ข่าวและกิจกรรม

เราต่างมีเงื่อนไขในคุณค่าและความรัก

 

หลายคนคงเคยได้ยินเพลงสุดฮิต Unconditionally ของศิลปินสาว Katy Perry ในปี ค.ศ. 2013 หรือคำกล่าวสุดโรแมนติกที่ว่า I will love you unconditionally หรือความรักที่ดีควรเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เวลาฟังเพลงนี้ผมมักเกิดคำถามว่าเราสามารถรักคนอื่นอย่างไม่มีเงื่อนไขได้จริงหรือ? นำมาสู่คำถามหลักของบทความนี้คือ

 

 

แท้จริงแล้วมีเงื่อนไขอะไรบ้างที่เราต้องทำเพื่อให้ได้มาซึ่งความรัก?

 

ใครที่อยู่วงการจิตวิทยาการปรึกษาและจิตบำบัดในแนวคิด Person-Centred ของ Rogers อาจจะคุ้นเคยกับคำว่า Condition of worth หรือภาวะของการมีคุณค่า ความหมายจริง ๆ ของคำนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อนและซับซ้อน แต่ถ้าจะแปลตรงตัว ก็คือ เงื่อนไข ของ การมีค่า เราจะมีค่าเมื่อทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งตามเงื่อนไขที่ถูกกำหนดไว้ ตัวอย่างที่มักถูกยกในบทความจิตวิทยาการปรึกษาคือ “เด็กผู้ชายถูกสอนว่าไม่ควรร้องไห้ หรือแสดงความอ่อนแอ หรือเด็กหญิงควรเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ นักเรียนที่ดีต้องไม่เถียงผู้ใหญ่หรือครูบาอาจารย์ เป็นต้น”

 

ในประโยคเหล่านี้ มันมีเงื่อนไขซุกซ่อนอยู่เสมอ กับคำถามที่ว่าถ้าเราทำสิ่งที่ตรงข้ามกับเงื่อนไขเหล่านี้ เราจะยังได้รับความรัก ได้รับคุณค่า การดูแลเอาใจใส่หรือไม่ เงื่อนไขเหล่านี้มักติดตัวกับเรามาตั้งแต่เด็ก เมื่อครั้งเรายังเป็นเด็กเล็กๆ เราจำต้องอาศัยผู้อื่นในการอยู่รอดเพราะยังไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ มนุษย์ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการความรักและความสัมพันธ์ เป็นที่ถูกรักและได้รักผู้อื่น3 สำหรับเด็กแล้ว พ่อแม่ก็เหมือนโลกทั้งใบของพวกเขา หากเด็ก ๆ ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของพ่อแม่ ชีวิตก็คงลำบากไม่น้อยเลย ซึ่งผู้ให้ข้อมูลเงื่อนไขนี้ก็คือคนสำคัญในชีวิต อาทิ พ่อแม่ ครอบครัว หรือแม้กระทั่งสังคมและวัฒนธรรมที่โอบล้อมชีวิตของเราไว้นั่นเอง

 

 

เงื่อนไขเหล่านี้สำคัญกับตัวเราอย่างไร

 

ศัพท์จิตวิทยาจะใช้คำว่า Introjection หมายถึง ข้อมูลจากประโยคและเงื่อนไขเหล่านี้จะผนวก ซึมซับเข้าไปภายในตัวเรา บ่มเพาะและสร้างเป็นตัวตนของเราขึ้นมาว่า เราคือใคร เราเป็นคนอย่างไร อะไรคือสิ่งที่เราควรทำ (should) หรือต้องทำ (ought) เช่น ฉันเป็นผู้ชายต้องไม่แสดงความอ่อนแอ ฉันไม่ควรโกรธและทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น ฉันต้องสุภาพเรียบร้อย ผู้หญิงเอเชียต้องอดทนและไม่โต้ตอบ (Passive) ฉันต้องดูแลคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ หรือฉันเป็นเด็กเรียนต้องได้เกรดดี ๆ เป็นต้น1

 

เมื่อมีควร ก็ต้องมีไม่ควร ดังนั้นผลที่ตามมาของเงื่อนไขคือ คนเรามักจะปฏิเสธ ละเลย (neglect) หรือเลือกที่จะเงียบเสียง (silence) สิ่งที่เรารู้ว่าคนรอบข้างของเราไม่ยอมรับ ตัวอย่างเช่น ผู้ชายเมื่อรู้สึกกลัว เสียใจอาจเลือกปฏิเสธความรู้สึกที่มี ปฏิเสธความโกรธของตัวเองเมื่อมีคนอื่นมาเอาเปรียบ2 ซึ่งสิ่งที่ปฏิเสธเหล่านี้ แท้จริงแล้วมันก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของตัวเราเช่นกัน ทั้งความโกรธ กลัว โมโห อิจฉา หรือขี้เกียจ

 

อย่างไรก็ตามบทความนี้ ไม่ได้มุ่งหวังให้เราต้องขจัดเงื่อนไขทั้งหมดในตัวเรา เพราะทุกคนต่างมีเงื่อนไข เงื่อนไขคือส่วนหนึ่งของตัวเราเสมอ แต่เป้าประสงค์หลักคือการกลับมาลองสำรวจตัวเราเองว่า ในความสัมพันธ์ระหว่างกับพ่อแม่ เพื่อนหรือคนรัก หรือกระทั่งกับสังคมที่อยู่ เรามีเงื่อนไขอะไรบ้างในตัวของเราเอง แล้วลองพิจารณาว่าเงื่อนไขต่าง ๆ นั้น อันไหนสำคัญและจำเป็น หรือเงื่อนไขไหนที่มันบั่นทอนจิตใจตัวเรา ตึงเกินไป จนเป็นโทษมากกว่าคุณ หรือทำให้เรารู้สึกทุกข์ และไม่มีความสุขในชีวิต

 

ทั้งนี้ เมื่อเศร้าหรือทุกข์ใจ นอกจากปรึกษาเพื่อหรือคนใกล้ตัวแล้ว การได้พูดคุยกับนักจิตวิทยาการปรึกษาและจิตบำบัดก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเยียวยาจิตใจ และอาจช่วยสำรวจเงื่อนไขในชีวิตของเราด้วยเช่นกัน

 

 

 

บทความนี้อยากฝากผู้อ่านได้คิดอีกแง่ว่า คนเราเป็นผู้ได้รับเงื่อนไขจากคนสำคัญในชีวิตเราตั้งแต่เด็ก แต่เราก็อย่าลืมว่าเราเองก็อาจเป็นผู้วางเงื่อนไขคุณค่ากับผู้อื่น ทั้งเพื่อน คนรัก หรือกับลูกหลานของเราเองด้วยไม่มากก็น้อยเช่นกัน

 

เราอาจรัก ถูกรัก ให้ค่าและถูกให้ค่า อย่างมีเงื่อนไข แต่หวังว่าบทความนี้จะสะกิดให้เราเห็นกลไกเล็ก ๆ ของเงื่อนไขที่เรามีให้กันอยู่เสมอ เห็นมัน เข้าใจมันอย่างเท่าทันมากขึ้นครับ

 

 


 

 

รายการอ้างอิง

 

1. Chandler, Khatidja. 2005. “From Disconnection to Connection: ‘Race’, Gender and the Politics of Therapy.” British Journal of Guidance and Counselling 33(2), 239-56.

 

2. Stephenson, Margaret. 2012. “Finding Fairbairn-Discovery and Exploration of the Work of Ronald Fairbairn.” Psychodynamic Practice 18(4), 465-70.

 

3. Watson, Jeanne C. 2011. “The Process of Growth and Transformation: Extending the Process Model.” Person-Centered & Experiential Psychotherapies 10(1), 11-27. https://doi.org/10.1080/14779757.2011.564760

 

ภาพประกอบ https://www.annelauremaison.com/

 


 

 

บทความวิชาการ

โดย อาจารย์ภาณุ สหัสสานนท์

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา

คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ทำอย่างไร…เมื่อเส้นแบ่งในชีวิตไม่ชัดเจน

ในช่วงเดือนที่ผ่านมานี้เริ่มได้ยินคนรอบข้างและในหน้าสื่อต่าง ๆ พูดถึงภาวะที่ผู้คนรู้สึกเบื่อหน่ายในการทำงาน บ้างก็พูดว่า ช่วงนี้คิดอะไรไม่ค่อยออก สิ่งที่ทำไม่สนุกเหมือนเดิม หาเป้าหมายในการทำงานไม่เจอยาวจนไปถึงอยากลาออกและรู้สึกสูญเสียช่วงเวลาสำคัญของชีวิตไป

 

เสียงสะท้อนเหล่านี้ไม่ใช่ประโยคแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นในสังคม เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นสิ่งที่เราจะได้ยินกันบ้างในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตแต่ละคน เช่น ช่วงเวลาที่เราเจออุปสรรคยากลำบาก ช่วงเวลาของการตัดสินใจเรื่องสำคัญและมีความรู้สึกสับสน แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่เราต่างต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นความวิตกกังวลเรื่องสุขภาพ (Health Anxiety) การทำงานแบบ work from home เป็นระยะเวลานาน การที่พ่อแม่ต้องเรียนออนไลน์ไปพร้อมกับลูก การที่นักเรียน/นิสิต/นักศึกษาต้องเรียนผ่านออนไลน์อย่างเดียว ทำให้ขาดกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะและประสบการณ์อื่น ๆ ในชีวิต ประโยคเหล่านี้จึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกิดเป็นความรู้สึกร่วมของหลาย ๆ คน ภาวะของเส้นแบ่งในชีวิตที่ไม่ชัดเจนนี้ทำให้เกิดความรู้สึกหนักใจอยู่ตลอดเวลา (Overwhelm)

 

เส้นแบ่งที่ไม่ชัดเจนส่งผลกระทบต่อจิตใจโดยตรง ด้วยสถานการณ์ที่เราเผชิญทำให้เราไม่สามารถแบ่งพื้นที่ต่าง ๆ ในชีวิตได้ ทุกกิจกรรมจะถูกรวมไว้อยู่ในสถานที่เดียว หากนึกภาพว่าเตียงนอนกับโต๊ะทำงานอยู่ห่างกันเพียงสองเก้า เวลาทำงานและเวลาพักผ่อนปะปนกัน เริ่มทำงานเก้าโมงและยาวไปจนถึงสามทุ่ม หรือแม้กระทั่งกระทบกับวันหยุด แม้แต่เป้าหมายในชีวิตที่เคยตั้งไว้ก็ถูกเลื่อนออกไปแบบไม่เห็นทิศทาง และหลาย ๆ ครั้งมักจมอยู่กับความคิดที่ว่า “ฉันทำได้ดีพอหรือยัง” หากมองตามแล้ว จะเห็นภาพว่าทุกอย่างที่เล่ามานี้เต็มไปด้วยการปะปนจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ หรือเรียกได้ว่าไม่สามารถรักษาสมดุล (Balance) ได้นั่นเอง และเมื่อเราไม่สามารถรักษาสมดุลได้ ทั้งเรื่องการทำงาน ชีวิตส่วนตัว ความสัมพันธ์ก็จะกระทบวนกันไปมา เกิดเป็นความวิตกกังวล ความเครียด จนส่งผลให้เกิดภาวะหมดไฟ

 

 

มีการศึกษาเรื่องภาวะหมดไฟ (Burnout) ว่า เป็นภาวะที่เกิดจากความรู้สึกเครียด เหนื่อยล้าทางร่างกายและ อารมณ์เป็นระยะเวลานานและไม่สามารถรับมือได้ ภาวะ Burnout ส่งผลให้รู้สึกว่าตนเองไร้ความสามารถและ หมดแรงจูงใจ มากไปกว่านั้นยังส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้า (Depression) ได้ บทความนี้จึงอยากชวนทุกคนมาร่วม สำรวจภาวะเหนื่อยล้าในใจ และออกแบบเส้นแบ่งชีวิตของตัวเรากันค่ะ

 

1. สังเกตผ่านร่างกาย

เริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายว่าช่วงนี้มีอาการใจเต้นเร็ว กระวนวาย หรือเหนื่อยง่ายหรือไม่

 

2. สังเกตผ่านพฤติกรรม

สังเกตการนอน รับประทานอาหารของตนเองว่ามีปริมาณมากหรือน้อยกว่าปกติหรือไม่ มีการหลีกเลี่ยง การเจอผู้คนโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน

 

3. สังเกตผ่านอารมณ์

รู้สึกเบื่อหน่าย เศร้า รู้สึกสิ้นหวัง หงุดหงิด ไม่มีแรงจูงใจอยู่บ่อย ๆ

 

4. สังเกตผ่านความสัมพันธ์

ช่วงนี้ทะลาะกับคนใกล้ตัวบ่อยมากขึ้น มองแต่จุดบกพร่องของตัวเองหรือของคนอื่นบ่อย ๆ

การสังเกตข้างต้นไม่ใช่เพื่อการวินิจฉัยหรือตัดสิน แต่เป็นการสังเกตเพื่อให้เราสามารถเท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงและสามารถหาแนวทางรับมือต่อไป

 

 

อย่างที่เราคุยกันไปข้างต้นว่า การที่เรามีเส้นแบ่งในชีวิตที่ไม่ชัดเจน หลายครั้งก็ส่งผลให้เรารู้สึกเหนื่อยล้าจนเกินกำลัง การป้องกันและสร้างแนวทางการดูแลตนเองเบื้องต้นจึงเริ่มต้นจากการจัดสรรเส้นชีวิตใหม่ (Set boundaries) ไม่ว่าเราจะมีข้อจำกัด หรือเงื่อนไขในชีวิตที่แตกต่าง เราก็สามารถดูแลตนเองในรูปแบบของตัวเรา โดยมีแนวทางคร่าว ๆ ดังนี้

 

1. การจัดสรรพื้นที่

การจัดสรรพื้นที่อย่างเหมาะสม เช่น การแบ่งพื้นที่ระหว่างพื้นที่ทำงานและพื้นที่พักผ่อน แม้เราจะมีข้อจำกัด เรื่องขนาดที่อยู่อาศัย เราสามารถแบ่งพื้นที่ได้สองแบบ คือ ทางกายภาพ เช่น แยกโต๊ะทำงานและเตียงนอน ให้ชัดเจน หรือแบ่งทางความคิด คือ ฉันจะทำงานก็ต่อเมื่อนั่งโต๊ะตรงนี้เท่านั้น การแบ่งอย่างชัดเจนนี้จะช่วยให้ตัวเราจดจำและมีการตอบสนองต่อพื้นที่นั้นได้ชัดเจนด้วย

 

2. การจัดสรรเวลา

ในการทำงาน เราสามารถตั้งเวลาการทำงานให้เป็นไปตามเวลางานปกติ ในฐานะหัวหน้างานควรมีการสื่อสาร เรื่องเวลางานและปริมาณงานที่ชัดเจน ในฐานะพ่อแม่ แบ่งเวลาทำงานกับเวลาที่ช่วยลูกเรียนออนไลน์ และแบ่งเวลาให้กับการพักผ่อนของตนเอง เช่น การทานอาหาร การดูภาพยนตร์ ฟังเพลงหรืออ่านหนังสือที่สนใจ

 

3. การตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ

ในช่วงเวลาที่เราอยู่กับภาวะเดิมเป็นระยะเวลานาน การมองเป้าหมายระยะไกลเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก เราสามารถลดความกดดันเหล่านั้นได้โดยการกำหนดเป้าหมายระยะใกล้ที่สามารถทำได้ เพื่อสร้างกำลังใจ และลดทอนการตำหนิตัวเอง

 

4. การดูแลตนเองในด้านต่าง ๆ (Self-Care)

การดูแลตนเอง (Self-Care) เป็นเรื่องพื้นฐานที่เราสามารถทำให้ตนเอง เปรียบเสมือนเราเป็นเพื่อนที่ดีของ ตนเอง สามารถทำได้โดยการรักษาสุขภาพกายให้แข็งแรง ทำกิจกรรมที่ส่งเสริมอารมณ์ทางบวก เช่น การพักผ่อน การสื่อสารกับคนที่ไว้วางใจ การดูแลซึ่งกันและกันเพื่อเติมเต็มความสัมพันธ์

 

5. มีความยืดหยุ่น

การทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าอาจจะมีสาเหตุหรือปัจจัยหลายด้าน และบางครั้งปัญหาอาจจะอยู่นอกหนือการควบคุมของเรา การมองเช่นนี้จะช่วยให้เราสามารถแบ่งแนวทางในการปัญหาให้ชัดเจนขึ้น ลดการตำหนิตนเอง และทำให้เราเข้าใจภาพรวมของสถานการณ์ที่เราเผชิญมากขึ้น

 

 

แนวทางเหล่านี้เป็นแนวทางที่เราสามารถเลือกปรับใช้ให้เหมาะสมกับรูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล แต่หากเราเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ชัดเจน การขอความช่วยเหลือ การปรึกษากับคนใกล้ตัวหรือผู้เชี่ยวชาญ ก็เป็นอีกทางเลือกที่แนะนำค่ะ

 


 

 

รายการอ้างอิง

 

Cordes, C. L., & Dougherty, T. W. (1993). A review and an integration of research on job burnout. Academy of management review, 18(4), 621-656.

 

Lee, R. T., & Ashforth, B. E. (1996). A meta-analytic examination of the correlates of the three dimensions of job burnout. Journal of applied Psychology, 81(2), 123.

 

Maslach, C., & Leiter, M. P. (2006). Burnout. Stress and quality of working life: Current perspectives in occupational health, 37, 42–49. Information Age Publishing (IAP).

 

https://psychology.berkeley.edu/people/christina-maslach

 

 


 

 

บทความวิชาการ

โดย คุณวรกัญ รัตนพันธ์

นักจิตวิทยาการปรึกษา ศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในโลกออนไลน์ ทำไมเราถึงใจร้ายกับคนไม่รู้จัก

 

ท่านที่ท่องอยู่ในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะผ่านแพลตฟอร์มใดก็ตาม น่าจะรู้สึกเหมือนกันว่าเดี๋ยวนี้คนเราพูดจา (พิมพ์) ถึงกันแบบรักษาน้ำใจกันน้อยลง ในการเจอกันแบบต่อหน้านั้น โดยทั่วไปเราจะพยายามรักษามารยาทหรือรู้สึกเกรงใจโดยเฉพาะกับคนไม่รู้จัก แต่ในโลกออนไลน์กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม ถ้อยคำร้ายแรงเชือดเฉือนหรือตัดสินถูกผิดไปก่อนเกิดขึ้นได้โดยง่าย ทั้งที่มีการใช้กฎหมายหมิ่นประมาทหรือพรบ.คอมพิวเตอร์ฯ มาเป็นกรณีตัวอย่างอยู่เรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้หยุดยั้งการทำร้ายกันด้วยวาจาในภาพรวม

 

ความนิรนาม (anonymity) หรือ การไม่สามารถระบุตัวตนของบุคคลได้ เป็นปัจจัยที่เอื้อต่อความก้าวร้าวทางไซเบอร์ การซ่อนตัวตนอยู่ภายใต้ชื่อหรือรูปภาพอื่นทำให้บุคคลกล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้น ความหวั่นประเมินลดลง ดังการทดลองจำนวนมากทางจิตวิทยาที่ยืนยันว่ายิ่งระบุตัวตนน้อยเท่าไร อิสระในการแสดงพฤติกรรมโดยไม่ต้องคำนึงถึงกรอบทางสังคม ความคาดหวัง ความเหมาะสม หรือค่านิยมทางสังคม ยิ่งมีมากขึ้น

อย่างไรก็ดี แม้แอคเคาท์ที่ใช้ในการแสดงความคิดเห็นจะเป็นชื่อและรูปภาพของบุคคลก็ตาม แต่ความไม่รู้จักกันในชีวิตจริงก็ลดความวิตกกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง หรือความรับผิดชอบตนเองลงได้

 

นอกจากนี้ ในการทดลองสุดคลาสสิคของ Milgram (,E) เรื่องการช็อคไฟฟ้าใส่หน้าม้าของการทดลองเพื่อวัดระดับว่าคนเราจะเชื่อฟังผู้มีอำนาจจนถึงขั้นทำร้ายคนอื่นได้มากแค่ไหน ในการทดลองดังกล่าวนอกจากจะได้ทราบว่าคนเราสามารถเชื่อฟังจนถึงขั้นทำร้ายคนอื่นในระดับที่อันตรายต่อชีวิตได้แล้ว เรายังพบอีกว่า การแยกเหยื่อให้อยู่อีกห้อง ทำให้มองไม่เห็นกัน รับรู้เพียงแค่เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเหยื่อ หรือเสียงที่เงียบไปของเหยื่อ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้เข้าร่วมการทดลองเดินหน้าเพิ่มระดับการทำร้ายคนได้มากกว่าในยามปกติ

 

การเป็นหนึ่งในร้อยพันข้อความโจมตีก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เอื้อให้บุคคลยกระดับความก้าวร้าวของตน ยิ่งมีจำนวนแอคเคาท์ที่แสดงความข้อความทางลบมากเท่าไร ข้อความรุนแรง หยาบคาย ไม่เหมาะสม ก็ยิ่งปรากฏแฝงอยู่มากเท่านั้น ทฤษฎีการกระจายความรับผิดชอบ (diffusion of responsibility) เสนอว่า เมื่อใดก็ตามที่มีคนจำนวนมากขึ้น ผู้คนในจำนวนนั้นจะรู้สึกรับผิดชอบต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นน้อยลง เช่น เราทุ่มเทน้อยกว่าเมื่อทำงานกลุ่ม เรายื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้เดือดร้อนน้อยลงเมื่อเห็นว่ามีคนอื่นๆ อยู่ด้วย ในสถานการณ์ล่าแม่มดในสื่อสังคมออนไลน์ก็เช่นกัน เมื่อมีตัวเปิด และมีคนตามไปเป็นจำนวนมาก ความรับผิดชอบต่อถ้อยคำทางลบที่พิมพ์ออกไปก็จะยิ่งหาร ๆ กัน การยับยั้งไตร่ตรองด้วยเหตุด้วยผลก็เกิดขึ้นน้อยลง กล้าปล่อยวาจาร้ายๆ ตามอารมณ์ตามกระแสสังคมได้ง่ายขึ้น

 

Social media troll harassing people on social media

 

 

พื้นที่เปิดอย่างสื่อออนไลน์ มีข้อดีคือทำให้ผู้คนมีอิสระในการเข้าถึงและมีส่วนร่วมในร่วมวิพากษ์วิจารณ์ตัวบุคคลหรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ง่าย ทว่าด้วยโอกาสที่เพิ่มมากขึ้นนี้ ย่อมเป็นโจทย์ที่ท้าทายว่าเราจะใช้อิสระของเราอย่างไรไม่ให้ละเมิดหรือกระทบกระทั่งผู้อื่นมากเกินไป ตัวตนในโลกเสมือนอาจจะไม่ใช่ตัวตนจริงแท้หรือทั้งหมดของคนคนหนึ่ง แต่ความรู้สึก ความเจ็บปวดที่ได้รับในโลกนั้นก็ไม่ได้น้อยไปกว่าโลกจริง เสียงที่ได้ยินกับหูหรือข้อความที่อ่านผ่านตาก็สามารถบาดลึกและสร้างรอยแผลให้คนเราได้เช่นกัน

 

เพราะไม่ได้เจอกันต่อหน้า เราจึงไม่รู้ ไม่เห็นความเจ็บปวดที่คนอื่นได้รับจากการกระทำของเรา และเพราะแบบนั้นจึงจำเป็นที่เราจะต้องฝึกให้มีสติระลึกรู้ตัวมากขึ้น ใช้ empathy หรือการคิดแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรามากขึ้น ว่าสิ่งที่เราแสดงออกไปนั้น มีโอกาสที่ผู้รับจะรู้สึกเช่นไร พร้อมคิดเข้าข้างตนเอง (self-serving bias) ให้น้อยลง ว่าสิ่งที่เราคิดอยู่ จะแสดงออกไปหรือได้แสดงออกไปแล้วนั้น ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว

 

การทอดเวลาให้อารมณ์ความรู้สึกจางลง ก็เป็นหนทางหนึ่งที่นักจิตวิทยาและผู้มีประสบการณ์ในโลกไซเบอร์แนะนำ เพราะเมื่อสมองส่วนอารมณ์ผ่อนลง สมองส่วนเหตุผลก็จะทำหน้าที่ได้ดี เราจะเกิดความเป็นกลางต่อเรื่องราวและต่อท่าทีของตนเอง ความคิดความรู้สึกคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงได้ในทุกนาที การรอให้ตนเองได้ตกตะกอน รวมถึงรอให้ได้รับข้อมูลรอบด้านมากขึ้น ย่อมดีกว่าปล่อยตนไปกับความวู่วามหรืออคติที่ครอบงำ

 

หากเราต้องการใช้พื้นที่สื่อสังคมออนไลน์เป็นช่องทางการระบายอารมณ์ความรู้สึกของเรา ก็สามารถทำได้โดยพิมพ์ข้อความลงไป แล้วเลือกเผยแพร่เฉพาะฉัน หรือกดบันทึก/save draft แทนการโพสต์หรือพับลิชในทันที จากนั้นจึงปล่อยให้เวลานำพาข้อมูลใหม่ หรือมุมมองใหม่ มาเป็นตัวช่วยให้เราได้ตัดสินใจอีกครั้งว่าเผยแพร่ข้อความนั้นออกไป ปรับแก้ หรือลบทิ้ง

 

อย่ารีบร้อนเพราะกลัวตามเทรนด์ไม่ทัน เพราะสิ่งที่เผยแพร่ออกไปแล้วนั้น ไม่ว่าจะลบเร็วแค่ไหน แม้เพียงเสี้ยววินาที แคปทัน(อเมริกา) ก็มักจะมาเยือนเราเสมอ

 

 

 

ภาพจาก

https://unsplash.com/
https://www.freepik.com/

 


 

บทความวิชาการ

โดย คุณรวิตา ระย้านิล

นักจิตวิทยา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Self-Interested Behavior – พฤติกรรมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

 

 

พฤติกรรมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว คือ พฤติกรรมซึ่งมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง หรือบางครั้งคือพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวมไปด้วยพร้อมกัน โดยพฤติกรรมเหล่านี้มิได้มีรูปแบบตายตัวเสมอไป เป็นไปได้ทั้งการจัดสรรทรัพยากรที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง การรับความดีความชอบของผู้อื่น หรือแม้แต่การใส่ร้ายผู้อื่น โดยพฤติกรรมในลักษณะเช่นนี้บางครั้งไม่ได้ถือเป็นความผิดทางกฎหมาย

 

พฤติกรรมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ศึกษากันค่อนข้างมากในอดีต ทั้งทางด้านพฤติกรรมภายในองค์กร สังคม รวมถึงพฤติกรรมต่อต้านสังคม แต่การสังเกตหรือตีความเป็นไปค่อนข้างยาก เนื่องจากความหลากหลายของรูปแบบพฤติกรรม หรือบางสถานการณ์ผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นสิ่งที่อยู่ควบคู่กัน การแสดงพฤติกรรมเพื่อประโยชน์ส่วนตัวจึงถูกตีความได้ว่าเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม และบางกรณีพฤติกรรมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวบางรูปแบบก็ไม่ได้ถูกสังคมมองว่าเป็นการละเมิดต่อกรอบของสังคม

 

 

อำนาจ กับ พฤติกรรมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว


 

หนึ่งในแนวคิดพื้นฐานเรื่องอำนาจ คือเมื่อบุคคลสามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้ตามต้องการ ส่งผลให้บุคคลมีความจำเป็นน้อยลงที่จะพึ่งพาความช่วยเหลือหรือไม่ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จึงทำให้อิทธิพลความกดดันต่าง ๆ จากบรรทัดฐานทางสังคมที่ต้องการให้บุคคลแสดงพฤติกรรมที่ดีนั้นลดน้อยลงไปด้วย

 

ความรู้สึกมีอำนาจจึงเพิ่มแนวโน้มที่บุคคลจะแสดงพฤติกรรมเพื่อตอบสนองต่อความต้องการขณะนั้น โดยมีความยับยั้งชั่งใจน้อยลง จากการมีความตึงเครียด ความรู้สึกผิด และความตื่นตัวที่ลดลง ยิ่งไปกว่านั้น ความยับยั้งชั่งใจที่ลดลงยังทำให้บุคคลมีแนวโน้มตัดสินหรือแสดงความไม่พอใจต่อผู้อื่นอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น ส่งผลให้บุคคลที่รู้สึกมีอำนาจมักแสดงพฤติกรรม “พูดอย่างทำอย่าง” มากขึ้น โดยต่อว่าผู้อื่นที่ฝ่าฝืนบรรทัดฐานทางสังคม แต่ตนเองกลับเป็นผู้กระทำเสียเอง

 

นอกจากนี้ ความรู้สึกมีอำนาจได้เพิ่มความสำคัญต่อตัวบุคคลเอง (Self-Focus) นำไปสู่มุมมองที่มุ่งเป้าไปยังความต้องการของตนเอง การให้ความสำคัญต่อตนเองในระดับที่สูงขึ้นส่งผลให้บุคคลเข้าใจว่าตนเองสำคัญในสังคมมากกว่าคนอื่น ๆ นำไปสู่ความรู้สึกแปลกแยกจากคนอื่นพร้อมกับลดการมองสิ่งต่าง ๆ ผ่านมุมมองของผู้อื่น (Perspective-Taking) ผลที่ตามมาคือการแสดงพฤติกรรมตอบสนองความต้องการของตนเองมากกว่าใส่ใจผู้อื่น และมีการแสดงพฤติกรรมซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นน้อยลง

 

 

อำนาจ พฤติกรรมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และการรับรู้การถูกตรวจสอบ


 

นักจิตวิทยาเสนอว่า การเพิ่มการรับรู้ความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบส่งผลให้บุคคลลดการแสดงพฤติกรรมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวลง โดยทำให้บุคคลเพิ่มการประมวลข้อมูล พร้อมกับประเมินตนเองผ่านมุมมองของผู้อื่นเพื่อรับมือการถูกโต้แย้ง

 

การประมวลข้อมูลที่ละเอียดขึ้นเป็นส่วนสำคัญในการลดอิทธิพลของการขาดความยับยั้งชั่งใจและความกล้าเสี่ยง พร้อมกับส่งผลให้บุคคลตระหนักถึงผลเสียที่จะตามมาของการตัดสินใจ ในขณะที่การประเมินตนเองร่วมกับการเรียนรู้มุมมองของบุคคลอื่นมีส่วนช่วยให้ผู้ถืออำนาจลดการให้ความสำคัญต่อตนเองลง

 

 

 


 

รายการอ้างอิง

 

“อิทธิพลของอำนาจต่อพฤติกรรมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว: การศึกษาอิทธิพลการป้องปรามของการรับรู้การถูกตรวจสอบเป็นตัวแปรกำกับ” โดย ติณณ์ โบสุวรรณ (2562) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/64650

 

ภาพจาก https://ethicsunwrapped.utexas.edu/

Style of Humor – รูปแบบของอารมณ์ขัน

 

รูปแบบของอารมณ์ขันคือลักษณะนิสัยที่มีความแตกต่างระหว่างบุคคล
โดยแบ่งรูปแบบของอารมณ์ขันเป็น 2 ประเภทใหญ่คือ อารมณ์ขันทางบวก และอารมณ์ขันทางลบ

 

 

 

อารมณ์ขันทางบวก (Adaptive Humor Style)


 

เป็นอารมณ์ขันที่แสดงอออกถึงการยอมรับตนเอง สนุกสนาน ผ่อนคลาย มีความสุข ประกอบด้วย

 

1. อารมณ์ขันแบบเป็นกันเอง (Affiliative Humor)

 

คือ การพูดถึงสิ่งต่าง ๆ อย่างตลกขบขันได้อย่างต่อเนื่อง หรือแสดงพฤติกรรมเพื่อสร้างความสุข และความสนุกสนานให้กับผู้อื่นรอบข้าง เป็นการสร้างบรรยากาศและความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น เพื่อลดความตึงเครียดทั้งของผู้อื่นและตนเอง โดยเรื่องที่ตลกนั้นไม่มีความรุนแรง หรือสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น อาจนำตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องตลก แต่มีกระบวนการในการยอมรับตนอง ไม่มองตนเองด้อยค่าลง เป็นอารมณ์ขันแบบอบอุ่น เป็นการเล่นตลกแบบล้อเล่นที่ไม่รุนแรงกับบุคคลอื่น ยังอยู่ในความเคารพในตัวบุคคลที่ล้อเล่นด้วย การแบ่งปันความสนุกสนานในเชิงบวกนี้ ส่งผลให้เพิ่มความสัมพันธ์ทางสังคม เพิ่มขวัญกำลังใจ และลดปัญหาความตึงเครียดขัดแย้งระหว่างบุคคล

 

อารมณ์ขันแบบเป็นกันเองสัมพันธ์กับบุคลิกชอบเข้าสังคม (Extraversion) ความรื่นเริง การเห็นคุณค่าในตนเอง (Self-esteem) ความใกล้ชิดผูกพัน ความพึงพอใจในความสัมพันธ์ ความรู้สึกและอารมณ์ทางบวก

 

2. อารมณ์ขันแบบส่งเสริมตนเอง (Self-enhancing Humor)

 

คือ การมองสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตนเองในชีวิตประจำวันด้วยอารมณ์ขัน เพื่อลดความเครียดและพร้อมเผชิญหน้ากับผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น มีประโยชน์ในการเป็นกลไกป้องกันปัญหาทางอารมณ์ ทำให้สุขภาพจิตดี โดยหลีกเลี่ยงอารมณ์ทางลบได้โดยการมองเรื่องราวต่าง ๆ ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เป็นความสามารถในการใช้อารมณ์ขันบนมุมมองแห่งความเป็นจริง เมื่อเผชิญปัญหาที่มีความเครียด บุคคลจะใช้อารมณ์ขันเพื่อรักษาความรู้สึกทางบวกในตนเองแม้พบกับความทุกข์และความเครียดก็ตาม การควบคุมอารมณ์จะช่วยยืดหยุ่นวิธีการเพื่อช่วยเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการรับรู้เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ด้วยความท้าทายทางบวกมากกว่ามองว่าเป็นภัยคุกคาม

 

อารมณ์ขันแบบส่งเสริมตนเองสัมพันธ์ทางลบกับความรู้สึกทางลบ เช่น อาการซึมเศร้า ความวิตกกังวล และสัมพันธ์ทางบวกกับการเปิดรับประสบการณ์ (Openness to Experience) การเห็นคุณค่าในตนเอง และสุขภาวะทางจิตที่ดี (Psychological well-being)

 

 

อารมณ์ขันทางลบ (Maladaptive Humor Style)


 

เป็นอารมณ์ขันที่แสดงออกถึงความก้าวร้าว ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายหรืออับอาย ประกอบด้วย

 

1. อารมณ์ขันแบบก้าวร้าว (Aggressive Humor)

 

คือ การใช้อารมณ์ขันในการกระทบ ปะชดประชัน เยาะเย้ย หัวเราะเยาะผู้อื่น เป็นการใช้อารมณ์เพื่อทำร้ายบุคคลอื่นทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ เช่น การนำจุดด้อยของบุคคลอื่นมาเป็นเรื่องตลก หรือเป็นการระบายอารมณ์ออกมาเป็นอารมณ์ขันโดยมิได้ระมัดระวังผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลอื่น นำความไม่สบายใจมาสู่ผู้ที่อยู่รอบข้าง บุคคลที่มีอารมณ์ขันแบบก้าวร้าวมีแนวโน้มไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น และใช้อารมณ์ขันโดยการนำผู้อื่นมาเกี่ยวข้อง การล่วงละเมิดและดูถูกผู้อื่นผ่านทางอารมณ์ขันแบบนี้จะบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จนกระทั่งถึงความสัมพันธ์ระดับสังคม

 

อารมณ์ขันแบบก้าวร้าวสัมพันธ์ทางบวกกับความไม่เสถียรทางอารมณ์ (Neuroticism) การมุ่งร้ายต่อผู้อื่น (Hostility) ความก้าวร้าว (Aggression) ความโกรธ และสัมพันธ์ทางลบกับความพึงพอใจ ความยินยอมเห็นใจ (Agreeableness) และ ความพิถีพิถัน (Conscientiousness)

 

2. อารมณ์ขันแบบล้อเลียนตัวเอง (Self-defeating Humor)

 

คือ การใช้อารมณ์ขันในการพูดสบประมาทตนเองในทางลบ พยายามสร้างความสนุกสนานให้กับผู้อื่นโดยใช้เรื่องของตนเองและมีส่วนร่วมกับคนอื่น ๆ โดยการพูดจาเสียดสี เยาะเย้ยตัวเอง การใช้อารมณ์ขันนี้เป็นกลไกการปรับตัวในเชิงหลีกหนีอย่างหนึ่ง หรือการซ่อนอารมณ์และความรู้สึกทางลบ พยายามแสดงพฤติกรรมตลกขบขันเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญปัญหา ผู้ที่มีอารมณ์ขันแบบล้อเลียนตนเองมีแนวโน้มเป็นเป้าหมายของเรื่องตลกและหัวเราะตามเมื่อตนเองถูกคนอื่นเยาะเย้ย อารมณ์ชันแบบนี้จะนำไปสู่การแบ่งแยกตนเองจากสังคม ลดโอกาสในการเข้าสังคมและการได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์ ลดคุณค่าและความหมายของตนเอง รวมถึงลดความยืดหยุ่นในการจัดการปัญหาในชีวิต

 

อารมณ์ขันแบบล้อเลียนตนเองสัมพันธ์ทางบวกกับความไม่เสถียรทางอารมณ์ ความรู้สึกทางลบ เช่น อาการซึมเศร้า ความวิตกกังวล และสัมพันธ์ทางบวกกับความพึงพอใจในความสัมพันธ์ การเห็นคุณค่าในตนเอง และสุขภาวะทางจิตที่ดี

 

 


 

 

รายการอ้างอิง

 

“อิทธิพลของอารมณ์ขันทางลบ การละเลยคุณธรรม และการรับรู้ความนิรนาม ต่อพฤติกรรมการข่มเหงรังแกทางเฟซบุ๊ก” โดย อภิญญา หิรัญญะเวช (2561) – http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/63018

 

ภาพจาก https://www.freepik.com/

ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง…ด้วยต้นทุนทางจิตวิทยา (ตอนที่ 2)

ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง…ด้วยต้นทุนทางจิตวิทยา
“Hope” ทุนทางจิตวิทยา ตอนที่ 2

 

 

หากผู้อ่านยังจำเรื่องราวของ HERO ตอน “ล้มแล้วลุกได้…หากเรามีทุนทางจิตวิทยา” ที่ได้เน้นถึงความสามารถในการฟื้นพลัง (Resilience) บทความนี้เป็นภาคสองของทุนทางจิตวิทยา หรือหากผู้อ่านที่อ่านเรื่องราวในตอนแรกจบลงไปแล้วมีความหวัง (Hope) ว่าจะได้อ่านและทำความรู้จักกับองค์ประกอบด้านอื่นๆของทุนทางจิตวิทยาเพิ่มเติมในตอนต่อไป ความหวังของทุกท่านเป็นจริงแล้วในบทความนี้ หากทุกท่านมองย้อนกลับไปในอดีตจะพบว่า ชีวิตของทุกคนล้วนมีความหวังติดตามตัวมาตลอด ในทุกย่างก้าวของชีวิต วนเวียนอยู่ในความคิดประจำวันในแทบทุกเรื่องราว ทุกคนมีความหวังกับหลายสิ่งรอบตัว เช่น หวังว่าฝนจะไม่ตก หวังว่ารถจะไม่ติด หวังว่าจะทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จตามเวลา หรือ หวังว่าการระบาดของโรคโควิดที่เกิดขึ้นทั่วโลกในขณะนี้จะจบลงโดยเร็วเพื่อเราทุกคนจะได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปรกติสุขเหมือนเดิม

 

อย่างไรก็ตาม ในอดีตที่ผ่านมาความหวังนั้นเป็นสิ่งที่ลึกลับและมีความหมายน่าค้นหา ความหวังเป็นหัวข้อที่ได้ผ่านการคิดวิเคราะห์ ถกเถียงกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยโบราณ ตำนานของความหวังพบได้แม้กระทั่งในตำนานการสร้างโลกของกรีกโบราณที่เล่าขานกันมาถึงความลึกลับของกล่องแพนโดรา (Pandora’s box) ที่ถูกเปิดออกด้วยความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ เป็นสาเหตุให้สิ่งเลวร้ายและภยันตรายนานัปการหลุดหนีออกมาได้ ก่อให้เกิดเรื่องเลวร้ายมาสู่มวลมนุษย์ในเวลาต่อมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน แต่ความหวังยังคงเป็นสิ่งเดียวที่ยังติดค้างอยู่ในกล่องปริศนานั้น ไม่สามารถหลุดหนีออกมาได้ เรื่องราวในตำนานนี้ได้รับการตีความจากนักคิด นักปรัชญา นักเทววิทยาในแง่มุมต่าง ๆ ที่น่าสนใจมากมายว่า ความหวังแท้จริงแล้วคือสิ่งใด มีรูปลักษณ์หน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ และหากความหวังเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่เคยได้รู้จักหรือสัมผัสมาก่อน ความหวังที่มนุษย์ถือครองและอ้างว่ารู้จักดีแล้วนั้น ที่แท้แล้วคือสิ่งใดกันแน่ หรืออาจเป็นเพราะในความเป็นจริงแล้ว มนุษย์ต่างยังคงจะมีกำลังใจและเชื่อว่าความหวังจะยังคงมีอยู่เสมอ อย่างน้อยก็ในกล่องแพนโดราตามตำนานของเทพเจ้าที่เล่าขานต่อกันมา

 

ด้วยเหตุนี้ ความหวังจึงเป็นคุณลักษณะทางจิตวิทยาประการหนึ่งที่ยังคงอยู่ในความสนใจศึกษาของนักคิดและนักวิชาการทั้งหลาย ด้วยธรรมชาติของความหวังที่ยังมีความคลุมเครือและผสมผสานกันระหว่างสิ่งที่จับต้องไม่ได้กับความจริงที่เกิดขึ้น ทำให้การศึกษาเรื่องความหวังยังคงเป็นหัวข้อที่ท้าทายต่อการตีความหมายที่แตกต่างกันไป จนกระทั่งเคยมีคำกล่าวเอาไว้ว่า “การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความหวังนั้นเป็นสิ่งสำคัญเพราะความหวังเป็นองค์ประกอบขั้นพื้นฐานของการดำรงอยู่ของมนุษย์” (Vaillot, 1970)

 

ปลายปี 1990 นักวิทยาศาสตร์ด้านสังคมศาสตร์ (Social scientist) ได้พยายามทำการศึกษาเกี่ยวกับความหวังด้วยมุมมองพื้นฐานจากแนวคิดดั้งเดิมที่มีมาแต่โบราณ คิดค้นหาคำอธิบายที่ชัดเจนมากขึ้นและแสวงหาวิธีในการวัดความหวังในจิตใจของมนุษย์ด้วยวิธีการต่าง ๆ และให้คำนิยามความหวังไว้ว่าเป็นการคาดการณ์ (Expectation) ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต และยังมีบางแนวคิดได้ให้คำนิยามของความหวังว่าเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อเรามีความเชื่อมั่นที่มีต่อตนเองว่าจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ที่กำลังเผชิญอยู่ได้อย่างประสบความสำเร็จ (Edwards, 2009)

 

Charles Richard Snyder นักจิตวิทยาคลินิกขาวอเมริกันที่มีความสนใจด้านจิตวิทยาเชิงบวกได้เขียนหนังสือชื่อ จิตวิทยาแห่งความหวัง (The Psychology of Hope) และตีพิมพ์สู่สาธารณะในปี 1994 โดยเขาได้อธิบายและให้คำนิยามของความหวังและยังคงใช้แนวทางเดิมที่เคยมีมาก่อนว่าความหวังเป็นการรู้คิดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของมนุษย์ (Cognitive in Nature) อย่างไรก็ตาม Snyder ได้นำเอาปัจจัยทางด้านอารมณ์ (Emotions) เข้ามาผนวกร่วมด้วยและช่วยให้การนิยามแนวคิดเกี่ยวกับความหวังของ Snyder เป็นแนวคิดที่มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

 

Snyder (2000) ได้ให้คำนิยามของความหวังไว้ว่า หมายถึง ภาวะแรงจูงใจในด้านบวกที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก ซึ่งประกอบไปด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ ได้แก่

  1. การมีพลังในการขับเคลื่อน (Agency)
  2. การแสวงหาวิถีทาง (Pathways)
  3. เป้าหมายของความสำเร็จที่จะไปให้ถึง (Goal)

 

ผู้ที่มีความหวังที่จะประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่ตนวางไว้มักจะสร้างพลังใจจากการบอกกับตนเอง (Self talk agency) เสมอว่า “ฉันทำได้” (I can do it) หรือ “ฉันสามารถแก้ปัญหานี้ได้” (I can solve this problem)

 

ในสถานการณ์ของโรคระบาดโควิดและภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน การคิดอย่างคนที่มีความหวังจะช่วยทำให้คนเรามีเป้าหมายที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวให้สามารถดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไปได้ ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะเป็นเป้าหมายเพื่อตนเองหรือครอบครัวและคนที่รัก ถึงแม้ในบางครั้ง เส้นทางเดิมในการประกอบอาชีพ หรือ พื้นที่ชีวิตเดิมในการหารายได้ที่เคยคิดว่าเต็มไปด้วยความสุขสบาย อาจจะต้องถูกปรับเปลี่ยนกลายเป็นเส้นทางใหม่ในการไปสู่เป้าหมายของความสำเร็จ เนื่องจากผลกระทบหรืออุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด เช่นเดียวกับการที่นักกีฬาคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จเป็นเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิคได้ นักกีฬาย่อมต้องมีความหวังในการไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างชัดเจนและมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังกับการฝึกซ้อม แม้ทุกคนรู้ดีว่า การฝึกซ้อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ประสบชัยชนะในการแข่งขัน แต่ในความเป็นจริงอาจต้องมีอุปสรรคหลายอย่างที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อชีวิตและการฝึกซ้อมในแต่ละครั้ง นักกีฬาที่ประสบความสำเร็จจะไม่มีมีวันล้มเลิกความฝันหรือเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของตนเองจากอุปสรรคที่พบเจอระหว่างทาง แต่เขาเหล่านั้นจะยังพยายามแสวงหาหนทางเพื่อบริหารจัดการเวลาในชีวิตควบคู่ไปกับการฝึกซ้อมอย่างทุ่มเทและหนักหน่วง จัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ รู้จักให้กำลังใจตนเองในแต่ละขั้นของความสำเร็จจนสามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ และ มีการกระตุ้นและสร้างพลังใจให้กับตนเองในทุกๆ วัน เช่น การให้รางวัลหรือใช้คำพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจต่อตนเอง เป็นต้น การสร้างกำลังใจนี้จะเป็นพลังในการขับเคลื่อนให้บุคคลมีความคิดมุ่งมั่นที่จะทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ประสบความสำเร็จแม้ว่าจะมีอุปสรรคหรือความยากลำบากเกิดขึ้น

 

การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความหวังในบริบทของการทำงานนั้นพบว่าความหวังจัดเป็นอารมณ์ทางบวกที่ช่วยส่งเสริมความสามารถในการฟื้นพลังของพนักงาน (Employee resilience) (Froman 2010) และยังพบว่าการมีความหวังจะทำให้พนักงานมีความเหนื่อยหน่ายในงาน (Burnout) น้อยลงและมองโลกในแง่ดีมากขึ้น มีความกระตือรือร้นในการค้นหาวิถีทางใหม่ๆ ในการเอาชนะต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน มีสุขภาวะที่ดี มีความพึงพอใจและความผูกพันต่อองค์กร และสามารถปฏิบัติงานในหน้าที่ที่รับผิดชอบได้อย่างขยันขันแข็ง โดยเฉพาะในงานที่มีความท้าทาย (Bailey et al. 2007; Froman, 2010) นอกจากนี้ องค์กรสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพจิต (Mental health) ของพนักงานลงได้ ทั้งในระดับบุคคลและองค์กร เช่น ลดการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของพนักงาน หรือ การชดเชยการบาดเจ็บหรือทุพพลภาพในการทำงาน ซึ่งสาเหตุที่พบได้โดยส่วนใหญ่นั้นเกิดจากภาวะอาการซึมเศร้าและสิ้นความหวังที่เกิดขึ้นในสถานที่ทำงาน (Green et al. 2006)

 

จากหลักฐานเชิงประจักษ์ของงานวิจัยที่สนับสนุนว่าความหวังนั้นช่วยเพิ่มพูนสุขภาวะที่ดีของพนักงานและยังช่วยทำให้พนักงานสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้นำองค์กรจึงควรให้ความสำคัญและกระตุ้นในเกิดบรรยากาศของความหวังขึ้นภายในองค์กร (Lopez et al. 2003; Peterson & Byron 2008) โดยการโน้มน้าวให้พนักงานเกิดความรู้สึกร่วมแรงร่วมใจกันทำงานเพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกัน รู้หลักการในการสร้างทีมที่มีประสิทธิภาพ สร้างพลังใจในการทำงาน ผู้นำควรส่งสารสำคัญขององค์กร (Key message) ที่ตรงใจพนักงาน ทำให้พนักงานเข้าใจถึงวิสัยทัศน์และเป้าหมายร่วมกันเพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จได้ เพราะองค์กรที่เต็มไปด้วยพนักงานที่ยังมีความหวังย่อมมีโอกาสในการประสบกับความสำเร็จและบรรลุเป้าหมายได้เสมอ

 

นอกจากการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความหวังในกลุ่มของคนทำงานในองค์กร ยังพบงานวิจัยอย่างแพร่หลายของการสร้างความหวังให้ผู้ป่วยโรคร้ายแรงต่างๆ Koopmeiner และคณะ (1997) พบว่า ปัจจัยที่สร้างความหวังในการมีชีวิตอยู่ต่อไปของผู้ป่วยมะเร็ง คือ วิธีการใช้เวลาของผู้ดูแลกับผู้ป่วย (Time for the patients) วิธีการพูดสื่อสารให้ข้อมูลกับผู้ป่วย (Way of giving information) ความสุภาพอ่อนน้อม (Politeness) การดูแลอย่างเอาใจใส่ (Caring and helping attitude) การปฎิบัติหน้าที่ของผู้ดูแลด้วยความซื่อสัตย์และความเคารพนับถือ (Honesty and respect) งานวิจัยของ Herth & Cutcliffe (2002) ยังพบอีกว่า เมื่อต้องเผชิญกับโรคร้ายอย่างมะเร็ง ความหวังเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยให้ผู้ป่วยและสมาชิกทุกคนในครอบครัวสามารถต่อสู้และผ่านพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายนี้ไปได้

 

ยังมีการศึกษาวิจัยในอีกกลุ่มหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับความหวังและมีประเด็นที่น่าสนใจในการนำไปปรับใช้ได้ในชีวิตของเราได้ คือ งานวิจัยในกลุ่มของผู้สูงอายุที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นในปัจจุบัน ความหวังและความสิ้นหวังถือได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพและการมีชีวิตที่ยืนยาวของผู้สูงอายุ Hernandez& Overholser (2021) รวบรวมงานวิจัยเกี่ยวกับความหวังและผู้สูงอายุจำนวน 36 ชิ้น เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ในโปรแกรมทางจิตวิทยาเพื่อสร้างเสริมความหวังในกลุ่มผู้สูงอายุ พบว่า การเข้าร่วมกิจกรรมการทบทวนชีวิต (Life review) ช่วยทำให้ผู้สูงอายุที่มีภาวะซึมเศร้า สูญเสียคนที่รัก หรือ ผู้สูงอายุที่ป่วยและรับการรักษาทางการแพทย์อยู่ มีความหวังมากขึ้นที่จะต่อสู้กับโรคร้าย และมีความต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป ดังนั้น หากท่านผู้อ่านมีสมาชิกในครอบครัวเป็นผู้สูงอายุ การรับฟังเรื่องราวของความสุข ความสำเร็จในอดีตของบุคคลที่ท่านรัก จะช่วยกระตุ้นให้ผู้สูงวัยที่เต็มไปด้วยประสบการณ์และเรื่องเล่าต่างๆ มีกำลังใจและมีความหวังที่จะดำรงชีวิตอยู่และรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อคอยชื่นชมความสำเร็จและพัฒนาการของลูกหลานได้อีกยาวนาน

 

จากงานวิจัยข้างต้นสรุปได้ว่า ความหวัง (Hope) เป็นองค์ประกอบของทุนทางจิตวิทยาอีกประการหนึ่งที่เป็นพลังช่วยให้เราผ่านวันเวลาที่ยากลำบากในยามที่ต้องพบกับปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิต ผลการศึกษาที่ผ่านมาช่วยทำให้ ความหวัง (Hope) ที่เคยเป็นเรื่องลึกลับและมีความเป็นนามธรรมมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น Snyder และคณะ (2001 ) เคยกล่าวไว้ว่า ความหวังนั้นเป็นภาวะที่เกิดจากแรงกระตุ้นในทางบวกที่ต่างไปจากการมองโลกในแง่ดี (Optimism) การมีความหวังคือบุคคลต้องมีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงและมีพลังใจในการหาทางที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตนได้ตั้งไว้ จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจติดตามต่อไปว่า การมองโลกในแง่ดี ซึ่งองค์ประกอบอีกด้านหนึ่งของทุนทางจิตวิทยาจะมีบทบาทสำคัญอย่างไรต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์เราท่ามกลางภาวะวิกฤติต่างๆ ที่เราทุกคนกำลังเผชิญอยู่ โปรดติดตาม HERO ได้ในตอนต่อไป

 

 

 

รายการอ้างอิง

 

Bailey, T., Eng, W., Frisch, M., & Snyder, C. (2007). Hope and optimism as related to life satisfaction. Journal of Positive Psychology, 2(3), 168–175.

 

Edwards, L. M. (2009). Hope. In S. J. Lopez (Ed.), Encyclopedia of Positive Psychology (Vol. 1, pp. 487-491). Hoboken, NJ: Wiley.

 

Froman, L. (2010). Positive psychology in the workplace. Journal of Adult Development, 17, 59–69.

 

Green, S., Oades, L., & Grant, A. M. (2006). Cognitive-behavioral, solution-focused life coaching: Enhancing goal striving, well-being, and hope. Journal of Positive Psychology, 1(3), 142–149.

 

Hernandez, S. C., & Overholser, J. C. (2021). A Systematic Review of Interventions for Hope/Hopelessnesss in Older Adults. Clin Gerontol, 44(2), 97-111.

 

Herth, K. A. & Cutcliffe. J. R. (2002). The concept of hope in nursing 3: hope and palliative care nursing. British Journal of Nursing 11, 977–984.

 

Koopmeiner, L., Post-White, V., Gutknecht, S., Ceronsky, C., Nickelson, K., Drew, D., Mackey, K. & Kreitzer, M. (1997). How healthcare professionals contribute to hope in patients with cancer. Oncology Nursing Forum, 24, 1507-1513.

 

Lopez, S. J., Snyder, C. R., & Pedrotti, J. T. (2003). Hope: Many definitions, many measures. In S. J. Lopez & C. R. Snyder (Eds.), Positive psychological assessment—A handbook of models and measures (pp. 91–107). Washington, DC: American Psychological Association.

 

Peterson, S. J., & Byron, K. (2008). Exploring the role of hope in job performance: Results from four studies. Journal of Organizational Behavior, 29(6), 785–803.

 

Snyder, C.R. (2000). Handbook of Hope; Academic Press: San Diego, CA, USA.

 

Snyder, C. R., Sympson, S. C., Michael, S. T., & Cheavens, J. (2001). Optimism and hope constructs: Variants on a positive expectancy theme. In E. C. Chang (Ed.), Optimism and pessimism: Implications for theory, research, and practice (pp. 101-125). Washington, DC: American Psychological Association.

 

Vaillot, M. C. (1970). Hope: the restoration of being. American Journal of Nursing 70, 268–273

 

 


 

 

บทความวิชาการ

 

โดย คุณพัลพงศ์ สุวรรณวาทิน

นิสิตดุษฎีบัณฑิต แขนงการวิจัยจิตวิทยาประยุกต์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร เรวดี วัฒฑกโกศล

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

การสร้างความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพ

คุณพร้อมไหม? …นักจิตวิทยาพร้อมจะช่วย

การสร้างความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพ

 

ผลการวิจัยทางด้านพฤติกรรมสุขภาพจำนวนมากพบผลสอดคล้องกันว่า การออกกำลังกายส่งผลดีต่อสุขภาพทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคมของผู้ออกกำลังกาย เช่น ทำให้ร่างกายแข็งแรง และมีอารมณ์สดชื่นแจ่มใส การออกกำลังกายที่ต้องทำเป็นกิจกรรมกลุ่ม เช่น การตีแบดมินตัน การเล่นบาส ยังเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้สร้างความรู้จักกับคนอื่นๆ ที่มีความหลากหลาย คนต่างอาชีพ ต่างวัยมากขึ้น

 

ผลดีต่างๆ ที่ได้จากการออกกำลังกายมีมากมายและเป็นที่ตระหนักรู้โดยทั่วไป อย่างไรก็ตามมีบุคคลจำนวนมากที่ยังคงมีพฤติกรรมเนื่อยนิ่ง (Sedentary Behavior) เช่น นั่งๆ นอนๆ ไม่การออกกำลังกายแต่อย่างใด บางคนก็ตั้งใจไว้ว่า เริ่มต้นปีใหม่จะเริ่มหันมาดูแลตัวเอง ออกกำลังกายมากขึ้น แต่พอเวลาเข้ามากลางปีแล้ว บุคคลนั้นก็ยังคงไม่มีการออกกำลังกายแต่อย่างใด นอกจากนี้ บุคคลมักจะมีเหตุผลข้ออ้างที่สนับสนุนการที่ตนยังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตนเองไม่สำเร็จ เช่น “ไม่เห็นจะต้องออกกำลังอะไรเลย แข็งแรงอยู่แล้ว ตรวจสุขภาพทุกปี ผลการตรวจอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม” “อยากออกกำลังกายนะ แต่ช่วงนี้โควิด ยิมทุกที่ปิด ไม่มีที่จะออกกำลังกาย” “งานยุ่งมากมาย ไม่มีเวลา ถึงบ้านก็เหนื่อย อยากอาบน้ำนอนแล้ว “ ฯลฯ เหตุผลหรือข้ออ้างต่างๆ ของการประสบความล้มเหลวในการเปลี่ยนแปลงตนเองให้หันมาออกกำลังกายที่ระบุไปเหล่านี้ ล้วนแสดงให้เห็นว่าบุคคลแต่ละคนมีความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Readiness to change behavior) แตกต่างกัน

 

ทฤษฎีความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือ Transtheoretical Model (TTM) ของ Prochaska และ DiClemente (1984) ได้อธิบายถึงกระบวนการสร้างความพร้อมของคนเราที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อสุขภาพของตนเองไปสู่การมีพฤติกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพ โดยได้แบ่งระดับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมออกเป็น 5 ขั้นตอน เรียกว่า “Stages of change” ดังนี้

 

1. ขั้นเมินเฉย (Pre-contemplation stage)

 

บุคคลคิดว่าพฤติกรรมที่ทำอยู่ไม่มีปัญหาอะไรต่อสุขภาพ ไม่มีความคิดที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนั้น ดังเช่นเหตุผลข้ออ้างในการไม่ออกกำลังกายดังนี้ “ฉันไม่เห็นจะต้องออกกำลังกายอะไรเลย แข็งแรงอยู่แล้ว ตรวจสุขภาพทุกปี ผลการตรวจอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม”

 

2. ขั้นตระหนักรู้ว่ามีปัญหา (Contemplation stage)

 

บุคคลเริ่มรับรู้ว่าการนั่งๆ นอนๆ ไม่ออกกำลังกายที่ทำอยู่ตอนนี้ อาจก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพได้ บุคคลที่อยู่ในขั้นนี้มักจะมีความลังเลใจ (Ambivalence) ระหว่าง การยอมรับหรือปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง เหตุผลข้ออ้างสำหรับความลังเลใจในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเช่น “ผลการตรวจเลือดที่ผ่านมาพบว่า ระดับโคลเรสเตอรอลสูงกว่าเดิมมากจนน่าตกใจเลย หมอแนะนำให้ออกกำลังกาย แต่ว่า…ช่วงนี้โควิด ยิมทุกที่ปิด ไม่มีที่จะออกกำลังกาย รอให้สถานการณ์โควิดดีขึ้นก่อนดีกว่า”

 

3. ขั้นตัดสินใจเปลี่ยนแปลง (Determination stage/Preparation stage)

 

บุคคลคิดที่จะลด หรือเลิกพฤติกรรมเดิมที่เป็นปัญหา และเริ่มวางแผน (Action Plan) ในการเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดี เช่น จัดตารางการทำงานและการออกกำลังกายให้ชัดเจน เตรียมสถานที่และอุปกรณ์จะใช้ในการออกกำลังกาย เป็นต้น

 

4. ขั้นกระทำการเปลี่ยนแปลง (Action stage)

 

ขั้นนี้จะเริ่มขึ้นเมื่อบุคคลเริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของตนได้ เช่น ลงมือออกกำลังกายตามตารางที่ได้วางแผนไว้ ในขั้นตอนนี้อาจใช้หลายวิธีการร่วมกันที่จะช่วยให้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมประสบความสำเร็จ เช่น การจัดทำแผนระยะสั้น และ แผนระยะยาว การชวนเพื่อนร่วมออกกำลังกาย การให้รางวัลกับตัวเองเมื่อออกกำลังกายได้ตามแผนที่วางไว้ เป็นต้น

 

5. ขั้นคงไว้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง (Maintenance stage)

 

บุคคลสามารถปฏิบัติตามแผนอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นพฤติกรรมที่คงที่ กล่าวคือ มีการออกกำลังกายเป็นประจำจนเป็นนิสัย แต่อาจมีการหวนกลับไปทำพฤติกรรมเดิมอีก (Relapse) คือหันกลับมามีพฤติกรรมการนั่งๆ นอนๆ ไม่ออกกำลังกายหลายๆ วันติดต่อกัน เป็นต้น

 

 

ถึงตอนนี้ ทุกท่านคงน่าจะทราบแล้วนะคะว่า ตัวท่านมีความพร้อมเพียงใดที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองในการหันมาออกกำลังกาย ท่านใดที่อยู่ในขั้นตอนที่มีความพร้อมมาก ท่านก็มีโอกาสจะประสบความความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ด้วยตัวท่านเองค่อนข้างสูง สำหรับท่านที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองแต่รู้สึกลังเลใจว่าตนจะทำได้สำเร็จไหม รู้สึกไม่แน่ใจในความสามารถที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ท่านอาจต้องมีตัวช่วยในเบื้องต้นก่อนค่ะ นักจิตวิทยาสุขภาพพร้อมที่จะช่วยท่านโดยการจัดโปรแกรมหรือกิจกรรมต่างๆ เพื่อช่วยให้ท่านก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ที่ขัดขวางการออกกำลังกายและช่วยเติมความมั่นใจเพื่อให้ท่านมีความพร้อมมากขึ้นในการเปลี่ยนแปลงตนเองให้มีสุขภาพขึ้นดีค่ะ อย่าลืมนะคะ แค่รู้สึกอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นก็อยู่ไม่ไกลแล้วค่ะ

 

 

รายการอ้างอิง

 

Prochaska, J. O., & DiClemente, C. C. (1984). The transtheoretical approach: Crossing traditional boundaries of therapy. Dow Joneslrwin.

 

 


 

 

บทความวิชาการ

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร เรวดี วัฒฑกโกศล

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Clubhouse: พื้นที่แห่งความสมานฉันท์?

 

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมไทยในตอนนี้เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ความขัดแย้งประเภทนี้นักจิตวิทยาสังคมเรียกว่าความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม (intergroup conflict) ซึ่งมีที่มาได้จากหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการที่แต่ละกลุ่มมีความเชื่อ ความคิด เจตคติที่ต่างกัน การที่คนตั้งแง่กับคนกลุ่มอื่นเพียงเพราะไม่ได้เป็นคนกลุ่มเดียวกัน (mere categorization) ความลำเอียงเข้าข้างกลุ่มตนเอง (ingroup favouritism) การมองว่าคนที่ไม่ใช่กลุ่มตนเองเหมือนกันหมดทุกคน (outgroup homogeneity) การมีภาพเหมารวมต่อกลุ่มนั้นในทางลบ (stereotype) ซึ่งกระตุ้นอารมณ์และพฤติกรรมทางลบ ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มในแต่ละกรณีมีความละเอียดอ่อน ซับซ้อนและมีที่มาแตกต่างกัน ผู้เขียนขอเก็บไว้เขียนในโอกาสหน้า วันนี้ขอเสนอวิธีแก้ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มที่น่าจะครอบคลุมความขัดแย้งระหว่างกลุ่มหลาย ๆ กรณี คือ Intergroup contact หรือ การที่คนจากคนละกลุ่มมีปฏิสัมพันธ์กัน

 

การมีปฏิสัมพันธ์กันนี้เกิดขึ้นได้ทั้งจากการมีปฏิสัมพันธ์ต่อหน้า (face-to-face) เช่น ในการทดลองหนึ่งผู้วิจัยสุ่มให้ทหารซึ่งมาจากชาติพันธุ์ที่เป็นกลุ่มหลักในประเทศนอรเวย์ (ethnic majority Norwegian) เป็นเพื่อนร่วมห้องกับทหารซึ่งมาจากชาติพันธุ์ที่เป็นกลุ่มน้อย (ethnic minority: Finseraas & Kotsadam, 2017) และในกรณีที่การปฏิสัมพันธ์ต่อหน้าเป็นไปได้ยาก การมีปฏิสัมพันธ์แบบถ่ายทอด (extended contact: Wright et al., 1997) ก็เป็นตัวเลือกได้ โดยการมีปฏิสัมพันธ์แบบถ่ายทอดแบ่งเป็นสองวิธี ได้แก่ การเรียนรู้ผ่านสื่อต่าง ๆ ว่าสมาชิกของกลุ่มอื่นกับสมาชิกของกลุ่มตนสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ (vicarious contact) เช่น การทดลองหนึ่งผู้วิจัยสุ่มให้เด็กที่มีร่างกายสมบูรณ์ มีอวัยวะครบ 32 (able-bodied) อ่านนิทานที่เกี่ยวกับมิตรภาพระหว่างเด็กที่มีร่างกายสมบูรณ์กับเด็กที่มีร่างกายที่จำกัด (disabled) แม้กระทั่งการจินตนาการว่าตนได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่กลุ่มตนเอง (imagined contact) และการปฏิสัมพันธ์เป็นไปอย่างไหลลื่น ก็สามารถลดความประหม่าจากการปฏิสัมพันธ์กับคนที่มาจากกลุ่มอื่น และทำให้การมีปฏิสัมพันธ์ในอนาคตเป็นไปในทางบวกมากขึ้น เช่น Turner et al. (2007 การศึกษาที่ 3) ให้ผู้ร่วมการทดลองชายที่ชอบเพศหญิง (heterosexual men) จินตนาการว่าได้พูดคุยกับผู้ชายที่ชอบเพศชาย (homosexual men) พบว่า ผู้ร่วมการทดลองที่ได้พบคนจากกลุ่มอื่น ได้อ่านเรื่องราวที่ดีของคนต่างกลุ่ม และจินตนาการว่าได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนจากกลุ่มอื่นมีเจตคติทางบวกต่อคนจากกลุ่มอื่น และมีความประหม่าในการปฏิสัมพันธ์น้อยลง (สามารถอ่านการวิเคราะห์อภิมานซึ่งพบผลของการปฏิสัมพันธ์ของคนต่างกลุ่มได้ในการศึกษาของ Paluck และคณะ 2021)

 

ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่การปฏิสัมพันธ์ใด ๆ ที่จะสามารถส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มได้ Allport (1954) ได้เสนอ Contact Hypothesis ซึ่งตั้งสมมติฐานว่าสาเหตุหลักของความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม คือ การที่กลุ่มคู่ขัดแย้งไม่ได้มีการปฏิสัมพันธ์กันอย่างมีคุณภาพ ดังนั้นเขาจึงได้เสนอเงื่อนไขของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มที่ช่วยลดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มและสร้างความสามัคคีไว้ 4 เงื่อนไข ได้แก่

 

  1. Equal status ระหว่างที่ทั้งสองกลุ่มปฏิสัมพันธ์กัน ทั้งสองกลุ่มต้องมีสถานะเท่าเทียมกัน
  2. Common goals การที่ทั้งสองกลุ่มมีเป้าหมายร่วมกัน
  3. Intergroup cooperation ทั้งสองกลุ่มตระหนักว่าการกระทำของแต่ละกลุ่มส่งผลต่อกันและกัน (interdependence) จนทำให้สมาชิกจากทั้งสองกลุ่มต้องมีความร่วมไม้ร่วมมือกัน
  4. Authority sanction การได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจ การมีกฎหมายหรือธรรมเนียมปฏิบัติที่ส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ของทั้งสองกลุ่ม

 

เงื่อนไขทั้งสี่นี้เป็นที่มาของข้อสังเกตของผู้เขียนว่า แอพพลิเคชั่นคลับเฮ้าส์สามารถเป็นพื้นที่ในการลดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มได้ สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคย คลับเฮ้าส์ คือ แอพพลิเคชั่นที่เพียงมีเบอร์โทรศัพท์และสมาร์ทโฟนใคร ๆ ก็สามารถเข้าใช้งานได้ มีเพียงชื่อของเราเท่านั้นที่ได้รับการแสดงผล ความเชื่อ ความสนใจอื่น ๆ ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มได้เอง ทำให้โอกาสในการพบปะกับคนที่มีพื้นฐานต่างกันเพิ่มขึ้นมาก เมื่อเทียบกับการใช้สื่อกระแสหลัก เช่น โทรทัศน์และสื่อสังคมออนไลน์ที่ผู้ใช้อาจเลือกที่จะติดตามเพจใดเพจหนึ่งที่ตรงใจตนเอง และไม่เปิดรับสื่อที่ไม่ตรงใจตนเอง คลับเฮ้าส์นั้นคล้ายวิทยุ คือ มีห้องต่าง ๆ ซึ่งมีการตั้งหัวข้อตามความสนใจในระยะเวลาหนึ่ง หากห้องเปิดอยู่ผู้ฟังสามารถเข้าไปฟังได้อย่างอิสระ เนื่องจากไม่มีการล็อกห้อง ผู้ฟังสามารถยกมือได้หากต้องการร่วมสนทนา

 

คลับเฮ้าส์นั้น มี moderator เรียกสั้น ๆ ว่า “ม็อด” เป็นผู้ควบคุมห้อง ม็อดนี่เองที่มีผลเป็นอย่างมากต่อพลวัตของห้อง หากม็อดวางและสื่อสารกฎระเบียบให้ชัดเจนกับคนในห้อง เช่น ผู้พูดจะได้รับการอนุญาตให้พูดหากม็อดเรียกชื่อเท่านั้นและห้ามพูดแทรกคนอื่น และหากม็อดแจ้งบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนก็จะสอดคล้องกับเงื่อนไข authority sanction ในกรณีที่ห้องตั้งมาเพื่อให้คนที่มาจากคนละกลุ่มคุยกัน หากม็อดกำหนดเวลาในการพูดกับผู้พูดแต่ละคนอย่างเท่าเทียมก็จะเข้ากับเงื่อนไขของ equal status คือ สมาชิกจากแต่ละกลุ่มมีเวลาในการนำเสนอข้อมูลและความคิดของตนพอ ๆ กัน หากม็อดมีทักษะการฟังที่ดี ม็อดสามารถชี้ให้เห็นเป้าหมายที่กลุ่มสองกลุ่มมีร่วมกันได้ (common goal) และชี้ให้เห็นว่าในสถานการณ์นั้น คนทั้งสองกลุ่มต่างต้องพึ่งพากันและกันอย่างไรหากต้องการไปถึงจุดหมาย (intergroup cooperation) เช่น หากห้องตั้งหัวข้อว่า “จับโป๊ะ วัคซีน VVIP” ผู้ฟังอาจจะมาจากกลุ่มที่มีความเชื่อทั้งการเมืองที่ต่างกัน หากม็อดชี้ให้เห็นว่าบุคลากรทางการแพทย์หน้าด่านควรได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพก่อน เพราะกลุ่มนี้รักษาเราทุกคน และหากต่างคนต่างส่งเสียงเสียงอาจจะเบาไป แต่ถ้าทั้งสองกลุ่มช่วยกันส่งเสียง (intergroup cooperation) เสียงจะดังขึ้นทำให้บุคลากรทางการแพทย์หน้าด่านมีโอกาสที่จะได้รับวัคซีนมากขึ้น (common goal) และม็อดเปิดโอกาสให้คนจากสองฝั่งยกมือพูด โดยให้เวลาเท่าเทียมกัน (equal status) และให้การแลกเปลี่ยนเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ (authority sanction) ก็จะเกิดการปฏิสัมพันธ์ที่มีคุณภาพตามเงื่อนไขของ Allport (1954) และทำให้ทั้งสองกลุ่มมีเจตคติที่ดีขึ้นต่อกันและกัน

 

ผู้เขียนเองได้รับประสบการณ์ดี ๆ จากการใช้งานคลับเฮ้าส์มาก คือ ได้เรียนรู้มุมมองของคนจากภาคอื่น ช่วงอายุอื่น สายอาชีพอื่น ซึ่งการใช้สื่อสังคมออนไลน์ปกติหรือเครือข่ายทางสังคมในชีวิตจริงของผู้เขียนมีข้อจำกัดอยู่มาก ทำให้การมองในมุมคนอื่น (perspective taking) ของผู้เขียนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ในสถานการณ์ที่บ้านเมืองเราเต็มไปด้วยความตึงเครียดแบบนี้ ผู้เขียนเชื่อว่า การมองในมุมคนอื่นเป็นกุญแจสำคัญอีกดอกซึ่งจะช่วยให้คนไทยเราเปิดใจให้กันและรับฟังกันอย่างตั้งใจมากขึ้น ดังนั้น หากผู้อ่านสามารถทำได้ ผู้เขียนสนับสนุนให้รับฟังคลับเฮ้าส์หลาย ๆ ห้อง และขอให้ม็อดทำหน้าที่ของตนให้ดี เพื่อมีส่วนร่วมสร้างสังคมไทยที่สามัคคีและรักใคร่กัน

 

 

 

รายการอ้างอิง

 

Allport, G. W. (1954). The nature of prejudice. Addison-Wesley.

 

Finseraas, H., & Kotsadam, A. (2017). Does personal contact with ethnic minorities affect anti-immigrant sentiments? Evidence from a field experiment. European Journal of Political Research, 56(3), 703-722. https://doi.org/10.1111/1475-6765.12199

 

Paluck, E. L., Porat, R., Clark, C. S., & Green, D. P. (2021). Prejudice reduction: Progress and challenges. Annual Review of Psychology, 72, 533-560. https://doi.org/10.1146/annurev-psych-071620-030619

 

Turner, R. N., Crisp, R. J., & Lambert, E. (2007). Imagining Intergroup Contact Can Improve Intergroup Attitudes. Group Processes & Intergroup Relations, 10(4), 427–441. https://doi.org/10.1177/1368430207081533

 

Wright, S. C., Aron, A., McLaughlin-Volpe, T., & Ropp, S. A. (1997). The extended contact effect: Knowledge of cross-group friendships and prejudice. Journal of Personality and Social Psychology, 73(1), 73-90. https://psycnet.apa.org/buy/1997-04812-006

 

 


 

 

บทความวิชาการ

 

โดย อาจารย์ ดร.ภัคนันท์ จิตต์ธรรม

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคมพื้นฐานและประยุกต์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Transparent Research Practices in Psychology

Transparent Research Practices in Psychology

( 2508 Words (10 min read) )

 

 

There is a replication crisis in the social sciences.

How much can we trust the research findings published in psychological journals? We can’t be certain about the exact answer to this question and perceptions might vary depending on who you ask but there is a growing consensus that within psychology, many of the published findings are not as trustworthy as they should be. For example, in a recent survey of scientists in nature, 80% of researchers agreed that there was either a slight or significant crisis in the field (whatever a slight crisis is!?)

 

 

Why do people doubt the veracity of psychological research and think the field is in a crisis?

 

There are multiple reasons why researchers think the field is in crisis. First, there have been several repeated failures to replicate the effects of many published findings in psychology (Camerer et al., 2018; Open Science Collaboration, 2015)[1]. In these efforts, multiple labs set out to replicate the methods of hundreds of published studies and retested these experiments in a new (and typically much larger) sample of participants. As an observer, what you might reasonably expect to see here is that the majority of findings would demonstrate the same effects as were reported in the original study and, due to chance, a small number of these studies wouldn’t replicate. But, the rather earth-shattering outcome of these replication efforts is that only a minority of studies actually replicated the original research findings. Notably, several high-profile effects have been brought into question. For example, the concept of power posing was promoted in a TED talk by Amy Cuddy that has been viewed more than 60m times, yet the research that forms the basis of this effect does not always replicate. Social priming research has emphasised how subtle cues in the environment can affect our behaviour, often in dramatic ways. For example, unscrambling some sentences that include concepts related to elderly people can make us walk slower, holding a hot drink can make us think more warmly of others. This research has featured in many bestselling pop psychology books, such as Daniel Kahneman’s Thinking Fast and Slow, yet the construct of social priming is another area that has major replication issues. Thus, the low replicability rate in psychology presents a challenge to the credibility of the field and has resulted in much attention being directed to understanding both the causes of this replication “crisis” and how researchers can reform practices to increase the replicability, robustness, and credibility of the research.

 

 

The cause of the replications crisis: questionable research practices.

 

So what underpins this credibility crisis? Why are many original effects not as trustworthy as they should be? Well, it turns out that many of the norms of the research process favoured the publication of false-positive findings (in other words, reporting effects when no such effect exists). Among the most basic principles that guide scientists is a commitment to objectivity, honesty, and openness (Committee on Science & Panel on Scientific Responsibility and the Conduct of Research, 1992; p.36). And we would expect that these principles should guide best scientific practices during the design of experiments, analysis of data, and communication of knowledge. In other words, researchers should, in practice, be as honest and as objective as possible when designing and reporting their findings. However, individual biases, norms, and systemic pressures can cause these principles to be corrupted during the research process.

 

For example, researchers are primarily incentivised for publications, yet the probability of a paper being accepted for publication in a journal is traditionally associated with the novelty (is it new and surprising) and statistical significance of the reported effects. The consequence of this publication bias is that researchers can be (implicitly or explicitly) motivated to exploit degrees of freedom in the way data is collected, analysed, and reported, that favour producing a publication with statistically significant (as opposed to null) effects (Simmons et al., 2011).

 

Questionable Research Practices (QRPs) is a term used to refer to the broad range of decisions in the design, analysis, and reporting of research that all increase the likelihood of achieving a statistically significant result, and therefore a positive response from journal editors and reviewers; for example., p-hacking, cherry picking, and Hypothesizing After the Results are Known (HARKing)[2]. P-hacking refers to researchers exploiting flexibility in the analysis; for example, by running statistical analyses with and without including covariates, deciding whether to include or exclude outliers on the basis of their impact on the effect of interest, etc (Simonsohn et al., 2014; Wicherts et al., 2016). Cherry picking refers to the practice of failing to disclose all the dependent variables and conditions in a study and instead only reporting the outcome measures and/or conditions that reach statistical significance. HARKing refers to the practice of presenting findings that were unexpected or unplanned as if they had been originally predicted and were tested using confirmatory hypothesis testing (Kerr, 1998). In summary, one explanation for the low replication rates is that many original findings are based, at least partly, on studies that involve the use of questionable research practices.

 

 

Widespread prevalence of QRPs in the West.

 

To what extent are researchers actually engaging in QRPs? To answer this question, John, Loewenstein and Prelec asked 2000 psychologists in 2012 about their involvement in QRPs. Rather remarkably, a high percentage of US psychologists openly admitted to having engaged in QRPs and they believed their colleagues engaged in them even more than they admitted to doing so!

 

Similar admissions of QRP use have been reported in an Italian sample of psychologists (Agnoli et al., 2017), and across other fields such as education (Makel et al., 2019) and ecology and evolution (Fraser et al., 2018).

 

When researchers flexibly use combinations of these QRPs, the likelihood of being able to find a statistically significant effect can dramatically increase, irrespective of whether there was actually an effect in what you were testing. For an illustration of how easy it is to find significant effects with subtle (and often justifiable) analysis decisions see: https://fivethirtyeight.com/features/science-isnt-broken/#part4

 

 

The credibility revolution and reforms to research practices.

 

So what is being done to improve the way research is conducted? In response to the replication crisis and growing awareness of the problematic nature of QRPs, scientists have proposed several reforms to research practices aimed at improving the transparency, and therefore the credibility of research. These reforms includepractices designed to increase the transparency in research practices: (1) preregistration, (2) open data; and reforms to improve research design, (3) power analyses.

 

1. Preregistration refers to the practice of explicitly stating one’s hypotheses and analysis plans prior to data collection. For example, a researcher would make clear what their primary outcome variable is, how they will define outliers, when they will stop collecting data, etc. Specifying these details in advance reduces researcher degrees of freedom in the analysis and makes it clear to other researchers what parts of your results are based on confirmatory hypothesis testing versus exploratory tests. A more advanced form of preregistration – which is becoming increasingly common – is to submit your introduction and proposed methods and planned analysis directly to a journal for peer review. In a registered report, the manuscript is evaluated on the basis of the introduction, methods, planned analysis (everything but the results!). If accepted, researchers are given a guarantee that provided they conduct their research according to the prespecified methods, the journal will publish their research, irrespective of the results! There are two key benefits to this approach to research. First, researchers get peer review feedback before the research is conducted which can allow improvements to the study design. Second, it reduces publication bias and encourages objective reporting of results.

 

2. Open data is the practice of sharing primary research data and materials (e.g., stimuli, code, etc) to a publicly accessible online repository. When psychology (and other fields) began there was no medium through which researchers could share their raw data alongside publications. This is no longer the case and there is a steady shift towards encouraging, or in many cases requiring, researchers to make their data available. Sharing data has multiple benefits for both the original researcher and for science more broadly. For the researcher, sharing data obviously makes it much more accessible for others, but a key benefit is that it also makes it accessible for your future self, if you want to return to the original data and conduct any reanalysis. Sharing data also makes us more accountable and more likely to avoid confirmation bias and be more rigorous in checking our analysis and data when we are aware that others may check this too! Data sharing accelerates scientific knowledge by allowing other researchers to build on your findings, avoid duplicate data collection efforts, include evidence in meta analysis, and also helps detect fraud or errors in reporting.

 

3. Power analysis refers to the practice of conducting a power calculation, before collecting any data, to estimate and justify the sample size required in order to detect a specified effect. This is important because running underpowered research designs is unethical, a waste of resources, and is a central cause of untrustworthy research findings in the published literature. Thus, researchers need to design studies that are powered to detect the effects we are expecting to observe.

 

 

Adoption of Research Practice Reforms.

 

These research practice reforms are designed to increase the transparency and robustness of the research process, thereby reducing opportunities for researchers to use QRPs, reducing the chance of false-positive findings, and ultimately improving the replicability of research. Within Western academia (North America, Europe, Australasia), there is a growing recognition of the problematic nature of QRPs and researchers are responding to this with lower (reported) use of QRPs and a willingness to adopt reformed research practices (Motyl et al., 2017). This increased engagement in research practice reforms (i.e., preregistration, data sharing, and power analyses) is driven by several factors. At one level, researchers are engaging with research practice reforms because they recognize that these practices are good for science and lead to more reliable, robust, and trustworthy research. At another level, research practice reforms are also driven by editorial policies, education, cultural norms, and incentives. For example, editorial policies now often require authors (as a condition of acceptance) to report a power analysis when justifying their sample size. Societies (e.g., Society for the Improvement of Psychological Science) have emerged dedicated to discussing best research practices, many psychology departments have open science clubs (e.g., ReproducibiliTea) that facilitate training and sharing knowledge of research practice reforms (e.g., where to go and how to write an effective preregistration). Journals are incentivising preregistration and data sharing (e.g., through the use of badges at Psychological Science) and many journals have adopted registered reports as a format to encourage researchers to submit preregistered research that can be offered in principal acceptance prior to data collection. In summary, researchers are rapidly adopting reforms to their research practices to make science more transparent and credible.

 

 

A local challenge.

 

Although many of the normative practices of researchers based in the West (i.e., North America, Europe and Australia) are reforming, few efforts have been made to examine how research practices are changing more locally in Thailand and South East Asia. To date, there is little evidence on how local researchers (1) perceive there to be an issue with the credibility of psychological research, (2) are motivated to adopt research practice reforms, and (3) face different barriers in their adoption of these reforms.

 

Concerning perceptions of credibility, there are far fewer open discussions around metascience in South East Asia that may result in less awareness and recognition of some of the systemic issues in research practices[3]. Similarly, there is little knowledge of the degree to which researchers in the region are motivated to adopt new practices. As an illustration of these combined challenges to have open discussion and understand local attitudes, a recent study attempted to include the attitudes of members of the Asian Society for Social Psychology (AASP) in their international survey on the use of QRPs and research practice reforms. Unfortunately, AASP declined to distribute the survey to members “… out of fear that our survey would give its membership cues that questionable research practices are normative, increasing the likelihood that its members would use those practices” (Motyl et al. 2017, p. 38). Understanding the local barriers to research reforms is also an important endeavour because many of the proposed reforms have been developed by researchers who are based in Western regions, and focus on how these reforms apply within their own Western research contexts. Although the basic principles behind conducting and reporting robust research are universal; the practices that researchers adopt may differ across regions, and there are inequalities in the incentives and barriers experienced by researchers in different contexts. For example, the barriers to engaging in practices such as data sharing are reducing in the West through education, training, and access to resources. Likewise, the incentives (both tangible and intangible) for data sharing are growing with transparent (i.e., open) research practices becoming a desirable (or required) criterion for academic employment in some departments and kudos attached to research (and researchers) that shares open data. In contrast, far fewer training opportunities exist for raising awareness of these practices within the SE Asia region and there are limited incentives for their uptake. Thus, an important direction for future work is to focus on local challenges to research practice reforms in Thailand and South East Asia. In other words, what are the barriers that local researchers face when implementing research practices such as preregistration, sharing open data, etc.? In addition to the absence of incentives, there may exist many culturally grounded barriers to reform. As an example of how culture may affect reform, many of the research practice reforms in Western cultures have been driven by graduate students and early career researchers challenging the status quo (and often the approach of more senior academics). However, the relatively tighter cultures in South East Asia typically favour conforming to the values, norms, and behaviours adopted by others and sanctioning deviance and the promotion of reforms. Thus, there might exist much stronger resistance to the adoption of counternormative behaviour in the region.

 

In summary, the research practice reforms adopted by most psychologists mean that the field is producing higher quality and more replicable effects now compared to ten years ago. However, there remains much to do and there is currently a need for trying to understand the context-specific challenges perceived by researchers in the SE Asia region and to develop solutions to tackle barriers to engaging in best scientific practices.

 

To stay updated with issues related to open science in the region follow the South East Asian Network for Open Science (SEANOS) on twitter here: https://twitter.com/opensciencesea

 

 

References

 

[1] There is evidence for low replicability across many other research fields; e.g., economics (C. F. Camerer et al., 2016; Ioannidis et al., 2017), pharmacology (Lancee et al., 2017).

 

[2] Other examples of QRPs not stated here include: selective reporting of significant studies and file drawing null effect studies; conducting low powered studies.

 

[3] This is not true across the entire region, i.e., open science is prominent in Indonesia.

 

Pic cr. https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Research_Scene_Vector.svg ​

 

 


 

 

 

About the Author.

Dr.Harry Manley is a lecturer in the Faculty of Psychology at Chulalongkorn University. Twitter @harrisonmanley

 

อะไรทำให้เราลืมกันนะ?

ความทรงจำถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากในชีวิตของเรา ความทรงจำทำให้เราสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ทำให้เราสามารถพัฒนาตนเองได้ในหลาย ๆ ด้าน และทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้ แต่หลายครั้งที่เรามักจะลืม บางคนก็ลืมว่าเราจะต้องทำอะไร บางคนลืมข้อมูลสำคัญที่จะต้องจำให้ได้ การลืมนั้นสามารถเกิดได้ขึ้นในทุก ๆ วัน มันเป็นเรื่องปกติที่เรามักจะลืมอะไรบ้างอย่าง ในบางครั้งถึงแม้ว่าเราอยากจะจำให้ได้มากเท่าไร พยายามจำมากเท่าไร เราก็ยังลืมอยู่ดี

 

ทำไมเราถึงลืม? เราไม่ลืมได้หรือไม่?

 

ผลการวิจัยพบว่า การลืม ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนว่ามันไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เราจำเป็นจะต้องใช้ความทรงจำของเรา เช่น ในการให้การของผู้เห็นเหตุอาชญากรรม ความทรงจำของเราจึงมีความสำคัญมาก หลายคนจึงอาจจะใช้วิธีต่าง ๆ ในการกันลืม เช่น การจดโน้ต การบันทึกไว้ในโทรศัพท์ หรือแม้กระทั่งถ่ายรูปเก็บไว้

 

สิ่งที่สำคัญที่ทำให้เราลืมก็คือเวลา

 

มีงานวิจัยค้นพบว่ายิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไรหลังจากที่เราเรียนรู้สิ่งที่เราต้องการจะจำ เราก็ยิ่งมีโอกาสที่จะลืมมันมากเท่านั้น เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่เราต้องการจะจำเมื่อเราได้เข้ารหัสรับรู้มันผ่านประสาทสัมผัสของเรา และถูกเข้าไปเก็บในความทรงจำระยะสั้น ซึ่งสามารถจุความทรงจำได้อย่างจำกัดในระยะเวลาอันสั้น เมื่อข้อมูลที่อยู่ในความทรงจำระยะสั้นไม่ได้ถูกทบทวนซ้ำ เราก็จะลืมมันไปในที่สุด แต่ถ้าเราทวนสิ่งที่ต้องการจะจำซ้ำ ๆ ก็จะทำให้เราสามารถจำสิ่งนั้นได้ดีขึ้น เมื่อเราได้มีการทบทวนซ้ำถึงข้อมูลนั้นหลาย ๆ ครั้ง ก็จะทำให้ข้อมูลนั้นส่งต่อเข้าไปเก็บไว้ในความทรงจำระยะยาวของเรา ซึ่งสามารถบรรจุความทรงจำได้มากกว่าและนานกว่าความทรงจำระยะสั้น ทำให้เราสามารถที่จะจำข้อมูลนั้นได้ดีขึ้นและมีโอกาสที่จะลืมน้อยลง

 

อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เรามักจะจำในสิ่งที่เราต้องการจะจำไม่ได้ เป็นเพราะสิ่งที่เราต้องการจะจำได้ถูกรบกวนโดยสิ่งที่เราจำไปแล้วก่อนหน้านี้ ทำให้เราไม่สามารถจำสิ่งที่เราต้องการจะจำได้ (reactive interference) เช่น ในการเปิดเทอมใหม่ คุณครูพยายามที่จะจำชื่อนักเรียนในห้องให้ได้ ซึ่งคุณครูอาจจะจำชื่อนักเรียนสลับกันกับนักเรียนปีที่แล้ว ทำให้ไม่สามารถจำชื่อนักเรียนปีนี้ได้ถูกต้อง หรือ ถูกรบกวนจากสิ่งที่เราต้องการจะจำหลังจากนั้น (proactive interference) เช่น การจอดรถในที่ทำงาน เนื่องจากเราจะต้องเปลี่ยนที่จอดรถทุกวัน ทำให้เราไม่สามารถจำได้ว่าวันนี้เราจอดรถไว้ที่ไหน เพราะการจำว่าวันนี้เราจอดรถไว้ที่ไหนถูกรบกวนโดยอาจจะจำเป็นที่ ๆ เราจอดรถไว้เมื่อวานแทน วิธีการที่จะทำให้เราจำได้นั่นก็คือการพยายามทวนซ้ำ ๆ ว่าเราจอดรถไว้ที่ไหน หรือ พยายามหาดูว่ามีอะไรที่สามารถช่วยเราจำได้บ้าง เช่น เลขตรงเสาที่อยู่ใกล้รถของเรา หรือว่าเราออกมาแล้วเจออะไรเป็นอย่างแรก

 

อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าความทรงจำต่าง ๆ ที่ถูกเก็บไว้ในความทรงจำระยะยาวของเราแล้วนั้น เราจะไม่มีวันลืมความทรงจำเหล่านั้นไป เราก็มีโอกาสที่จะลืมความทรงจำเหล่านั้นได้หากเราไม่ได้นึกถึงมันเป็นเวลานาน หรือในบางครั้งเราก็อาจจะไม่สามารถนึกถึงหรือจำได้ทันที อาจจะต้องมีตัวบ่งชี้ หรือ คำใบ้ อะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราต้องการจะนึกถึง ช่วยให้เราจำความทรงจำนั้นได้ ดังนั้นหากเราต้องการที่จะจำอะไร เราสามารถทบทวนมันซ้ำ ๆ เพื่อที่จะทำให้ข้อมูลนั้นถูกส่งจากความทรงจำระยะสั้นสู่ความทรงจำระยะยาว เมื่อความทรงจำนั้นถูกเก็บเข้าที่ความทรงจำระยะยาวนั่นหมายความว่า เราสามารถจำมันได้แล้วนั่นเอง

 

 


 

บทความวิชาการ

 

โดย อาจารย์ ดร.พจ ธรรมพีร

อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาปริชาน