ข่าวและกิจกรรม

ใส่ใจหรือสามารถ? นักการเมืองแบบไหนดี?

ใส่ใจหรือสามารถ? นักการเมืองแบบไหนดี?

การรับรู้บุคลิกภาพของผู้สมัครรับเลือกตั้ง : กระบวนการทางจิตวิทยาสังคมที่ส่งผลทางการเมือง

 

หากผู้เขียนถามผู้อ่านว่าท่านใช้เกณฑ์ใดในการเลือกผู้ว่ากรุงเทพหรือผู้แทนราษฎรมาเป็นตัวแทนของพวกท่าน ท่านจะตอบว่าอะไร?

 

บางท่านอาจจะตอบว่าพรรคการเมืองที่นักการเมืองคนนั้นสังกัดอยู่ บางท่านอาจจะตอบว่าประสบการณ์ทางการเมืองของผู้สมัครคนนั้น บางท่านอาจจะตอบว่าความเข้ากันได้ของอุดมการณ์ทางการเมืองของผู้สมัครและของท่าน คำตอบเหล่านี้ไม่มีผิดถูก อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความสวยงามของเจตจำนงอิสระของปัจเจกบุคคลที่นักจิตวิทยาให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนักจิตวิทยาสังคมที่ศึกษาอิทธิพลของปัจจัยส่วนบุคคลกับปัจจัยทางสังคมต่อการรู้คิดและพฤติกรรมของบุคคล

 

ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งก็เป็นหัวข้อหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับนักจิตวิทยาสังคม แต่จากการค้นคว้าของผู้เขียนกลับไม่พบการศึกษาทางจิตวิทยาสังคมเกี่ยวกับการเลือกผู้สมัครในประเทศไทยเลย การศึกษามักเกี่ยวกับการเลือกตั้งหรือการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยทั่วไปซึ่งนักรัฐศาสตร์ให้ความสนใจ งานวิจัยที่ใกล้เคียงกับหัวข้อนี้ที่สุดคือสารนิพนธ์ของคุณพิรุณธร เบญจพรรังสิกุล (2554) ที่ศึกษาอิทธิพลของปัจจัยทางการตลาดทางการเมือง เช่น นโยบายและผู้สมัคร สื่อจากพรรค ภาพลักษณ์ของพรรคต่อการเลือกพรรคการเมือง ซึ่งก็เป็นงานวิจัยทางการตลาด ไม่ใช่งานวิจัยด้านจิตวิทยาสังคม ผู้เขียนจึงขอนำเสนองานวิจัยจากต่างประเทศที่ศึกษาว่าการรับรู้บุคลิกภาพของผู้สมัครส่งผลต่อการเลือกอย่างไร และหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านในวันที่บ้านเมืองเราจะมีการเลือกตั้งอีกครั้ง

 

 

มิติบุคลิกภาพพื้นฐานหลักที่นักจิตวิทยาสังคมใช้เป็นกรอบแนวคิดในการศึกษาการรับรู้ทางสังคม (Abele & Wojciszke, 2014; Judd et al., 2005) มี 2 ประเภท ได้แก่ ความอบอุ่นและความสามารถ ความอบอุ่นเกี่ยวข้องกับคุณลักษณะทางสังคม เช่น ความเป็นมิตร ความน่าคบหา และคุณลักษณะด้านจริยธรรม เช่น ซื่อสัตย์ ไว้ใจได้ มีจริยธรรม ส่วนความสามารถนั้นเกี่ยวข้องกับการมีความรู้ ทักษะต่าง ๆ แต่ละคนมีทั้งความอบอุ่นและความสามารถ และมีในระดับต่างกันได้ บางคนจิตใจดี น่ารัก แต่ไม่ค่อยฉลาด บางคนเก่งแต่ไม่น่าคบ บางคนทั้งเก่งทั้งนิสัยดี บางคนนิสัยก็ไม่ดีแถมไม่เก่งก็มี

 

การรับรู้บุคลิกภาพของผู้อื่นมีความสำคัญในแง่วิวัฒนาการ (Fiske et al., 2007) เพราะความอบอุ่นเป็นคุณลักษณะที่บ่งบอกว่าบุคคลนี้จะเป็นมิตรหรือศัตรูกับเรา โดยทั่วไปเราจะมองว่าคนที่มีความอบอุ่นสูงจะไม่ทำอันตรายเรา เราสามารถคบหากับคน ๆ นี้ได้ ส่วนผู้ที่มีความอบอุ่นต่ำมักจะได้รับการมองในทางลบ ไม่น่าคบและไม่น่าเข้าใกล้ ส่วนความสามารถเป็นสิ่งที่เราใช้ประเมินว่าบุคคลนี้จะมีโอกาสในการประสบความสำเร็จแค่ไหนในสิ่งที่เขาตั้งเป้าไว้ ผู้ที่มีความสามารถสูงย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงกว่าผู้ที่มีความสามารถน้อยกว่า เมื่อพิจารณาทั้งสองบุคลิกภาพรวมกัน เราจะได้ข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการคัดเลือกคนรอบตัวเรา เช่น เราอาจจะยอมเก็บคนที่มุ่งร้ายต่อเราแต่ไม่เก่งไว้ข้างตัวเรามากกว่าคนที่มุ่งร้ายต่อเราและมีความสามารถ เนื่องจากคนที่สองเป็นอันตรายกับเรามากกว่า ในการเลือกคู่ครอง เราอาจจะเลือกคนที่จะไม่นอกใจเราที่ไม่ได้รวยมากแทนที่จะเลือกคนที่รวยมากแต่โกหกเราตลอดก็ได้ ในบริบทนี้การรับรู้บุคลิกภาพในแง่ของความอบอุ่นและความสามารถมีผลต่อการสร้างความสัมพันธ์ นักจิตวิทยาสังคมได้นำบุคลิกภาพสองมิตินี้ไปศึกษาต่อในหลายบริบท ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้กลุ่ม (stereotype content model: Fiske et al., 2002) และแบรนด์ (Brands as Intentional Agents Framework: Kervyn et al., 2012)

 

 

ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น ยังไม่มีงานวิจัยในไทยที่นำกรอบแนวคิดของจิตวิทยาสังคมมาศึกษาการเลือกผู้สมัครทางการเมือง แต่ในต่างประเทศมีนักวิจัยศึกษาผลของการรับรู้ความอบอุ่นและความสามารถของผู้สมัครรับเลือกตั้งต่อการเลือกผู้สมัครแล้ว โดยเป็นการศึกษาร่วมกับตัวแปรอื่นดังนี้

 

 

Chen & Lee (2012) ศึกษาว่าวัฒนธรรม คือ แนวโน้มปัจเจกนิยมกับคติรวมหมู่ (individualism and collectivism orientation) มีผลต่อการให้น้ำหนักบุคลิกภาพทั้งสองหรือไม่ โดยพวกเขาวิเคราะห์ว่าความอบอุ่นถือเป็นความสามารถทางสังคม (social competence) ลักษณะที่สะท้อนความสามารถดังกล่าวอาจจะทำให้ประเทศที่มีวัฒนธรรมแบบคติรวมหมู่ให้น้ำหนักกับความสามารถทางสังคมมากกว่าความสามารถทั่วไป เมื่อเทียบกับประเทศที่มีวัฒนธรรมแบบปัจเจกนิยมก็ได้ คณะผู้วิจัยทำการทดลองโดยให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาและไต้หวันดูรูปของผู้สมัครเลือกตั้งที่ได้รับการเลือกตั้งมาแล้วกับผู้ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งในประเทศของตน ประเมินลักษณะของบุคคลในรูป ได้แก่ ฉลาด มีความสามารถ ประสบความสำเร็จ (สะท้อนความสามารถ) มีทักษะการเข้าสังคม ปรับตัวเข้ากับสังคมได้เก่ง (สะท้อนความสามารถทางสังคม) เป็นที่ชื่นชม นิสัยดี เป็นมิตร (สะท้อนความเป็นที่ชื่นชอบ) มีเกียรติ ซื่อตรง พึ่งพาได้ มีมโนธรรม (สะท้อนการมีมโนธรรม) การใช้อำนาจ การมีอำนาจและการกล้าแสดงออก (สะท้อนความมีอำนาจ) และวิเคราะห์ทางสถิติว่ากลุ่มคุณลักษณะเหล่านี้มีผลต่อการตัดสินใจเลือกผู้สมัครจริงที่เกิดขึ้นไปแล้วและการสนับสนุนผู้สมัครโดยรวมหรือไม่

 

สำหรับผู้ร่วมการทดลองจากสหรัฐอเมริกาพบว่า การรับรู้ความสามารถของผู้สมัครเป็นตัวแปรเดียวที่ทำนายการตัดสินใจเลือกผู้สมัครได้ และยังพบว่าการรับรู้ถึงความมีอำนาจลดการตัดสินใจเลือกผู้สมัคร ในขณะที่ความสามารถ ความสามารถทางสังคม การเป็นที่ชื่นชม การมีมโนธรรมและความมีอำนาจทำนายการสนับสนุนผู้สมัครโดยรวม นอกจากนี้ การสนับสนุนผู้สมัครโดยรวมยังได้รับอิทธิพลร่วมจากการรับรู้ความสามารถของผู้สมัครและแนวโน้มปัจเจกนิยมของผู้ร่วมการทดลอง โดยพบว่าผู้ที่มีแนวโน้มปัจเจกนิยมสูงสนับสนุนผู้สมัครที่รับรู้ว่ามีความสามารถมากกว่าผู้ที่มีแนวโน้มปัจเจกนิยมต่ำ นอกจากนี้ยังพบอิทธิพลร่วมของการรับรู้ความสามารถทางสังคมและแนวโน้มคติรวมหมู่ที่ส่งผลต่อการสนับสนุนโดยรวม โดยพบว่าผู้ที่มีแนวโน้มคติรวมหมู่สูงสนับสนุนผู้สมัครที่รับรู้ว่ามีความสามารถทางสังคมมากกว่าผู้ที่มีแนวโน้มคติรวมหมู่ต่ำ สุดท้ายยังพบว่าการรับรู้ความมีมโนธรรมและแนวโน้มปัจเจกนิยมมีผลต่อการสนับสนุนโดยรวม โดยพบว่าผู้ที่มีแนวโน้มปัจเจกนิยมสูงสนับสนุนผู้สมัครที่รับรู้ว่ามีมโนธรรมน้อยกว่าผู้ที่มีแนวโน้มปัจเจกนิยมต่ำ

 

สำหรับผู้ร่วมการทดลองชาวไต้หวันพบว่าความสามารถของผู้สมัครมีผลต่อการตัดสินใจเลือกจริง แต่ความสามารถทางสังคมและความเป็นที่ชื่นชอบของผู้สมัครก็มีผลต่อการตัดสินใจเลือกผู้สมัครเช่นกัน และพบว่าการรับรู้ถึงความมีอำนาจลดการตัดสินใจเลือกจริงเช่นเดียวกับชาวอเมริกัน ในการสนับสนุนผู้สมัครโดยรวมพบผลที่เหมือนกับที่พบในชาวอเมริกันคือ ความสามารถ ความสามารถทางสังคม การเป็นที่ชื่นชม การมีมโนธรรมและความมีอำนาจทำนายการสนับสนุนผู้สมัครโดยรวม และพบอิทธิพลของแนวโน้มปัจเจกนิยมร่วมกับการรับรู้ว่ามีความสามารถ โดยรวมแล้วงานวิจัยนี้จึงแสดงให้เห็นว่าการรับรู้บุคลิกภาพของผู้สมัครกับค่านิยมทางวัฒนธรรมในระดับบุคคลมีผลต่อการเลือกตั้งมากกว่าวัฒนธรรมในระดับประเทศ

 

 

Bennett et al. (2019) ศึกษาการรับรู้บุคลิกภาพของนักการเมืองจาก 2 พรรคหลักในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ บุช ครูซและทรัมป์จากรีพับลิกัน กับคลินตัน โอบาม่าและแซนเดอรส์จากเดโมแครต พบว่าทั้งความอบอุ่นและความสามารถทำนายการตัดสินใจเลือกผู้สมัครทุกคนได้ ยกเว้นบุชที่พบว่าการรับรู้ความสามารถเท่านั้นที่สามารถทำนายการตัดสินใจเลือกเขาได้ นอกจากปัจจัยด้านการรับรู้บุคลิกภาพแล้วการระบุว่าตนเป็นรีพับลิกันหรือเดเมแครต (political party affiliation) ก็มีผลต่อการเลือกตั้งเช่นกัน โดยพบว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกผู้สมัครจากพรรคที่ตนเป็นสมาชิกมากกว่า ที่น่าสนใจคือความเป็นสมาชิกพรรคมีผลต่อการรับรู้บุคลิกภาพของผู้สมัคร โดยพบว่าทั้งผู้ที่ระบุว่าตนเป็นรีพับลิกันและเดโมแครตประเมินผู้สมัครที่มาจากพรรคของตนดีกว่าผู้สมัครจากอีกพรรค

 

 

Bor (2020) ได้ทดสอบว่าสภาพเศรษฐกิจที่ดีหรือย่ำแย่จะส่งผลต่อการเลือกผู้สมัครที่มีเมตตาและใส่ใจประชาชนกับผู้สมัครที่น่าไว้ใจและเป็นที่พึ่งได้ใน 3 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลียและเดนมาร์กหรือไม่ พบว่าบุคลิกภาพของผู้สมัครมีผลต่อการตัดสินใจเลือกผู้สมัครมากกว่าสภาพเศรษฐกิจเสียอีก โดยพบว่าบุคลิกภาพทั้งสองกลุ่มทำนายการเลือกได้ โดยความอบอุ่นมีน้ำหนักมากกว่าความสามารถ

 

 

การศึกษาที่กล่าวถึงเป็นแค่ส่วนหนึ่งของงานวิจัยในหัวข้อนี้เท่านั้น และแน่นอนว่าการรับรู้บุคลิกภาพของผู้สมัครไม่สามารถทำนายการตัดสินใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ การตัดสินใจใด ๆ ก็ตามของมนุษย์มีความซับซ้อนกว่านั้นมาก ควรมีการศึกษาถึงปัจจัยและกระบวนการดังกล่าวให้ลึกซึ้งและครอบคลุมขึ้น อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่ากระบวนการทางจิตวิทยาสังคมส่งผลต่อพฤติกรรมทางการเมือง หากนักการเมืองต้องการประสบความสำเร็จก็ควรให้ความสำคัญกับกระบวนการนี้ แต่ที่สำคัญกว่าคือผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งก็ควรรู้เท่าทันว่าเป้าหมายของนักการเมืองคืออะไร บุคลิกภาพที่พวกเขาแสดงออกสอดคล้องกับตัวตนจริงของเขาหรือไม่ นักการเมืองต้องการให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งรับรู้พวกเขาในทิศทางที่จะเป็นประโยชน์กับพวกเขาเฉพาะเวลาที่พวกเขาต้องการเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเท่านั้นหรือไม่ การกระทำของนักการเมืองพ้องรับกับภาพลักษณ์ที่พวกเขาแสดงออกและต้องการให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งรับรู้หรือไม่ การรอบรู้ถึงปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของเรา และการตัดสินใจอย่างรอบคอบมีความสำคัญอย่างยิ่งหากประชาชนต้องการเพิ่มโอกาสในการเลือกผู้แทนที่จะ “ใส่ใจ” ความต้องการของประชาชน และ “สามารถ” ทำงานตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง

 

 


 

 

รายการอ้างอิง

 

พิรุณธร เบญจพรรังสิกุล. (2554). ปัจจัยทางการตลาดทางการเมืองที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการเลือกพรรคการเมืองไทยของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ในเขตกรุงเทพมหานคร. [สารนิพนธ์ ปริญญาธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการตลาด มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ]. http://ir.swu.ac.th/jspui/bitstream/123456789/99682/1/Pirunthorn_B.pdf

 

Abele, A. E., & Wojciszke, B. (2014). Communal and agentic content in social cognition: A dual perspective model. In J. M. Olson & M. P. Zanna (Eds.), Advances in Experimental Social Psychology (Vol. 50, pp. 195-255). https://doi.org/10.1016/B978-0-12-800284-1.00004-7

 

Bennett, A. M., Malone, C., Cheatham, K., & Saligram, N. (2019). The impact of perceptions of politician brand warmth and competence on voting intentions. Journal of Product & Brand Management, 28(2), 256-273. https://doi.org/10.1108/JPBM-09-2017-1562

 

Bor, A. (2020). Evolutionary leadership theory and economic voting: Warmth and competence impressions mediate the effect of economic perceptions on vote. The Leadership Quarterly31(2), 101295. https://doi.org/10.1016/j.leaqua.2019.05.002

 

Chen, F. F., Jing, Y., & Lee, J. M. (2012). “I” value competence but “we” value social competence: The moderating role of voters’ individualistic and collectivistic orientation in political elections. Journal of Experimental Social Psychology48(6), 1350-1355. https://doi.org/10.1016/j.jesp.2012.07.006

 

Fiske, S. T., Cuddy, A. J., & Glick, P. (2007). Universal dimensions of social cognition: Warmth and competence. Trends in cognitive sciences11(2), 77-83. https://doi.org/10.1016/j.tics.2006.11.005

 

Fiske, S. T., Cuddy, A. J., Glick, P., & Xu, J. (2002). A model of (often mixed) stereotype content: competence and warmth respectively follow from perceived status and competition. Journal of personality and social psychology82(6), 878-902. https://doi.org/10.1037/0022-3514.82.6.878

 

Judd, C. M., James-Hawkins, L., Yzerbyt, V., & Kashima, Y. (2005). Fundamental dimensions of social judgment: understanding the relations between judgments of competence and warmth. Journal of Personality and Social Psychology89(6), 899-913. https://psycnet.apa.org/buy/2005-16185-005

 

Kervyn, N., Fiske, S. T., & Malone, C. (2012). Brands as intentional agents framework: How perceived intentions and ability can map brand perception. Journal of Consumer Psychology22(2), 166-176. https://doi.org/10.1016/j.jcps.2011.09.006

 


 

 

บทความวิชาการโดย

 

อาจารย์ ดร.ภัคนันท์ จิตต์ธรรม

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคมพื้นฐานและประยุกต์

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Gaslighting…ผิดจริงหรือแค่ทริคทางจิตใจ?

‘Gaslighting’ อาจเป็นคำศัพท์ที่ฟังดูคุ้นหูสำหรับใครหลาย ๆ คนที่เคยได้รับชมภาพยนต์เรื่อง Gaslight ในปี ค.ศ. 1944 ซึ่งเป็นเรื่องราวของสามีที่ต้องการครอบครองสมบัติของภรรยาโดยการหลอกลวงให้เธอเชื่อว่าเธอมีอาการทางจิตด้วยทริคทางจิตใจที่แยบยล การหลอกลวงด้วยการโกหกโดยทั่วไปอาจไม่ส่งผลกับจิตใจของคนเราได้เท่ากับการหลอกให้สงสัยในความคิดของตนเอง

 

 

ผู้เป็นสามีใช้วิธีการหรี่ไฟในตะเกียงลง และเมื่อภรรยาของเขาถามถึงแสงไฟที่มืดลงนั้นเขากลับตอบเพียงว่าเธอคิดไปเอง การนำข้าวของไปซ่อนตามที่ต่าง ๆ และบอกกล่าวให้ภรรยาของเขาเชื่อว่าเธอเป็นคนที่ทำด้วยตัวเอง สารพัดคำลวงที่ทำให้เธอเข้าใจว่าเธอคือคนผิด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนปกติยกเว้นตัวเธอ

 

หลายต่อหลายครั้งที่ถูกหลอกอย่างแนบเนียน หลายต่อหลายครั้งที่ถูกชี้นำให้สงสัยว่าความคิดของตนนั้นยังปกติอยู่หรือไม่ ผลลัพธ์สุดท้ายคือการที่เธอสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองและถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์ ตกเป็นเหยื่อของทริคทางจิตใจนั้นอย่างไม่สามารถหลีกหนีได้พ้น

Gaslighting จึงเป็นรูปแบบหนึ่งของการควบคุมทางจิตใจ (psychological manipulation) ในความสัมพันธ์ด้วยการปลูกฝังเมล็ดพันธ์ของความแคลงใจ ความสงสัย และความไม่เชื่อมั่นในตนเองซึ่งพบได้ในทุกรูปแบบความสัมพันธ์ ไม่เพียงแต่เชิงโรแมนติกเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงครอบครัว เพื่อน สังคมการศึกษา และสังคมการทำงานอีกด้วย (Petric, 2018) 

 

 

“คิดมากไปหรือเปล่า?”

“คิดไปเองหรือเปล่า?”

“เพราะคุณทำแบบนั้น ฉันเลยเป็นแบบนี้”

“ที่ทำแบบนี้เพราะเป็นห่วงนะ”

“ไม่เชื่อใจกันเลยใช่ไหม?”

“ทำไมไม่อดทนเลย คนอื่นเขายังทนได้”

 

 

ประโยคเหล่านี้อาจเป็นประโยคธรรมดาที่ได้ยินกันจนชินหู และแม้จะสร้างความรู้สึกขัดแย้งในใจได้บ้างแต่หลายต่อหลายคนมักเลือกที่จะเชื่อว่าตนเป็นฝ่ายผิด กับดักทางจิตวิทยาของการใช้ถ้อยคำเหล่านี้นั้นฟังดูไม่เหมือนคำโกหกหลอกลวง แต่เป็นการปลูกฝังความคิด ความรู้สึกผิด และความไม่เชื่อมั่นในตัวบุคคล…และนั่นคือสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่า

 

 

สัญญาณเตือนว่า Gaslighting กำลังเกิดขึ้นกับคุณ

  1. เป็นฝ่ายที่ต้องเอ่ยคำขอโทษตลอดเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของคุณ
  2. เชื่อว่าตนเองไม่สามารถทำสิ่งที่ถูกได้ ทำอะไรก็ผิดเสมอ
  3. รู้สึกวิตกกังวลตลอดเวลา หวาดกลัวว่าจะทำผิดหรือไม่ถูกใจใคร
  4. สูญเสียความมั่นใจในตนเอง
  5. สูญเสียความเป็นตัวตน
  6. ตั้งคำถามเกี่ยวกับความคิดและการตัดสินใจของตนเองตลอดเวลา ไม่กล้าที่จะตัดสินใจ
  7. รู้สึกโดดเดี่ยวและไร้กำลัง รู้สึกว่าตนไม่เหมือนใคร แตกต่างและแปลกแยก
  8. ผิดหวังในตนเอง และกลัวผู้อื่นจะผิดหวังในตัวคุณ

 

จะเห็นได้ว่าคำพูดที่ดูธรรมดา กลับสร้างผลลัพธ์ทางจิตใจที่รุนแรงและส่งผลกระทบถึงความเชื่อมั่นในตนเอง (self-esteem) ได้เป็นอย่างมาก การต้องเผชิญกับ gaslighting นั้นอาจมาถึงโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว แต่เมื่อเราลองคิดทบทวนในสิ่งที่ได้ฟังและสิ่งที่ตนคิดนั้นเราจะพบว่ากับดักทางจิตวิทยาชนิดนี้อยู่รอบตัวเราในทุกความสัมพันธ์ เมล็ดพันธ์แห่งความแคลงใจยังพร้อมจะเติบโตในตัวคุณได้ทุกสถานการณ์

 

แล้วจะทำอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับ Gaslighting?

การปกป้องตนเองและระมัดระวังไม่ให้ถูกทำลายความมั่นใจในตนเองด้วยหลุมกับดักทางจิตใจนี้อาจมีได้หลายหนทาง เช่น

  1. เว้นระยะห่าง ถอยห่างจากความรู้สึกสงสัยในตนเองที่ถูกทิ้งเอาไว้ให้ การเดินออกจากสถานการณ์เหล่านั้นหรือให้เวลาตนเองได้หายใจลึกๆเพื่อผ่อนคลายและมีเวลาใช้ความคิด อาจช่วยให้เราสามารถทบทวนได้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับสิ่งใด
  2. เก็บหลักฐาน เพราะ gaslighting มักทำให้คุณต้องสงสัยในตัวคุณเอง การเก็บหลักฐานของเรื่องราวต่าง ๆ ไว้นั้นจะช่วยให้คุณสามารถยืนยันกับตนเองและสถานการณ์ตรงหน้าได้ว่าความคิดของคุณไม่ใช่เพียงแค่ความคิดเห็นของคุณฝ่ายเดียว
  3. ใช้มุมมองที่ 3 มุมมองของคนที่อยู่ภายนอกสถานการณ์อาจช่วยให้คุณมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นในเรื่องราวเหล่านั้น การอยู่ในสถานการณ์ที่มีการบีบคั้นทางอารมณ์ ย่อมทำให้มุมมองต่าง ๆ ของคุณแคบลงและไม่สามารถประมวลผลสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
  4. ถอยห่างจากความสัมพันธ์ แม้จะเป็นหนทางที่ยากในการกระทำได้จริง แต่การเผชิญกับ gaslight ซ้ำ ๆ จนทำให้สูญเสียความเป็นตัวตนไปนั้นย่อมส่งผลเสียที่มากกว่า หากพบสัญญาณของการกระทำเหล่านั้นและพบว่าไม่มีหนทางอื่นใดที่จะแก้ไขได้ การจบความสัมพันธ์นั้นอาจเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการหลีกให้พ้นและจบการทำร้ายทางจิตใจลง

 

ความเชื่อมั่นในตนเองและความเป็นตัวตนนั้นคือสิ่งสำคัญที่ไม่ควรปล่อยให้ถูกทำลายลงไป การคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลและยืนยันความคิดของตนเองเมื่อพิจารณาแล้วว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง อาจช่วยให้พ้นจากจากทริคทางจิตใจเหล่านี้ได้ เพราะคนทุกคนมีความแตกต่างกันและมีความคิดเป็นของตนเอง การเป็นตัวของตัวเองโดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อนนั้นจึงไม่ใช่ความผิดใด ๆ

 

อย่าให้คำพูดของใคร ทำลายคุณค่าในตัวของคุณเอง

 

References: 

 

Gordon, S. (2022, January 5). What Is Gaslighting? Verywell Mind. https://www.verywellmind.com/is-someone-gaslighting-you-4147470

 

Morris, S. Y., & Raypole, C. (2021, November 24). How to Recognize Gaslighting and Get Help. Healthline. https://www.healthline.com/health/gaslighting

 

Petric, D. (2018). Gaslighting and the knot theory of mind. https://www.juliedawndennis.co.uk/wp-content/uploads/2020/03/Gaslightingandtheknottheoryofmind.pdf

 


 

บทความวิชาการ โดย

คุณบุณยาพร อนะมาน

นักจิตวิทยาประจำศูนย์ประเมินทางจิตวิทยา

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 


 

แค่เชื่อว่า “ทำได้” คุณก็จะ “ทำได้” (ตอนที่ 4)

แค่เชื่อว่า “ทำได้” คุณก็จะ “ทำได้”

“Efficacy” ทุนทางจิตวิทยา ตอนที่ 4

 

คำว่า “Hero” เป็นคำโบราณที่มีรากฐานศัพท์มาจากภาษากรีกและถูกนำมาใช้ในภาษาอังกฤษในราวช่วงศตวรรษที่ 16 ในอดีตคำว่า Hero นั้นใช้แทนความหมายของนักรบ (Warrior) ผู้กล้าหาญและเสียสละซึ่งย่อมเป็นบุคคลพิเศษและแตกต่างไปจากคนธรรมดาทั่วไป แต่เดิมคำนี้ยังรวมไปถึงนักรบผู้กล้าในเทพนิยายกรีกโบราณที่มีความเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ (Semidivine being) ที่สามารถติดต่อสื่อสารและมีชีวิตได้ทั้งในโลกของมนุษย์และเหนือมนุษย์ไปพร้อม ๆ กัน ต่อมาคำเดียวกันนี้ได้กลายเป็นคำที่นิยมแพร่หลายมากขึ้นเมื่อถูกนำมาใช้เรียก “ยอดมนุษย์” หรือตัวละครเอกในการ์ตูนของมาร์เวลคอมิกส์ซึ่งเป็นค่ายการ์ตูนยอดนิยมของสหรัฐอเมริกาที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1939 ทำให้ Hero หรือยอดมนุษย์ต่าง ๆ มีชื่อเสียงก้องโลกกลายเป็น Super Hero ในเวลาต่อมา การ์ตูนแทบทุกเรื่องเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในหมู่นักอ่านทุกเพศทุกวัยที่ได้เสพอรรถรสความบันเทิงของการ์ตูนในยุคแรก ๆ พร้อมกับการเรียนรู้ด้านคุณธรรม ความดี ความกล้าหาญที่สอดแทรกมาในเนื้อเรื่องอย่างแยบยล จนคำว่า HERO กลายเป็นคำติดปากที่ทุกคนคุ้นเคยด้วยพลังบวกจากจินตนาการที่เพียงแค่ได้ยิน หรือสัมผัสของหัวใจที่พองโตขึ้นทันทีหากได้เป็น HERO ในใจของใครคนใดคนหนึ่ง จนถึงปัจจุบันในสถานการณ์ของโรคระบาด HERO ได้ถูกใช้เป็นคำยกย่องต่อบุคลากรในแวดวงการรักษาพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง Ruth Marcus ผู้หญิงเก่งผู้เป็นทั้งนักวิจารณ์และนักข่าวทางการเมืองชาวอเมริกันและยังเป็นคอลัมนิสต์ให้กับสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง The Washington Post เคยกล่าวสรรเสริญบุคลากรและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และพยาบาลรวมถึงหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนในการต่อสู้กับวิกฤตโรคระบาดที่ต้องเสี่ยงต่อการติดเชื้อทั้งต่อตัวเองและครอบครัวว่าทุกคนคือ HERO ผู้เสียสละ อุทิศตนเองอย่างใหญ่หลวงเพื่อภารกิจการให้ความช่วยเหลือทุกคนให้ได้มีชีวิตอยู่รอดอย่างปลอดภัย (Marcus, 2020)

 

องค์การอนามัยโลกได้ระบุว่าสถานการณ์การระบาดใหญ่ของ Covid-19 เป็นวิกฤตที่โลกของเราไม่เคยเผชิญมาก่อน (WHO, 2020) และส่งผลกระทบต่อบุคคล ครอบครัว และชุมชน ทั้งต่อวิถีชีวิต กิจวัตรประจำวัน สุขภาพจิต ความเครียดตลอดจนความเป็นอยู่ของผู้คน (Holmes et al., 2020, Rajkumar, 2020) จากผลการวิจัยพบว่า ประชากรมากถึงร้อยละ 30 อาจได้รับผลกระทบจากความเครียด ความซึมเศร้า และความวิตกกังวล หลังจากการกักตัว (Odriozola- González et al., 2020) ในช่วงเวลาแห่งความกลัวและความไม่แน่นอนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แม้เราจะหันหา HERO ผู้กล้าที่จะมาช่วยเหลือเราไม่พบเหมือนในการ์ตูนได้ แต่เราทุกคนสามารถสร้าง HERO ขึ้นได้ในใจของเราเองเพราะคนเรามักต้องการทรัพยากรทางจิตใจเพื่อมาช่วยลดความเครียด และทุนทางจิตวิทยา (PsyCap) คือ HERO ที่สามารถช่วยให้ผู้คนรักษาไว้ซึ่งสุขภาพจิตที่มีคุณภาพได้สำเร็จโดยการช่วยเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีและลดระดับความวิตกกังวลและอาการภาวะซึมเศร้าที่รุกเร้าเข้ามาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ท้าทายที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ บุคคลที่มีทรัพยากรทางจิตใจที่มากกว่าจะได้รับผลกระทบทางลบน้อยกว่าจากสถานการณ์ชีวิตที่ตึงเครียดมากมายที่แวดล้อมอยู่รอบตัว

 

 

บทความนี้เป็นตอนสุดท้ายแล้วในชุดของบทความสี่ตอนจบเกี่ยวกับต้นทุนทางจิตวิทยาของคนเราที่นำเอาพยัญชนะหลักในแต่ละองค์ประกอบของตัวแปรทางจิตวิทยาทั้ง 4 ด้านร่วมกันสร้างเป็นตัวแปรใหม่อันทรงพลังที่เรียกว่า ทุนทางจิตวิทยา หรือ HERO หากท่านผู้อ่านได้ติดตามมาตั้งแต่ต้นและทำความเข้าใจกับตัวแปรทางจิตวิทยาทั้ง 3 ด้านที่ผ่านมาแล้ว ได้แก่

 

ความหวัง (Hope)

ความสามารถในการฟื้นพลัง (Resilience) และ

การมองโลกในแง่ดี (Optimism)

 

ซึ่งทั้งหมดล้วนเปี่ยมไปด้วยพลังทางบวกในการช่วยป้องกันและยกระดับของอารมณ์ ความรู้สึก และทัศนคติของบุคคลต่อสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการทำงานหรือในด้านของสุขภาพ และในตอนสุดท้ายนี้ ขอกล่าวถึงองค์ประกอบด้านสุดท้ายคือการรับรู้ความสามารถของตนเอง หรือ Self Efficacy โดยนำพยัญชนะตัวอักษร E ในคำว่า Efficacy มาประกอบจนเป็นคำว่า HERO ที่สมบูรณ์และเป็นที่รู้จักกันดี

 

 

ทฤษฎีการรับรู้ความสามารถตนเองนั้น พัฒนามาจาก ทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาสังคม (Social Learning Theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเทคนิคที่นำมาใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนเรา ทฤษฎีนี้พัฒนาโดยนักจิตวิทยาชาวแคนาดาคือ Albert Bandura โดย Bandura ได้ศึกษาความเชื่อของบุคคลเกี่ยวกับความสามารถของตนเอง (Self Efficacy) ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำหรือการมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งความเชื่อนี้มีอิทธิพลช่วยให้บุคคลเกิดความมั่นใจในตนเอง สามารถปฏิบัติตนหรือมีพฤติกรรมเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่ต้องการได้ หลังจากบทความของ Bandura เรื่อง Self-Efficacy: Toward a Unifying Theory of Behavioral Change ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร Psychological Review ในปี 1977 Self Efficacy ได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ถูกนำไปค้นคว้าวิจัยเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องมากที่สุด ที่ช่วยพัฒนามุมมองและความรู้ความเข้าใจในคุณประโยชน์ของตัวแปรให้กระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น เช่น Stajkovic และคณะ (1998) พบว่าการรับรู้ความสามารถของตนเองมีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและเป็นไปในทางบวกกับผลการปฏิบัติงาน และพบว่าความพึงพอใจในงานกับผลการปฏิบัติงานนั้นมีความสัมพันธ์ต่อกัน จึงเป็นไปได้มากว่า การรับรู้ความสามารถของตนเองกับความพึงพอใจในงานนั้นย่อมมีความเกี่ยวข้องกัน ต่อมา  Özkalp (2009) เคยกล่าวไว้ว่า การรับรู้ความสามารถของตนเองนั้น ไม่ใช่ความสามารถของแต่ละบุคคลที่มี แต่เป็น “ความเชื่อ” (Belief) ของแต่ละบุคคลเกี่ยวกับความสามารถที่ตนมีอยู่ บุคคลที่เชื่อว่าตนเองมีความสามารถก็จะสามารถพัฒนาตนเองให้บรรลุถึงเป้าหมายอย่างประสบความสำเร็จได้ Caprara และคณะ (2003) ให้คำนิยามไว้ว่า การรับรู้ความสามารถของตนเองนั้นเป็นพลังในการไปสู่เป้าหมายของงานที่หลากหลาย และการประสบความสำเร็จในบทบาทหน้าที่ต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมาย

 

เมื่อคนเรามีความเชื่อว่าตนเองนั้นมีความสามารถ บุคคลนั้นจะบริหารจัดการกับสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งได้เป็นอย่างดี สามารถใช้ทักษะที่ตนมีอยู่ ในการจัดการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ การรับรู้ความสามารถของตนเองนั้นจึงไม่ได้หมายถึงเพียงสิ่งที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะทำ แต่หมายถึงสิ่งที่บุคคลนั้นมีความเชื่อมั่นว่าสามารถทำได้ ซึ่งความเชื่อมั่นนี้เป็นสิ่งสำคัญ ที่ทำให้นักจิตวิทยาเข้าใจ และทำนายว่าบุคคลจะทำหรือไม่ทำพฤติกรรมต่าง ๆ ได้ ยกตัวอย่างในบริบทของสุขภาพ เช่น หากบุคคลเชื่อว่าตนเองไม่มีความสามารถ ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ความเชื่อนี้ส่งผลให้บุคคลนั้นรู้สึกว่าการควบคุมการรับประทานอาหาร การออกกำลังกายหรือการเลิกสูบบุหรี่เป็นเรื่องยากที่เกินไป ทำไม่ได้แน่ ๆ และส่งผลให้ไม่ลงมือทำพฤติกรรม ๆ

 

 

ปัจจัยที่ส่งผลให้บุคคลสามารถพัฒนาความเชื่อเกี่ยวกับความสามารถของตนเองนั้น มีอยู่ 4 ปัจจัย ดังต่อไปนี้  (Bandura ,1994)

 

 

การเรียนรู้จากประสบการณ์ความสำเร็จของตนเอง (Mastery experiences)

 

เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการเสริมสร้างและพัฒนาความรู้สึกเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองโดยผ่านทางการรับรู้จากประสบการณ์ความสำเร็จของตนเองซึ่งความสำเร็จต่าง ๆ ที่ผ่านมานั้น จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งในความสามารถส่วนตัวของแต่ละบุคคล ในทางกลับกันความล้มเหลวจะคอยบั่นทอนความเชื่อมั่นนั้นให้พังทลายลงได้ โดยเฉพาะในเวลาที่ความล้มเหลวเกิดขึ้นก่อนที่ความเชื่อมั่นของแต่ละคนจะก่อกำเนิดเป็นรูปเป็นร่างที่มั่นคงแข็งแรง

 

การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของผู้อื่นโดยการพบเห็น การรับฟังหรือรับรู้มา (Vicarious experiences)

 

เป็นอีกวิธีที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและพัฒนาคุณลักษณะทางจิตวิทยานี้ให้แข็งแกร่งขึ้น โดยผ่านการรับรู้จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสหรือผ่านตามาจากคนอื่นหรือรียกว่า “ตัวแบบ” (Modelling)  ซึ่งในช่วงหลายปีนี้ มักเกิดขึ้นผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เพราะเป็นช่องทางที่ผู้เรียนรู้สามารถเข้าถึงได้ง่ายและมีการผลิตเนื้อหาที่น่าสนใจ การได้มองเห็นผู้อื่นที่ดูคล้ายกับตนเองทำพฤติกรรมบางอย่างและประสบความสำเร็จทำให้ผู้เฝ้ามองรู้สึกได้ว่าตนเองน่าจะมีความสามารถในการลงมือทำกิจกรรมนั้น ๆ ให้สัมฤทธิ์ผลได้เช่นเดียวกัน การรับรู้ถึงความสามารถของตนเองจากการสังเกตตัวแบบนั้นจึงขึ้นอยู่กับการรับรู้ถึงความใกล้เคียงของตนเองกับตัวแบบนั้น ๆ ด้วย ยิ่งถ้าหากมีความใกล้เคียงกันมาก ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกคล้อยตามมากขี้นและมีการเลียนแบบจนประสบความความสำเร็จและถึงแม้อาจจะเกิดความล้มเหลวบ้างแต่ก็ไม่ล้มเลิกพฤติกรรมง่าย ๆ ถ้าคนเรามองเห็นตัวแบบที่มีความแตกต่างไปจากตนเองมาก ตัวแบบที่แตกต่างนี้ก็จะไม่ค่อยส่งผลต่อการพัฒนาการรับรู้ความสามารถของตนเอง

 

การถูกชักนำหรือจูงใจจากสิ่งต่าง ๆ ในสังคม (Social persuasion)

 

การจูงใจทางสังคมเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้คนเรานั้นมีความเชื่อว่าตนเองมีคุณสมบัติบางอย่างที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้ บุคคลที่ได้รับคำชมเชย คำชื่นชมในความสำเร็จ หรือ ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถในการบริหารจัดการงานที่ได้รับมอบหมายได้ดีเยี่ยม บุคคลมักมีแนวโน้มที่จะขับเคลื่อนความพยายามของตนเองได้มากขึ้นและรักษาระดับของรู้สึกนั้นไว้ได้ดีกว่าบุคลลที่จะเริ่มต้นทำงานด้วยความไม่แน่ใจในความสามารถของตัวเอง ผู้ที่ขาดความมั่นใจในตนเองมักจะจมอยู่กับความบกพร่องของตนเมื่อต้องจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ดังนั้นการได้รับการสนับสนุนหรือคำชื่นชมทำให้บุคคลได้รับรู้ถึงความสามารถของตนเอง ส่งผลให้บุคคลเกิดความพยายามที่จะก้าวไปสู่การประสบความสำเร็จ การได้รับคำชมหรือการแนะนำจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านทักษะ กระตุ้นความมานะพยายามเพื่อฝึกฝนจนเกิดความชำนาญและรู้สึกได้ถึงความสามารถของตนเองในแต่ละบุคคลด้วย

 

สภาวะที่เกิดขึ้นภายในร่างกายและอารมณ์ของตนเอง (Physiological and emotional states)

 

สภาวะทางร่างกายและอารมณ์ในทางลบส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของบุคคลเกี่ยวกับความสามารถของตนเองได้ กล่าวคือ บุคคลที่มีความเหนื่อยล้า มีความเครียด และอารมณ์ด้านลบ เช่น สับสนหรือวิตกกังกล มักจะขาดความสามารถในการบริหารจัดการงานต่าง ๆ ให้ประสบผลสำเร็จได้ และเมื่อทำงานนั้นแล้วก็ไม่สัมฤทธิ์ผล ยิ่งจะทำให้การรับรู้ความสามารถของตนเองในตัวบุคคลนั้นยิ่งลดต่ำลง ทำให้ขาดความเชื่อมั่น คิดว่าตนเองมีความสามารถไม่เพียงพอ เกิดความลังเลใจจนทำให้การตัดสินใจขาดประสิทธิภาพ หากบุคคลมีการจัดการกับความเครียดได้อย่างเหมาะสมรวมทั้งการปรับอารมณ์เชิงลบให้เป็นบวก จะช่วยให้บุคคลทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและประสบความสำเร็จในการทำงานนั้น ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้บุคคลเกิดการรับรู้ความสามารถของตนเองได้

 

 

 

นอกจากนั้นแล้ว การรับรู้ความสามารถของตนเองมีบทบาทสำคัญอย่างมากในงานด้านจิตวิทยาสุขภาพ (Health psychology) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและความใส่ใจต่อโภชนาการของคนเรารวมถึงอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ด้วย ปัจจุบันผู้ป่วยมักป่วยและเสียชีวิตจากโรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อ (Non-Communicable Diseases) เช่น มะเร็ง เบาหวาน ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากวิถีชีวิตและทำพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า งานวิจัยจำนวนมากพบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อสุขภาพเหล่านั้นให้ประสบความสำเร็จคือการรับรู้ความสามารถของตนเอง ดังนั้นการส่งเสริมให้บุคคลที่มีความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองในการทำพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ เช่น การเลิกพฤติกรรมสูบบุหรี่ การเลิกพฤติกรรมดื่มสุรา การออกกำลังกาย การควบคุมหรือลดน้ำหนักของตัวเอง การวางแผนการบริโภคอาหารที่ถูกสุขลักษณะ จะส่งผลให้บุคคลสุขภาพดีห่างไกลจากโรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อได้

 

 

ในย่อหน้าสุดท้ายของบทความเรื่อง การมองโลกในแง่ดี ที่ได้เผยแพร่ไปแล้วนั้น ผู้เขียนได้ทิ้งท้ายเอาไว้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างการมองโลกในแง่ดีกับการรับรู้ความสามารถของตนเองว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร กล่าวคือในปี 2011 มีการศึกษาวิจัยในกลุ่มพยาบาลในประเทศไต้หวันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของภาวะซึมเศร้า การรับรู้ความสามารถของตนเอง และการมองโลกในแง่ดี (Chang et al., 2011) ผลการวิจัยพบว่าการมองโลกในแง่ดีและการรับรู้ความสามารถของตนเองนั้นสามารถช่วยป้องกันภาวะซึมเศร้าได้อย่างมีนัยสำคัญ ในบริบทของการทำงาน มีงานวิจัยที่ศึกษาถึงการรับรู้ความสามารถของตนเองและการมองโลกในแง่ดีในฐานะตัวแปรทำนายความผูกพันต่อองค์กร (Organizational commitment) ของพนักงานธนาคาร (Akhter et al., 2012) พบว่าการรับรู้ความสามารถในตนเองและการมองโลกในแง่ดีมีความสัมพันธ์กันทางบวก นั่นคือเมื่อพนักงานมีการรับรู้ความสามารถของตนเองที่เพิ่มมากขึ้น การมองโลกในแง่ดีจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยหรืออีกนัยหนึ่งคือเมื่อพนักงานมองโลกในแง่ดีมากขึ้นย่อมรับรู้ถึงความสามารถในตนเองที่เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนั้น งานวิจัยศึกษาการรับรู้ความสามารถของตนเองในกลุ่มครู (Teacher self-efficacy ) และการมองโลกในแง่ดีในเชิงวิชาการเฉพาะบุคคล (Individual academic optimism) ในฐานะตัวแปรทำนายของการเรียนรู้อย่างมืออาชีพของครู (Teacher professional learning) กลุ่มตัวอย่างจำนวน 300 คนในจังหวัดคาราบัก (Karabuk) ประเทศตุรกี (Kılınç et al., 2021) ผลการศึกษานี้พบว่าตัวแปรทุกตัวมีความสัมพันธ์ต่อกันในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญ และการรับรู้ความสามารถของครูสามารถทำนายการมองโลกในแง่ดีเชิงวิชาการและการเรียนรู้อย่างมืออาชีพได้ในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกัน ผลการศึกษาช่วยสนับสนุนโมเดลเชิงโครงสร้างของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่นำมาศึกษาเพื่อแสวงหาแนวทางที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาอาชีพครูต่อไป

 

 

ในสถานการณ์ของโรคระบาด COVID-19 ที่คนทั้งโลกกำลังรับมืออยู่ มีงานวิจัยมากมายที่ศึกษาบทบาทของการรับรู้ความสามารถของตนเองในการรับมือวิกฤตโรคระบาด COVID-19 ดังกล่าว งานวิจัยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความสามารถของตนเอง ความวิตกกังวล (Anxiety) และการนอนที่ผิดปกติ (Sleep disorder) ของพยาบาลในช่วงการระบาดของโรค COVID-19 (Simonetti et al., 2021) ศึกษากับกลุ่มพยาบาล 1,005 คนจากหลายโรงพยาบาลในประเทศอิตาลี พบว่าพยาบาลมีปัญหาในการนอนหลับสูงมากถึงร้อยละ 71.40  มีความวิตกกังวลในระดับปานกลางร้อยละ 33.23 และมีความเชื่อในความสามารถของตนเองอยู่ในระดับต่ำร้อยละ 50.65 ผลการวิจัยพบสหสัมพันธ์ในทางบวกระหว่างความวิตกกังวลกับปัญหาคุณภาพการนอนหลับ และสหสัมพันธ์ในทางลบระหว่างการรับรู้ความเชื่อมั่นของตนเองกับความวิตกกังวลและความผิดปรกติของการนอนหลับด้วย ส่วนในประเทศจีนมีงานวิจัยที่เก็บข้อมูลจากบุคลากรผู้ให้บริการสาธารณสุขในชุมชน (Community mental health care workers) ในช่วงเดือนมีนาคมปี 2020 เพื่อศึกษาถึงความเครียดในการทำงาน (Occupational stress) สุขภาพจิต (Mental health) และการรับรู้ความสามารถของตนเอง (Sun et al., 2021) ผลการศึกษาพบว่าผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการประชาชนที่เป็นกลุ่มเฝ้าระวังในช่วงกักตัว จะมีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลที่สูงกว่าบุคลากรโดยทั่วไป และการได้รับการฝึกอบรมทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอารมณ์ทางบวกและการรับรู้ความสามารถของตนเองจะช่วยทำให้บุคคลมีความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองมากยิ่งขึ้น ผลกระทบที่เกิดจากความเครียดในงานที่สะสมเพิ่มมากขึ้นนั้นสามารถใช้เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยสนับสนุนการกำหนดหน้าที่ในการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ได้อย่างสมเหตุสมผลและช่วยป้องกันปัญหาด้านสุขภาพจิตของพนักงานได้

 

 

บทความเกี่ยวกับ HERO ที่ผ่านมาทั้ง 3 ตอนรวมทั้งบทความในตอนนี้ ได้แสดงให้เห็นว่า องค์ประกอบทั้ง 4 ด้านของทุนทางจิตวิทยา ได้แก่ ความสามารถในการฟื้นพลัง (Resilience) ความหวัง (Hope) การมองโลกในแง่ดี (Optimism) และ การรับรู้ความสามารถของตนเอง (Self-Efficacy) แต่ละองค์ประกอบล้วนมีความสำคัญ มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและยังเป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลช่วยส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวกอื่น ๆ ทั้งในบริบทของการทำงานหรือการดูแลสุขภาพ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยพบว่า คุณลักษณะทางจิตวิทยาทั้ง 4 ประการนี้ เมื่อนำมารวมกันเป็นทุนทางจิตวิทยาจะเป็นตัวแปรที่มีโครงสร้างในระดับที่สูงขึ้น (Higher order construct) มีความแม่นยำในการทำนายพฤติกรรมการทำงานหรือความพึงพอใจในการทำงานมากกว่าการวิเคราะห์โดยแยกองค์ประกอบทุนทางจิตวิทยาเป็นด้านย่อย ๆ (Avey et al. 2011)

 

อย่างไรก็ตาม ารดำรงรักษาไว้ซึ่งคุณลักษณะที่ดีทั้ง 4 ด้าน ทำให้เรามีต้นทุนจิตวิทยาที่ช่วยเราเตรียมความพร้อมที่จะเผชิญกับอุปสรรคหรือความทุกข์ร้อนใจที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละวัน การหมั่นพัฒนาและเสริมสร้างทุนทางจิตวิทยาในตนเองให้ครบถ้วนสมบูรณ์ได้มากที่สุดย่อมจะช่วยให้ชีวิตที่ถูกกระทบจากสถานการณ์แวดล้อมที่หลากหลายและไม่คาดฝันหรือเกิดขึ้นได้ในทุกระดับของความรุนแรง จะยังคงประคองชีวิตและจิตใจของตนเองให้ก้าวเดินต่อไปได้ แม้อาจจะซวนเซบ้างในช่วงเวลาหนึ่ง คงไม่นานจะกลับมาหยัดยืนและเป็น HERO ให้กับสมาชิกอันเป็นที่รักในครอบครัว ลูกน้องในสถานที่ทำงาน และหลายคนที่ยังอ่อนแอและอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากได้ต่อไป

 

 


 

 

 

รายการอ้างอิง

 

Akhter, S., Ghayas, S., & Adil, A. (2012). Self-efficacy and optimism as predictors of organizational commitment among bank employees. International Journal of Research Studies in Psychology, 2(2).

 

Avey, J.B., Reichard, R.J., Luthans, F., Mhatre, K.H. (2011) Meta-analysis of the impact of positive psychological capital on employee attitudes, behaviors, and performance. Hum Resour Dev Q 22(2):127–152

 

Bandura, A. (1994). Self-efficacy. In V. S. Ramachaudran (Ed.), Encyclopedia of human behavior (Vol. 4, pp. 71–81). New York: Academic Press. (Reprinted in Encyclopedia of mental health, by H. Friedman, Ed., 1998, San Diego: Academic Press.)

 

Caprara, G. V., & Cervone, D. (2003). A conception of personality for a psychology of human strengths: Personality as an agentic, self-regulating system. In L. G. Aspinwall & U. M. Staudinger (Eds.), A psychology of human strengths: Fundamental questions and future directions for a positive psychology (pp. 61–74). American Psychological Association.

 

Chang, Y., Wang, P. C., Li, H. H., & Liu, Y. C. (2011). Relations among depression, self-efficacy and optimism in a sample of nurses in Taiwan. Journal of Nursing Management, 19(6), 769–776.

 

Holmes EA, O’Connor RC, Perry VH, et al. (2020) Multidisciplinary research priorities for the COVID-19 pandemic: A call for action for men- tal health science. The Lancet Psychiatry 7(6): 547–560.

 

Kılınç, A. Ç., Polatcan, M., Atmaca, T., & Koşar, M. (2021). Teacher Self-Efficacy and Individual Academic Optimism as Predictors of Teacher Professional Learning: A Structural Equation Modeling. Egitim ve Bilim, 46(205), 373–394.

 

Odriozola-González P, Planchuelo-Gómez Á, Irurtia MJ, et al. (2020) Psychological symptoms of the outbreak of the COVID-19 confine- ment in Spain. Journal of Health Psychology. Epub ahead of print 30 October 2020.

 

Özkalp E. A New Dimension in organizational behavior: A positive (positive) approach and organizational behavior issues. Proceedings of 17th National Management and Organization Congress. 2009;491-498. Turkish.

 

Marcus, R. (2020, March 27). Opinion: These are the heroes of the coronavirus pandemic. The Washington Post. https://www.washingtonpost.com/opinions/2020/03/27/nurses-doctors-are-heroes-this-moment/

 

Rajkumar RP (2020) COVID-19 and mental health: A review of the existing literature. Asian Journal of Psychiatry 52: 102066.

 

Simonetti, V., Durante, A., Ambrosca, R., Arcadi, P., Graziano, G., Pucciarelli, G., Simeone, S., Vellone, E., Alvaro, R., & Cicolini, G. (2021). Anxiety, sleep disorders and self-efficacy among nurses during COVID-19 pandemic: A large cross-sectional study. Journal of Clinical Nursing, 30(9–10), 1360–1371.

 

Stajkovic, A. D., & Luthans, F. (1998). Self-Efficacy and Work-Related Performance: A Meta-Analysis. Psychological Bulletin, 124(2), 240–261.

 

Sun, Y., Song, H., Liu, H., Mao, F., Sun, X., & Cao, F. (2021). Occupational stress, mental health, and self-efficacy among community mental health workers: A cross-sectional study during COVID-19 pandemic. International Journal of Social Psychiatry, 67(6), 737–746.

 

World Health Organization (2020) Coronavirus disease 2019 (COVID-19) – Situation report 91.

 


 

 

บทความวิชาการ

 

โดย คุณพัลพงศ์ สุวรรณวาทิน

นิสิตดุษฎีบัณฑิต แขนงการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เรวดี วัฒฑกโกศล

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

East-West Center Online Seminar No.7 “Eating Disorders from a Health at Every Size Approach”

The East West Center x Wellness Center

Please come join us at the 7th online seminar.

 

“Eating Disorders from a Health at Every Size Approach”

 

 

 

By Jenna Daku, DPsych.

A psychotherapist and certified intuitive eating counsellor, and clinical director of Freedom To Be Therapy, UK.

 

Hosted by Panita Suavansri, DPsych, the director of Center for Psychological Wellness, Chulalongkorn.

 

 

Date & Time:

Thursday, 17 March 2022, at 8-9 pm (Thailand time GMT +7)

 

Registration is free at HERE

 

What will be discussed?

  • How eating disorders are defined and signs of eating disorders
  • Experiences working with clients who have eating disorders
  • Cultural issues relating to eating disorders

 


The event is presented by The East-West Psychological Science Research Center together with
the Center for Psychological Wellness, Chulalongkorn University.


 

Clip https://www.facebook.com/eastwestpsycu/videos/770174713984299/

 

ความงอกงามภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจ – Posttraumatic growth

 

 

 

ความงอกงามภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจ คือการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยาเชิงบวก ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการเผชิญภาวะวิกฤตที่สำคัญในชีวิต หรือการผ่านประสบการณ์ที่เจ็บปวด

 

โดยที่ภาวะวิกฤตดังกล่าวจะท้าทายความเข้าใจเกี่ยวกับโลกของบุคคล ความงอกงามดังกล่าวสามารถแสดงออกได้หลายรูปแบบ ได้แก่

 

    • การรู้ซึ้งในคุณค่าของการมีชีวิตอยู่
    • การมีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลที่มีความหมายมากขึ้น
    • การรับรู้ถึงพลังและความสามารถของตนเอง
    • การปรับเปลี่ยนการจัดลำดับความสำคัญของชีวิต
    • การมีแก่นหรือการมีจิตวิญญาณในตน

 

ความงอกงามดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกเพศทุกวัยที่เคยประสบเหตุการณ์เครียดในชีวิต แต่ความงอกงามจะไม่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อเวลาผ่านไป อาจต้องมีปัจจัยบางประการที่ส่งผลให้เกิดภาวะนี้ขึ้น เช่น การมีวิธีการจัดการกับปัญหาที่มีประสิทธิภาพ หรือการได้รับความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง รวมถึงการเข้ารับบริการปรึกษาเชิงจิตวิทยา ก็อาจเป็นปัจจัยอีกประการหนึ่งที่จะช่วยส่งผลให้บุคคลที่เผชิญกับเหตุการณ์เครียดในชีวิตเกิดความงอกงาม

 

 

องค์ประกอบของความงอกงามภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจ

 
1. การเปลี่ยนมุมมองการรับรู้ของตนเอง (Perceived changes in self)

 

บุคคลที่เผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจและก้าวผ่านเหตุการณ์นั้น ๆ มาได้ จะให้ข้อสรุปว่าตนเองเข้มแข็งมากขึ้น ก่อให้เกิดความมั่นใจในตนเอง ซึ่งจะขยายผลไปยังเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต รวมถึงเหตุการณ์สะเทือนใจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย บุคคลที่ก้าวผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจมาได้มักจะพึ่งพาตนเองได้เป็นอย่างดี การเปลี่ยนมุมมองการรับรู้ของตนเองแบ่งได้เป็น 2 องค์ประกอบย่อย คือ

 

1.1 การค้นพบความเข้มแข็งในตนเอง (Personal Strength) บุคคลตระหนักรู้ว่าเหตุการณ์ร้าย ๆ สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ตนเองก็สามารถรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน

 

1.2 การพบโอกาสใหม่ ๆ (New possibilities) การค้นพบทางเลือกใหม่หรือการได้เริ่มต้นเส้นทางใหม่ในชีวิต ซึ่งรวมถึงกิจกรรมและความสนใจใหม่ที่เกิดขึ้นจากความงอกงามด้วย

 

2. การเปลี่ยนการมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น (A changed sense of relationships with others)

 

การเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจส่งผลให้บุคคลเปิดเผยตนเองมากยิ่งขึ้น และการเปิดเผยตนเองจะช่วยให้บุคคลได้รับโอกาสในการทดลองพฤติกรรมใหม่ ๆ รวมถึงได้รับโอกาสในการรับความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมจากคนรอบข้าง การรับรู้ถึงภาวะเปราะบางของตนเองและผู้อื่นจะช่วยให้บุคคลเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกมากขึ้นและเกิดความเต็มใจที่จะรับความช่วยเหลือ การเปลี่ยนแปลงการมีสัมพันธภาพกับผู้อื่นมีหนึ่งองค์ประกอบย่อย คือ

 

2.1 การมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น (Relating to others) การเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ที่มีความหมายลึกซึ้งกับผู้อื่นมากขึ้น บุคคลรับรู้ถึงความใกล้ชิดและความเห็นอกเห็นใจซึ้งกันและกันจากคนรอบข้าง ซึ้งอาจเกิดขึ้นได้จากการมีประสบการณ์ร่วมกันกับผู้อื่น

 

3. การเปลี่ยนแปลงในแง่ของปรัชญาชีวิต (A changed philosophy of life)

 

ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณอาจถูกสั่นคลอนจากเหตุการณ์สะเทือนใจ ความพยายามต่อสู้เพื่อทำความเข้าใจเหตุการณ์สะเทือนใจจะส่งผลให้ความเชื่อเข้มแข็งขึ้น และเมื่อตระหนักรู้ถึงความหมายของเหตุการณ์สะเทือนใจนั้นแล้วจะเกิดการบรรเทาความทุกข์ทางอารมณ์ และนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงด้านปรัชญาชีวิตในที่สุด การเปลี่ยนแปลงในแง่ของปรัชญาชีวิตแบ่งเป็น 2 องค์ประกอบย่อย คือ

 

3.1 การชื่นชมยินดีในชีวิต (Appreciation of life) การตระหนักรู้คุณค่าในชีวิตของตนเองเพิ่มมากขึ้น บุคคลให้คุณค่าหรือความสำคัญกับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตใหม่ และรู้สึกขอบคุณในสิ่งที่ตนเองมี หรือสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น รอยยิ้มของของเด็ก หรือการใช้เวลาอยู่กับเด็กเล็ก ๆ เป็นต้น

 

3.2 การเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ (Spiritual change) การตระหนักรู้ความหมายในชีวิต บุคคลจะมีความพึงพอใจในชีวิตมากยิ่งขึ้นและเกิดการเปลี่ยนมุมมองทางจิตวิญญาณ เช่น การเข้าใจชีวิต หรือการมีความเชื่อทางศาสนาที่เพิ่มมากขึ้น เป็นต้น

 

 

 

คุณลักษณะของบุคคลกับความงอกงามภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจ

 

 

1. บุคลิกภาพของบุคคล (Personality characteristics)

 

การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความงอกงามภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจและบุคลิกภาพ 5 องค์ประกอบ พบว่า บุคคลที่มีบุคลิกภาพแบบเปิดเผย (Extraversion) และบุคลิกภาพแบบเปิดรับประสบการณ์ใหม่ (Openness to experience) มีความสัมพันธ์กับความงอกงามภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจในระดับปานกลาง นอกจากนี้ การมองโลกในแง่ดี (Optimism) ก็มีความสัมพันธ์กับความงอกงามภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจในระดับปานกลางเช่นกัน

 

2. การจัดการกับความทุกข์ใจ (Managing distressing emotions)

 

ภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจ บุคคลจะแสวงหาหนทางเพื่อรับมือกับความรู้สึกทุกข์ใจในช่วงแรก ส่งผลให้จิตใจอ่อนแอลง และกระบวนการทางความคิดที่หนักหน่วงจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ถ้ากระบวนการทางความคิดของบุคคลมีประสิทธิภาพจะช่วยให้เกิดการปรับเปลี่ยนมุมมองและเกิดการเข้าใจชีวิต ก่อให้เกิดประสบการณ์ความงอกงามภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจ ซึ่งกระบวนการทางความคิดดังกล่าวอาจใช้เวลานาน

 

3. การได้รับการสนับสนุนทางสังคมและการเปิดเผยตัวตน (Support and disclosure)

 

การได้รับการสนับสนุนจากผู้อื่นช่วยให้เกิดความงอกงามภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจได้มากขึ้น โดยเป็นวิธีการที่จะช่วยให้บุคคลได้ผสมผสานมุมมองใหม่ๆ กับกรอบแนวคิดทางความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงไป

 

 


 

 

รายการอ้างอิง

 

“ความสัมพันธ์ระหว่าง บุคลิกภาพ สัมพันธภาพในการปรึกษา และความงอกงามภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจ ในผู้ที่มีประสบการณ์รับบริการปรึกษาเชิงจิตวิทยา” โดย ชิชยะ ศรีชัยสวัสดิ์ (2560) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/60083

 

ภาพประกอบ http://www.freepik.com

Here to heal Online Workshop: Gratitude

“Gratitude” ชวนมาขอบคุณ ให้อบอุ่นหัวใจ

 

 

 

Here to heal ชวนคุณมาสร้างความสุขและพัฒนาความสัมพันธ์ผ่านความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณกับ Online Workshop ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

 

ในหัวข้อเรื่อง “Gratitude”
โดยวิทยากร ผศ. ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดี คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในวันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 2565 เวลา 13.00-15.00 น.

 

สามารถลงทะเบียนได้ที่ https://docs.google.com/…/1FAIpQLSeTGZ57JJ0ra4…/viewform
โดยทางทีมงานจะจัดส่งลิงก์ Zoom ให้ผู้ลงทะเบียนทุกท่านในวันศุกร์ที่ 18 เวลา 15.00 น. ผ่านทาง Email ที่ใช้ลงทะเบียนเข้าร่วม

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://lin.ee/P77s2bW
ในเวลาทำการ 10.00-22.00 น.

 


 

Workshop นี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ here to heal โดยคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ สสส.
เป็นโครงการให้บริการแชทพูดคุยกับนักจิตวิทยา ฟรี
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อผ่าน Line official หรือทางเพจเฟซบุ๊ก Here-to-Heal เพื่อนัดหมายเวลาพูดคุยได้เลยค่ะ

บริการให้คำปรึกษาผู้ปกครองด้านพัฒนาการ แบบรายบุคคล สำหรับเด็กอายุแรกเกิด – 6ปี

 

ศูนย์จิตวิทยาพัฒนาการและความสัมพันธ์ระหว่างวัย จุฬาฯ จัดโครงการให้คำปรึกษาผู้ปกครองด้านพัฒนาการ แบบรายบุคคล สำหรับเด็กอายุแรกเกิด – 6 ปี ผ่านโปรแกรม Zoom (online)

 

ให้คำปรึกษาด้านพัฒนาการ โดย นักจิตวิทยาพัฒนาการ ให้คำแนะนำด้านพัฒนาการ การปรับพฤติกรรม

ให้คำปรึกษา 45 นาที/ครั้ง

 

 

 

ติดต่อสอบถาม นัดหมาย/จองคิว ได้ทั้งช่องทาง Line @chulalifedi และ Inbox Page Life Di ค่ะ

จิตวิทยากับการพยากรณ์โชคชะตา

เหตุผลของคนดูดวง และบทบาทของนักพยากรณ์ในการช่วยเหลือด้านจิตใจ

 

 

 

 

: ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกนักพยากรณ์โชคชะตา 9 คน และผู้รับบริการ 7 คน โดยใช้แหล่งการพยากรณ์โชคชะตาหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร

 

ลักษณะของสัมพันธภาพในการพยากรณ์โชคชะตาเป็นแบบการให้คำปรึกษาแนะนำ (guidance) ซึ่งแตกต่างจากการปรึกษาเชิงจิตวิทยา (counseling) ที่มีสัมพันธภาพในเชิงบำบัด (therapeutic relationship) ทั้งนี้สัมพันธภาพในการพยากรณ์โชคชะตามีจุดเริ่มต้นจากความต้องการคำตอบจากการพยากรณ์โชคชะตาเป็นจุดประสงค์หลัก กล่าวคือ สาเหตุที่ผู้รับบริการเลือกเข้าหานักพยากรณ์โชคชะตาเพราะต้องการที่พึ่งทางใจในคราวทุกข์ ต้องการทราบอนาคตเพื่อลดความกังวล ต้องการเติมเต็มความมั่นใจในการตัดสินใจ หรือต้องการทราบแนวทางในการดำเนินชีวิต อีกทั้ง ยังต้องการหลีกเลี่ยงการถูกตีตรา ส่งผลให้ผู้รับบริการเลือกใช้การพยากรณ์โชคชะตาแทนการเข้าหานักจิตวิทยาหรือจิตวิทยา นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่ต้องการ “ลองของ” อีกด้วย

 

รูปแบบสัมพันธภาพในการพยากรณ์โชคชะตาที่พบเห็นในสังคมไทย มี 3 รูปแบบ คือ

 

  1. มีความสนิทสนมคุ้นเคยดุจญาติพี่น้อง ซึ่งเป็นรูปแบบที่เกิดจากการไปมาหาสู่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันบ่อยครั้ง
  2. เป็นที่พึ่งที่ปรึกษา เป็นรูปแบบภาวะการพึ่งพานักพยากรณ์ มองว่าเป็นผู้ชี้แนะแนวทางการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต
  3. เป็นเพียงผู้รับบริการ หรือคนแปลกหน้าที่ให้มาระบายปัญหาเท่านั้น

 

ไม่ว่าสัมพันธภาพจะอยู่ในรูปแบบใด ถ้าเป็นสัมพันธภาพที่ดีก็นำไปสู่การช่วยเหลือด้านจิตใจได้

ทั้งนี้ปัจจัยสู่สัมพันธภาพที่ดีในการพยากรณ์โชคชะตาประกอบด้วย

 

  • การพยากรณ์ที่แม่นยำ
  • การประพฤติตามจรรยาบรรณโหร (มีคุณธรรม จริงใจ ไม่ฉกฉวยผลประโยชน์)
  • การรักษาความลับของผู้รับบริการ
  • การเปิดใจยอมรับผู้รับบริการ ไม่ตัดสินถูกผิด ซึ่งผลที่เกิดจากการมีสัมพันธภาพที่ดีคือเกิดความไว้วางใจ เกิดศรัทธา ให้ความเคารพนับถือ ยินดีเปิดเผยเรื่องราว กลับมาใช้บริการอีก และแนะนำบอกต่อแก่ผู้อื่น

ทั้งนี้ในทางการปรึกษาเชิงจิตวิทยามองว่า ารที่ผู้รับบริการเกิดความไว้วางใจจนนำมาสู่การเปิดเผยเรื่องราวเป็นสิ่งสำคัญอันนำไปสู่การช่วยเหลือที่ตรงประเด็นและมีประสิทธิภาพ กระนั้น ในบางแง่มุมการเกิดความรู้สึกด้านลบเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ทั้งนี้การมีสัมพันธภาพที่มากหรือน้อยจนเกิดไป ไม่ไว้วางใจ หรือเกินขอบเขตที่เหมาะสม ย่อมไม่ส่งผลที่ดีต่อทั้งนักพยากรณ์โชคชะตาและผู้รับบริการ

.

 

 

กระบวนการช่วยเหลือด้านจิตใจของนักพยากรณ์โชคชะตา

 

 

 

 

ขั้นตอนในกระบวนการช่วยเหลือด้านจิตใจของนักพยากรณ์โชคชะตาเริ่มจากการสังเกตท่าทางของผู้รับบริการเพื่อประเมินความรู้สึกนึกคิด และวัดระดับอารมณ์ในการออกคำพยากรณ์ จากนั้นทำการพยากรณ์ตามหลักของศาสตร์ และในระหว่างการพยากรณ์จะมีการเปิดโอกาสให้ซักถามเพื่อเติมในส่วนที่ยังคงรู้สึกสงสัยหรือค้างคาใจเพื่อให้ผู้รับบริการขจัดความกังวลใจได้อย่างเต็มที่ และมักลงท้ายด้วยการเสนอแนะแนวทางการช่วยเหลือด้านจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่อิงบทฐานของความเชื่อในศาสตร์การพยากรณ์โชคชะตา

 

การให้คำปรึกษาของนักพยากรณ์โชคชะตาเป็นแบบการให้คำแนะนำและชี้นำทาง ซึ่งต่างจากจิตวิทยาการปรึกษาที่เป็นแบบไม่ชี้นำ ซึ่งการชี้นำนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้รับบริการเกิดการใคร่ครวญและตระหนักรู้ในตนเองอย่างแท้จริง ดังนั้นเมื่อผู้รับบริการเกิดปัญหาครั้งใหม่ ผู้รับบริการจะกลับมาใช้บริการกับนักพยากรณ์โชคชะตาอีก ในขณะที่การปรึกษาเชิงจิตวิทยามีวัตถุประสงค์ให้ผู้รับบริการเกิดปัญญาในการแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง และไม่จำเป็นต้องย้อนกลับมาปรึกษานักจิตวิทยาอีก

ทั้งนี้แนวทางการช่วยเหลือที่นักพยากรณ์โชคชะตามักเสนอแนะให้แก่ผู้รับบริการเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม ที่นักพยากรณ์โชคชะตาผู้นั้นยึดถืออยู่ กล่าวคือหากเป็นบุคคลที่นับถือพุทธศาสนาก็จะมีความเชื่อเรื่องกรรม และมองการพยากรณ์โชคชะตาเป็นศาสตร์ที่มีความเชื่อมโยงกับการกระทำในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ฉะนั้นแนวทางที่เสนอแนะจึงอยู่ในรูปของการให้กระทำดี สร้างบุญสร้างกุศลหรือให้ปฏิบัติธรรม หรือแม้แต่ในรายที่มีความเชื่อมั่นในศาสตร์การพยากรณ์โดยเฉพาะ ก็มักเสนอแนวทางการช่วยเหลือด้านจิตใจที่อิงกับดวงดาวทางโหราสาสตร์ เป็นต้น ดังนั้นหากผู้รับบริการที่ได้รับการเสนอแนะแนวทางจากนักพยากรณ์โชคชะตามีความเชื่อเช่นเดียวกัน ย่อมส่งผลให้ภาวะใจของผู้รับบริการมีความผ่อนคลายในเบื้องต้น

 

กลไกที่เกิดในกระบวนการช่วยเหลือด้านจิตใจด้วยการพยากรณ์โชคชะตา สามารถจัดเป็นผลที่เกิดขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม กล่าวคือการได้ระบายเรื่องราวปัญหา และการได้ทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าเป็นการเตรียมใจ เป็นผลพลอยได้จากการพยากรณ์โชคชะตา ซึ่งวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของผู้รับบริการ คือการต้องการทราบอนาคตโดยมีความเชื่อว่าการพยากรณ์โชคชะตาเป็นศาสตร์ที่สามารถให้คำตอบตนได้ นอกจากการได้ทราบคำตอบพร้อมแนวทางการแก้ไขแล้ว ความเชื่อมั่นใจอนาคตที่ได้จากคำพยากรณ์เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้รับบริการมีความหวังในการก้าวผ่านปัญหาหรืออุปสรรคที่ตนกำลังเผชิญ

 

 

จากข้อค้นพบที่ได้ทำให้เข้าใจมูลเหตุความต้องการของผู้รับบริการและกระบวนการช่วยเหลือด้านจิตใจที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ในการพยากรณ์โชคชะตา ดังนั้นในการปรึกษาเชิงจิตวิทยา หากนำความเข้าใจดังกล่าวไปใช้จะสามารถเข้าถึงผู้รับบริการได้กว้างขวางและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

 


 

 

 

รายการอ้างอิง

 

“การพยากรณ์โชคชะตาและกระบวนการช่วยเหลือด้านจิตใจ”

“Fortune telling and psychological helping process”

วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม.) สาขาวิชาจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2552)

โดย นางสาวเรวดี สกุลอาริยะ

ที่ปรึกษา ผศ. ดร.กรรณิการ์ นลราชสุวัจน์

วิทยานิพนธ์ฉบับเต็ม http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/17082

Here to heal Online Workshop: Resilience

“Resilience” รดน้ำภายใน ฟื้นใจ เติมพลัง

 

 

Here to heal ชวนคุณมาเรียนรู้การฟื้นคืนพลัง พร้อมลุกขึ้นอีกครั้งในวันที่ใจหมดแรง กับ Online Workshop ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

ในหัวข้อเรื่อง “Resilience”

 

โดยวิทยากร อ. ดร.พนิตา เสือวรรณศรี ประธานแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ในวันเสาร์ที่ 12 มี.ค. 2565  เวลา 10.00-12.00 น.

 

สามารถลงทะเบียนได้ที่ https://docs.google.com/…/1FAIpQLScG3NvMlLjG2J…/viewform
โดยทางทีมงานจะจัดส่งลิงก์ Zoom ให้ผู้ลงทะเบียนทุกท่านภายในเย็นวันศุกร์ที่ 11 ก่อนถึงเวลา Workshop ผ่านทาง Email

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://lin.ee/P77s2bW
ในเวลาทำการ 10.00-22.00 น.

 


 

 

Workshop นี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ here to heal โดยคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ สสส.
เป็นโครงการให้บริการแชทพูดคุยกับนักจิตวิทยา ฟรี
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อผ่าน Line official หรือทางเพจเฟซบุ๊ก Here-to-Heal เพื่อนัดหมายเวลาพูดคุยได้เลยค่ะ

ปัจจัยขัดขวางและปัจจัยเอื้อต่อการแสวงหาความช่วยเหลือของบุคคล

เคยบ้างไหมครับ ที่คุณรู้สึกเครียด มีปัญหาชีวิตต้องแบกรับ คุณอยากจะหาใครสักคนมาคอยปรึกษา แต่เมื่อปรึกษาแล้วคุณก็พบว่าคนที่คุณปรึกษานั้นไม่ได้เข้าใจปัญหาของคุณอย่างแท้จริง หรือคนที่คุณไปปรึกษานั้น ทำได้แค่รับฟังเรื่องราวของคุณอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ หรือมาเป็นที่ระบายเท่านั้น ไม่ได้ช่วยหาทางแก้ปัญหา ที่สำคัญ คุณอาจจะรู้สึกผิดหลังจากที่ได้ระบายเรื่องสำคัญกับเขาไป กลัวว่าความลับขอบคุณจะถูกแพร่งพราย

 

มีหลายคนในโลกที่เลือกจะเก็บความลับนั้นไว้กับตัว บอกใครไม่ได้ เคร่งเครียดอยู่คนเดียว จนนานวันเข้าปัญหาก็ยิ่งทับถมหนักขึ้นเรื่อย ๆ

 

 

ความจริง อาการเครียด โรคซึมเศร้า ความกังวลเล็ก ๆ น้อย เช่น เครียดเรื่องการเรียน การปรับตัว มีปัญหากับคนรอบข้าง ผิดหวังในความรัก สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่เราต้องเจออยู่ทุกวันไม่มากก็น้อย ถ้าเป็นปัญหาเล็ก ๆ เราก็สามารถแก้เองได้ แต่เมื่อปัญหามีความหนักหน่วงหรือถูกถาโถมเข้ามามากเกินไป ใจเราก็คงไม่ไหวใช่ไหมครับ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ถ้าได้รับหนทางแก้ไขแต่เนิ่น ๆ มันจะไม่ลุกลามใหญ่โต และยังช่วยให้การดำเนินชีวิตของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

 

แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะทราบดีว่าการไปรับการปรึกษาจากนักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตนั้นจะช่วยให้เขาสามารถคลายจากความทุกข์ใจได้ แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งที่เมื่อรู้ว่าตนเองมีปัญหาที่แก้ไม่ตก เครียด นอนไม่หลับ แต่ก็ลังเลที่จะไปปรึกษาผู้เชียวชาญ

 

 

ทำไมคนจึงทำเช่นนั้น?

 

สาเหตุหลัก ๆ ก็คือคนกลัวที่จะถูกคนอื่นมองว่าตัวเองมีปัญหา หรือกลายเป็นผู้ล้มเหลวในสายตาของผู้อื่น โดยเฉพาะสังคมไทยมักจะมีภาพเกี่ยวกับไปปรึกษาเรื่องปัญหาความเครียดกับแพทย์หรือนักจิตวิทยา ว่าจะต้องเป็นคนที่มีปัญหาหนักจริง ๆ ทำนองว่าเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง หรือเริ่มเพี้ยน ๆ หรือถ้าจะหมายถึงตัวแปรทางจิตวิทยาชนิดหนึ่งที่บ่งชี้ถึงสาเหตุได้ดี นั่นคือ ความกลัวการถูกประทับตราว่าด้อยค่าจากสังคม ขยายความหน่อยว่ามันหมายถึง การที่บุคคลกลัวว่าการไปพบผู้เชี่ยวชาญนั้นจะทำให้สังคมมองว่าตนผิดปกติ ตนไม่สมบูรณ์ มีปัญหาทางจิต กลัวถูกหาว่าเป็นคนบ้านั่นเอง ซึ่งความคิดเหล่านั้น ถือเป็นอุปสรรคปัญหาสำคัญที่กีดขวางการมาพบผู้เชี่ยวชาญ และทำให้ปัญหาทางสุขภาพจิตที่ตนเผชิญนั้นไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง

 

 

งานวิจัยในต่างประเทศเองก็พบว่าสังคมส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะรับรู้บุคคลที่มีอาการทางจิตในทางลบอยู่แล้ว และการแสวงหาความช่วยเหลือก็เป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงถึงการมีความเจ็บป่วยทางจิตได้ โดยงานวิจัยในอดีตพบว่าบุคคลที่ทำการแสวงหาความช่วยเหลือจากนักวิชาชีพมักจะถูกมองว่าเป็นคนที่มีอาการทางจิต และถูกรับรู้ในทางลบกว่าบุคคลที่ไม่แสวงหาความช่วยเหลือ และอย่างที่กล่าวไป ถ้าบุคคลตีตราพฤติกรรมการแสวงหาความช่วยเหลือว่าหมายถึงตนเองมีความอ่อนแอ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเองแล้ว บุคคลก็จะไม่แสวงหาความช่วยเหลือ ตรงกันข้าม ถ้าบุคคลตีตราพฤติกรรมการแสวงหาความช่วยเหลือว่าเป็นวิธีการที่ช่วยให้ตนเองสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มที่แล้ว บุคคลก็จะเต็มใจที่จะแสวงหาความช่วยเหลือมากขึ้น

 

ดังนั้นการจะแสวงหาความช่วยเหลือของบุคคลจึงขึ้นอยู่กับทัศนคติของเขาว่ามองการแสวงหาความช่วยเหลือในทางบวกหรือทางลบ ถ้ามองในทางลบเขาก็จะไม่แสวงหาความช่วยเหลือ ถ้าเขามองในทางบวกก็จะทำให้เขาตัดสินใจเข้ารับการช่วยเหลือ ซึ่งจะทำให้ความทุกข์ของเขาได้รับการจัดการได้อย่างทันท่วงที และทำให้เขาได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้โดยเร็ว

 

 

ปัจจัยที่ขัดขวางการแสวงหาความช่วยเหลือของบุคคล นอกจากจะเป็นเรื่องทัศนคติแล้วยังมีเรื่องเพศและอายุร่วมด้วย จากผลสำรวจที่ได้จากงานวิจัยพบว่า เพศหญิงเป็นเพศมีแนวโน้มที่จะแสวงหาความช่วยเหลือบ่อยกว่าเพศชาย ที่เป็นเช่นนี้ สาเหตุอาจเกิดจากจากการยึดบทบาททางเพศแบบดั้งเดิมของเพศชาย โดยบทบาททางเพศแบบดั้งเดิมนั้นจะคาดหวังว่าผู้ชายต้องเป็นเพศที่เข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ และเป็นผู้ที่สามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้ และจากบทบาททางเพศดังกล่าวก็ทำให้ผู้ชายไม่เข้ารับการแสวงหาความช่วยเหลือ ในขณะที่ผู้หญิงจะเลือกที่จะพึ่งพาผู้อื่นมากกว่า นอกจากนี้ อายุก็เป็นสิ่งสำคัญนะครับ จากการสำรวจพบว่าบุคคลที่มีอายุอยู่ในช่วง 20 ปี หรือบุคคลที่กำลังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยนั้น มีแนวโน้มที่จะแสวงหาความช่วยเหลือมากกว่าคนที่มีอายุในช่วงอื่น ๆ

 

 

จากข้างต้น อายุและเพศถือเป็นปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ทีนี้เรามาดูปัจจัยด้านสถานการณ์กันบ้างว่ามีส่วนด้วยหรือไม่

 

สำหรับปัจจัยด้านสถานการณ์ (situational factors) หรือสิ่งแวดล้อม พบว่าเป็นสิ่งที่ส่งผลให้บุคคลทำการแสวงหาความช่วยเหลือมากขึ้นหรือน้อยลงเช่นกัน ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่สำคัญ ๆ อย่างเช่น การกลัวว่าความลับของตนจะเปิดเผย ถ้าหากเรื่องที่ต้องการปรึกษานั้นเป็นเรื่องที่ผู้แสวงหาความช่วยเหลือต้องการเก็บไว้เป็นความลับกับตัว เขาย่อมไม่อยากให้ใครรู้ชื่อ นามสกุล หรือเห็นหน้าค่าตา ดังนั้นถ้าหากว่าหนทางที่จะเข้ารับการบรรเทาปัญหาในจิตใจเป็นไปอย่างลับ ๆ เช่น ให้โทรศัพท์ไปไปปรึกษากับนักจิตวิทยา หรือปรึกษาผ่านการเล่น msn กับนักจิตวิทยาก็จะช่วยให้คนกล้าที่จะแสวงหาความช่วยเหลือมากขึ้น

 

สิ่งที่เราควรจะกล่าวเพิ่มเติมก็คือ ปัจจัยด้านบุคลิกภาพ (personality factors) ซี่งส่งผลกระทบต่อการแสวงหาความช่วยเหลือของบุคคลเช่นกัน ถ้าบุคคลนั้นเป็นคนที่ขี้อายมาก ๆ จะไม่ค่อยกล้ามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ไม่คุ้นเคย โดยบุคคลที่ขี้อายนั้นต้องการที่จะทำให้ผู้อื่นประทับใจและรู้สึกดีกับตนเอง แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าเป็นการยากที่จะทำได้เนื่องจากพวกเขาไม่มั่นใจในสถานภาพของตนเอง ดังนั้นเมื่อบุคคลที่ขี้อายอยู่ต่อหน้าผู้อื่นนั้นก็จะแสดงออกโดยผ่านการควบคุมเป็นอย่างดี และพยายามหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นให้มากที่สุด เนื่องจากมองว่าการพูดคุยกับผู้คนในสังคม รวมไปถึงการแสวงหาความช่วยเหลือนั้นเป็นสิ่งที่ยากสำหรับพวกเขา ทำให้บุคคลเหล่านี้หลีกเลี่ยงที่จะแสวงหาความช่วยเหลือ

 

คุณผู้อ่านจะสังเกตได้ว่า คนขี้อายหรือคนที่เก็บตัวมักไม่ชอบการเปิดเผยตนเอง (self-disclosure) คนพวกนี้มักจะหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องส่วนตัวกับผู้คนรอบข้าง ไม่ชอบแสดงความรู้สึกหรือความอ่อนไหวทางอารมณ์ให้ใครเห็น เราจะเห็นคนพวกนี้เป็นคนเย็นชา ดูมีกำแพง ไม่ชอบเปิดใจ ไม่สนิทกับใครง่ายๆ หรือไม่สนิทกับใครเป็นพิเศษ ดูเงียบๆ มีอะไรไม่สบายใจก็ไม่บอกใคร ไม่พอใจอะไรก็เก็บไว้ ทำนองว่าเกรงใจนะครับ ซึ่งสังคมไทยมักจะคิดว่าบุคลิกแบบนี้เป็นบุคลิกที่ดี ถือว่าเรียบร้อย ถือว่ามีกาลเทศะ เพราะสังคมไทยมักจะชอบคนที่มีบุคลิกแบบปิดมากกว่าเปิด ซึ่งผมอยากจะให้คำแนะนำว่าลักษณะนิสัยหรือบุคลิกภาพแบบนั้น ไม่ใช่บุคลิกภาพที่สนับสนุนให้เกิดการมีสุขภาพจิตที่ดีครับ

 

ตามหลักการ คนที่กล้าเปิดเผย คนที่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตนเป็นอย่างดี และที่สำคัญคือกล้าบอกให้คนอื่นฟัง มีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพจิตดีกว่า โดยเฉพาะในการแสวงหาความช่วยเหลือทุกชนิด ผู้ที่เข้ารับการปรึกษามีความจำเป็นเปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับตนเองหรือปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่นะครับ การที่บุคคลสามารถตระหนักได้ถึงสภาวะภายในของตนเอง และสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกหรือสิ่งที่อยู่ในใจออกมาได้อย่างชัดเจนจะเป็นการดีต่อการให้ความช่วยเหลือของผู้เชี่ยวชาญ ทำให้หาทางช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องและตรงประเด็น

 

ที่กล่าวไปข้างต้น คงเห็นแล้วว่าการแสวงหาความช่วยเหลือกับการเปิดเผยตนเองนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกจากกันได้เลย คนที่มีการเปิดเผยตนเองมากกว่าก็มีแนวโน้มที่จะแสวงหาความช่วยเหลือมากกว่าคนที่มีการเปิดเผยตนเองน้อยกว่า

 

ดังนั้นการกล้าที่จะเปิดเผยตนเอง ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง โดยให้เป็นไปอย่างพอดี ๆ ให้สอดคล้องกับหลักกาลเทศะ และวัฒนธรรมไทย ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่านะครับ

 

 

เราจะมาว่าด้วยปัจจัยทางสังคมกันบ้าง

 

 

เคยสังเกตไหมครับ ว่าทำไมคนที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ หรือเป็นคนที่ถูกสังคมมองว่าเป็นผู้นำ เป็นคนที่ถูกจับตามองในสังคมมาก ๆ มักจะไม่ค่อยกล้าแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น หรือไม่ค่อยกล้ายอมรับความล้มเหลวของตนเอง

 

สิ่งเหล่านี้สามารถอธิบายได้ว่าเกิดจาก การเห็นคุณค่าในตนเอง และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ (self-esteem and achievement motivation) นั่นเอง หมายความว่าคนที่มีการเห็นคุณค่าในตนเองสูงนั้นจะต่อต้านการแสวงหาความช่วยเหลือเนื่องจากความเชื่อที่ว่าเขาควรที่จะแก้ปัญหาได้ทุกอย่างด้วยตัวเอง ดังนั้นการแสวงหาความช่วยเหลือก็เหมือนกับเป็นการยอมรับว่าตนเองไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง และจะทำให้สูญเสียการรับรู้คุณค่าในตนเอง แต่ในทางกลับกันคนที่มีการรับรู้คุณค่าในตนเองต่ำก็จะรับรู้ว่าตนเองไม่มีความสามารถพอที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นการแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่นจึงไม่ทำให้บุคคลสูญเสียการรับรู้คุณค่าในตนเองลงไปอีก

 

เช่นกัน ในคนที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูง หมายถึง บุคคลมีความตั้งใจที่จะเอาชนะปัญหาได้อย่างดีและด้วยความสามารถของตนเองเพียงผู้เดียว ก็จะทำให้บุคคลที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์นั้นไม่ค่อยแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่นมากนัก เพราะเขามักจะมีความคิดว่าเรื่องง่าย ๆ แค่นี้ เขาจัดการเองได้ ไม่เห็นต้องไปพึ่งคนอื่นเลย อย่างเขาไม่จำเป็นต้องไปเข้าพบนักจิตวิทยาหรอก จะเป็นเรื่องศักดิ์ศรีหรืออะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่เราต้องยอมรับกันก็คือ คนทุกคน ไม่ว่าจะรวยหรือจน ฉลาดหรือไม่ฉลาด ทุกคนล้วนมีสิทธิ์ที่จะมีปัญหาสุขภาพจิตเท่าเทียมกัน

 

ดังนั้นถ้าหากบุคคลมีต้นทุนทางสังคมสูง มีหน้าที่มากมาย มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่หนักเอาการ การบำรุงรักษาร่างกายและจิตใจให้มีความพร้อมเต็มที่เสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะถ้าร่างกายและจิตใจของคุณล้มครืนเมื่อไร คนที่ประสบปัญหาไม่ใช่คุณคนเดียว แต่หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใต้ความรับผิดชอบของคุณ ทำนองว่า ต้นทุนทางสังคมสูง ความเสี่ยงสูง นั่นเอง ดังนั้นการหมั่นตรวจสอบสุขภาพกายใจเนือง ๆ ว่าตอนนี้คุณไหวไหม ท้อไหม เครียดเกินไปไหม เรียนรู้ที่จะหาทางระบายออกซึ่งปัญหาและความเครียดโดยการแสวงหาคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญบ้าง จึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวคุณและสังคมที่คุณเป็นคนขับเคลื่อนอยู่ด้วย

 

ที่ผ่านมาเราพูดกันถึงแต่ปัจจัยที่เกิดจากตัวบุคคลผู้แสวงหาความช่วยเหลือกันมามาก ทีนี้ผมขอกล่าวถึงปัจจัยของผู้ให้การช่วยเหลือบ้างดีกว่า เป็นที่แน่นอนว่าบุคคลย่อมต้องการที่จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้ให้ความช่วยเหลือที่มีความสามารถ และมีความเชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาที่ตนเองกำลังประสบ งานวิจัยพบว่าบุคคลที่มารับความช่วยเหลือนั้นจะให้ความสำคัญกับความชำนาญ และความน่าไว้วางใจของผู้ให้ความช่วยเหลือ ความสามารถของผู้ให้ความช่วยเหลือ (helper’s ability) จึงถือเป็นสิ่งสำคัญ

 

นอกจากนี้ จรรยาบรรณในการรักษาความลับของผู้ให้ความช่วยเหลือก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่งชีพ เป็นเหมือนตราสัญลักษณ์ประจำกายที่นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญต้องยึดไว้ ราวกับว่าถ้าสูญเสียมันไปเราก็ไม่อาจเรียกตนเองว่าเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือได้อีกต่อไป งานวิจัยในภายหลังยังพบว่าผู้ให้ความช่วยเหลือที่มีความสามารถในการสื่อสาร ความเข้าใจ และการไม่ตัดสินหรือตำหนิผู้รับบริการในทางศีลธรรมนั้นจะประสบความสำเร็จในการเชิญชวนให้ผู้รับบริการเข้ามารับการปรึกษา ตัดสินใจอยู่ในกระบวนการให้การปรึกษาต่อไป และประสบความสำเร็จในการรับบริการ

 

 

ผมขอฝากคำแนะว่าการแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้ให้ความช่วยเหลือ บุคคลควรเลือกผู้ที่มีความเชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี วิธีดูก็ง่าย ๆ คือผู้ให้ความช่วยเหลือนั้นควรจะต้องได้รับการยอมรับหรือได้รับการรับรองจากสถาบันต่าง ๆ มาเป็นเวลานานพอสมควร ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่บุคคลผู้ต้องการแสวงหาความช่วยเหลือ ควรคำนึงไว้ ก่อนเข้ารับการช่วยเหลือนะครับ

 

ทางคณะจิตวิทยาของเรามีการให้บริการให้คำปรึกษาสำหรับบุคคลทั่วไป ผมขอให้ข้อมูลเผื่อไว้สำหรับคนที่ต้องการใช้บริการนะครับ ว่าสามารถติดต่อไปได้ที่ ศูนย์สุขภาวะทางจิต เปิดให้บริการโดยนักจิตวิทยาและคณาจารย์ของคณะจิตวิทยา ณ ชั้น 5 อาคารบรมราชชนนีศรีศตพรรษ โดยมีเวลาทำการตั้งแต่ 9.00 น. – 17.00 น. ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ (เว้นวันหยุดราชการ) สามารถติดต่อนัดหมายหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-218-1171 หรือ ในช่วงที่มีการปิดสถานที่ทำการ สามารถติดต่อได้ที่ 061-736-2859 หรือ Inbox FB: ศูนย์สุขภาวะทางจิต

 

สุดท้ายนี้ผมขอกระตุ้นเตือนบุคคลทั่วไป โดยเฉพาะในบุคคลที่เป็นผู้นำครอบครัวทั้งหลายให้หมั่นประเมินปัญหาที่ตนเองกำลังประสบว่ารับมือไหวหรือไม่ ถ้ารับมือไม่ไหว อยากให้พิจารณาการแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญไว้เป็นทางเลือกหนึ่ง อย่างที่เราได้เคยเน้นย้ำกันไปแล้วนะครับว่า การสูญเสียความสามารถในการดูแลตนเองของเขา อาจส่งผลสะเทือนไปถึงคนรักหรือคนรอบข้าง ในสังคมไทยที่เราต้องเลี้ยงดูบุพการีและอยู่ใกล้ชิดกับบุพการีมากกว่าในสังคมอื่น ๆ ถ้าเราเป็นอะไรไปคนหนึ่ง ไม่เพียงแค่ลูกและภรรยาของเราเท่านั้น แต่พ่อแม่ของเราก็จะลำบากไปด้วย บุคคลจึงควรมีการประเมินความคุกคามของปัญหาที่บุคคลประสบ ว่าเป็นสิ่งที่อาจกระทบต่อคนในครอบครัวหรือไม่ ถ้าปัญหานั้นกระทบต่อคนรอบข้าง บุคคลก็จะควรทำการแสวงหาความช่วยเหลือ ดีกว่าเพิกเฉย และปล่อยให้ปัญหาบานปลายออกไปนะครับ

 

 


 

 

รายการอ้างอิง

 

ภาพประกอบจาก https://www.freepik.com/senivpetro

 

บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz

โดย อาจารย์ธนวัต ปุณยกนก

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย