การปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะมั่นคงได้ คนในสังคมจำเป็นต้องมีจิตใจ มีพฤติกรรมหรือบุคลิกภาพที่เป็นประชาธิปไตยด้วย การปกครองในระบอบประชาธิปไตยจึงจะสมบูรณ์และประสบความสำเร็จได้
ที่ผ่านมามีผู้ศึกษาวิจัย นักรัฐศาสตร์และนักจิตวิทยาจำนวนมากได้กล่าวถึงพฤติกรรมประชาธิปไตยไว้ในแง่มุมต่าง ๆ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้ (สมนึก มังน้อย, 2539)
1. การรู้จักบทบาทและหน้าที่ของตน
- เคารพและปฏิบัติตามกฎระเบียบแบบแผนของสังคม
- ปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเต็มใจและเกิดผลดีต่อส่วนรวม
- ปฏิบัติหน้าที่การงานสำเร็จตามกำหนดเวลาที่ได้รับมอบหมาย
- เอาใจใส่ติดตามการปฏิบัติงานโดยไม่ทอดทิ้ง
- ยอมรับบทบาทหน้าที่ของกันและกัน
2. การยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น
- ให้โอกาสผู้อื่นแสดงความคิดเห็น
- ไม่ดูถูกเหยียดหยามความคิดเห็นของผู้อื่น
- สนใจฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยความเต็มใจ
- ซักถามโดยใช้เหตุผลเมื่อไม่เข้าใจความคิดเห็นของผู้อื่น
- ไม่ยึดถือความเห็นของตนเองว่าถูกต้องเสมอไป
3. การคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน
- รู้จักเสียสละโดยพิจารณาตามเหตุผลและความเหมาะสม
- เต็มใจที่จะทำงานร่วมกับหมู่คณะ
- ไม่ละเลยและเพิกเฉยต่อการกระทำใด ๆ ที่จะเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมตามความสามารถและโอกาส
- รู้จักอดทน อดกลั้น เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม
- รู้จักละอายใจต่อความประพฤติของตนที่จะรักษาผลประโยชน์ส่วนตนโดยมิชอบ
4. การยอมรับและเคารพในสิทธิและหน้าที่ของบุคคล
- ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด โดยไม่ก้าวก่ายหรือรบกวนหน้าที่ของผู้อื่น
- รู้จักให้ความสำคัญแก่ผู้อื่น ไม่สนใจและให้ความสำคัญแต่เฉพาะตนเองเท่านั้น
- รักความยุติธรรม
- รู้จักเห็นอกเห็นใจและห่วงใยผู้อื่น
- ยอมรับมติของหมู่คณะ
5. การใช้ปัญญาหรือเหตุผลในการตัดสินปัญหา
- รู้จักการใช้เหตุผลในการพิจารณาตัดสินปัญหาเมื่อเกิดข้อขัดแย้ง
- ตัดสินปัญหาโดยใช้ข้อมูลประกอบ
- ไม่นำความเชื่อหรือโชคลางมาเป็นเครื่องตัดสินใจ
- รู้จักวิเคราะห์และประมวลเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยใช้สติปัญญาและเหตุผลตลอดเวลา
- แยกเรื่องส่วนตัวกับหน้าที่การงานออกจากกันในการทำงาน หรือการตัดสินปัญหาใด ๆ
ปัจจัยคัดสรรที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมประชาธิปไตย
ได้แก่
1. การอบรมเลี้ยงดู
ครอบครัวเป็นสถาบันที่มีความสำคัญต่อพัฒนาการของเด็ก เป็นสถาบันที่สร้างบุคลิกภาพ พฤติกรรม และสติปัญญาในอนาคตของเด็ก ซึ่งรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูที่ส่งเสริมพฤติกรรมประชาธิปไตยให้แก่เด็ก คือ การอบรมเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่ (authoritative parenting style) หมายถึง การที่พ่อแม่มีการควบคุมความประพฤติของเด็ก แต่ขณะเดียวกันก็พยายามอธิบายเหตุผลประกอบการกระทำ ด้วยการอธิบายกฎเกณฑ์ที่เด็กจะต้องประพฤติ และมีการยอมรับเด็กในระดับสูง ตอบสนองความต้องการของเด็ก เด็กได้เป็นตัวของตัวเองตามสมควร พ่อแม่ทำให้เด็กรู้สึกว่าไม่ถูกควบคุมและไม่เป็นอิสระมากจนเกินไป
ส่วนการอบรมเลี้ยงดูแบบเข้มงวดมากเกินไป แบบตามใจมากเกินไป และแบบปล่อยปละละเลย ไม่ช่วยให้เด็กมีความรับผิดชอบ ทำให้เด็กไม่มีวินัยในตนเอง ไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น หรือคิดถึงประโยชน์ส่วนรวม ไม่มีเหตุผลในการคิดตัดสินปัญหา
2. เพศ
แต่ละเพศให้ความสนใจกับพฤติกรรมประชาธิปไตยแตกต่างกัน ด้วยบทบาททางเพศที่ถูกกำหนดไว้จากครอบครัวและสังคมที่คาดหวังต่อผู้ชายและผู้หญิงที่ต่างกัน โดยผลการวิจัยในประเทศไทยพบว่า ผู้ชายให้ความสนใจต่อข่าวสารทางการเมือง และมีความคาดหวังต่อประโยชน์ของการปกครองท้องถิ่นหรือสุขาภิบาล และอุดมการณ์ประชาธิปไตยมากกว่าผู้หญิง
3. การร่วมกิจกรรมประชาธิปไตยในโรงเรียน
โรงเรียนเปรียบเสมือนสังคมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เด็กและวัยรุ่นมีพัฒนาการทางสังคมให้ดีขึ้น มีกิจกรรมต่าง ๆ ให้เด็กมีส่วนเพื่อนร่วมให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพในสังคม เป็นสถานที่ถ่ายทอดการเรียนรู้ทางการเมืองทั้งทางตรง โดยการอบรมให้ความรู้ทางการเมืองการปกครอง และทางอ้อม โดยการจัดกิจกรรมให้เด็กได้รู้จักการปฏิบัติตนในสังคม สร้างพฤติกรรมทางการเมืองในโรงเรียน เช่น การเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิดเห็น การยอมรับฟังเหตุผล การเลือกคณะกรรมการนักเรียน หรือการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานนักเรียน เป็นต้น
งานวิจัยในประเทศไทยพบว่า นิสิตนักศึกษาส่วนใหญ่ มีทัศนคติทางการเมืองแบบประชาธิปไตย มีความสำนึก และกระตือรือร้น สนใจในการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง ส่วนนักเรียนนายร้อยทหารบกและนักเรียนนายเรือ มีทัศนคติทางการเมืองทั้งแบบอำนาจนิยมและประชาธิปไตยอยู่ในคนเดียวกัน แต่มีความโน้มเอียงไปทางอำนาจนิยมมากกว่าประชาธิปไตย
4. การรับรู้ข่าวสาร
ข่าวสารเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ประกอบการตัดสินใจในกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เมื่อบุคคลต้องการข้อมูลในการตัดสินใจหรือไม่แน่ใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง บุคคลจะต้องการข่าวสารเพิ่มมากขึ้น โดยสิ่งที่ทำให้บุคคลเลือกรับสื่อต่าง ๆ ได้แก่ ทัศนคติและประสบการณ์เดิมของตน ครอบครัว สังคม วัฒนธรรม อายุ เพศ ภูมิลำเนา ตลอดจนการศึกษา
ทั้งนี้ อิทธิพลของสื่อมวลชนที่มีต่อประชาชนนั้นไม่ใช่อิทธิพลโดยตรง แต่เป็นอิทธิพลโดยอ้อม Klapper (1966) กล่าวว่า มีปัจจัยต่าง ๆ ที่กั้นอิทธิพลของสื่อมวลชน ได้แก่ ความมีใจโน้มเอียง/การเลือกของผู้รับสาร ผู้นำความคิดเห็นของคนในสังคม และธุรกิจด้านสื่อมวลชน (ว่ามีลักษณะเสรีหรือผูกขาดการนำเสนอข่าวสาร)
นอกจากนี้ อิทธิพลที่สื่อมวลชนมีต่อประชาชนเป็นเพียงผู้สนับสนุนเท่านั้น คือ สื่อจะสนับสนุนทัศนคติ ค่านิยม และแนวโน้มด้านพฤติกรรมของประชาชนให้มีความเข้มแข็งขึ้น พร้อมที่จะแสดงให้ปรากฏออกมาเมื่อมีแรงจูงใจเพียงพอหรือมีโอกาสที่เหมาะสม การทำหน้าที่เป็นผู้เปลี่ยนแปลงนั้น สื่อมวลชนจะสามารถมีอิทธิพลได้เมื่อบุคคลมีความโน้มเอียงที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว สื่อมวลชนเพียงแต่เป็นผู้เสนอหนทางในการเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมเท่านั้น และสื่อมวลชนสามารถสร้างทัศนคติและค่านิยมใหม่ให้แก่ประชาชนได้ก็ต่อเมื่อ บุคคลนั้น ๆ ไม่เคยมีความรู้หรือประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งนั้นมาก่อน และบุคคลต้องได้รับสารที่เสนอเรื่องราวในแนวเดียวกันบ่อย ๆ เพราะการสร้างทัศนคติและค่านิยมใหม่นั้นเป็นอิทธิพลในลักษณะสะสมมีให้ก่อให้เกิดผลได้ในทันทีหรือระยะเวลาอันสั้น
รายการอ้างอิง
“ปัจจัยคัดสรรที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมประชาธิปไตยของวัยรุ่นตอนปลาย” โดย พัชราวลัย ศิลป (2545) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/10416
ภาพจาก https://www.huffingtonpost.com/fixcapitalism/do-we-really-want-democra_b_10799776.html