time a possible consequence of this is that they may adopt a more sedentary lifestyle, with reduced social interaction that leads to an increased sense of loneliness. All factors that are likely to contribute to reduced psychological well-being. In the short-term this is unlikely to have a serious effect but may become more problematic in the long-term.

 

Finally, apart from anxiety what other emotional responses might be evoked in response to air pollution?

 

Two important characteristics of air pollution is that it: (1) represents a real threat to physical and mental health that (2) individuals are largely powerless to deal.

 

Indeed, there are limited methods for protecting oneself, aside from wearing a filtration mask or moving to a less polluted city; the responsibility and power are instead held by governments and state agencies to implement effective policies. Notably, this combination of feeling threatened and powerless are key factors that underpin the emotional response of anger, and this anger may be even further exacerbated by an increased sense of powerlessness when the relevant authority’s approach is perceived to be ineffective, misguided, or incompetent.

 

 

 


 

บทความโดย

Dr. Harry Manley

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 


 

About the Author.

 

Harry Manley is a lecturer in the Faculty of Psychology at Chulalongkorn University. Twitter @harrisonmanley

 

 

เมื่อต้องสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก

 

เมื่อต้องสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก

: ทำความเข้าใจภาวะของจิตใจยามสูญเสีย

 

เราต่างคงมีใคร หรือมีอะไร เช่น สิ่งของ หรือสถานที่ ให้เราได้คิดถึงนะคะ

ความคิดถึงนั้นแบ่งง่าย ๆ ได้เป็นสองแบบค่ะ คือ คิดถึงแล้วใจฟู กับ คิดถึงแล้วใจแฟ่บ

 

ความคิดถึงแบบใจฟู ก็คือการคิดถึงสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราชอบ โดยที่เรายังรู้อยู่ในใจว่า สิ่งที่เราคิดถึงนั้นยังอยู่ใกล้ ๆ ให้เราไปหา ให้เราไปเจอ สมกับความคิดถึงที่เรามี เช่น เมื่อเราออกจากบ้านมาโรงเรียน แล้วเราคิดถึงเจ้าลูกสุนัขตัวน้อย ขนสีขาวฟูของเรา พอคิดถึงอย่างนี้ ก็มีความสุข เพราะเดี๋ยวตอนเย็นหลังเลิกเรียน ก็ได้กลับไปเจอกัน หรือเวลาสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกัน ตอนเช้าต่างคนต่างก็ออกไปทำงาน ระหว่างวันอาจมีการนึกถึงกันด้วยความคิดถึง

 

ความคิดถึงประเภทนี้ เป็นความคิดถึงที่ทำให้ใจเราฟู มีความสุขได้

 

ส่วนความคิดถึงประเภทที่สอง เป็นความคิดถึงที่เกิดขึ้นมาแล้วใจเราแฟ่บลง ความคิดถึงแบบนี้ก็มาจากการที่เราคิดถึงสิ่งที่เรารัก เราผูกพันเช่นเดียวกัน แต่ทว่าเมื่อเราคิดถึงคน คิดถึงสิ่งของ คิดถึงสถานที่เหล่านั้นแล้ว เราไม่มีโอกาสจะได้พบ ได้ไป ได้เห็นสิ่งที่เราคิดถึงอีก

 

กล่าวง่าย ๆ คือ ความคิดถึงแบบนี้ มีคำตามหลังพ่วงมาด้วยว่า คิดถึง แต่ไม่มีสิ่งเหล่านั้นแล้ว…

 

ยิ่งคิดถึงมาก ก็ยิ่งทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมีค่ามาก แล้วคำตอบที่ตามหลังมา ก็ยิ่งทำให้ใจแฟ่บ ห่อเหี่ยวลงไปได้มากยิ่งกว่า เมื่อเรารู้ว่าไม่มีสิ่งเหล่านั้นแล้ว

 

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามมานี้ เป็นความรู้สึกที่ตระหนักได้ชัดถึงการเสียไปแล้วซึ่งของรักของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเสียแบบขาดจากกันด้วยอีกฝ่ายหนึ่งไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว หรือเป็นการเสียแบบขาดจากการด้วยการไม่มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกันแล้วก็ตาม

 

ความรู้สึกที่ตามมาจาการเสียของรักนี้ บางครั้งเราเรียกมันได้ว่า “ความโศกเศร้า“

 

หากเราจะสรุปง่ายๆ ว่า ใจที่แฟ่บ หรือ ความโศกเศร้า ก็เป็นการตอบสนองแบบหนึ่งของคนเราต่อความสูญเสีย โดยความความเศร้าโศกนี้คนเราสามารถแสดงออกมาได้ทั้งทางพฤติกรรมภายนอกให้เห็น เช่น ร้องไห้ฟูมฟาย เหม่อลอย หรือเป็นพฤติกรรมภายในเช่น ความรู้สึกหวนหา คิดย้อนระลึกถึงวันคืนเก่า

 

ในการแสดงออกทั้งภายในและภายนอกบุคคลดังกล่าว คนเราแต่ละคนก็จะมีการแสดงออกที่แตกต่างกันไป

 

นักจิตวิทยาได้มีการศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกโศกเศร้านี้มากมาย เพื่อเข้าใจความรู้สึกที่คนเราจะต้องเผชิญเมื่อต้องเสียของรักค่ะ

 

สิ่งที่น่าสนใจคือ มีนักจิตวิทยากล่าวถึง ระยะของความเศร้าโศก โดยการทำความเข้าใจระยะของความเศร้าโศกนี้ จะช่วยให้เราสามารถเตรียมตัวเตรียมใจว่าเราจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง เมื่อเราอาจต้องเสียของรักไป นอกจากนี้ยังจะช่วยให้เราสามารถเข้าใจคนที่อยู่รอบตัวเรา เมื่อเขาต้องเสียของที่เขารักไปได้เช่นกัน

 

ระยะของความเศร้าโศกนี้มีอยู่ด้วยกัน 4 ระยะ คือ

 

  • ระยะของการไม่ยอมรับ
  • ระยะของการเริ่มต้นยอมรับความจริง
  • ระยะของการยอมรับความจริง และ
  • ระยะของการกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

 

เรามารู้จักกับระยะแรกของความโศกเศร้าก่อนนะคะ

 

ระยะแรกที่นักจิตวิทยาเรียกว่า เป็น ระยะของการไม่ยอมรับ นี้ เป็นช่วงต้นที่บุคคลเริ่มรับรู้ถึงการสูญเสีย การพลัดพรากที่เกิดขึ้น เมื่อเราต้องพรากจากสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราอยากให้อยู่กับเราไปนาน ๆ ปฏิกริยาตอบสนองแรกที่ย่อมจะเกิดขึ้นก็คือ การพยายามไม่ยอมรับความจริงเกี่ยวกับการสูญเสีย เช่น บางคนเมื่อคนรักมาตัดรอน บอกเลิก ก็อาจจะแสดงออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ยอมรับว่าเราสองคนจบกันแล้ว แสดงตัวประหนึ่งว่ายังรักกันเช่นเดิม

 

นักจิตวิทยาก็ได้อธิบายว่า พฤติกรรมทั้งภายนอกภายในที่บุคคลแสดงในขั้นนี้ เป็นพฤติกรรมที่แสดงมาจากความไม่เชื่อ ไม่ยอมรับความจริงเกี่ยวกับการสูญเสีย บางคนอาจจะมีการใช้วิธีที่เรียกว่า กลวิธีการยืดเวลา คือ พยายามขยายเวลาออก ให้ช่วงเวลาของการที่ไม่ต้องยอมรับและเผชิญกับความจริงนานออกไปเรื่อย ๆ เช่น เมื่อชายหนุ่มทราบว่า หญิงสาวที่ตนรักเป็นอื่นไปแล้ว เขากลับพยายามทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม เหมือนตอนที่ยังรักกันดีอยู่ ไม่ยอมรับกับความจริงว่าหญิงสาวนั้น ได้จบความสัมพันธ์กับเขาแล้ว

 

การไม่ยอมรับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการความเศร้าโศก ที่จะช่วยให้บุคคลมีเวลาสำหรับฟื้นความรู้สึก และช่วยให้บุคคลมีเวลาในการเตรียมความพร้อมเพื่อทำใจยอมรับความจริง ว่าเราได้สูญเสียสิ่งที่รักไปแล้วนั่นเอง เมื่อการยืดเวลา การไม่ยอมรับสิ้นสุดลง บุคคลจะเริ่มยอมรับความจริงเกี่ยวกับการสูญเสีย และจะเข้าสู่ระยะต่อไปของการสูญเสียค่ะ

 

ระยะที่สอง ระยะของการเริ่มยอมรับความจริง

 

เนื่องจากแม้ใจเราอยากจะปฏิเสธความจริงเท่าใดก็ตาม ว่าสิ่งที่เรารักยังอยู่กับเรา ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น หากความจริงภายนอกที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ก็เข้ามากระทบ มาย้ำให้เรารับรู้อยู่ตลอดเวลาว่าเราเสียของรักไปแล้ว เมื่อมีความจริงมาปรากฏตรงหน้าเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง คนเราก็จะหันหน้ามาเผชิญกับความจริงว่าเราได้เสียของรักไปแล้วจริง ๆ

 

ในตอนต้นของการยอมรับนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือความรู้สึกเจ็บปวด อาจถึงขั้นเจียนใจจะขาดลงเสียให้ได้ เพราะต้องมายอมรับกับความจริงว่าต้องสูญเสียสิ่งที่เราไม่อยากให้สูญเสีย หากเราก็ต้องค่อย ๆ ขยับใจให้มายอมรับกับความจริงที่แม้จะเจ็บปวดเช่นนี้ เพราะมันก็คือความจริง ซึ่งเราจะสามารถผ่านพ้นความรู้สึกเจ็บปวดนี้ไปได้สักวันอย่างแน่นอน ความรู้สึกเจ็บปวดในใจที่เกิดขึ้นจากการเริ่มต้นยอมรับความจริงนี้เป็นอาการเบื้องต้นที่จะเกิดขึ้น บุคคลอาจแสดงออกถึงความเจ็บปวดที่ตนได้รับผ่านการร้องไห้คร่ำครวญ บางครั้งอาจมีการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย บ้างก็อาจมีการคิดหมกมุ่นถึงสิ่งที่เราเสียไป ใจกลับไปคิดทบทวนถึงแต่เรื่องเก่า ๆ ที่เคยผ่านมา

 

หากการสูญเสียของรักของเราเป็นการสูญเสียที่รุนแรงที่สุด คือ การจากกันเพราะอีกฝ่ายไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว ในระยะของการเริ่มต้นยอมรับความจริงนี้ บุคคลที่สูญเสียยังอาจมีการแสดงความโกรธ เนื่องจากความผิดหวังที่เกิดขึ้นจากความหวังว่าผู้เราต้องสูญเสียจะยังมีชิวิตอยู่ หรือมีความโกรธต่อผู้ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการสูญเสียของเรา เมื่อบุคคลเข้าสู่ระยะของการเริ่มต้นยอมรับความจริง แม้ในระยะนี้บุคคลอาจจะมีอารมณ์รุนแรง เนื่องจากความจริงที่แสนจะเจ็บปวดนี้ แต่บุคคลก็จะพร้อมที่จะก้าวไปสู่ระยะต่อไปในที่สุดค่ะ

 

ระยะที่สาม ระยะของการยอมรับความจริง

 

คือ ระยะที่คนเราจะมีการตระหนักและยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น โดยการยอมรับความจริงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบปุบปับ เช่นว่าวันนี้ยังมีความโกรธต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ร้องไห้ฟูมฟาย แล้ววันรุ่งขึ้นอยู่ ๆ ก็จะยอมรับความสูญเสียได้ การเปลี่ยนแปลงนี้บุคคลจะค่อย ๆ ตระหนักถึงความสูญเสีย และยอมรับว่าความสูญเสีย การพรากจากของรักของตนนั้นได้เกิดขึ้นจริงแล้ว

 

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากการตระหนักและยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นนี้ จะเป็นความเสียใจอย่างสุดซื้ง เพราะสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราผูกพัน ย่อมเป็นสิ่งที่เราพึงใจ มีความสุขกับสิ่งนั้น อยากให้มีสิ่งนั้นอยู่กับเราตลอดไป เมื่อต้องมาเผชิญกับความจริงว่าเราไม่มีโอกาสมีสิ่งที่เราพึงใจ อยากมีมันตลอดไปแล้ว ความรู้สึกเศร้า เสียใจอย่างสุดซึ้งย่อมจะเกิดขึ้นตาม โดยในบางครั้งอาจมีความรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง มีอารมณ์ซึมเศร้า ไม่อยากทำอะไร หมดแรง หมดกำลังใจ หมดความสนใจต่อสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต

 

อารมณ์เหล่านี้บางครั้งอาจส่งผลตามมาต่ออาการทางกายของเราด้วยนะคะ บางทีอาจเกิดอาการนอนไม่หลับ ไม่อยากอาหาร พอทราบเช่นนี้แล้วบางท่านอาจคิดในใจว่า อย่างนี้การยอมรับความจริงก็ไม่ดีเลย มีสารพัดอาการของความไม่สบายใจ ไม่สบายกายที่จะเกิดขึ้นได้ ดิฉันอยากเรียนให้ทราบว่าการยอมรับความจริงนี้เป็นสิ่งดีค่ะ ยิ่งเรายอมรับแบบเห็นจริง ยอมรับว่าเราจะไม่มีสิ่งที่เราเคยรัก เคยผูกพันอยู่แล้ว

 

สารพัดอาการทางใจและทางกายที่เกิดขึ้น เป็นกลไกของมนุษย์ที่พยายามเหนี่ยวรั้งให้สิ่งที่รักอยู่กับตัวเราให้นานที่สุด เมื่อไม่ได้สิ่งที่รักอยู่กับเราแน่ ๆ แล้ว ใจของเราก็ยากที่จะยอมรับมันโดยง่าย แม้จะยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นนอกตัวได้แล้วว่า ไม่มี ไม่มีแล้วจริง ๆ แต่สิ่งที่เป็นความคาดหวังในตัวเราต่างหากละคะที่จัดการได้ยาก

 

การที่เราไม่เห็นว่าตัวเราทุกข์ เศร้าใจ หมดแรงใจ หมดแรงกาย ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวเราค่ะ ถ้าเราไม่เห็นมันเราก็จะไม่สามารถจัดการกับมันได้ แต่เมื่อเราได้เห็นมัน หรือมันปรากฏขึ้นมาชัดเจน เราย่อมสามารถจัดการกับมันได้ และเราก็จะผ่านระยะของการยอมรับความจริงนี้ไปได้ ไปสู่ระยะสุดท้ายของความเศร้าโศกได้

 

กว่าจะเดินทางมาถึงระยะสุดท้ายนี้ไม่ใช่ง่าย ๆ เลยนะคะ

 

บุคคลจะต้องต่อสู้กับสารพัดความรู้สึกที่เราได้รับทราบกันไปข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นการหนีจากความรู้สึก หรือความจริงที่ต้องเผชิญ อารมณ์เจ็บปวดเสียใจ อารมณ์เศร้า หวนหา อยากให้มีสิ่งที่รักอยู่กับตัวเรา แต่ทุกความรู้สึกที่ยากลำบาก ล้วนแต่เป็นเหมือนกับก้อนหินแต่ละก้อนที่ช่วยให้เรารู้จักและยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิต และก้าวข้ามมาสู่ก้อนหินก้อนสุดท้ายก่อนจะข้ามถึงฝั่งนั้นก็คือ การกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ค่ะ

 

การกลับเข้าสู่ภาวะปกติ คือการที่บุคคลที่ต้องสูญเสียหรือพรากจากของที่รัก สามารถเริ่มที่จะปรับตัวเอง และจัดระบบระเบียบในการดำเนินชีวิตใหม่ ปรับบทบาทของตนเองใหม่ ให้เข้ากับการที่ต้องอยู่โดยไม่มีของรักนั้นแล้ว

 

ดูเหมือนไม่มีอะไรซับซ้อนนะคะ แต่ความจริงแล้วในบางคนกว่าจะเดินมาถึงขั้นสุดท้ายนี้ได้ อาจต้องใช้เวลาเป็นปี หรือหลายปี หรือบางคนอาจต้องพยายามเดินแล้วเดินอีกก็ยังไม่ถึง การที่เราจะสามารถปรับตัวเองและกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับใจของเราเป็นหลักค่ะ คนรอบตัวอย่างมากก็เป็นได้เพียงกำลังใจ ซึ่งกำลังใจนี้อาจช่วยให้เรามีแรงมากขึ้นที่จะพยายาม แต่คนที่ต้องพยายามก็คือตัวเราเองอยู่ดี

 

การกลับเข้าสู่ภาวะปกติ จะเกิดขึ้นเมื่อเรายอมรับ ทั้งด้วยเหตุผลและด้วยจิตใจของเราได้ว่า เราไม่มีสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราพึงใจแล้ว และการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้เกิดขึ้นจริง ๆ เราสามารถเสียใจ ร้องไห้ ซึมเศร้า แต่ไม่ว่าเราจะรู้สึกเท่าไร สิ่งที่เรารักก็จะไม่ได้กลับมาแล้ว แม้ว่าความจริงจะเป็นสิ่งที่เจ็บปวด แต่การยอมรับความจริงนั้นอย่างหมดหัวใจ ก็เป็นหนทางเดียวที่เราจะกลับมาสู่ภาวะปกติของตัวเราได้ค่ะ

 

 

สิ่งที่ยากก็คือการยอมรับความจริง แต่ดิฉันมีหลักง่าย ๆ ที่หลายท่านคงจะคุ้นเคยกันมาบ้าง ที่จะช่วยให้เราปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติได้ นั่นก็คือ หากเรายอมรับได้ว่า “สิ่งต่าง ๆ ในชีวิตเราไม่มีอะไรอยู่กับเราอย่างถาวรเลย มันมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ เป็นกฎของธรรมชาติ เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เราก็ไม่สามารถเปลี่ยนกฎของธรรมชาติได้”

 

เมื่อวานร้อน พรุ่งนี้อาจจะมีฝนตก สิบปีที่แล้วเราเป็นเด็กน้อย ตอนนี้เราโตมาเป็นนักศึกษา การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในทุกสิ่งรอบตัวเรา ดังนั้นวันหนึ่งเรามีคนที่เรารัก เราผูกพัน ในอีกวันหนึ่งก็ย่อมจะไม่มีได้ เพราะ การเปลี่ยนแปลงเป็นกฎของธรรมชาติ หากเราสามารถเริ่มต้นมองการเปลี่ยนแปลง การต้องพรากจากสิ่งที่รักว่าเป็นส่วนหนึ่งของกฎธรรมชาติแล้ว เราก็สามารถค่อย ๆ ยอมรับความจริงอย่างหมดหัวใจ

 

แน่นอนค่ะว่าสิ่งที่รัก ที่ผูกพัน ขาดหายไป เราย่อมมีความทุกข์ใจ ทุกข์กายเกิดขึ้น แต่หลักธรรมชาติที่เราเข้าใจนี้ จะช่วยให้เรากลับมาสู่ภาวะปกติได้เร็ว แล้วยอมรับกับสิ่งที่เกิดได้ค่ะ

 

 

 

ภาพจาก ViewStock / Getty Images

 

 


 

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

 

โดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดาย

 

  • เคยไหมที่คุณรู้สึกว่าคุณเข้ากับผู้คนรอบข้างไม่ได้
  • รู้สึกว่าไม่มีใครที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของคุณ
  • รู้สึกแปลกแยกและโดดเดี่ยวจากกลุ่มหรือจากผู้คนรอบข้าง
  • ไม่มีคนที่คุณสามารถคุยปรึกษาและพึ่งพาในยามที่ลำบากใจหรือเศร้าใจ
  • หรือรู้สึกว่าความสัมพันธ์ในชีวิตคุณไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งมากเท่าที่คุณต้องการ

 

หากคุณตอบว่าบ่อย อาการเหล่านี้บ่งบอกว่าคุณกำลังรู้สึก “เหงา” นั่นเอง

 

จากผลการสำรวจปี 2561 ในสหรัฐอเมริกา พบว่าในจำนวนประชาชนกว่า 2 หมื่นคนที่ตอบแบบวัดความเหงา UCLA Loneliness Scale มีจำนวนเกินครึ่งที่ตอบว่ามีอาการเหงาเหล่านี้บ่อยครั้ง โดยกลุ่มอายุที่เหงาที่สุด คือ เยาวชนอายุ 18-22 ปี (Generation Z) ตามด้วยคนที่มีอายุ 23-37 ปี (millennials)

 

สถิติจากผลสำรวจยังชี้ว่า ความรู้สึกเหงาของคนในสังคมมีมากจนถึงระดับเป็นอาการเชิงระบาด ทั้งนี้ ในสังคมโลกาภิวัตน์ในปัจจุบันที่มีการเชื่อมโยงกันมากขึ้น จึงคาดว่าสถิติความเหงาเช่นนี้คงจะเกิดขึ้นทั่วโลก แม้แต่ในประเทศไทย

 

“ความเหงา” เป็นความรู้สึกด้านลบที่เกิดขึ้นเมื่อคุณมองว่าความสัมพันธ์ในชีวิตคุณนั้นไม่เป็นตามที่คุณต้องการ เป็นความรู้สึกขาดการเชื่อมต่อ ไม่ได้การยอมรับจากผู้อื่น หรือไม่มีที่พึ่งทางอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์หลากหลายรูปแบบในชีวิตประจำวัน เช่น คุณไม่มีคนนั่งด้วยในโรงอาหารหรือในโรงภาพยนตร์ หรือคุณเป็นคนสุดท้ายที่ถูกเลือกให้เป็นผู้ร่วมทีม

 

ที่สำคัญคือ ความเหงานั้นเป็น “มุมมอง” หรือ “ความรู้สึก” ที่คุณมีต่อความสัมพันธ์ที่คุณมี ไม่ว่าคุณจะมีความสัมพันธ์จำนวนมากน้อยเท่าไหร่ ซึ่งหมายความว่า ถึงแม้ว่าคุณจะมีเพื่อนมากมายในเฟซบุ๊กหรือในชีวิตจริง หรือมีผู้คนมากมายรอบข้างในห้องเรียน ในที่ทำงาน หรือในบ้าน คุณก็สามารถรู้สึกเหงาได้ และในขณะเดียวกัน การอยู่คนเดียวก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเหงาเสมอไป แน่นอนว่าในบางครั้งเราพึงพอใจที่จะอยู่ตามลำพังและมีความเป็นส่วนตัว

 

คนยุคปัจจุบันอาจรู้สึกเหงามากขึ้นเพราะเราอยู่ใน “สังคมก้มหน้า” ต่างคนต่างติดโทรศัพท์มือถือ เทคโนโลยีนั้นมีข้อดีในการทำให้ผู้คนสามารถติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายแม้อยู่ห่างจากกัน แต่ในทางกลับกัน เทคโนโลยีอาจสร้างภาพลวง โดยทำให้คุณคิดว่าคุณได้เชื่อมต่อกับผู้อื่นตลอดเวลาผ่านอินเทอร์เน็ต แต่การเชื่อมต่อทางโซเชียลมีเดียอาจไม่ได้สนองการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด

 

และถึงแม้ว่าคุณนัดเจอเพื่อนในชีวิตจริง คุณอาจไม่รู้สึกเชื่อมต่อกับเขาเพราะต่างคนต่างนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์ทางเทคโนโลยีอื่น ๆ เพราะฉะนั้น การที่อยู่ด้วยกันทางกายแต่ใจลอยไปที่อื่นจึงอาจทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวและขาดความต้องการทางความสัมพันธ์

งานวิจัยทางจิตวิทยาพบว่าความเหงาส่งผลทางลบต่อสุขภาพกายของเรา เช่น คนเหงามักมีปัญหานอนไม่หลับ มีปัญหาควบคุมการรับประทานอาหาร และในระยะยาว ความเหงาอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง

 

นอกเหนือจากสุขภาพกาย ความเหงาอาจทำให้สุขภาพจิตของเราแย่ลงด้วย โดยความเหงานั้นเกี่ยวข้องกับอาการซึมเศร้า อาการวิตกกังวล ทำให้เรารับรู้ถึงความเครียดมากขึ้น และทำให้มองโลกและมองตัวเองในแง่ลบมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ ความเหงาส่งผลกระทบกับคนในวัยชรา โดยส่งผลต่อการทำงานของสมองที่เสื่อมถอยลง และอาจทำให้เสียชีวิตก่อนเวลาอันควร

 

นอกจากนี้ งานวิจัยทางประสาทวิทยาศาสตร์พบว่าสมองของเราตอบสนองต่อความเจ็บปวดทางจิตใจ (เช่น ความเหงา การถูกทอดทิ้ง หรือ การถูกขับออกจากกลุ่ม) ไม่ต่างจากการตอบสนองต่อความเจ็บปวดทางกาย เพราะฉะนั้น ความเหงาจึงเป็นสัญญาณสำคัญที่เตือนให้เราควรหันมาดูแลสุขภาวะของจิตใจของเรา

 

 

หากคุณรู้สึกเหงา คุณควรทำอย่างไรบ้าง ?


 

คนส่วนใหญ่อาจเลือกที่จะทำกิจกรรมบางอย่างที่ทำให้ไม่ต้องคิดถึงความเหงา เช่น เปิดโทรทัศน์หรือคอมพิวเตอร์เพื่อดูหนังดูละคร เล่นเกมออนไลน์ นั่งเลื่อนดูข้อความและรูปภาพของผู้อื่นในโซเชียลมีเดีย โดยคุณอาจคิดว่ากิจกรรมเหล่านี้ช่วยลดความเหงา แต่ในความเป็นจริงนั้น คุณอาจกลับไปรู้สึกเหงาอีกหลังจากที่คุณหยุดทำกิจกรรมเหล่านี้ เหตุผลก็คือ ทางออกนี้ไม่ได้แก้ปัญหาความเหงาได้โดยตรง ในขณะที่มีทางเลือกอื่น ๆ ที่อาจมีประสิทธิภาพมากกว่าในการลดความรู้สึกเหงา โดยวิธีต่อไปนี้จะช่วยให้คุณเผชิญกับความเหงาและแก้ไขปัญหาความรู้สึกเหงาได้โดยตรง

 

(1) ปรับคุณภาพของความสัมพันธ์ในชีวิต

 

เราสามารถนัดเจอเพื่อนสนิท คนในครอบครัว หรือเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน และตั้งเป้าหมายที่จะพูดคุยกันอย่างใส่ใจ และตั้งใจฟังเขาจากใจจริง ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ สนทนากันแบบไม่ก้มหน้ากับมือถือหรืออุปกรณ์ทางเทคโนโลยีอื่น ๆ

 

มีตัวอย่างจากร้านอาหารแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาที่จัดวางกล่องไว้บนโต๊ะอาหารเพื่อให้ลูกค้าสามารถเอามือถือเก็บไว้ในขณะที่รับประทานอาหาร โดยลูกค้าที่ใช้บริการกล่องเหล่านี้ตอบว่ารู้สึกเชื่อมต่อมากขึ้นกับผู้ที่ตนสนทนาด้วยระหว่างรับประทานอาหาร ในการนี้ ถึงแม้ว่าคุณไม่สามารถนัดเจอเพื่อน คนรัก หรือครอบครัวได้ เพราะเหตุที่คุณหรือเขาอยู่ห่างไกลกัน แต่คุณสามารถทำให้ความเหงาเบาลงได้ หากเพียงคุณนัดโทรศัพท์คุยกันหรือโทรคุยแบบเห็นหน้ากันสักหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์

 

(2) ปรับมุมมองความคิด ชีวิตเปลี่ยน

 

ถึงแม้คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงบางสถานการณ์ได้ แต่คุณสามารถเปลี่ยนวิธีที่คุณตอบสนองต่อสถานการณ์เหล่านั้นได้เสมอ เริ่มจากการทำความเข้าใจว่าความเหงาเป็นการประเมินของตัวคุณเองต่อความสัมพันธ์ในชีวิต

 

คุณจะเลือกมองว่าคุณขาดความสัมพันธ์หรือขาดใครคนหนึ่งมาเติมเต็มชีวิต หรือคุณจะเลือกมองว่าในชีวิตคุณก็มีความสัมพันธ์ที่มีคุณค่าอยู่แล้วมากมาย ให้คุณลองนึกถึงและเขียนรายชื่อผู้คนที่ทำให้คุณรู้สึกขอบคุณและมีความสุขที่มีเขาในชีวิต นอกจากนี้ คุณสามารถเปลี่ยนมุมมองโดยการนึกดูว่ามีใครในชีวิตของคุณที่อาจต้องการให้คุณรับฟังและให้ความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาบ้างไหม เมื่อเราเป็นผู้ให้ที่ดี เราก็จะมีความสุขใจและเติมเต็มความสัมพันธ์ในชีวิตของเราเองเช่นกัน

 

(3) พึ่งความเข้าใจทางธรรมะ

 

เราสามารถทำความเข้าใจกับความรู้สึกเหงาที่เกิดขึ้นในใจเรา โดยรับรู้ว่าความรู้สึกนี้อยู่กับเราเพียงชั่วคราว เหมือนกับทุก ๆ สิ่งในโลกนี้ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา คุณไม่จำเป็นที่จะต้องจมอยู่ในความรู้สึกเหงาที่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ลง แต่คุณสามารถเลือกที่จะเผชิญความรู้สึกนี้และเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเหงา โดยเข้าใจว่าความเหงาคืออาการทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เป็นอารมณ์ที่ผ่านเข้ามาชั่วคราวและไม่ช้าไม่นานก็จะผ่านไป

 

อย่างไรก็ตาม หากคุณรู้สึกว่าคุณเหงาจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ อย่าลืมว่าคุณสามารถนัดพบนักจิตวิทยาที่พร้อมที่จะช่วยคุณ เพราะความเจ็บปวดทางจิตใจเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและควรได้รับการดูแลไม่แพ้กับการบาดเจ็บทางร่างกาย

 

ยังไม่สายเกินไปค่ะที่เราจะหันมาดูแลสุขภาวะใจของเราให้ดี ขอเป็นกำลังใจให้กับคนที่รู้สึกเหงาทุกคนค่ะ

 

 

รายการอ้างอิง

 

Cacioppo, J. T., & Hawkley, L. C. (2009). Perceived social isolation and cognition. Trends in Cognitive Sciences, 13(10), 447-454.

 

Hawkley, L. C., & Capitanio, J. P. (2015). Perceived social isolation, evolutionary fitness and health outcomes: a lifespan approach. Philosophical Transactions of the Royal Society B, 370(1669), 20140114.

 

Masi, C. M., Chen, H. Y., Hawkley, L. C., & Cacioppo, J. T. (2011). A meta-analysis of interventions to reduce loneliness. Personality and Social Psychology Review, 15(3), 219-266.

 

https://www.multivu.com/players/English/8294451-cigna-us-loneliness-survey/docs/IndexReport_1524069371598-173525450.pdf

 

ภาพจาก http://www.stgeorgeministry.com/loneliness-union-god/

 

 


 

 

บทความโดย

อาจารย์สุภสิรี จันทวรินทร์

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ทำไมฉันถึงไม่ Fit & Firm สักที?

 

เป้าหมายปี 2016 ฉันจะมีหุ่นที่ Fit & Firm !

เป้าหมายปี 2017 ฉันจะต้องมีหุ่นที่ Fit & Firm ให้ได้ !!!

เป้าหมายปี 2018 ฉันจะต้องเป็นคนที่มีหุ่น Fit & Firm ให้จนได้ !!!!!!

 

ปีแล้วปีเล่ากับเป้าหมายเดิม ๆ ที่…เห้อออออ ไม่สำเร็จสักที

 

วันนี้มีแนวคิดทางจิตวิทยาที่มาช่วยอธิบายสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรายังมีหุ่นที่ไม่ Fit & Firm กันค่ะ

 

แนวที่ว่านี้คือแนวคิด Locus of control หรือ ความเชื่อเกี่ยวกับความสามารถในการควบคุมตนเอง ซึ่งพัฒนาโดย Julian Rotter (1966) โดยมีนิยามว่าเป็นความเชื่อของบุคคลเกี่ยวกับอำนาจหรือความสามารถของตนในการควบคุมการกระทำเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

 

โดย Locus of control มี 2 ประเภท คือ

 

1. ความเชื่ออำนาจภายในตน (Internal locus of control) บุคคลเชื่อว่าตนนั้นสามารถควบคุมเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ด้วยตนเอง เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากความสามารถ ทักษะ หรือการกระทำของตนเอง

 

2. ความเชื่ออำนาจภายนอกตน (External locus of control) บุคคลเชื่อว่าเหตุการณ์หรือสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับอิทธิพลและอำนาจภายนอกที่ตนเองไม่สามารถควบคุมได้ เช่น โชค ความบังเอิญ หรืออิทธิพลของผู้อื่น

 

ในหลักของการเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากเดิมที่เรามีหุ่นที่น้ำหนักเกินมาตรฐาน อ้วน ลงพุง มีเนื้อส่วนแขนและขาห้อยย้อยไม่กระชับ แล้วเราอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองซะใหม่ให้กลายเป็นคนที่มีหุ่น Fit & Firm ภายในปี 2018 นี้ให้ได้ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงตัวเองนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อเกี่ยวกับความสามารถที่จะควบคุมตัวเอง 2 ประเภทกล่าวคือ ถ้าเราเป็นคนที่มีความเชื่อว่าการที่จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวในการทำสิ่งต่าง ๆ นั้นเกิดมาจากอำนาจภายในตน เราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ง่าย เช่น ถ้าเชื่อว่าตนสามารถควบคุมตัวเองให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เลือกรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ เพื่อส่งเสริมให้มีหุ่นที่ Fit & Firm ของตนเองได้ กำหนดได้ว่า ในแต่ละวันนั้นตนเองจะออกกำลังกายอย่างไร จะเลือกรับประทานอาหารแบบไหน และจะเลี่ยงไม่รับประทานอาหารแบบไหน เช่น เลี่ยงของหวาน ขนมเค้ก ของมัน ของทอด หรืออาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ อันเป็นอุปสรรคต่อการสร้างร่างกายให้ Fit & Firm

 

เมื่อเราเชื่อว่าเราสามารถควบคุมตนเองได้แล้ว เราก็จะทำพฤติกรรมข้างต้นที่นำไปสู่การที่ส่งเสริมให้เรามีหุ่น Fit & Firm ได้จนบรรลุผลสำเร็จจนได้

 

แต่ถ้าหากเราเชื่อว่า การออกกำลังกายและการเลือกรับประทานอาหารเพื่อให้มีหุ่น Fit & Firm เราทำเองไม่ได้ เราต้องพี่งพิงตัวช่วยต่าง ๆ ที่เป็นสถานการณ์หรือบุคคลอื่น ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยหรือสิ่งแวดล้อมภายนอกที่ตนเองที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเราได้ เช่น ตอนเย็น หลังเลิกงาน เราทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังเก็บของเตรียมไปออกกำลังกาย แต่เพื่อนร่วมงานชวนไปทานมื้อเย็นเป็นอาหารบุฟเฟ่ต์ซะก่อน เราก็ไม่ปฏิเสธคำชวนแล้วก็ไปกินตามคำชวนของเพื่อน เมื่อกินเสร็จแล้วเราหุ่นก็ยังเหมือนเดิม เราก็จะได้แต่อ้างและโทษว่าที่เรายังมีหุ่นที่ Fit & Firm ไม่ได้เพราะเพื่อนร่วมงานชอบชวนไปทานมื้อเย็นทุกวันเลย (ก็เราดันไปกับเขาเองนี่นา…)

 

หรือในขณะที่เรากำลังจะไปออกกำลังกายแล้วเดินผ่านร้านขนมหวานที่กลิ่นหอมเตะจมูก แถมพนักงานหน้าร้านชักชวนให้เข้าไปทานขนมในร้านอีก แล้วเราก็เข้าไปทานตามคำเชิญชวนและกลิ่นอันยั่วยวนโดยไม่ปฏิเสธใด ๆ พอทานเสร็จแล้วจึงหาข้ออ้างที่หุ่นไม่ Fit & Firm สักทีก็เพราะพนักงานนี่แหละชวนเข้าไป

 

การที่บุคคลมีความเชื่อเช่นนี้ก็จะส่งผลให้บุคคลนั้นไม่สามารถที่จะควบคุมให้ตนเองออกกำลังกาย และการเลือกรับประทานอาหารที่ส่งเสริมให้ร่างกายมีหุ่นที่ Fit & Firm ได้เนื่องจากเชื่อว่าตนจะมีหุ่นที่ Fit & Firm ได้ก็ต่อเมื่อไม่มีเพื่อนร่วมงานชวนกิน หรือร้านขนมหวานนั้นได้ย้ายร้านออกไปแล้ว

 

จากหลักการข้างต้นพอจะอธิบายความแตกต่างระหว่างบุคคลได้บ้าง ระหว่างคนที่มีหุ่น Fit & Firm ภายในปี 2018 กับคนอยากจะมีหุ่น Fit & Firm แต่ทำไม่ได้สักปี!!! เราเลือกได้นะคะว่าเราอยากมีหุ่นแบบแบบไหน ถ้าเราเชื่อว่าการทำให้ตัวเองมีหุ่นดี ๆ เราต้องเริ่มต้นที่เราเองก่อนเลยค่ะ เราต้องเชื่อว่าเราสามารถทำได้ เราสามารถออกไปวิ่งหรือออกกำลังกายได้ด้วยตนเอง ชวนเพื่อนแล้วเพื่อนไม่ไปด้วย เราไปเองเลยค่ะ เราต้องมีความมั่นใจและเชื่อมั่น มุ่งมั่นว่าเราสามารถทำได้ เราสามารถเลือกได้ว่าเราจะรับประทานอาหารแบบไหน เราเลือกของเราได้โดยที่ไม่ไปโทษเพื่อน หรือ สื่อโฆษณาชวนเชื่อต่าง ๆ

 

หากทำเช่นนี้ได้ รับรองว่าปีนี้เราจะได้เป็นคนที่มีหุ่นดี Fit & Firm ภายในปี 2018 อย่างแน่นอนค่ะ

 

หุ่นดี Fit & Firm หาซื้อไม่ได้ ไม่มีขายค่ะ อยากได้ต้องลงมือ (ออกกำลังกายและรับประทานอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ) เองค่ะ

 

 

 

รายการอ้างอิง

 

Rotter, J. B. (1966). Generalized expectancies for internal versus external control of reinforcement. Psychological Monographs: General & Applied, 80(1), 1-28.

 

Hayden, J.A. (2013). Introduction to Health Behavior. Jones & Barlett Learning, MA.

 

ภาพประกอบจาก https://www.fuersie.de/gesundheit/fitness/artikel/po-uebungen-fuer-zuhause

 

 


 

บทความโดย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เรวดี วัฒฑกโกศล และ นางสาวสิริพร ทรัพยะประภา

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย