ข่าวและกิจกรรม

Social comparison – การเปรียบเทียบทางสังคม

 

 

 

การเปรียบเทียบทางสังคม หมายถึง การที่บุคคลเปรียบเทียบตนเองกับบุคคลอื่นเพราะต้องการข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง สภาพแวดล้อม เพื่อประเมินคุณภาพ ประสิทธิภาพของตนเอง และเป็นการตั้งเป้าหมายส่วนตัว

 

โดย Festinger (1954) ได้สรุปแนวคิดการเปรียบเทียบทางสังคมไว้ว่า เมื่อบุคคลเผชิญสถานการณ์ที่กำกวม สับสน บุคคลจะเกิดปฏิกิริยาทางจิตอันได้แก่ เกิดความรู้สึกทางลบ ความไม่แน่ใจ ความต้องการข้อมูลข่าวสาร บุคคลจึงพยายามเข้าร่วมและเปรียบเทียบทางสังคมกับบุคคลอื่น ซึ่งนำไปสู่กระบวนการคิด กระบวนการรับรู้ที่ชัดเจน

 

การเลือกบุคคลที่จะเปรียบเทียบด้วยนั้น บุคคลมักจะเลือกเปรียบเทียบกับบุคคลใกล้ชิด โดยเฉพาะคนที่มีทัศนะและความสามารถที่ใกล้เคียงกัน บุคคลจะไม่ชอบสถานการณ์ที่บุคคลอื่นๆ มีทัศนะและความสามารถแตกต่างกันกับตน หรือก็คือ บุคคลจะถูกดึงดูดไปยังกลุ่มหรือบุคคลที่มีทัศนะเหมือนกับตน และมีแนวโน้มที่จะหลบออกจากกลุ่มที่มีทัศนะและความสามารถต่างกัน

 

 

Forsyth (2006) ได้ระบุประเภทของการเปรียบเทียบทางสังคมออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่

 

1. Misery loves company – คนที่มีความทุกข์ต้องได้รับการรับรู้หรือปลอบโยนจากบุคคลอื่น

บุคคลที่ไม่มีความสุขอาจจะเข้าร่วมกับบุคคลอื่นเพื่อขอหรือหาข้อมูลโดยการเปรียบเทียบมุมมอง ของตนเองกับมุมมองของผู้อื่นที่ไม่มีความสุขเหมือนกับตนเอง เพื่อกำหนดมุมมองของตนเองที่ถูกต้อง เที่ยงตรง หรือเหมาะสม

 

2. Misery loves miserable company – คนที่มีความทุกข์จะหาเพื่อนหรือกลุ่มที่มีความทุกข์เหมือนกันตนเอง

บุคคลจะให้ความสนใจในข้อมูลที่ช่วยให้เกิดความกระจ่างและร่วมประสบการณ์กับบุคคลที่มีประสบการณ์เหมือนกับตนเอง หรือการที่บุคคลนั้นมีปัญหาเหมือนกับตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์นั้นเป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างอันตราย ทำให้บุคคลผู้นั้นพูดคุยอย่าเงปิดเผยกับผู้ร่วมประสบการณ์เดียวกันมากกว่าบุคคลอื่นที่ไม่ได้มีประสบการณ์ร่วมกัน เพราะดีกว่าการที่ต้องอยู่คนเดียวโดยไม่ทราบข้อมูล

 

3. Embarrassed misery avoids company – คนที่มีความทุกข์จากความละอายจะหลีกเลี่ยงการพบเพื่อนหรือกลุ่มตน

บุคคลที่มีความอายจะหลีกเลี่ยงการพบเพื่อนหรือไม่อยากเข้าร่วมกลุ่ม เพราะกลัวความอาย มากกว่ากลัวอันตราย คนที่อายจะสับสน กระวนกระวายใจ กลัว ไม่มั่นใจ ไม่กล้าที่จะไปพูดคุยกับบุคคลอื่น ทำให้ไม่อยากอยู่กับผู้อื่น จึงเลือกการแยกตัวออกจากกลุ่ม โดยอาจเลือกทำกิจกรรมที่สามารถทำได้คนเดียว

 

4. Misery loves more miserable company sometimes – คนที่มีความทุกข์ ในบางครั้งอาจจะคบกับเพื่อนหรือกลุ่มคนที่มีความทุกข์มากกว่าตนเอง

การเปรียบเทียบทางสังคมในด้านนี้สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท

  • Downward social comparison การเปรียบเทียบตนเองกับบุคคลอื่นที่ประสบความสำเร็จน้อยกว่า
  • Upward social comparison การเปรียบเทียบตนเองกับบุคคลอื่นที่ประสบความสำเร็จมากกว่า

บุคคลจะเปรียบเทียบตนเองกับบุคคลอื่นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเอง หรือเรื่องที่ตนเองให้ความสำคัญ ในหลายๆ กรณีบุคคลชอบที่จะเปรียบเทียบกับคนที่ประสบความสำเร็จน้อยกว่าตนเอง เพราะทำให้บุคคลที่เปรียบเทียบนั้นรู้สึกดีกว่าบุคคลอื่นที่ตนไปเปรียบเทียบด้วย ในทางตรงกันข้าม การเปรียบเทียบตนเองกับบุคคลอื่นที่ประสบความสำเร็จมากกว่าตนเอง จะทำให้รู้สึกล้มเหลวหรือด้อยกว่าบุคคลอื่น แต่ในบางครั้งการเปรียบเทียบกับคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่าก็ทำให้เกิดแรงบันดาลใจและความหวัง เมื่อบุคคลนั้นอยู่ในกลุ่มเดียวกับตนเอง เป็นพวกเดียวกับตนเอง

 

 


 

ข้อมูลจาก

 

“อิทธิพลของการเปรียบเทียบทางสังคมและรายได้ต่อความสุขเชิงอัตวิสัย” โดย พัชรี ศุภดิษฐ์ (2551) –  http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/21590

 

ถอดความ PSY Talk เรื่อง ตีโจทย์ปัญหาการ Bully: เจ็บที่ไม่จบ ผลกระทบของการ Bully

การเสวนาทางจิตวิทยา (PSY Talk) เรื่อง

ตีโจทย์ปัญหาการ Bully: เจ็บที่ไม่จบ ผลกระทบของการ Bully

 

โดยวิทยากร
  • ผศ. ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์ (อ.หยก) ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาสังคม
  • ผศ. ดร.ชมพูนุท ศรีจันทร์นิล (อ.นุท) ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการปรึกษา
  • อ. ดร.จิรภัทร รวีภัทรกุล (อ.ฝน) ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาพัฒนาการ

 

วิทยากรและผู้ดำเนินรายการ
  • อ. ดร.พูลทรัพย์ อารีกิจ ผู้ช่วยคณบดี และผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการปรึกษา

 

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2566 เวลา 15.00-16.00 น.

 

รับชม LIVE ย้อนหลังได้ที่

https://www.facebook.com/CUPsychBooks/videos/531594558936045

 

 

 

 

 

 

Bully คืออะไร


 

อ.หยก :

นิยามของการ bully คือการข่มเหงรังแก เป็นพฤติกรรมทางลบ เพราะเป็นพฤติกรรมก้าวร้าวที่คนหนึ่งกระทำกับอีกคนหนึ่งโดยเจตนา และทำซ้ำ ๆ ในช่วงระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่ง เจตนานั้นคือต้องการให้คนที่ถูกกระทำได้รับความเจ็บปวดทางร่างกายหรือจิตใจ โดยส่วนใหญ่คนที่ไปข่มเหงรังแกคนอื่นจะรู้สึกว่าตนเองมีอำนาจ อยู่เหนือกว่าคนอื่น มีความสามารถมากกว่า ตัวใหญ่กว่า จึงกระทำต่อคนที่มองว่าอ่อนแอกว่า ซึ่งคนที่ถูกมองว่าอ่อนแอกว่าเหล่านั้นอาจเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคม มีลักษณะแตกต่าง หรือมีความเฉพาะทาง มีความพิเศษ เป็นคนที่สังคมมองว่าคนกลุ่มนั้นเป็นคนที่มีอำนาจน้อยกว่าในสังคม

 

 

ประเภทของการ Bully


 

อ.หยก :
  • ประเภทแรก คือการรังแกทางร่างกาย (physical) การตี ต่อย เตะ การถ่มน้ำลาย ดึงผม กระชากผม หรือการขังเอาไว้ในล็อกเกอร์ ในห้องน้ำ เป็นลักษณะที่ทำซ้ำ ๆ กับคนเดิม ๆ
  • ประเภทที่สอง คือการรังแกทางวาจา (verbal) การใช้คำพูดที่ทำให้ผู้ถูกกระทำรู้สึกเจ็บปวดใจ รู้สึกอับอาย เป็นการพูดยั่วยุ ยั่วเย้า เสียดสี นินทา ปล่อยข่าวโคมลอย ให้บุคคลที่เป็นเหยื่อรู้สึกเสียหายจากสิ่งที่ผู้กระทำได้พูดออกมา การรังแกประเภทนี้จึงมีเส้นบาง ๆ ระหว่างการรับรู้ของผู้กระทำที่มองว่าเป็นการล้อเล่นเฉย ๆ ขณะที่ผู้ถูกกระทำอาจตีความได้ว่าผู้กระทำมีเจตนาที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดทางจิตใจ และได้รับผลในระยะยาว
  • ประเภทที่สาม คือการรังแกทางสังคม (social) เป็นลักษณะของการกดดัน บีบบังคับ เช่น ไม่ให้มีใครเป็นเพื่อน การโดดเดี่ยวเหยื่อให้รู้สึกว่าไม่มีใครดบด้วย
  • ประเภทที่สี่ คือการรังแกในโลกไซเบอร์ (cyber bullying) ซึ่งปรากฏขึ้นมากในช่วงสิบปีให้หลัง เป็นลักษณะของการสาดกันด้วยคำพูดทางลบ การปล่อยข่าวโคมลอย การนำภาพที่ไม่ดีนักไปประจาน ให้เกิดความเสียหายกับเหยื่อ การคอยติดตามแบบประสงค์ร้าย (stalking) การรังแกในโลกไซเบอร์นั้นมีผลกระทบค่อนข้างมาก เพราะมีผู้คนพบเห็นได้มากและผลิตซ้ำได้ คือมีคนเป็นพันเป็นหมื่นมาพบเห็นได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง และมาดูซ้ำ ๆ ได้เหมือนเราถูกกระทำซ้ำไปซ้ำมา

 

 

ความชุกของการ Bully


 

อ.ฝน :

เราสามารถพบเห็นการ bully ได้ตั้งแต่ระดับอนุบาล ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย โดยเรามักจะพบความชุกทั้งในด้านความถี่และความรุนแรงของการ bully ในทุกประเภทในระดับมัธยม

 

เวลาที่เราสังเกตเห็นการรังแกกันในวัยอนุบาล เช่น การตี การกัด การแย่งของ ในมุมมองของเด็กอนุบาล เขาอาจไม่รู้จักคำว่ากลั่นแกล้งรังแก แต่เป็นพฤติกรรมที่เขามองว่าไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะไม่รู้จักการขอหรือการเจรจาเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ จึงออกมาในรูปของความก้าวร้าวและไปรังแกคนอื่น ดังนั้นการพิจารณาการ bully ในวัยอนุบาลอาจต้องวิเคราะห์ถึงเจตนาและการรับรู้ของผู้กระทำด้วย

 

ส่วนในวัยมัธยม บริบทที่เจอการ bully ได้บ่อย ยกเว้นในโลกไซเบอร์ คือการรังแกในโรงเรียน ทั้งนี้การให้คุณค่าของเด็กวัยรุ่นคือการได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะจากเพื่อน พฤติกรรมการรังแกหรือการแสดงให้เห็นว่าฉันมีอำนาจ ฉันแข็งแรง บางครั้งเขาก็มองว่าเป็นสิ่งที่นำไปสู่การได้รับการยอมรับจากเพื่อน วัยรุ่นบางคนจึงใช้การรังแกผู้อื่นเพื่อสร้างสถานะทางสังคมของตน และสร้างการยอมรับจากเพื่อน ๆ ในโรงเรียน

 

 

ธรรมชาติของมนุษย์มีความสงสาร เห็นใจ ทำไมบางคนจึงเลือกที่จะรังแกผู้อื่นให้เกิดความเจ็บปวดทางกายหรือทางใจ


 

อ.นุท :

ในบุคคลที่โตขึ้นจนน่าจะมีพัฒนาการเรื่องความเห็นอกเห็นใจแล้ว แต่ยังมีพฤติกรรมรังแกผู้อื่นให้รู้สึกเจ็บปวด อับอาย ด้วยความรู้สึกสนุก ความรู้สึกสะใจอยู่นั้น อาจเป็นได้จากหลายปัจจัย ถ้ามองในปัจจัยส่วนบุคคล การ bully อาจมาจากความต้องการภายในที่ต้องการแสดงออกถึงการมีอำนาจ การเป็นที่ยอมรับของสังคม การได้รับความนิยมชมชอบว่าฉันมีความเหนือกว่า มีความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่มากกว่า ปัจจัยตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการอยากเป็นผู้นำ อยากสร้างความรู้สึกดีกับตนเอง อยากให้ผู้อื่นรู้สึกชมชอบ ก็เป็นปัจจัยหลักในการเกิดพฤติกรรม bully แม้แต่ผู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นแต่ก็กระทำซ้ำในการ bully ผู้อื่น ก็อาจจะมาจากภูมิหลังที่เขาเคยถูก bully ด้วยเช่นกัน คือคนที่ถูกรังแกก็รังแกผู้อื่นต่อ เป็นวงจร ทำให้วงจรของการ bully นั้นไม่สิ้นสุดและส่งต่อความเจ็บปวดนั้นไปเรื่อย ๆ ถ้ามองในด้านสภาวะทางจิตใจ อาจมองได้ถึงการได้ระบายความเจ็บแค้น เป็นการแทนที่ความเจ็บปวดไปยังผู้อื่น เพื่อทำให้ตนเองรู้สึกกลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ตนเองอาจจะรู้สึกถูกลดอำนาจ รู้สึกสูญเสียความรู้สึกดีกับตัวเอง

 

เราอาจจะต้องศึกษาประสบการณ์ทางจิตใจของผู้ที่รังแกคนอื่นที่อยู่ในวัยมัธยมหรือมหาวิทยาลัยแล้ว ว่าเป็นผลเนื่องมาจากประสบการณ์ที่เขาเจ็บช้ำในอดีตหรือไม่ หรืออาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาทางด้านสุขภาพจิตของเขาได้เหมือนกัน ซึ่งอาจจะส่งผลจากการเลี้ยงดูของครอบครัว ที่ขาดตัวแบบของการดูแลที่เหมาะสม มีความรุนแรงในครอบครัว และเขารู้สึกชินชาหรือคุ้นเคยกับการใช้ความรุนแรง และมองว่าการกระทำการรุนแรงต่อผู้อื่น โดยไม่ใส่ใจ ไม่แยแส เป็นเรื่องปกติ

 

อีกปัจจัยหนึ่งคือเรื่องการเสพสื่อ ไม่ว่าจะเป็นทอล์กโชว์ เกมโชว์ ที่มีการหยอกเย้าด้วยมุกต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความบันเทิง จึงอาจกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เรามองว่าการหลอกล้อ เย้าแหย่คน เพื่อความสะใจ เพื่อความสนุกสนาน มันเป็นเรื่องปกติที่เราสามารถกระทำต่อผู้อื่นได้

 

อ.ฝน :

พฤติกรรมก้าวร้าวและการ bully คือพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ เราไม่ได้เกิดมาพร้อมการรู้ว่าอะไรคือการรังแก คำถามคือแล้วเราเรียนรู้มาจากที่ไหน สิ่งหนึ่งที่อธิบายได้คือการอบรมเลี้ยงดูจากที่บ้าน เราทุกคนเรียนรู้รูปแบบความสัมพันธ์โดยมีพื้นฐานมาจากการสังเกตคนในบ้าน เราสังเกตว่าคุณพ่อคุณแม่ปฏิบัติต่อกันอย่างไร ปฏิบัติต่อลูกอย่างไร เพราะฉะนั้นการปฏิบัติต่อกันในบ้าน ทำให้เด็กสร้างกรอบภาพความคิดขึ้นมาว่าการที่เราจะมีความสัมพันธ์กับใครสักคนเราควรปฏิบัติต่อกันอย่างไร ถ้าเด็กเจอความรุนแรงในบ้าน ไม่ว่าเป็นการกระทำ หรือการใช้วาจา แล้วนำมาซึ่งการได้รับในสิ่งที่ต้องการ เด็กก็จะเรียนรู้ว่าถ้าฉันมีความสัมพันธ์กับใครและอยากได้อะไรก็ตาม ฉันก็จะใช้ความรุนแรงเพื่อให้ได้สิ่งนั้นหรือมีความสัมพันธ์กับคนนั้นได้ จากสิ่งที่เกิดขึ้นภายในบ้านอาจพัฒนาเป็นพฤติกรรมกลั่นแกล้งรังแกที่นำไปใช้กับคนภายนอก เพื่อใช้ในการสร้างความสัมพันธ์หรือสร้างการยอมรับ

 

อ.หยก :

ในบางกรณี ครอบครัวอาจไม่ได้เป็นแหล่งกำเนิดความรุนแรง แต่บุคคลสามารถเรียนรู้ได้จากสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น โรงเรียน หรือในที่ทำงาน การเห็นว่าคนที่ bully คนอื่นได้รับการยอมรับจากสังคมจริง ๆ คือพอทำแล้วได้รับคำชื่นชม ว่าเป็นคนเก่ง คนกล้า กล้าพูดในสิ่งที่ฉันไม่กล้า เป็นต้น ตามทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม ที่เห็นว่าผู้กระทำไม่ได้รับผลเสีย ไม่มีใครว่า ในทางตรงกันข้ามกลับได้รับผลดี จึงอยากทำตามเพื่อที่จะได้รับคำชมหรือถูกมองว่าเก่งเหมือนกัน

 

กลับไปที่ปัจจัยส่วนบุคคล การ bully คือพฤติกรรมก้าวร้าว ในความแตกต่างระหว่างบุคคล อาจมีบางคนที่มีแนวโน้มทำพฤติกรรมก้าวร้าวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อมีความต้องการที่จะอยู่เหนือคนอื่น ก็ไม่รู้จะแสดงออกอย่างไร ก็จะทำพฤติกรรมก้าวร้าวใส่คนอื่นเพื่อให้ได้มาในสิ่งทีตนต้องการ

 

 

เราสามารถช่วยหรือป้องกันไม่ให้เกิดการ bully ได้อย่างไร


 

อ.หยก :

ในด้านจิตวิทยาสังคม การมีแหล่งสนับสนุนทางสังคม (social support) หรือการมีที่ปรึกษา มีคนรอบข้างที่เราสามารถไว้ใจบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในและแต่ละวันได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบ้านด้วยว่ามีการสื่อสารกันในลักษณะใด เด็กรู้สึกว่าบ้านเป็นพื้นที่ปลอดภัยหรือไม่ หากเรามีพื้นที่หรือบุคคลที่สามารถบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ก็จะเกิดการรับรู้ว่าเราไม่ได้เผชิญปัญหาตามลำพัง มีคนที่ช่วยกันคิดว่าจะหาทางออกอย่างไร ที่จะไม่เป็นการทำลายคนที่มารังแกเราด้วย พื้นฐานครอบครัวจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยประคับประคองคนหนึ่งคนให้มีจิตใจที่แข็งแกร่งหากต้องเผชิญการรังแกทั้งทางร่างกาย วาจา สังคม หรือทางไซเบอร์ก็ตาม ให้บุคคลไม่รู้สึกโดดเดี่ยว มีที่พึ่ง มีคนปลอบใจ และมีคนที่ร่วมแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน

 

อ.สาม :

การที่บุคคลรู้สึกว่าที่ผ่านมาตนถูกเลี้ยงดูมาโดยได้รับการปฏิบัติที่ดี ยังเป็นภูมิต้านทานให้กับบุคคลสามารถยืนหยัดในตนเองอีกด้วยว่า การรังแกที่ตนเผชิญอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ตกไม่สมควรได้รับ ถ้าผู้ปกครองให้ความมั่นคงมั่นใจกับเด็กได้ ความรู้สึกตัวน้อย ความรู้สึกด้อย เมื่อถูกรังแกก็จะไม่เกิดผลกับเรา

 

อ. ฝน :

การเรียนรู้พฤติกรรมนั้นเกิดขึ้นได้สองทาง ทางแรกคือการสังเกตผ่านตัวแบบ (role model) ดังนั้นเมื่อมีปัญหาในความสัมพันธ์ พฤติกรรมที่แสดงออก คำพูด การจัดการปัญหาซึ่งกันและกันของคนในบ้าน เด็ก ๆ เขาก็จะสังเกต จดจำ และนำไปเป็นแบบอย่างที่จะนำไปปฏิบัติกับคนข้างนอก ดังนั้นหากเราต้องการเป็นส่วนหนึ่งที่จะลดการ bully อย่างแรกจึงต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน ที่จะเป็นตัวแบบให้กับเด็ก ๆ ที่อยู่รอบข้าง
ทางที่สอง คือ การสอน การอธิบาย การได้คุยกัน การได้คุยกันในบ้านนอกจากทำให้เด็กรู้สึกมีที่พึ่งแล้ว ยังช่วยให้เขาเห็นถึงทางเลือกในการแสดงออกได้ด้วย ว่ามีทางอื่น ๆ ที่สามารถแสดงออกได้และไม่ต้องแก้ปัญหาด้วยการกลั่นแกล้ง หรือตอบสนองด้วยความรุนแรง

 

นอกจากนี้ การรังแกไม่ได้มีแค่ผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ ยังมีผู้เห็นเหตุการณ์ น้อง ๆ บางคนเมื่อพบเห็นการรังแกแล้วอาจจะรู้สึกไม่อยากเข้าไปยุ่ง เพราะกลัว ไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถช่วยเหลือได้หรือไม่ หรือกล้วว่าคนรังแกจะหันมาหาตัวเองหรือไม่ มีงานวิจัยที่พบว่าถ้าเราสามารถทำให้คนรอบข้างหรือผู้เห็นเหตุการณ์พัฒนาขึ้นมาเป็นผู้ช่วยเหลือได้ ความชุกของการรังแกจะลดลง ทั้งนี้ ผู้ช่วยเหลือไม่ได้หมายถึงคนที่ไปเผชิญหน้ากับผู้กระทำเพื่อหยุดการรังแกเสมอไป ยังสามารถช่วยเหลือในมุมปลอบใจผู้ถูกกระทำก็ได้ ดังนั้นหากเราสามารถเป็นตัวแบบหรือสอนว่า เมื่อเราเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ที่มีการรังแก เราควรทำอย่างไรเพื่อช่วยเพื่อน หรือช่วยให้ความรุนแรงลดลง

 

 

สำหรับคนที่โตแล้ว เรามีวิธีการดูแลใจเราหรือคนข้าง ๆ เราอย่างไร


 

อ.นุท :

ในคนต่างวัยเราจะมีวิธีการตอบสนองต่อเหตุการณ์ความรุนแรงต่างกัน สำหรับในคนที่โตแล้วที่สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้ด้วยตนเองแล้ว หมายถึงมีพัฒนาการทางความคิดและการใช้ภาษาพอสมควรแล้ว การตอบสนองเพื่อหยุดวงจรความรุนแรงนั้นต้องเริ่มด้วยการระงับการกลั่นแกล้งรังแก ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก และต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เพราะเพียงลำพังตัวบุคคลอาจไม่สามารถหยุดหรือระงับวงจรนี้ได้ ต้องมีการขยับเขยื้อนตั้งแต่ระดับบุคคล ไปจนระดับครอบครัว โรงเรียน และสังคมโดยรวม

 

ในระดับบุคคล ในเด็กโต ถ้าเราตอบสนองความรุนแรงด้วยความรุนแรง ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่เหมาะสม เพราะเป็นการเพิ่มพูนปัญหา การตอบสนองที่เหมาะสมคือการยืนยันในความรู้สึกของเรา ว่าเราไม่ชอบ และต้องการให้เขาหยุดการกระทำ หรือถ้าเราสามารถหลีกเลี่ยงการพบเจอคนเหล่านี้ได้เราอาจใช้การถอยห่างออกจากสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ โดยสรุปคือ หลักการพื้นฐานคือการตอบสนองโดยไม่ใช้อารมณ์ อย่างที่ยืนยันในสิทธิ์ของเราที่จะไม่ถูกคุกคาม ที่จะได้รับการให้เกียรติในฐานะที่เราเป็นบุคคลคนหนึ่ง

 

ถ้าเป็นนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย อาจจะตอบโต้ไปในในลักษณะของการบ่งบอกว่าเรารู้สึกอย่างไรในสิ่งที่เขาทำกับเรา และหากสิ่งนี้ยังเกิดขึ้นเราจะดำเนินการอย่างไร ตั้งแต่เบาไปหาหนัก และอาจไปถึงการดำเนินการทางกฎหมายได้เช่นกัน

 

หากเราหลีกหนีสถานการณ์โดยการยินยอมให้เขาทำ การแอบไปร้องไห้ โดยการไม่พูดกับใคร ไม่ทำอะไรเลย เช่นนี้คือการที่เรายอมจำนนต่อสถานการณ์ คนที่รังแกข่มเหงก็จะรู้สึกมีอำนาจมากชึ้น และไม่ได้รับผลทางลบอะไรเลย พฤติกรรมรังแกก็จะวนเวียนซ้ำ ๆ ดังนั้นเราต้อง assertive แล้วต้องไม่ aggressive และไม่ passive ด้วย จึงจะหยุดยั้งวงจรนั้นได้

 

ส่วนเด็กเล็กที่ยังไม่มีความสามารถในการต่อกร ต้องเริ่มจากคนใกล้ชิดเขาที่มีอำนาจ เช่นผู้ปกครอง โดยใช้วิธีการในการใส่ใจ ถามไถ่ความเป็นไปของเขาที่โรงเรียน เพราะไม่ใช่เด็กทุกคนที่เป็นนักเล่าเรื่อง เขาอาจไม่ช่างคุย หรืออยู่ในครอบครัวที่ไม่ได้มีสิ่งแวดล้อมที่เขารู้สึกปลอดภัยที่จะพูดคุยได้ ดังนั้นพ่อแม่ต้องเป็นคน active ที่จะเข้าหาพูดคุย ถ้าเป็นเด็กเล็กอาจจะถามว่า “เป็นยังไงบ้างลูก ที่โรงเรียนเป็นยังไง” และถามคำถามที่เจาะจงลงไป เช่น “มีอะไรที่ทำแล้วสนุกจังที่โรงเรียน มีอะไรที่ทำแล้วรู้สึกไม่ชอบบ้าง” “มีเพื่อนคนไหนที่ชอบคุย มีเพื่อนคนไหนบ้างมั้ยที่ไม่ชอบเล่นด้วย เพราะอะไร”

 

การพูดคุยเช่นนี้นอกจากเป็นการสร้างสัมพันธภาพระหว่างกันแล้ว ยังทำให้เราได้รู้เรื่องราวปัญหาที่เขาเผชิญและเข้าไปช่วยแก้ไขได้อย่างทันท่วงที จากนั้นถ้าลูกเปิดเผยในสิ่งที่ลูกเจอ เช่น บอกว่าไม่ชอบเล่นที่ถูกเพื่อนดึงผม มาจี้เอว พ่อแม่อาจจะชวนคุยว่าลูกทำอย่างไรต่อ เพื่อดูปฏิกิริยาในการตอบสนองเพื่อแก้ปัญหาของเขา และชวนคุยถึงแนวทางที่จะแก้ปัญหา เช่น การบอกเพื่อนให้หยุด การไปแจ้งคุณครู อย่างไรก็ตามในระหว่างการพูดคุย ก่อนที่จะให้แนวทางใด เราต้องตั้งใจฟังเขาก่อน อย่าเพิ่งไปพยายามแก้ปัญหา เพราะการที่เรารีบกระโจนเพื่อไปแก้ปัญหา อาจเป็นการที่เราไม่ได้ฟังเขาจริง ๆ เราจะต้องรับรู้และอยู่เคียงข้างความรู้สึกของเขาก่อน ที่เขารู้สึกโกรธเพื่อน น้องใจเพื่อน กลัว ไม่อยากไปโรงเรียน หรือความรู้สึกใดก็ตาม และไม่ไปพยายามวิจารณ์เขาว่าเป็นเพราะเขาทำอย่างนั้นเพื่อนจึงมาทำอย่างนี้ ไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม ให้แสดงให้เขารับรู้ว่าเราเข้าใจเขา รับรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร

 

ทั้งนี้ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เด็กมีปัญหากับเพื่อนแล้วผู้ใหญ่ต้องเข้าไปจัดการแทรกแซง เราต้องดูตามความเข้มข้นของสถานการณ์และความเข้มข้นของความรู้สึกเขาเขาว่ามันรบกวนการใช้ชีวิตในโรงเรียนหรือไม่ เช่น เด็กบางคนอาจไม่กล้าไปที่สนามเด็กเล่น หรือไปห้องน้ำ ไปในที่ลับตาคน เพราะเคยถูกรังแกที่นั่น ดังนั้นผู้ปกครองต้องใส่ใจ เข้าใจ และเทรกแซงเมื่อจำเป็น ซึ่งการแทรกแซงนั้นจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทางโรงเรียนด้วย ความใส่ใจของคุณครูเช่นกัน โดยคุณครูต้องทำหน้าที่ลักษณะเดียวกับพ่อแม่ด้วย คือการสอดส่องดูแล สังเกตไม่ให้การกลั่นแกล้งรังแกเกิดขึ้น และสามารถเข้าระงับเหตุได้ทันท่วงที โดยคุณครูต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็กด้วยที่เด็กจะสามารถเข้าหาและบอกปัญหาของตนได้

ทั้งนี้การที่ครูจะมีพฤติกรรมใส่ใจเด็กนักเรียนได้นั้น ก็มีผลมาจากนโยบายของโรงเรียนด้วย โรงเรียนต้องมีนโยบายในการต่อต้านการ bully ด้วย เช่นมีแคมเปญออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ว่ามีพฤติกรรมอะไรบ้างที่ไม่อนุญาต ไม่เป็นที่ยอมรับในโรงเรียน และหากใครถูกกระทำสิ่งนั้นเด็กควรจะทำอย่างไร จะมีช่องทางในการเข้าหาคุณครูหรือมีช่องทางการได้รับความช่วยเหลืออย่างไรบ้าง สิ่งนี้จะต้องเป็นแคมเปญของทั้งโรงเรียน และอาจเป็นนโยบายในระดับชั้นด้วย ในชั้นเรียนคุณครูก็ต้องชี้แจงกฎเหล่านี้

 

และในระดับสังคม ก็ต้องช่วยกันสร้างการตระหนักรู้ถึงโทษหรือผลกระทบทางลบเกินกว่าจะคาดหมายของการ bully ด้วย ว่าการ bully นั้นสามารถฆ่าคนให้ตายได้ และได้ฆ่าหลาย ๆ คนให้ตายมาแล้ว

 

ในปัจจุบันที่ปัญหาการ bully ได้รับการตระหนักจากสังคมมากขึ้น ก็ทำให้คนหลาย ๆ คนย้อนกลับไประลึกถึงสิ่งที่เคยทำในวัยเด็ก ซึ่งเมื่อสิบกว่าปีก่อน การ bully เป็นเรื่องที่ไม่ได้ถูกพูดถึง ไม่ได้ทำให้คนในสังคมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องผิดปกติ เป็นเรื่องที่ไม่ได้รับการยอมรับ แต่ทุกวันนี้สังคมมองว่าการ bully เป็นปัญหา ทั้งต่อระดับสังคมและต่อสุขภาพจิตในขั้นรุนแรงของบุคคล ซึ่งตรงนี้เองที่จะเป็นการช่วยกันเขยื้อนสังคมในระดับใหญ่ได้

 

 

การปรับพฤติกรรมของผู้ bully ทำได้อย่างไร


 

อ.นุท :

คนที่ bully เองก็ต้องการความช่วยเหลือเช่นกัน เป็นวิธีการเดียวกันเลย คือคุณพ่อคุณแม่เมื่อรู้ว่าลูกข่มเหงรังแกผู้อื่น นั่นก็เป็นสัญญาณให้ทราบว่าลูกอาจจะมีสภาวะความยากลำบากในทางจิตใจที่ต้องการรับฟังการช่วยเหลือเพื่อให้คลี่คลายปัญหาได้ถูกจุด รวมถึงการที่ครูควรจะต้องมีช่องทางในการช่วยเหลือ ต้องเห็นความสำคัญของการที่เด็กคนหนึ่งกล้าที่จะบอกคุณครูในเรื่องที่เขาต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก ในการจะเข้าหาบอกเรื่องอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่มองว่าเป็นแค่เรื่องเด็กทะเลาะกัน เดี๋ยวก็ดีกัน และตอบสนองอย่างจริงจัง ไม่มองเป็นเรื่องเล่น ๆ เห็นเป็นเรื่องเล็ก ๆ

 

และในโรงเรียนอาจมีผู้ให้การปรึกษาทางจิตวิทยาในโรงเรียน (school counsellor) ในการช่วยเหลือทั้งบุคคลที่ถูกรังแกและบุคคลที่รังแกผู้อื่น ในการปรับวิธีการคิด และการทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล เพราะการ bully เรามักจะ bully คนที่อ่อนด้อยกว่าเรา หรือคนที่มีลักษณะแตกต่างจากเรา ไม่ fit in ในสังคม ในโรงเรียน เช่น เรื่องรูปลักษณ์ วัย อายุ เพศสภาพ เชื้อชาติ ศาสนา อะไรก็ตามที่เป็นความแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ ผู้ที่แตกต่างมักจะถูกพูดถึงในเชิงของการ make fun การทำให้ตลกขบขัน ทำให้อับอาย ดังนั้นการสร้างความตระหนักรู้ว่าความแตกต่างเป็นเรื่องปกติ ส่วนการไม่ยอมรับ หรือการไป bully หรือ make fun ต่างหากคือเรื่องไม่ปกติ จึงเป็นสิ่งสำคัญ

เราจำเป็นต้องทำให้เกิดการตระหนักรู้ในทุกภาคส่วน ทั้งในระดับสังคม ในระดับโรงเรียน และการปลูกฝังในระดับครอบครัวด้วย

 

อ.ฝน :

เมื่อมองจากภายนอก เราอาจมองว่าผู้กระทำการ bully เป็นผู้ได้รับประโยชน์ เขาน่าจะได้รับในสิ่งที่เขาอยากได้ แต่ในงานวิจัยพบว่าในฝั่งผู้กระทำเองก็ไม่ได้รู้สึกดีเสมอไป เขาอาจมีสภาวะทางจิตที่ไม่ได้ดีเช่นกัน เนื่องจากบางครั้งการที่เขาเลือกแสดงออกด้วยพฤติกรรมความรุนแรงหรือการกลั่นแกล้งรังแกนั่นอาจเป็นเพราะเขาเกิดการรับรู้มาก่อนแล้วก็ได้ว่าเขาไม่ได้รับการยอมรับ เขาอาจทำพฤติกรรมอะไรก็ตามแล้วยังไม่มีเพื่อน ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายกลายเป็นว่าพฤติกรรมนี้ทำแล้วสำเร็จ เหมือนว่าความรุนแรงเป็นทางเลือกสุดท้ายของเด็กคนนั้นเพื่อให้เขาได้อยู่ในกลุ่มสังคมหรือให้เขาได้รับในสิ่งที่ต้องการ

 

ดังนั้น ไม่เพียงแค่พ่อแม่ แต่ยังต้องรวมถึงบริบททางสังคม คุณครูในโรงเรียน ที่ต้องเปิดใจรับฟังเวลาที่เด็กเขามาคุย หรือถ้าเด็กไม่ยอมเข้ามาคุย หรือไม่รู้จะเล่าให้ฟังอย่างไร พ่อแม่และคุณครูก็ต้องคอยสังเกตเด็ก ๆ ถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น จากที่เคยเล่น ก็ไม่เล่น เริ่มเก็บตัว ไม่เล่าถึงเพื่อนไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเรียน ไม่ทำการบ้าน และไม่ทำกิจกรรมใดที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียน จนถึงการปฏิเสธการไปโรงเรียน

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเหล่านี้นอกจากเป็นสัญญาณของผู้ถูกกระทำแล้ว ตัวผู้กระทำเองก็มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในลักษณะนี้เช่นกัน เด็กบางคนเริ่มจากการเก็บตัว แยกตัว ไม่มีเพื่อน ไม่เข้ากิจกรรมทางสังคม และพัฒนาไปสู่พฤติกรรมความรุนแรง เพื่อให้สามารถสร้างกลุ่มและอยู่ในกลุ่มเพื่อนได้

 

เมื่อพบเห็นสัญญาณเหล่านี้ผู้ใหญ่ก็สามารถที่จะเริ่มเข้าไปแทรกแซงหรือถามไถ่เพื่อให้เกิดการพูดคุย ให้เขารู้สึกได้ว่าเขามีที่พึ่ง เขาไม่ได้ต้องแก้ปัญหาด้วยตนเองเพียงคนเดียว

 

 

เราสามารถส่งเสริมความเข้าใจในความแตกต่างหลากหลายเพื่อลดการแบ่งแยกที่จะนำไปสู่การกลั่นแกล้งรังแกได้อย่างไร


 

อ.หยก :

การแบ่งพรรคแบ่งพวก เป็นพวกเขาพวกเรานั้นถือเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ใครที่เหมือนกับเราเราก็จะรู้สึกอยากเป็นเพื่อนด้วย ส่วนใครที่ไม่เหมือนเราเราก็จะมองว่าเขาต่าง เขาเบี่ยงเบน เขาไม่ปกติหรือเปล่า อันนี้เป็นพื้นฐานธรรมชาติของเรา และในสังคมไทย เราจะมีลักษณะยึดโยงที่จะทำอะไรตามเสียงของคนส่วนใหญ่ หากคนหมู่มากทำอะไรก็จะมองว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นบรรทัดฐานของสังคม พอใครทำสิ่งที่ต่างจากบรรทัดฐานของสังคม บางทีก็จะใช้คำว่าเบี่ยงเบน ใช้คำว่าผิดปกติ และมองด้วยสายตาแปลก ๆ ซึ่งค่านิยมเหล่านี้ก็ฝังรากลึกในสังคมของเราเหมือนกัน ดังนั้นคนที่มีลักษณะแตกต่าง หรือมีลักษณะพิเศษ จึงมักตกเป็นเหยื่อหรือเป็นเป้าหมายการ bully ได้

 

ดังนั้นถามว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้คนเข้าในถึงความหลากหลายในสังคม ให้พูดนั้นพูดง่าย แต่เราก็ต้องฝึก ฝึกให้เข้าใจความหลากหลาย ตั้งแต่เล็ก ๆ เลย ว่าเราทุกคนสามารถเกิดมาแล้วมีวิธีคิด มีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันได้ มีบุคลิกภาพไม่เหมือนกับเราได้ ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องเหมือนกันทุกคน ทุกอย่าง การฝึกนี้ก็ต้องได้รับการสนับสนุนจากคนในสังคมด้วย เวลาเห็นอะไรที่แตกต่างเราก็ต้องไม่ไปตีตราว่าสิ่งนั้นไม่ดีตั้งแต่แรก เราอาจจะต้องทำความเข้าใจ ปรับเป็นสังคมที่เปิดใจ ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย โดยเฉพาะความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งจริง ๆ ในสังคมไทยก็เปิดรับวัฒนธรรมที่หลากหลายเข้ามาในสังคมค่อนข้างมาก เราเปิดใจง่าย ละคร เพลง เรารับมาทั้งหมด ไม่มีการเหยียด แต่พอเป็นลักษณะของการเป็นเพื่อน เราจะเริ่มคิดเยอะ พอมันเริ่มใกล้ตัวเรามากขึ้น เพราะเราไม่ค่อยมีประสบการณ์ตรงกับการทำความรู้จักหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่มีความแตกต่างหลากหลายกับเราจริง ๆ บางทีเราเจอคนที่แตกต่างจากเรา เราหนีไปเลย เราเลือกที่จะไม่เป็นเพื่อน ไม่คุย หรือพอเจอคนที่คิดต่าง เราเลือกที่จะไม่เถียง เพราะบางทีเราไม่ได้ถูกฝึกมาให้โต้แย้งกันทางความคิด แต่เรากลายเป็นโต้เถียงกันระหว่างบุคคล

 

เพราะฉะนั้นก็ต้องมานึกย้อนเหมือนกันว่าจะทำอย่างไรดีให้สังคมของเราเป็นสังคมที่มีการยอมรับในความแตกต่างหลากหลายให้มากขึ้นกว่านี้ มันไม่ใช่แค่พ่อแม่ผู้ปกครอง แต่ทุกคนในสังคมจะต้องเปิดใจให้มากขึ้น บางทีเราก็ต้องย้อนถามตัวเองเหมือนกันว่าเคยหรือเปล่า ที่ไป bully คนอื่นเพราะแค่ว่าเขาไม่เหมือนเรา บางทีเราก็เผลอ เพราะโดยพื้นฐานธรรมชาติที่เราชอบแบ่งพรรคแบ่งพวก แล้วเราก็คุ้นชินว่าสิ่งนี้มันทำได้ และเราก็ไม่เคยฝึกฝนตัวเองให้เปิดใจรับความแตกต่างหลากหลายเข้ามาในประสบการณ์ของเราเลย

 

และสังคมไทย ในภาษาจิตวิทยาเรียกว่า เป็นสังคมที่มีความกลมกลืน กลมเกลียว มีความคล้ายคลึงกันสูง ขณะที่ในสังคมตะวันตกบางประเทศ เขามีความแตกต่างหลากหลายของผู้คนเต็มไปหมด เขาได้รับการฝึกให้เรียนรู้ถึงความแตกต่างหลากหลายตั้งแต่เด็ก ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ส่วนในสังคมไทยก็จะเจอว่าคนจะคล้ายๆ กัน มีวิธีคิด หรือตีกรอบให้คล้ายๆ กันเพราะไม่อยากเป็นแกะดำ หรือกลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ดี ซึ่งเป็นค่านิยมที่ปลูกฝังกันเช่นนี้กันมานานแล้ว เพราะฉะนั้นบางทีก็ต้องรณรงค์ให้ทุกคนตระหนักว่าความแตกต่างหลากหลายเป็นเรื่องปกติ แม้แต่ตัวเราเองเมื่อเจอคนที่แตกต่างหรือคิดต่างจากเรา อย่าเพิ่งชวนทะเลาะ ให้คิดว่าเขาก็คิดแบบนี้ได้เหมือนกัน เราเองก็ไม่ได้คิดอย่างที่เขาคิด แล้วเรามาคุยกันด้วยเหตุผล คุยกันบนพื้นฐานของการโต้แย้งในทางสร้างสรรค์ และไม่เอาอารมณ์ส่วนบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง

 

ถ้าสังคมเราสามารถทำความเข้าใจในระดับผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะแล้ว ก็เป็นต้นแบบให้กับเด็ก ๆ ได้ เด็ก ๆ จะสังเกตพฤติกรรม ดูปฏิสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ของครูในโรงเรียน เช่น เวลามีครูต่างชาติเข้ามาแล้วมีการพูดจา มีการแซวกันมั้ย เพราะคนเราก็ไม่ได้เกิดมาแล้วเรียนรู้ที่จะแซวกันเลย เราต้องเห็นตัวอย่างจากคนอื่นทำมาก่อนถึงได้ทำตาม เพราะฉะนั้นเราต้องฝึกให้ทุกคนเปิดใจ เบื้องต้นเลยคือยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลายก่อน เพราะบางทีเราก็ไปกลั่นแกล้งคนที่คิดเห็นไม่เหมือนเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกโซเชียล เวลาเจอคนที่มีความคิดขัดแย้งกับเรา เราก็ตามไปถากถาง ตามไปล่าแม่มดกันเต็มไปหมด นี่ก็เป็นการกลั่นแกล้งทางวาจาบนพื้นฐานของการไม่ลงรอยกันทางความคิด ถ้าเราทำให้ทุกคนรู้สึกว่าความหลากหลายเป็นเรื่องปกติ ก็เชื่อว่าการข่มเหงรังแกกันก็จะลดลง แต่ก็ต้องช่วยกันทุกคน ตัวเราเองก็ต้องระงับให้ได้ คิดให้ได้ว่าสิ่งนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น และสิ่งที่ควรจะเป็นคืออะไร ทั้งนี้บางทีในสังคมไทยเราก็ไม่ได้มีต้นแบบว่าเวลาเจอเหตุการณ์แบบนี้ให้ทำอย่างไร บางทีเราก็จะพูดกันว่าให้เดินหนีไปเลย เราไม่รู้ว่ามีทางออกไหนเวลาเจอคนที่ไม่เหมือนเรา คิดต่างจากเรา เราไม่ได้ถูกฝึกมา จึงเป็นสิ่งที่ต้องฝากหลาย ๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะหน่วยงานในระบบการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวกับครอบครัว ให้ช่วยกันปลูกฝังเรื่องเหล่านี้ เปิดใจให้กว้างกับความแตกต่างหลากหลาย และมีวิธีที่จะระงับอารมณ์ตนเอง

 

 

Classroom – Faculty of Psychology: Second semester, 2022

 

Classroom – Faculty of Psychology: Second semester, 2022

Joint International Psychology Program; JIPP

 

 

Monday

 

Time
Course No.
Course Name
Sec.
Lecturer
Building
Classroom
13:00 – 16:00
3807130
INTRO SOC PSY
1
Thipnapa Huansuriya
Comm Arts
09:00 – 12:00
3807250
SOC ORG PSY
1
Watcharaporn Boonyasiriwat
CHULAPAT 13
601
13:00 – 16:00
3807470
CAREER PSY
1
Kullaya Pisitsungkagarn
CHULAPAT 13
601

 

 

Tuesday

 

Time
Course No.
Course Name
Sec.
Lecturer
Building
Classroom
09:00 – 12:00
3800202
PSY LIFE WORK
1
Kullaya Pisitsungkagarn
CHAMCHUREE 10
613
09:00 – 12:00
3807101
INTRO RES METH
1
Graham Pluck
CHULAPAT 13
601
09:00 – 12:00
3807230
SOCIAL COGNITION
1
Adi Shaked
CHULAPAT 13
712
09:00 – 12:00
3807480
SEM INTE EW PSY
1
Panita Suavansri
CHAMCHUREE 10
612
13:00 – 16:00
3807240
SOCIAL DEVELOPMENT
1
Nipat Pichayayothin
Suphasiree Chantavarin
Panrapee Suttiwan
CHULAPAT 13
501
13:00 – 16:00
3807480
SEM INTE EW PSY
1
Jennifer Chavanovanich
CHAMCHUREE 10
612

 

 

Wednesday

 

Time
Course No.
Course Name
Sec.
Lecturer
Building
Classroom
08:00 – 10:00
3807170
INTRO COG (LECT)
1
Suphasiree Chantavarin
Phot Dhammapeera
Kris Ariyabuddhiphongs
CHULAPAT 13
601
10:00 – 12:00
3807170
INTRO COG (LAB)
09:00 – 12:00
3807380
APPLIED PSYCHOLOGY
1
Kullaya Pisitsungkagarn
CHULAPAT 13
713
13:00 – 16:00
2200201
ACAD REPORT WRIT
1
JDV
MAHIT
501
13:00 – 16:00
2200201
ACAD REPORT WRIT
2
PWS
MAHIT
502
13:00 – 16:00
2200201
ACAD REPORT WRIT
3
STAFF
MAHIT
503
13:00 – 16:00
5518122
ESS ENG PSY II
1
STAFF
CHULAPAT 13
712
13:00 – 16:00
5518122
ESS ENG PSY II
2
STAFF
CHULAPAT 13
713
13:00 – 16:00
5518122
ESS ENG PSY II
3
STAFF
CHULAPAT 13
714

 

 

Thursday

 

Time
Course No.
Course Name
Sec.
Lecturer
Building
Classroom
09:00 – 12:00
3800130
SOC PSY EVERY LIFE
2
Watcharaporn Boonyasiriwat
AR
AR
13:00 – 16:00
3800130
SOC PSY EVERY LIFE
3
Watcharaporn Boonyasiriwat
AR
AR
09:00 – 12:00
3800202
PSY LIFE WORK
2
Kullaya Pisitsungkagarn
ISE
13:00 – 16:00
3800202
PSY LIFE WORK
4
Kullaya Pisitsungkagarn
INDA
09:00 – 12:00
2403185
JUV DEL
1
STAFF
CHULAPAT 13
713
09:00 – 12:00
3494101
LAW HUM RES MGT
1
STAFF
CHULAPAT 13
714
09:00 – 12:00
2403284
CROSS-CULT MGT
1
CTT
CHAMCHUREE 10
613
13:00 – 16:00
2308303
HISTORY OF SCI
1
STAFF
CHAMCHUREE 10
612
13:00 – 16:00
0201107
LRN STUD ACT
1
STAFF
CHAMCHUREE 10
615
13:00 – 16:00
2403284
CROSS-CULT MGT
2
CTT
CHAMCHUREE 10
613

 

 

Friday

 

Time
Course No.
Course Name
Sec.
Lecturer
Building
Classroom
08:00 – 10:00
3807210
PSY METH APP (LECT)
1
Phot Dhammapeera
Suphasiree Chantavarin
CUP4
421
10:00 – 12:00
3807210
PSY METH APP (LAB)

ห้องเรียนของรายวิชาคณะจิตวิทยา ภาคปลาย ปีการศึกษา 2565 ปริญญาตรี (ไทย)

 

ห้องเรียนของรายวิชาคณะจิตวิทยา ภาคปลาย ปีการศึกษา 2565 ปริญญาตรี (ไทย)

 

 

วันจันทร์

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
08:00 – 10:00
3804103
จิตวิทยาพัฒนาการ (บรรยาย)
1
อ.อาภาพร อุษณรัศมี
จุฬาพัฒน์ 4
422
10:00 – 12:00
3804103
จิตวิทยาพัฒนาการ (ปฏิบัติ)
1
08:00 – 12:00
3802202
จิตวิทยาการปรึกษา
1
STAFF
จุฬาพัฒน์ 13
508
10:00 – 12:00
3800101
จิตวิทยาทั่วไป (ปฏิบัติ)
1
STAFF
(ปิดตอนเรียน)
09:00 – 12:00
3800316
ระเบียบวิธีเชิงคุณภาพ
1
ผศ. ดร.จุฑาทิพย์ วิวัฒนาพันธุวงศ์
จุฬาพัฒน์ 13
401
09:00 – 12:00
3803350
พลวัตกลุ่มขั้นนำ
1
ผศ. ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์
จุฬาพัฒน์ 13
501
13:00 – 15:00
3800101
จิตวิทยาทั่วไป (ปฏิบัติ)
2-3
STAFF
จุฬาพัฒน์ 5
302
13:00 – 16:00
3800111
ระะเบียบวิธีวิจัยและสถิติทางจิตวิทยา (บรรยาย)
1
ผศ. ดร.ทิพย์นภา หวนสุริยา
จุฬาพัฒน์ 4
422
13:00 – 16:00
3800111
ระเบียบวิธีวิจัยและสถิติทางจิตวิทยา (บรรยาย)
2
13:00 – 16:00
3800111
ระเบียบวิธีวิจัยและสถิติทางจิตวิทยา (บรรยาย)
3
13:00 – 16:00
3804300
พัฒนาการอปกติในเด็กและวัยรุ่น
1
ผศ. ดร.สุภลัคน์ ลวดลาย
จุฬาพัฒน์ 13
709
13:00 – 17:00
3804301
การใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยาพัฒนาการ
1
STAFF
จุฬาพัฒน์ 13
501

 

 

วันอังคาร

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
08:00 – 10:00
3800101
จิตวิทยาทั่วไป (ปฏิบัติ)
4
STAFF
จุฬาพัฒน์ 5
302
10:00 – 12:00
3800101
จิตวิทยาทั่วไป (บรรยาย)
2,6
STAFF
ONLINE
ฟังการชี้แจงครั้งแรก 10 ม.ค. 66 ที่
Zoom Meeting ID: 948 1239 5975
PW: 271078
13:00 – 15:00
3800101
จิตวิทยาทั่วไป (บรรยาย)
1,3,4,5,7
STAFF
09:00 – 12:00
3802313
จิตวิทยาเชิงบวกและความงอกงามส่วนบุคคล
1
ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์
จุฬาพัฒน์ 13
401
09:00 – 12:00
3803425
ทฤษฎีและการเปลี่ยนเจตคติ
1
ผศ. ดร.วัชราภรณ์ บุญญศิริวัฒน์
จุฬาพัฒน์ 13
501
09:00 – 12:00
3806201
จิตวิทยาสุขภาพ
1
ผศ. ดร.เรวดี วัฒฑกโกศล
จุฬาพัฒน์ 13
309
09:00 – 12:00
3806221
จิตวิทยาสุขภาพ
1
13:00 – 16:00
3801301
ประสาทวิทยาศาสตร์เชิงปริชาน
1
อ. ดร.พจ ธรรมพีร
จามจุรี 10
613
13:00 – 17:00
3801331
ประสาทศาสตร์เชิงพฤติกรรม
1
13:00 – 16:00
3805302
จิตวิทยาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
1
อ. ดร.วิทสีนี บวรอัศวกุล
จุฬาพัฒน์ 13
401
13:00 – 14:00
3800120
อาชีพทางจิตวิทยา
1
ผศ. ดร.จุฑาทิพย์ วิวัฒนาพันธุวงศ์
จุฬาพัฒน์ 4
422
13:00 – 16:00
3800250
มนุษยสัมพันธ์
1
อ. ดร.จิรภัทร รวีภัทรกุล
จุฬาพัฒน์ 4
421
08:00 – 10:00
3801110
จิตวิทยาปริชาน (บรรยาย)
1-6
อ. ดร.กฤษณ์ อริยะพุฒิพงศ์
อ. ดร.พจ ธรรมพีร
อ. ดร.สุภสิรี จันทวรินทร์
จุฬาพัฒน์ 4
422
10:00 – 12:00
3801110
จิตวิทยาปริชาน (ปฏิบัติ)
1,2
อ. ดร.กฤษณ์ อริยะพุฒิพงศ์
   3,4
อ. ดร.พจ ธรรมพีร
   5,6
อ. ดร.สุภสิรี จันทวรินทร์
13:00 – 16:00
5500272
ภาษาอังกฤษสำหรับสาขาวิชา 2
1
STAFF
จุฬาพัฒน์ 13
712
13:00 – 16:00
5500272
ภาษาอังกฤษสำหรับสาขาวิชา 2
2
STAFF
จุฬาพัฒน์ 13
713
13:00 – 16:00
5500272
ภาษาอังกฤษสำหรับสาขาวิชา 2
3
STAFF
จุฬาพัฒน์ 13
714

 

 

วันพุธ

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
13:00 – 15:00
3800101
จิตวิทยาทั่วไป (ปฏิบัติ)
5
STAFF
(ปิดตอนเรียน)
08:00 – 10:00
3800111
ระเบียบวิธีวิจัยและสถิติทางจิตวิทยา (ปฏิบัติ)
1
STAFF
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
705
10:00 – 12:00
3800111
ระเบียบวิธีวิจัยและสถิติทางจิตวิทยา (ปฏิบัติ)
2
STAFF
13:00 – 15:00
3800111
ระเบียบวิธีวิจัยและสถิติทางจิตวิทยา (ปฏิบัติ)
3
STAFF
09:00 – 12:00
3800219
การออกแบบและวิเคราะห์เชิงสำรวจ
1-3
ผศ. ดร.ทิพย์นภา หวนสุริยา
จุฬาพัฒน์ 4
422
09:00 – 12:00
3800250
มนุษยสัมพันธ์
2
อ.อาภาพร อุษณรัศมี
จุฬาพัฒน์ 13
401
13:00 – 16:00
3800312
การปรับพฤติกรรม
1
รศ. ดร.สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต
จุฬาพัฒน์ 13
401
09:00 – 12:00
3800355
จิตวิทยาการลงความเห็นและการตัดสินใจ
1
รศ.สักกพัฒน์ งามเอก
จามจุรี 10
614
10:00 – 12:00
3804102
มูลสารจิตวิทยาพัฒนาการ
1
STAFF
จุฬาพัฒน์ 13
501
09:00 – 12:00
3805340
จิตวิทยาข้ามวัฒนธรรมและการทำงาน
1
อ. ดร.เจนนิเฟอร์ ชวโนวานิช
จุฬาพัฒน์ 13
712

 

 

วันพฤหัสบดี

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
09:00 – 12:00
3800250
มนุษยสัมพันธ์
3
ผศ. ดร.เรวดี วัฒฑกโกศล
จุฬาพัฒน์ 4
421
09:00 – 12:00
3803379
จิตวิทยาสังคมความก้าวร้าว
1
ผศ. ดร.อภิชญา ไชยวุฒิกรณ์วานิช
จุฬาพัฒน์ 13
609
09:00 – 12:00
3804231
จิตวิทยาวัยรุ่น
1
อ. ดร.จิรภัทร รวีภัทรกุล
จุฬาพัฒน์ 13
610
09:00 – 12:00
3805201
จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ
1
ผศ. ดร.ประพิมพา จรัลรัตนกุล
จุฬาพัฒน์ 4
422
09:00 – 12:00
3805301
จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การขั้นนำ
1
13:00 – 16:00
3800202
จิตวิทยาในชีวิตและการทำงาน
1
ผศ. ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี
จุฬาพัฒน์ 4
422
13:00 – 16:00
3808201
จิตพยาธิวิทยา
1-2
ศ. ดร.อรัญญา ตุ้ยคำภีร์
จุฬาพัฒน์ 4
421
18:00 – 22:00
3804353
การกระตุ้นพัฒนาการขั้นนำ
1
รศ. ดร.พรรณระพี สุทธิวรรณ
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
614
13:00 – 16:00
5500112
ภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนรู้ในชีวิตจริง 2
159
STAFF
จุฬาพัฒน์ 13
712
13:00 – 16:00
5500112
ภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนรู้ในชีวิตจริง 2
160
STAFF
จุฬาพัฒน์ 13
713
13:00 – 16:00
5500112
ภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนรู้ในชีวิตจริง 2
161
STAFF
จุฬาพัฒน์ 13
714

 

 

วันศุกร์

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
08:00 – 10:00
3800219
การออกแบบและวิเคราะห์เชิงสำรวจ (ปฏิบัติ)
1
STAFF
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
705
08:00 – 12:00
3802301
กระบวนการและทักษะการช่วยเหลือเชิงจิตวิทยาการปรึกษา
1
อ. ดร.วรัญญู กองชัยมงคล
จุฬาพัฒน์ 13
714
08:00 – 12:00
3802501
กระบวนการและทักษะการช่วยเหลือเชิงจิตวิทยาการปรึกษา
1
อ. ดร.วรัญญู กองชัยมงคล
0900 – 12:00
3804451
จิตวิทยาครอบครัวและชีวิต
1
อ. ดร.นิปัทม์ พิชญโยธิน
จุฬาพัฒน์ 13
713
10:00 – 12:00
3800101
จิตวิทยาทั่วไป (ปฏิบัติ)
6-7
STAFF
จุฬาพัฒน์ 5
302
10:00 – 12:00
3800219
การออกแบบและวิเคราะห์เชิงสำรวจ (ปฏิบัติ)
2
STAFF
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
705
13:00 – 15:00
3800219
การออกแบบและวิเคราะห์เชิงสำรวจ (ปฏิบัติ)
3
STAFF
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
705
13:00 – 16:00
3805300
จิตวิทยาบุคลากร
1
ผศ. ดร.ประพิมพา จรัลรัตนกุล
จุฬาพัฒน์ 4
422
13:00 – 16:00
3805309
จิตวิทยาบุคลากร
13:00 – 17:00
3800381
การประเมินทางจิตวิทยาคลินิก 1
1
ผศ. ดร.กุลยา พิสิษฐ์สังฆการ
จุฬาพัฒน์ 4
421
13:00 – 17:00
3808311
การประเมินทางจิตวิทยาคลินิก 1

ห้องเรียนของรายวิชาคณะจิตวิทยา ภาคการศึกษาปลาย ปีการศึกษา 2565 ปริญญาโท – เอก

ห้องเรียนของรายวิชาคณะจิตวิทยา ภาคการศึกษาปลาย ปีการศึกษา 2565 ปริญญาโท – เอก

 

วันจันทร์

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
10:00 – 12:00
3802745
กลุ่มการเรียนรู้ระหว่างบุคคล 2
1
อ. ดร.พนิตา เสือวรรณศรี
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
602
09:00 – 12:00
3800784
การวิจัยเชิงจิตวิทยา
1
อ. ดร.กฤษณ์ อริยะพุฒิพงศ์
ผศ. ดร.ทิพย์นภา หวนสุริยา
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
705
09:00 – 13:00
3802645
เทคนิคกลุ่มในการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัด
1
ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
605
13:00 – 16:00
3802796
การฝึกปฏิบัติงานขั้นต้นด้านการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัด
1
อ. ดร.พนิตา เสือวรรณศรี
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
602
13:00 – 16:00
3802796
การฝึกปฏิบัติงานขั้นต้นด้านการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัด
2
อ. ดร.พูลทรัพย์ อารีกิจ
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
605
17:00 – 20:00
3810702
สัมมนาวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ 2
1
ผศ. ดร.จุฑาทิพย์ วิวัฒนาพันธุวงศ์
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
602
18:00 – 21:00
3802797
การนิเทศแบบรายบุคคลสำหรับการฝึกปฏิบัติงานขั้นต้นด้านการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัด
1
STAFF
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
614
18:00 – 21:00
3809603
ประเด็นร่วมสมัยเกี่ยวกับจิตวิทยาทรัพยากรมนุษย์และการทำงาน
1
อ. ดร.เจนนิเฟอร์ ชวโนวานิช
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
605
18:00 – 20:00
3804665
รูปแบบการวิจัยและการวิเคราะห์ข้อมูลทางจิตวิทยาพัฒนาการ
1
รศ.สักกพัฒน์ งามเอก
ONLINE

 

 

วันอังคาร

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
09:00 – 12:00
3802785
สัมมนาจิตวิทยาการปรึกษา
1
ศ. ดร.อรัญญา ตุ้ยคำภีร์
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
605
13:00 – 16:00
3800702
สถิติสำหรับจิตวิทยา 2
1
STAFF
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
705
13:00 – 15:00
3802741
กลุ่มการเรียนรู้ระหว่างบุคคล 1
1
อ. ดร.พนิตา เสือวรรณศรี
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
602
16:00 – 20:00
3802775
การอบรมเชิงปฏิบัติการตามหลักจิตบำบัดแบบบุคคลเป็นศูนย์กลางและแบบพลวัต
1
อ. ดร.พนิตา เสือวรรณศรี
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
602
18:00 – 21:00
3804667
สัมมนาหัวข้อคัดสรรทางจิตวิทยาสุขภาพ
1
อ. ดร.จิรภัทร รวีภัทรกุล
ONLINE
18:00 – 21:00
3809602
จิตวิทยาประยุกต์สำหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
1
อ. ดร.วิทสินี บวรอัศวกุล
ONLINE
10:00 – 12:00
3802779
แนวโน้มปัจจุบันในการวิจัยทางจิตวิทยาการปรึกษา
2
ผศ. ดร.ชมพูนุท ศรีจันทร์นิล
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
602

 

 

วันพุธ

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
09:00 – 12:00
3802777
การอบบรมเชิงปฏิบัติการด้านการปรึกษาเชิงจิตวิทยาแนวพุทธ
1
อ. ดร.วรัญญู กองชัยมงคล
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
605
18:00 – 21:00
3800717
หลักและการปฏิบัติในการปรับพฤติกรรม
2
รศ. ดร.สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
605
18:00 – 21:00
3802711
การปรึกษาเชิงจิตวิทยาตามแนวความคิดพุทธศาสตร์
1
อ. ดร.พนิตา เสือวรรณศรี
ONLINE

 

 

วันพฤหัสบดี

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
09:00 – 12:00
3803803
เอกัตศึกษาในจิตวิทยาสังคม 3
1
อ. ดร.ภัคนันท์ จิตต์ธรรม
ONLINE
13:00 – 16:00
3803637
อารมณ์และปริชานทางสังคม
1
อ. ดร.อาดิ เช็คเค็ด
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
605
13:00 – 16:00
3803710
พลวัตของกลุ่ม
1
ผศ. ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
602
16:30 – 19:30
3802662
การปรึกษาเชิงจิตวิทยาและจิตบำบัดตามแนวปัญญาพฤติกรรมนิยม
1
ผศ. ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
602
18:00 – 21:00
3804727
การกระตุ้นพัฒนาการ
1
รศ. ดร.พรรณระพี สุทธิวรรณ
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
614
18:00 – 21:00
3809701
สัมมนาจิตวิทยาทรัพยากรมนุษย์และการทำงาน
1
อ. ดร.เจนนิเฟอร์ ชวโนวานิช
บรมราชชนนีศรีศตพรรษ
605
18:00 – 21:00
3810602
หัวข้อคัดสรรทางวิจัยจิตวิทยาประยุกต์
1
ผศ. ดร.จุฑาทิพย์ วิวัฒนาพันธุวงศ์
ONLINE

 

 

วันศุกร์

 

เวลา
รหัสวิชา
รายวิชา
ตอนเรียน
ผู้สอน
อาคาร
ห้อง
18:00 – 21:00
3800702
สถิติสำหรับจิตวิทยา 2
2
รศ.สักกพัฒน์ งามเอก
ONLINE

ทำไมยิ่งโต ยิ่งดื้อ – วิธีการฝึกวินัยให้เจ้าตัวน้อย

ทำไมยิ่งโต ยิ่งดื้อ – วิธีการฝึกวินัยให้เจ้าตัวน้อย

 

 

“ทำไมยิ่งโต ยิ่งดื้อ” ประโยคนี้พ่อแม่หลายบ้านต้องเคยพูดมาแล้วใช่ไหมคะ จริง ๆ แล้ว คำว่า “ดื้อ” นั้น เป็นการแสดงพัฒนาการของเด็กอย่างหนึ่ง วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจ และหาวิธีรับมือกับเรื่องนี้กันค่ะ

 

ที่บอกว่าเป็นพัฒนาการของเด็ก เพราะว่าเด็กในวัย 1.5 ปี ขึ้นไป จะเริ่มมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เริ่มเดินได้ เริ่มทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง ทำให้เด็กอยากทดลอง เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว และที่สำคัญเด็กจะเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์ต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้การจัดการอารมณ์ของเด็กไม่คงที่ ยิ่งพอโตขึ้นการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์รอบตัวที่เพิ่มมากขึ้น ก็จะทำให้เด็กต้องจัดการกับสิ่งที่เข้ามาในชีวิตมากขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการต้องไปโรงเรียน การมีเพื่อนวัยเดียวกัน และการคาดหวังจากพ่อแม่ที่มากขึ้นตามวัย ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่เด็กจะมีพฤติกรรมที่พ่อแม่หลายบ้านรู้สึกว่า ดื้อ เอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์

 

Free photo i don't know what to do. exhausted young mom feeling tired while trying to stop her children from screaming and fighting at home

Image by tonodiaz on Freepik

 

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากเด็กแต่เพียงฝ่ายเดียวค่ะ การเลี้ยงดูก็มีส่วนที่จะทำให้ดีกรีของพฤติกรรมแตกต่างกันไปในแต่ละบ้านด้วย เช่น ถ้าบ้านไหนทนไม่ได้กับการร้องไห้ของเด็ก ให้เด็กทุกอย่างเมื่อเด็กร้องไห้ บ้านนั้นก็จะได้เด็กเจ้าอารมณ์ ขี้งอแง เพราะเด็กจะเรียนรู้จากวิธีที่ผู้ใหญ่ตอบสนองต่ออารมณ์ที่เขาแสดงออก และเจ้าตัวน้อยก็จะพัฒนาเชื่อมโยงเอาสิ่งเหล่านี้ไปใช้กับเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่เขาต้องการนั่นเอง

 

ดังนั้นการสอนและฝึกวินัยให้กับเด็กจึงเป็นสิ่งที่ควรเริ่มทำตั้งแต่เด็ก บางบ้านมักบอกว่ายังเล็กอยู่เลย เดี๋ยวโตค่อยสอนก็ได้ แต่การฝึกวินัยให้ลูกตั้งแต่เด็กจะทำให้เด็กได้เรียนรู้การควบคุมตนเอง และเป็นการปลูกฝังให้เด็กมั่นใจว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ วัยที่เหมาะสมจะฝึกวินัยให้กับเด็กก็คือวัยอนุบาลไปจนถึงวัยประถม เพราะเด็กจะสามารถเรียนรู้จดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ และพร้อมที่จะตัดสินใจเรื่องที่เข้ามาในชีวิต ท่ามกลางความปลอดภัยและการสนับสนุนที่พ่อแม่ยังคอยดูแลให้อยู่ รวมถึงเด็กต้องการการยอมรับจากพ่อแม่ทำให้ยินยอมที่จะเรียนรู้และทำตามสิ่งที่พ่อแม่สอน หากปล่อยให้ไปถึงวัยรุ่นแล้วจะไม่ทัน เพราะในวัยนั้นเด็กจะเริ่มต้องการการยอมรับจากเพื่อนไม่ใช่พ่อแม่ ทำให้ยากที่จะฝึกวินัยให้เด็กแล้วค่ะ

 

 

 

เรามาดูวิธีที่จะสอนและฝึกวินัยให้ลูกกันค่ะ

 

 

1. กำหนดกฎเกณฑ์ให้ลูกอย่างเหมาะสมตามวัย และให้ลูกมีส่วนร่วมในการช่วยกำหนดกฎเกณฑ์นั้น

 

การเรียนรู้และทดลองต่าง ๆ ของเด็กสามารถทำได้โดยที่พ่อแม่ต้องตกลงกับลูกก่อนว่า ทำได้ในขอบเขตแค่ไหน และเพราะอะไร ทางที่ดีที่สุดคือการเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน พ่อแม่ควรดูแลลูกอย่างใกล้ชิด ให้คำอธิบายถึงข้อดี ข้อเสียของสิ่งที่จะเกิดขึ้น บอกกติกาอย่างชัดเจน เช่น ลูกสามารถเล่นในสนามเด็กเล่นได้อย่างอิสระ แต่ไม่ออกไปเกินพื้นที่ตรงไหน เพราะอะไร ที่สำคัญที่สุดอย่าใช้คำสั่ง การบังคับ และห้ามไม่ให้ทำ เพราะนั่นจะเป็นการท้าทายให้เด็กอยากจะทำมากยิ่งขึ้น เช่น การกำหนดให้เด็กเข้านอนตอน 2-3 ทุ่ม ควรมีการพูดคุยกับเด็กก่อนว่า หนูต้องนอนพักผ่อนเพื่อที่ตัวจะได้สูง ๆ หนูอยากเข้านอนตอน 2 ทุ่ม หรือ 3 ทุ่มคะ แม่ให้หนูเลือกเอง ซึ่งตัวเลือกที่จะให้เด็กเลือกนั้นควรระบุให้ชัดเจนค่ะ (เวลาตกลงกับเด็กอย่าให้เลือกว่า เอาหรือไม่เอา นะคะ เพราะพอเด็ก ๆ เลือกไม่เอา แล้วคุณพ่อคุณแม่ไม่ให้ เด็กจะสับสนว่าแล้วให้เลือกทำไม ในเมื่อเขาเลือกแล้ว พ่อแม่ก็ไม่สนใจความต้องการของเขา)

 

2. ใช้คำพูดที่เป็นทางบวกและเข้าใจง่าย ในการสื่อสารความต้องการและอธิบายสิ่งต่าง ๆ กับเด็ก

 

คำว่า “อย่า…นะ” สำหรับเด็กเล็ก จะไม่เป็นผลเท่าที่ควร เพราะเด็กต้องแปลความหมายก่อน และมักจะไม่ทันกับการกระทำที่เด็กกำลังทำอยู่ เช่น การที่แม่บอกลูกว่า “อย่าวิ่งนะ อันตราย” กับการบอกลูกว่า “ลูกเดินข้าง ๆ แม่นะคะ แม่อยากให้หนูเดินเป็นเพื่อนแม่” ประโยคแรกเด็กต้องแปลความหมาย ในขณะที่ประโยคหลังเด็กสามารถเข้าใจได้ทันทีเมื่อได้ยิน ในการอธิบายสิ่งต่าง ๆ กับเด็กก็เช่นกัน หากเราใช้คำที่ง่าย (แต่ต้องเป็นความจริง อย่าหลอกเด็ก) เด็กจะสามารถเข้าใจได้ตามวัยของเขาค่ะ

 

3. คุณพ่อคุณแม่ปฏิบัติเป็นตัวอย่างให้ลูกอย่างสม่ำเสมอ

 

เด็ก ๆ มักจะเลียนแบบตัวอย่างที่อยู่ใกล้ตัวค่ะ ดังนั้นพ่อแม่จึงเป็นต้นแบบที่เด็กสามารถเห็นได้ตลอดเวลา ถ้าอยากให้เด็กเป็นอย่างไร ทำให้ลูกดูคือสิ่งที่ง่ายที่สุดค่ะ และที่สำคัญควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เด็กยอมรับและจดจำได้ เช่น อยากให้เด็กไหว้ทักทายผู้ใหญ่ คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องไหว้ทักทายคนอื่น ๆ ให้เด็กเห็นเป็นประจำ

 

4. ให้ลูกรู้จักรอคอย

 

การตอบสนองความต้องการของเด็กอย่างรวดเร็วเกินไปจะทำให้เด็กคอยไม่เป็น อยากได้อะไรต้องได้ทันที พ่อแม่จึงควรฝึกให้เด็กรู้จักรอคอย เช่น “หนูอยากกินขนมที่ซื้อมาเมื่อวานใช่ไหมคะ รอแม่ทำกับข้าวเสร็จแล้วแม่ไปหยิบให้นะคะ” หรือแม้แต่การพาเด็ก ๆ ไปต่อคิวซื้ออาหาร ต่อคิวจ่ายเงินในร้านสะดวกซื้อ ก็เป็นการฝึกการรอคอยที่ดีค่ะ นอกจากนี้การซื้อของเล่นให้เด็กตามวาระโอกาสที่เหมาะสม ก็สามารถฝึกการรอคอยได้เช่นกันค่ะ เช่น ตกลงกับเด็กว่าจะซื้อของเล่นให้ในโอกาสวันเกิด วันปีใหม่ วันเด็ก เท่านั้น หากอยากได้ของเล่นในโอกาสอื่น ๆ จะต้องมีข้อตกลง เช่น เก็บดาวความดีที่แม่ให้ครบ … ดวง จึงจะซื้อของเล่นพิเศษได้ 1 ชิ้น เป็นต้น

 

5. ปฏิบัติกับเด็กด้วยการยอมรับความต้องการ เข้าใจ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

 

เด็กต้องการการยอมรับจากพ่อแม่ค่ะ ดังนั้นการรับฟังเด็กว่าเขารู้สึกอย่างไร ต้องการอะไร แล้วพูดคุยกันด้วยเหตุผลว่าเหตุใดจึงได้ เหตุใดจึงไม่ได้ จะช่วยให้เด็กรับรู้ว่าพ่อแม่รับฟังเขา ยอมรับความต้องการของเขา การเอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์ ก็จะลดลง (ถึงจะไม่ได้อย่างที่ต้องการก็ตาม) แต่ที่สำคัญคือคุณพ่อคุณแม่ต้องปฏิบัติกับเด็กให้เหมือนกันค่ะ เช่น ถ้าคุณแม่บอกว่าเรื่องนี้ไม่ได้นะคะ คุณพ่อก็ต้องตอบเหมือนกัน เพราะถ้าคนหนึ่งไม่ให้ คนหนึ่งใจอ่อนให้ เด็กจะไม่เกิดการเรียนรู้ว่าสิ่งใดได้ สิ่งใดไม่ได้ การสอนก็จะไม่ได้ผล

 

 


 

บทความโดย

เวณิกา บวรสิน

ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ คณะจิตวิทยา

 

 

Event Photo Gallery: Special Talk “Growth mindset and academic engagement”

Event Photo Gallery:

 

Special Talk:

“Growth mindset and academic engagement:
How cultural context inspires new theories and practices.”

 

The speaker:

Professor Chi-yue Chiu

Dean of Social Science, Choh-Ming Li Professor of Psychology, Chinese University of Hong Kong

 

On Friday, December 23th, 2022
Time 10.30 am. – 12.00 pm.
At room 614, 6th floor, Boromarajonani Srisatapat Building, Faculty of Psychology, Chulalongkorn University

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Emotion regulation: managing our Emotions

Emotion regulation: managing our Emotions

 

We experience emotions, such as happiness, fear, sadness, and anger, in response to significant events in our lives. Emotions often help us appropriately respond to our surroundings and add color and meaning to our experiences. But emotions can also cloud our judgment when we need to make important decisions, distract us from work, interfere with our relationships, and motivate us to behave in ways we later regret. In these circumstances we may want to influence the way we feel.

 

Emotion regulation refers to ways to control or manage which emotions we feel, when we feel them, and how intensely we feel them (Gross, 2002). This article provides you with 1) an accessible introduction to emotion regulation and 2) basic tools for thinking about and improving your emotional experiences.

 

 

How do we regulate our emotions?


 

The most influential and practical way to think about and classify emotion regulation strategies is based on James Gross’s process model (Gross, 2002). The process model classifies emotion regulation strategies based on where they occur within an emotional experience. We can think of emotional experience as consisting of 4 parts: situation (something happens), attention (we notice specific aspects of the situation), an appraisal (we interpret the situation in terms of how the situation affects us), and a response (we react to the situation).

 

For example, imagine your relative from out of town who is staying with you for the week leaves his clothes and belongings everywhere. The situation is the mess your relative made, you noticed the mess, you interpreted the situation as unfair and inconsiderate, and you may choose to react by complaining loudly.

 

In this scenario, many of us would react by expressing our anger. Releasing an emotion, whether by yelling or hitting a pillow in frustration, is known as catharsis. Catharsis has a long history in psychotherapy and makes intuitive sense, but research suggests that catharsis has negative consequences including intensifying negative feelings (e.g. Kraemer & Hastrup, 1988) and damaging relationships (e.g. Jerome & Liss, 2005). What are your other options?

 

 

Situation-focused strategies

 

Situation-focused strategies are simple and effective ways to influence emotions through their situational causes. We can seek situations that make us feel good and avoid situations that make us feel bad (Gross, 2001). To avoid getting mad at the relative, you can look for something to pleasant to do to give yourself time to cool down and your relative time to clean up. Selecting situations is most effective when an unpleasant situation has no foreseeable costs, but unpleasant situations may offer long-term opportunities or simply be unavoidable. Habitually avoiding bad situations prevents us from learning to cope with life’s difficulties.

 

Alternatively, we can change the situation to make it more pleasant, or at least less unpleasant. If your relative’s mess is upsetting, you can start cleaning the dishes and talk about the situation later. In studies, people who frequently use this strategy, known as situation modification, enjoy better physical and psychological health than the average person (Penley, Tomaka, & Wiebe, 2002). While situation modification is most effective when we have some control over a situation, we benefit from merely trying to change the situation (e.g. Salomons et al, 2007).

 

 

Cognition-focused strategies:

 

If we cannot choose or change an unpleasant situation, we can employ cognition-focused strategies where we think about the situation differently.
One approach is to focus our attention elsewhere. Even focusing on an irrelevant aspect of a distressing situation, e.g. what people are wearing, can distract us from emotional aspects of a situation and change the way we feel (e.g. Ayduk, Mischel, & Downey, 2002).

 

Another option is to think about the situation in a different way, i.e., to reappraise it. For example, you can interpret your relative’s mess as a reminder that you get to spend time with your relative. Reappraisal is best used when we cannot change the situation causing the emotion. Reappraisal can cause long-term harm if we rely on positive thinking as a substitute for trying to improve changeable situations (Troy, Shallcross, & Mauss, 2013).

 

 

Response-focused strategies:

 

Sometimes we find ourselves experiencing an undesirable and unpleasant situation and it is too late to change or think differently about the situation. Under these circumstances, we can change our behavioral response to the event.

 

If we are in a public situation and we are worried about exhibiting undesirable behavior, we can try to suppress (hide) our emotions (e.g. Gross & Levenson, 1997). While others typically cannot tell when we hide our emotions, doing so can be exhausting.

 

If we want to change our feelings rather than our behavior, relaxation techniques and meditation are effective ways to reduce the intensity of our feelings. As an added benefit, frequently practicing these techniques can reduce the intensity of future negative feelings (Goyal et al, 2014).

 

 

Concluding remarks

 

We are not helpless in the face of negative emotions. While the best way to respond to unpleasant situations varies from person to person and situation to situation, emotion regulation is a skill. With practice, we can improve at emotion regulation and enhance our mental and physical health.

 

 


 

 

References

 

Ayduk, O., Mischel, W., & Downey, G. (2002). Attentional mechanisms linking rejection to hostile reactivity: The role of “hot” versus “cool” focus. Psychological science, 13(5), 443-448. https://doi.org/10.1111/1467-9280.00478

 

Gross, J. J. (2001). Emotion regulation in adulthood: Timing is everything. Current directions in psychological science, 10(6), 214-219. https://doi.org/10.1111/1467-8721.00152

 

Goyal, M., Singh, S., Sibinga, E. M., Gould, N. F., Rowland-Seymour, A., Sharma, R., … & Haythornthwaite, J. A. (2014). Meditation programs for psychological stress and well-being: a systematic review and meta-analysis. JAMA internal medicine, 174(3), 357-368. https://doi.org/10.1001/jamainternmed.2013.13018

 

Gross, J. J. (2002). Emotion regulation: Affective, cognitive, and social consequences. Psychophysiology, 39(3), 281-291. https://doi.org/10.1017/S0048577201393198

 

Gross, J. J., & Levenson, R. W. (1997). Hiding feelings: the acute effects of inhibiting negative and positive emotion. Journal of abnormal psychology, 106(1), 95. https://doi.org/10.1037/0021-843X.106.1.95

 

Jerome, E. M., & Liss, M. (2005). Relationships between sensory processing style, adult attachment, and coping. Personality and individual differences, 38(6), 1341-1352. https://doi.org/10.1016/j.paid.2004.08.016

 

Kraemer, D. L., & Hastrup, J. L. (1988). Crying in adults: Self-control and autonomic correlates. Journal of Social and Clinical Psychology, 6(1), 53. https://doi.org/10.1521/jscp.1988.6.1.53

 

Penley, J. A., Tomaka, J., & Wiebe, J. S. (2002). The association of coping to physical and psychological health outcomes: A meta-analytic review. Journal of behavioral medicine, 25(6), 551-603. https://doi.org/10.1023/A:1020641400589

 

Salomons, T. V., Johnstone, T., Backonja, M. M., Shackman, A. J., & Davidson, R. J. (2007). Individual differences in the effects of perceived controllability on pain perception: critical role of the prefrontal cortex. Journal of cognitive neuroscience, 19(6), 993-1003. https://doi.org/10.1162/jocn.2007.19.6.993

 

Troy, A. S., Shallcross, A. J., & Mauss, I. B. (2013). A person-by-situation approach to emotion regulation: Cognitive reappraisal can either help or hurt, depending on the context. Psychological science, 24(12), 2505-2514. https://doi.org/10.1177/0956797613496434

 

 


 

Author

 

Dr. Adi Shaked
Lecturer in Social Psychology Area

 

เมื่อต้องสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก

เมื่อต้องสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก

: ทำความเข้าใจภาวะของจิตใจยามสูญเสีย

 

 

เราต่างคงมีใคร หรือมีอะไร เช่น สิ่งของ หรือสถานที่ ให้เราได้คิดถึงนะคะ ความคิดถึงนั้นแบ่งง่าย ๆ ได้เป็นสองแบบค่ะ คือ คิดถึงแล้วใจฟู กับ คิดถึงแล้วใจแฟ่บ

 

ความคิดถึงแบบใจฟู ก็คือการคิดถึงสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราชอบ โดยที่เรายังรู้อยู่ในใจว่า สิ่งที่เราคิดถึงนั้นยังอยู่ใกล้ ๆ ให้เราไปหา ให้เราไปเจอ สมกับความคิดถึงที่เรามี เช่น เมื่อเราออกจากบ้านมาโรงเรียน แล้วเราคิดถึงเจ้าลูกสุนัขตัวน้อย ขนสีขาวฟูของเรา พอคิดถึงอย่างนี้ ก็มีความสุข เพราะเดี๋ยวตอนเย็นหลังเลิกเรียน ก็ได้กลับไปเจอกัน หรือเวลาสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกัน ตอนเช้าต่างคนต่างก็ออกไปทำงาน ระหว่างวันอาจมีการนึกถึงกันด้วยความคิดถึง ความคิดถึงประเภทนี้ เป็นความคิดถึงที่ทำให้ใจเราฟู มีความสุขได้

 

ส่วนความคิดถึงประเภทที่สอง เป็นความคิดถึงที่เกิดขึ้นมาแล้วใจเราแฟ่บลง ความคิดถึงแบบนี้ก็มาจากการที่เราคิดถึงสิ่งที่เรารัก เราผูกพันเช่นเดียวกัน แต่ทว่าเมื่อเราคิดถึงคน คิดถึงสิ่งของ คิดถึงสถานที่เหล่านั้นแล้ว เราไม่มีโอกาสจะได้พบ ได้ไป ได้เห็นสิ่งที่เราคิดถึงอีก

กล่าวง่าย ๆ คือ ความคิดถึงแบบนี้ มีคำตามหลังพ่วงมาด้วยว่า คิดถึง แต่ไม่มีสิ่งเหล่านั้นแล้ว

 

ยิ่งคิดถึงมาก ก็ยิ่งทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมีค่ามาก แล้วคำตอบที่ตามหลังมา ก็ยิ่งทำให้ใจแฟ่บ ห่อเหี่ยวลงไปได้มากยิ่งกว่า เมื่อเรารู้ว่าไม่มีสิ่งเหล่านั้นแล้ว ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามมานี้ เป็นความรู้สึกที่ตระหนักได้ชัดถึงการเสียไปแล้วซึ่งของรักของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเสียแบบขาดจากกันด้วยอีกฝ่ายหนึ่งไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว หรือเป็นการเสียแบบขาดจากการด้วยการไม่มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกันแล้วก็ตาม

 

ความรู้สึกที่ตามมาจาการเสียของรักนี้ บางครั้งเราเรียกมันได้ว่า “ความโศกเศร้า“

 

หากเราจะสรุปง่ายๆ ว่า ใจที่แฟ่บ หรือ ความโศกเศร้า ก็เป็นการตอบสนองแบบหนึ่งของคนเราต่อความสูญเสีย โดยความความเศร้าโศกนี้คนเราสามารถแสดงออกมาได้ทั้งทางพฤติกรรมภายนอกให้เห็น เช่น ร้องไห้ฟูมฟาย เหม่อลอย หรือเป็นพฤติกรรมภายในเช่น ความรู้สึกหวนหา คิดย้อนระลึกถึงวันคืนเก่า

 

ในการแสดงออกทั้งภายในและภายนอกบุคคลดังกล่าว คนเราแต่ละคนก็จะมีการแสดงออกที่แตกต่างกันไป

 

นักจิตวิทยาได้มีการศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกโศกเศร้านี้มากมาย เพื่อเข้าใจความรู้สึกที่คนเราจะต้องเผชิญเมื่อต้องเสียของรักค่ะ สิ่งที่น่าสนใจคือ มีนักจิตวิทยากล่าวถึง ระยะของความเศร้าโศก โดยการทำความเข้าใจระยะของความเศร้าโศกนี้ จะช่วยให้เราสามารถเตรียมตัวเตรียมใจว่าเราจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง เมื่อเราอาจต้องเสียของรักไป นอกจากนี้ยังจะช่วยให้เราสามารถเข้าใจคนที่อยู่รอบตัวเรา เมื่อเขาต้องเสียของที่เขารักไปได้เช่นกัน

 

 

ระยะของความเศร้าโศกนี้มีอยู่ด้วยกัน 4 ระยะ

คือ

  1. ระยะของการไม่ยอมรับ
  2. ระยะของการเริ่มต้นยอมรับความจริง
  3. ระยะของการยอมรับความจริง และ
  4. ระยะของการกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

 

 

เรามารู้จักกับระยะแรกของความโศกเศร้าก่อนนะคะ

 

 

ระยะแรกที่นักจิตวิทยาเรียกว่า เป็น ระยะของการไม่ยอมรับ นี้ เป็นช่วงต้นที่บุคคลเริ่มรับรู้ถึงการสูญเสีย การพลัดพรากที่เกิดขึ้น เมื่อเราต้องพรากจากสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราอยากให้อยู่กับเราไปนาน ๆ ปฏิกริยาตอบสนองแรกที่ย่อมจะเกิดขึ้นก็คือ การพยายามไม่ยอมรับความจริงเกี่ยวกับการสูญเสีย เช่น บางคนเมื่อคนรักมาตัดรอน บอกเลิก ก็อาจจะแสดงออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ยอมรับว่าเราสองคนจบกันแล้ว แสดงตัวประหนึ่งว่ายังรักกันเช่นเดิม

 

นักจิตวิทยาก็ได้อธิบายว่า พฤติกรรมทั้งภายนอกภายในที่บุคคลแสดงในขั้นนี้ เป็นพฤติกรรมที่แสดงมาจากความไม่เชื่อ ไม่ยอมรับความจริงเกี่ยวกับการสูญเสีย บางคนอาจจะมีการใช้วิธีที่เรียกว่า กลวิธีการยืดเวลา คือ พยายามขยายเวลาออก ให้ช่วงเวลาของการที่ไม่ต้องยอมรับและเผชิญกับความจริงนานออกไปเรื่อย ๆ เช่น เมื่อชายหนุ่มทราบว่า หญิงสาวที่ตนรักเป็นอื่นไปแล้ว เขากลับพยายามทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม เหมือนตอนที่ยังรักกันดีอยู่ ไม่ยอมรับกับความจริงว่าหญิงสาวนั้น ได้จบความสัมพันธ์กับเขาแล้ว

 

การไม่ยอมรับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการความเศร้าโศก ที่จะช่วยให้บุคคลมีเวลาสำหรับฟื้นความรู้สึก และช่วยให้บุคคลมีเวลาในการเตรียมความพร้อมเพื่อทำใจยอมรับความจริง ว่าเราได้สูญเสียสิ่งที่รักไปแล้วนั่นเอง เมื่อการยืดเวลา การไม่ยอมรับสิ้นสุดลง บุคคลจะเริ่มยอมรับความจริงเกี่ยวกับการสูญเสีย และจะเข้าสู่ระยะต่อไปของการสูญเสียค่ะ

 

ระยะที่สอง ระยะของการเริ่มยอมรับความจริง

 

เนื่องจากแม้ใจเราอยากจะปฏิเสธความจริงเท่าใดก็ตาม ว่าสิ่งที่เรารักยังอยู่กับเรา ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น หากความจริงภายนอกที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ก็เข้ามากระทบ มาย้ำให้เรารับรู้อยู่ตลอดเวลาว่าเราเสียของรักไปแล้ว เมื่อมีความจริงมาปรากฏตรงหน้าเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง คนเราก็จะหันหน้ามาเผชิญกับความจริงว่าเราได้เสียของรักไปแล้วจริง ๆ

 

ในตอนต้นของการยอมรับนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือความรู้สึกเจ็บปวด อาจถึงขั้นเจียนใจจะขาดลงเสียให้ได้ เพราะต้องมายอมรับกับความจริงว่าต้องสูญเสียสิ่งที่เราไม่อยากให้สูญเสีย หากเราก็ต้องค่อย ๆ ขยับใจให้มายอมรับกับความจริงที่แม้จะเจ็บปวดเช่นนี้ เพราะมันก็คือความจริง ซึ่งเราจะสามารถผ่านพ้นความรู้สึกเจ็บปวดนี้ไปได้สักวันอย่างแน่นอน ความรู้สึกเจ็บปวดในใจที่เกิดขึ้นจากการเริ่มต้นยอมรับความจริงนี้เป็นอาการเบื้องต้นที่จะเกิดขึ้น บุคคลอาจแสดงออกถึงความเจ็บปวดที่ตนได้รับผ่านการร้องไห้คร่ำครวญ บางครั้งอาจมีการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย บ้างก็อาจมีการคิดหมกมุ่นถึงสิ่งที่เราเสียไป ใจกลับไปคิดทบทวนถึงแต่เรื่องเก่า ๆ ที่เคยผ่านมา

 

หากการสูญเสียของรักของเราเป็นการสูญเสียที่รุนแรงที่สุด คือ การจากกันเพราะอีกฝ่ายไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว ในระยะของการเริ่มต้นยอมรับความจริงนี้ บุคคลที่สูญเสียยังอาจมีการแสดงความโกรธ เนื่องจากความผิดหวังที่เกิดขึ้นจากความหวังว่าผู้เราต้องสูญเสียจะยังมีชิวิตอยู่ หรือมีความโกรธต่อผู้ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการสูญเสียของเรา เมื่อบุคคลเข้าสู่ระยะของการเริ่มต้นยอมรับความจริง แม้ในระยะนี้บุคคลอาจจะมีอารมณ์รุนแรง เนื่องจากความจริงที่แสนจะเจ็บปวดนี้ แต่บุคคลก็จะพร้อมที่จะก้าวไปสู่ระยะต่อไปในที่สุดค่ะ

 

 

 

ระยะที่สาม ระยะของการยอมรับความจริง

 

คือ ระยะที่คนเราจะมีการตระหนักและยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น โดยการยอมรับความจริงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบปุบปับ เช่นว่าวันนี้ยังมีความโกรธต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ร้องไห้ฟูมฟาย แล้ววันรุ่งขึ้นอยู่ ๆ ก็จะยอมรับความสูญเสียได้ การเปลี่ยนแปลงนี้บุคคลจะค่อย ๆ ตระหนักถึงความสูญเสีย และยอมรับว่าความสูญเสีย การพรากจากของรักของตนนั้นได้เกิดขึ้นจริงแล้ว

 

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากการตระหนักและยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นนี้ จะเป็นความเสียใจอย่างสุดซื้ง เพราะสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราผูกพัน ย่อมเป็นสิ่งที่เราพึงใจ มีความสุขกับสิ่งนั้น อยากให้มีสิ่งนั้นอยู่กับเราตลอดไป เมื่อต้องมาเผชิญกับความจริงว่าเราไม่มีโอกาสมีสิ่งที่เราพึงใจ อยากมีมันตลอดไปแล้ว ความรู้สึกเศร้า เสียใจอย่างสุดซึ้งย่อมจะเกิดขึ้นตาม โดยในบางครั้งอาจมีความรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง มีอารมณ์ซึมเศร้า ไม่อยากทำอะไร หมดแรง หมดกำลังใจ หมดความสนใจต่อสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต

 

อารมณ์เหล่านี้บางครั้งอาจส่งผลตามมาต่ออาการทางกายของเราด้วยนะคะ บางทีอาจเกิดอาการนอนไม่หลับ ไม่อยากอาหาร พอทราบเช่นนี้แล้วบางท่านอาจคิดในใจว่า อย่างนี้การยอมรับความจริงก็ไม่ดีเลย มีสารพัดอาการของความไม่สบายใจ ไม่สบายกายที่จะเกิดขึ้นได้ ดิฉันอยากเรียนให้ทราบว่าการยอมรับความจริงนี้เป็นสิ่งดีค่ะ ยิ่งเรายอมรับแบบเห็นจริง ยอมรับว่าเราจะไม่มีสิ่งที่เราเคยรัก เคยผูกพันอยู่แล้ว

 

สารพัดอาการทางใจและทางกายที่เกิดขึ้น เป็นกลไกของมนุษย์ที่พยายามเหนี่ยวรั้งให้สิ่งที่รักอยู่กับตัวเราให้นานที่สุด เมื่อไม่ได้สิ่งที่รักอยู่กับเราแน่ ๆ แล้ว ใจของเราก็ยากที่จะยอมรับมันโดยง่าย แม้จะยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นนอกตัวได้แล้วว่า ไม่มี ไม่มีแล้วจริง ๆ แต่สิ่งที่เป็นความคาดหวังในตัวเราต่างหากละคะที่จัดการได้ยาก

 

การที่เราไม่เห็นว่าตัวเราทุกข์ เศร้าใจ หมดแรงใจ หมดแรงกาย ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวเราค่ะ ถ้าเราไม่เห็นมันเราก็จะไม่สามารถจัดการกับมันได้ แต่เมื่อเราได้เห็นมัน หรือมันปรากฏขึ้นมาชัดเจน เราย่อมสามารถจัดการกับมันได้ และเราก็จะผ่านระยะของการยอมรับความจริงนี้ไปได้ ไปสู่ระยะสุดท้ายของความเศร้าโศกได้

 

กว่าจะเดินทางมาถึงระยะสุดท้ายนี้ไม่ใช่ง่าย ๆ เลยนะคะ

 

บุคคลจะต้องต่อสู้กับสารพัดความรู้สึกที่เราได้รับทราบกันไปข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นการหนีจากความรู้สึก หรือความจริงที่ต้องเผชิญ อารมณ์เจ็บปวดเสียใจ อารมณ์เศร้า หวนหา อยากให้มีสิ่งที่รักอยู่กับตัวเรา แต่ทุกความรู้สึกที่ยากลำบาก ล้วนแต่เป็นเหมือนกับก้อนหินแต่ละก้อนที่ช่วยให้เรารู้จักและยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิต และก้าวข้ามมาสู่ก้อนหินก้อนสุดท้ายก่อนจะข้ามถึงฝั่งนั้นก็คือ การกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ค่ะ

 

การกลับเข้าสู่ภาวะปกติ คือการที่บุคคลที่ต้องสูญเสียหรือพรากจากของที่รัก สามารถเริ่มที่จะปรับตัวเอง และจัดระบบระเบียบในการดำเนินชีวิตใหม่ ปรับบทบาทของตนเองใหม่ ให้เข้ากับการที่ต้องอยู่โดยไม่มีของรักนั้นแล้ว

 

ดูเหมือนไม่มีอะไรซับซ้อนนะคะ แต่ความจริงแล้วในบางคนกว่าจะเดินมาถึงขั้นสุดท้ายนี้ได้ อาจต้องใช้เวลาเป็นปี หรือหลายปี หรือบางคนอาจต้องพยายามเดินแล้วเดินอีกก็ยังไม่ถึง การที่เราจะสามารถปรับตัวเองและกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับใจของเราเป็นหลักค่ะ คนรอบตัวอย่างมากก็เป็นได้เพียงกำลังใจ ซึ่งกำลังใจนี้อาจช่วยให้เรามีแรงมากขึ้นที่จะพยายาม แต่คนที่ต้องพยายามก็คือตัวเราเองอยู่ดี

 

การกลับเข้าสู่ภาวะปกติ จะเกิดขึ้นเมื่อเรายอมรับ ทั้งด้วยเหตุผลและด้วยจิตใจของเราได้ว่า เราไม่มีสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราพึงใจแล้ว และการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้เกิดขึ้นจริง ๆ เราสามารถเสียใจ ร้องไห้ ซึมเศร้า แต่ไม่ว่าเราจะรู้สึกเท่าไร สิ่งที่เรารักก็จะไม่ได้กลับมาแล้ว แม้ว่าความจริงจะเป็นสิ่งที่เจ็บปวด แต่การยอมรับความจริงนั้นอย่างหมดหัวใจ ก็เป็นหนทางเดียวที่เราจะกลับมาสู่ภาวะปกติของตัวเราได้ค่ะ

 

 

 

 

สิ่งที่ยากก็คือการยอมรับความจริง แต่ดิฉันมีหลักง่าย ๆ ที่หลายท่านคงจะคุ้นเคยกันมาบ้าง ที่จะช่วยให้เราปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติได้ นั่นก็คือ หากเรายอมรับได้ว่า “สิ่งต่าง ๆ ในชีวิตเราไม่มีอะไรอยู่กับเราอย่างถาวรเลย มันมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ เป็นกฎของธรรมชาติ เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เราก็ไม่สามารถเปลี่ยนกฎของธรรมชาติได้”

 

เมื่อวานร้อน พรุ่งนี้อาจจะมีฝนตก สิบปีที่แล้วเราเป็นเด็กน้อย ตอนนี้เราโตมาเป็นนักศึกษา การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในทุกสิ่งรอบตัวเรา ดังนั้นวันหนึ่งเรามีคนที่เรารัก เราผูกพัน ในอีกวันหนึ่งก็ย่อมจะไม่มีได้ เพราะ การเปลี่ยนแปลงเป็นกฎของธรรมชาติ หากเราสามารถเริ่มต้นมองการเปลี่ยนแปลง การต้องพรากจากสิ่งที่รักว่าเป็นส่วนหนึ่งของกฎธรรมชาติแล้ว เราก็สามารถค่อย ๆ ยอมรับความจริงอย่างหมดหัวใจ

 

แน่นอนค่ะว่าสิ่งที่รัก ที่ผูกพัน ขาดหายไป เราย่อมมีความทุกข์ใจ ทุกข์กายเกิดขึ้น แต่หลักธรรมชาติที่เราเข้าใจนี้ จะช่วยให้เรากลับมาสู่ภาวะปกติได้เร็ว แล้วยอมรับกับสิ่งที่เกิดได้ค่ะ

 

 

หากท่านใดพบว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดประสบความยากลำบากในการก้าวผ่านความโศกเศร้าจากการสูญเสีย คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีบริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาทั้งแบบรายบุคคลและกลุ่ม ที่ศูนย์สุขภาวะทางจิต โดยมีเวลาทำการในวันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 9.00 -17.00 น. หมายเลขโทรศัพท์ 061-736-2859 รวมทั้งสามารถติดต่อได้ทาง E-mail ที่ wellness.chula@gmail.com หรือ Facebook : ศูนย์สุขภาวะทางจิต

 

 


 

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์

แขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา
คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คณะจิตวิทยาร่วมหารือกับคณาจารย์จาก UNIVERSITI TUNKU ABDUL RAHMAN

 

คณาจารย์จาก UNIVERSITI TUNKU ABDUL RAHMAN (UTAR) ประเทศมาเลเซีย ประกอบด้วย

 

  1. Tan Chee Seng, Ph.D. ประธานการประชุม
  2. Nurul Iman Binti Abdul Jalil, Ph.D. Chairperson, Centre for Applied Psychology
  3. Mr. Pheh Kai Shuen Head of Programme, BSocSc (Hons) Guidance and Counselling
  4. Mr. Tan Soon Aun Head of Programme, Master of Industrial and Organizational Psychology

 

ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กุลยา พิสิษฐ์สังฆการ รองคณบดี และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมบุญ จารุเกษมทวี ผู้ช่วยคณบดี ถึงแนวทางการพัฒนาความร่วมมือระหว่างสถาบัน เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ทางออนไลน์